“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่
เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิม
มินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเอง
จากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้
“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”
จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันที
วันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้น
เย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้าน
แอ๊ด
“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”
อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“อืม ดีขึ้นแล้ว หมอให้ดูอาการ หากไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็สามารถกลับบ้านได้”
“ก็ดีนะพี่ มินลางานให้แล้วนะ พี่ ๆ ที่ทำงานฝากเยี่ยมกันใหญ่เลย เห็นบอกว่ามันพรุ่งนี้ มะรืนนี้จะพากันมาเยี่ยมค่ะ” มินถือโอกาสนั่งลงตรงโซฟา สีหน้าของมินวันนี้ดูอิดโรยมาก แต่ก็พยายามฝืนยิ้มให้กับพี่ชายที่สนิทคนนี้ หากแต่อู๊ดก็ดูออก
“สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า” อู๊ดเอ่ยถามออกไปอย่างเป็นห่วง น้องคนนี้ช่างน่าสงสาร โดนสามีหักหลังจนสามารถหย่าขาดได้ แต่กลับต้องมาเจอ เฮ้อ เราผิดจริง ๆ ตอนที่น้องหาบ้าน น่าจะไปกับเธอด้วย ไม่งั้นก็คงไม่เจอบ้านหลังนี้ ว่าแล้วก็แอบโกรธพี่โต้ง ที่เสนอบ้านหลังนี้ให้น้องสาวคนสนิทไป
“นอนไม่ค่อยหลับค่ะ เมื่อคืนฝันร้ายนิดหน่อย” เมื่อนึกถึงฝันเมื่อคืนมือหญิงสาวก็มีอาการสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
“เอ่อ บ้านหลังเช่ากี่เดือนเหรอ จะครบกำหนดเมื่อไหร่ แล้วมินได้ไปดูหลังใหม่ ๆ บ้างมั้ย”
“มินเช่าไว้แค่หกเดือนค่ะ แต่มินก็ชอบนะ สภาพบ้านข้างในดูดีเลย แถมถูกด้วย ไม่แน่มินอาจจะขอซื้อต่อจากพี่โต้งเลย จะได้ไม่ต้องหาที่ใหม่ ย้ายบ้านหลายรอบ เหนื่อยค่ะ” เมื่อเห็นพี่ชายกังวล หญิงสาวจึงฝืนยิ้มกว้างออกมามากกว่าเดิม และบอกเรื่องที่เธอคิดขึ้นมา
“ไม่ได้ มินรีบหาที่บ้านใหม่เถอะ ถ้าจะให้ดี รีบย้ายออกภายในเดือน สองเดือนนี้จะดีมาก เดี๋ยวพี่ออกไปจะพาเราไปดูบ้าน และพี่จะช่วยเราย้ายเอง” อู๊ดพูดออกมาเสียงดัง เมื่อประโยคนี้เกิดขึ้น ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีเงาดำเกิดขึ้นที่ระเบียงห้องทันที
“อะไรอะพี่ ทำไมต้องเสียงดังด้วย” มินโวยวายออกมาเล็กน้อยเพราะตกใจเสียงที่ดังของอู๊ด
“เออ ๆ ขอโทษ แต่เอาเป็นตามที่ว่าแล้วกัน
มินอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องมือวัดความดันกับชีพจร และอ่างน้ำตั้งท่าว่าถึงเวลาเช็ดตัวแล้ว หญิงสาวจึงขอตัวพี่ชายกลับบ้านไป
ก่อนไป อู๊ดก็พูดทิ้งท้ายว่า
“จำไว้นะมิน อย่าอยู่บ้านหลังนี้นาน รีบหาบ้านหลังใหม่และย้ายออกให้เร็วที่สุด” พูดจบพยาบาลก็ปิดม่านทันที
