มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา
“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”
ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“ทำไมโทรไม่ติดนะ”
มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จัก
กริ้ง กริ้ง กริ้ง
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”
[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]
“รู้จักค่ะ”
“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”
“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”
“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”
“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้ยค่ะ”
“ตอนนี้เขาอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ ต้องทำการผ่าตัดด่วน แต่ไม่มีญาติคนไข้มาเซ็นต์เอกสารให้เลยยังไม่สามารถผ่าตัดได้ค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันไปเซ็นต์ให้ก่อนได้มั้ยค่ะ ในระหว่างรอญาติคนไข้”
“ถ้าอย่างนั้นคุณรีบมาด่วนได้มั้ยค่ะ พอดีคนไข้สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ”
“ค่ะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
พูดจบมินรีบหันไปจะหยิบกระเป๋า กุญแจบ้าน และกุญแจรถ แต่ปรากฏว่ากุญแจบ้านและกุญแจรถไม่อยู่แล้ว
“จำได้ว่าวางอยู่บนโต๊ะรับแขกนี่ แล้วไปอยู่ไหนแล้วนะ คนยิ่งรีบๆ อยู่ เอาไงดี ระหว่างหาโทรหาญาติพี่อู๊ดก่อนดีกว่า”
มินใช้เวลาติดต่อหาญาติพี่อู๊ดเกือบสิบนาที เมื่ออีกฝ่ายรู้เรื่องก็บอกว่าจะรีบไปที่โรงพยาบาลทันที ส่วนตัวมินหากุญแจบ้านและกุญแจรถอีกเกือบสิบนาที สุดท้ายไปเจอในลิ้นชักในตู้วางโทรทัศน์ ซึ่งเธอแน่ใจมากไม่มีทางไปวางไว้ที่นั้นแน่ ๆ เพราะเธอกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับรอให้อู๊ดมารับ นั่นหมายถึงทุกอย่างต้องอยู่ใกล้ตัวพร้อมหยิบฉวยเมื่ออีกฝ่ายมา
“ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้นะ ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรแล้ว รีบไปหาพี่อู๊ดก่อนดีกว่า”
มินรีบปิดบ้านแล้วเดินทางไปหาพี่ชายคนสนิทที่โรงพยาบาลทันที
@โรงพยาบาล S
มินรีบมาที่ห้องฉุกเฉินตามที่ถามทางมาจากประชาสัมพันธ์ เมื่อมาถึงก็พบกับพี่โต้ง ญาติผู้พี่ของพี่อู๊ด และเป็นคนแนะนำบ้านหลังนี้ให้กับมิน
“สวัสดีค่ะ พี่โต้ง พี่อู๊ดเป็นอย่างไรบ้างค่ะ”
มินยกมือไหว้เพราะพี่โต้งอายุมากกว่าพี่อู๊ดเป็นสิบปี พี่โต้งรับไหว้มินไว้
“สวัสดี พี่เพิ่งเซ็นต์เอกสารยินยอมผ่าตัดให้อู๊ดไป ต้องรอหมอออกมาก่อนถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร”
“อ๋อ ค่ะ แล้วมีกู้ภัยหรือตำรวจบอกพี่บ้างหรือยังค่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่อู๊ด”
“ยังเลย พี่เพิ่งมาก่อนเราไม่ถึงสิบนาที ว่าแต่เรารู้เรื่องได้ยังไง
มินตราจึงเล่าเรื่องที่วันนี้นัดไปกินข้าวกับอู๊ดไว้ แต่เขาไม่มาตามนัด สักพักก็มีคนที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าเขาเกิดอุบัติเหตุก็เลยรีบโทรแจ้งญาติผู้พี่แล้วรีบมา
“เรื่องก็เป็นประมาณนี้ค่ะ ส่วนรายละเอียดของอุบัติเหตุ ยังไม่มีใครแจ้งค่ะ”
“อืม งั้นเราคงต้องรอก่อน เพราะเหมือนอุบัติเหตุหนักอยู่ ทางนั้นก็มีคนเจ็บเช่นกัน เห็นตำรวจกับกู้ภัยอยู่แถวนั้น น่าจะเป็นเคสเดียวกัน เดี๋ยวเขาคงเข้ามาคุยกับเราอีกที”
มินกับโต้งจึงนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