มินอยากจะถามต่อ แต่ช่วงนี้ก็ไม่อยากกลับบ้านดึกเท่าไหร่ จึงคิดว่าค่อยมาถามวันพรุ่งนี้ดีกว่า คิดได้ดังนั้นก็กลับบ้านไป
เมื่อเปิดประตูรั้วไป สายตาเหลือบไปมองที่ชั้นสองของบ้าน แล้วก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงชั้นสองตรงโถงชั้นนอก หน้าห้องนอนของเธอ ดวงตาของเด็กชายคนนั้นมีความเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นดังนั้น มินที่ไม่ใช่คนกลัวเรื่องลี้ลับแบบนี้อยู่แล้ว และอยากรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนั้นหรือเปล่า ก็รีบทำการเปิดประตู แล้ววิ่งขึ้นไปหาเด็กคนนั้นทันที
แต่....เมื่อไปถึงห้องโถงกลับว่างเปล่า ไม่มีใคร มินมึนงงอย่างมาก เธอรีบเดินลงมาข้างล่างเพื่อหาเด็กน้อย แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ หญิงสาวรู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่สามารถหาคำอธิบายไหนมาปลอบใจตัวเองได้อีกแล้ว จึงตะโกนขึ้นมา
“หนูน้อย เธอเป็นใคร เธอต้องการอะไรจากฉัน เธอตายที่นี้งั้นเหรอ อยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกสิ หนูน้อย หนูน้อย”
เมื่อตะโกนเสร็จ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ล้มที่ห้องนอนกลาง มินรีบวิ่งขึ้นไป เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นเป็นเก้าอี้ล้มจริงๆ
มินค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างช้า ๆ บรรยากาศในห้องหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวค่อยเดินไปโต๊ะเครื่องแป้งแล้วเก็บเก้าอี้ที่ล้มขึ้นมา เมื่อเงยขึ้นอีกครั้งก็ตกใจจนกระเถิบถอยหลังล้มลง บนกระจกตรงโต๊ะเครื่องแป้ง มีข้อความที่เขียนจากลิปสติก “หนีไป” เมื่อมองไปบนโต๊ะ ลิปสติกที่ใช้เขียนก็ยังอยู่ที่บนนั้น มินพยายามตั้งสติอย่างที่สุด นี่ถ้าเธอเป็นคนขวัญอ่อน คงต้องเป็นลมล้มพับไปแน่นอน
มินลุกขึ้นเดินไปหยิบลิปสติกบนโต๊ะขึ้นมาดู ก็เห็นว่านี่ไม่ใช่ลิปสติกของเธอ ก็แปลกใจมาก คนเก่าย้ายบ้านไม่เอาของออกไปเหรอ ถึงเฟอร์นิเจอร์ใหญ่ไม่เอาออกไป แต่ของเล็กน้อยก็ไม่เอาไปด้วยเหรอ
ห้องนี้ หญิงสาวก็ยังไม่ค่อยได้สำรวจเท่าไหร่ อย่างที่บอกเธอมาถึงก็เอาแต่ดูห้องนอนใหญ่เท่านั้น ห้องอื่นๆ ก็แค่เข้าไปกวาด ๆ ถู ๆ ตามพื้น บนโต๊ะ แต่ยังไม่ได้เปิดดูใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเห็นว่าแม้ของเล็กน้อยก็ยังอยู่ ดังนั้น มินก็ไม่รอช้ารีบเปิดลิ้นชักออกมาดูทันที
“โห มีของเต็มเลย ทั้งเครื่องสำอาง ทั้งหวี ยางรัดผม” ทุกสิ่งที่มินกล่าวมา ทำให้รู้ว่าห้องนี้เป็นห้องของผู้หญิงอย่างแน่นอน
เมื่อเปิดไปที่ลิ้นชักที่สอง มินก็พบกับสมุดเล่มหนึ่งคล้ายกับไดอารี่ มินถือวิสาสะเปิดอ่านทันที
“วันที่ 1 เดือน มีนาคม 2558 วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ย้ายเข้ามาบ้านใหม่ บ้านหลังนี้