ทั้งสองนั่งอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง ก็มีกู้ภัยคนหนึ่ง และตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาแนะนำตัวกับทั้งคู่ และแจ้งถึงสาเหตุของอุบัติเหตุ
“สวัสดีครับ ญาติคุณภาณุวัฒน์นะครับ”
“สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ”
“พอจะได้บอกได้มั้ยครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายผม” โต้งถามออกมาด้วยความอยากรู้ เพราะปกติ อู๊ดถือว่าเป็นคนขับรถอย่างระมัดระวังพอสมควร
“รถคุณภาณุวัฒน์ถูกรถตู้โดยสารชนครับ โชคดีวันนี้เป็นวันหยุด รถตู้จึงไม่มีผู้โดยสาร มีแค่คนขับคนเดียวเท่านั้นที่บาดเจ็บแต่ไม่มากเท่ากับคุณภาณุวัฒน์ จากการวัดระดับแอลกอฮอล์ไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์ ส่วนการสอบปากคำเบื้องต้น คนขับแจ้งว่า เขาไม่เห็นรถของคุณภาณุวัฒน์วิ่งออกมา จนกระทั่งเกือบจะชนแล้วถึงเห็น”
“ไม่เห็นงั้นเหรอ จะเป็นไปได้ยังไงค่ะ เขาไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซด์นะคะ อีกอย่างนี่ก็กลางวันแสก ๆ ด้วย” มินตราถามออกมาด้วยความมึนงง
“ใช่ครับ ผมเลยว่าต้องสอบปากคำเพิ่มว่าระหว่างขับรถเขาทำอะไรอยู่หรือเปล่า ทำให้ไม่เห็นรถที่เลี้ยวออกมาจากช่องกลับรถ อ้อ อีกอย่างเขาถามหาเด็กผู้ชายคนหนึ่งด้วย เขาบอกว่ามีเด็กผู้ชายนั่งอยู่ข้างคุณภาณุวัฒน์ โดยตอนเกิดอุบัติเหตุ เด็กผู้ชายยังกระเด็นออกไปจากกระจกหน้าด้วย ไม่ทราบว่าคุณพอจะรู้มั้ยครับว่าเขาได้พาใครขึ้นรถมาด้วยหรือเปล่า”
คราวนี้มินตราหันไปมองหน้าโต้ง เพราะเท่าที่เธอรู้จักพี่ชายคนนี้ เขาไม่มีครอบครัวนี่นา แต่ก็ไม่รู้สิ เพราะฉะนั้น ญาติของเขาน่าจะตอบได้ดีกว่า
โต้งยืนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
“ไม่นะครับ น้องผมยังไม่มีครอบครัว และไม่มีลูกติดที่ไหนนะครับ”
“อืม ผมก็คิดว่าเขาน่าจะมาคนเดียว เพราะสภาพเบาะข้างคนขับไม่มีร่องรอยผู้อื่นนั่งเลย กลับมีเอกสารและของวางไว้ หากมีคนนั่งข้างๆ ของเหล่านี้ก็ไม่น่าจะมี ที่สำคัญกระจกหน้าก็ไม่ได้แตกตามที่คนขับรถตู้แจ้งมา”
ทั้งสองพยักหน้าเมื่อนึกภาพตาม
“เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทางโรงพยาบาลตรวจปัสสาวะเขาเพิ่มดีกว่า หากมีอะไรคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกที ส่วนค่าเสียหาย ทางเจ้าของอู่รถตู้จะเข้ามารับผิดชอบให้นะครับ”
ว่าแล้วทั้งตำรวจและกู้ภัยของขอตัวออกไปทางคนขับรถตู้ สักพัก คนขับรถตู้ก็ชี้มือมาทางนี้แล้วตะโกนขึ้นมาว่า
“นั่นไง นั่น ๆ เด็กคนนั้นอยู่ที่นั่น ยืนอยู่ข้างผู้หญิงคนนั้นไง ไม่เห็นกันเหรอไง”
มินหันไปมองก็เห็นว่าชายคนนั้นกำลังชี้มาทางเธอ มินตราซึ่งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวริมรีบหันไปมองทางขวาทันที แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น หญิงสาวรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าตรงนี้แอร์คงเป็นตำแหน่งแอร์ตก จึงเขยิบไปนั่งทางซ้าย แล้วก็หันไปมองคนขับรถตู้อีกครั้ง
จากนั้นเหมือนอาการชายคนนั้นจะคุ้มคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวาย
“นั่น ๆ เด็กคนนั้นเดินมาแล้ว อ๊า ทำไม ทำไม ไม่ ไม่ ไม่ อย่าเข้ามานะ ไม่ ไม่ ไม่”
บุรุษพยาบาลหลายนายรีบเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับจับตัวเขาไว้ จากนั้นก็มีนางพยาบาลรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับฉีดยาให้ชายคนนั้น สักพักคนขับรถตู้ก็สลบไปทันที บุรุษพยาบาลรีบพาชายคนนั้นออกไป
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นสร้างความตกใจให้กับมินไม่น้อย โต้งเองแม้จะเป็นผู้ชายก็ยังผวาเช่นเดียวกัน เพราะจังหวะที่ชายคนนั้นคุ้มคลั่งก็พยายามที่จะเดินเข้ามาทางนี้ด้วย
เมื่อทุกอย่างสงบลง ห้องผ่าตัดฉุกเฉินก็เปิดออก คุณหมอเดินออกมาพร้อมกับอู๊ดที่นอนสลบอยู่บนเตียงคนไข้ มีผ้าพันหัวอยู่ และกำลังจะถูกเข็นออกไป
“ญาติคนไข้ใช่มั้ยครับ” นายแพทย์หนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูหันมามองมินกับโต้งที่รีบลุกขึ้นแล้วเดินมาหาทันที
“ครับ / ค่ะ”
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ ศรีษะกระแทกกับคอนโทรลหน้ารถอย่างแรง มีเลือดคั่งในสมอง แต่ไม่ร้ายแรงมากนัก ตอนนี้ผ่าตัดนำเลือดคั่งออกไปหมดแล้ว เหลือแค่รอเขาฟื้นแล้วดูอาการอื่นต่อไปครับ”
มินและโต้งต่างโล่งใจที่อู๊ดดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอะไรมากนัก จากนั้นทั้งคู่จึงเดินไปที่ห้องพักฟื้นของอู๊ด
“คืนนี้พี่คงต้องเฝ้าอู๊ด แต่พี่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย ถ้ายังไงพี่รบกวนมินเฝ้าอู๊ดตอนนี้ได้มั้ย พี่จะรีบกลับไปเอาชุดมา”
“อ๋อ ได้ค่ะพี่โต้ง มินอยู่ได้ค่ะ”
“ถ้ายังไม่ได้กินข้าวก็สั่งมากินบนห้องเลยนะ พี่จะรีบไปรีบกลับ” ว่าแล้วโต้งก็รีบออกจากห้องไปทันที
มินนั่งเฝ้าไข้อู๊ดเกือบสองชั่วโมง สักพักก็ได้ยินมาจากเตียงคนไข้
“อย่า อย่า อย่า ไม่บอกแล้ว ไม่เล่าแล้ว”
เสียงผู้ป่วยบนเตียงเสียงแหบแห้ง มินที่เผลอสัปปะหงกไปก็รีบเดินเข้าไปหาเพื่อดูอาการ
หญิงสาวไม่กล้าเขย่าตัวเพราะเธอไม่รู้ว่าจะไปกระทบกระเทือนที่ไหนหรือเปล่า ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่จับมือชายหนุ่มบนเตียงเพื่อให้เขาหลุดออกจากความฝัน สักพักชายหนุ่มก็ลืมตาโพลงขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อเต็มตัว
“พี่อู๊ด พี่ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง รู้สึกอย่างไรบ้างค่ะ ให้เรียกพยาบาลมั้ย”
อู๊ดเหลือบมองตามเสียงที่ดังอยู่ข้างเตียง
“มินเองเหรอ เอ่อ พี่ขอน้ำได้มั้ย พี่หิวน้ำ โอ้ย ทำไมพี่รู้สึกเจ็บที่หัวจัง”
“มันก็ต้องเจ็บสิพี่ ก็พี่เกิดอุบัติเหตุหัวแตกมีเลือดคั่ง หมอทำการเปิดกะโหลกพี่ออกเพื่อดูดเลือดออก มันก็ต้องเจ็บสิค่ะ”
อู๊ดทั้งเจ็บหัว ทั้งเคืองน้องสาวตัวดี ขนาดตัวเองป่วยขนาดนี้ ไม่วายยังพูดจากกวนประสาทอีกเลยจัดการเขกหัวหญิงสาวตรงหน้าไปหนึ่งที
“โอ้ย ตัวเองเจ็บคนเดียวไม่พอ ยังต้องให้คนอื่นเจ็บด้วยอีกเหรอ”
มินจับหน้าผากที่โดนเขกถูไปมา
“สรุปต้องให้เรียกหมอมั้ย” หลังจากถูหน้าผากจนพอใจ มินรีบรินน้ำยื่นให้กับชายหนุ่มพร้อมกับเอ่ยปากถาม
“อืม เรียกเถอะ พี่ปวดหัวมากและเจ็บแผลจังขอยาแก้ปวดคงดี”
“พี่รู้มั้ย ว่าพี่เกิดอุบัติเหตุได้ยังไง”
อู๊ดตกใจกับคำถามนั้นจนเผลอทำแก้วหลุดออกจากมือ
เพล้ง
“อ้าวพี่ ทำอะไรเนี่ย มือไม่มีแรงทำไมไม่บอก”
“มินถามทำไม” เสียงอู๊ดเข้มขึ้น
“ถาม ถามอะไร”
“ก็เรื่องอุบัติเหตุ มินถามทำไม”
“อ้าวพี่ น้องก็อยากรู้สิ ปกติพี่ขับรถดีจะตาย งวดนี้เกิดอุบัติเหตุได้ยังไง แต่เท่าที่ฟังจากคนขับ น่าจะเป็นทางโน้นที่ผิดนะ ว่าแต่มีเรื่องตลกด้วยหละ คนขับเพ้อใหญ่เลยบอกว่ามีเด็กผู้ชายนั่งข้างพี่ด้วย ว่าแต่พี่แอบไปมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ” หญิงสาวยังไม่วายแซวไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า
“นั่นไม่ใช่เด็ก แต่เป็น..”
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu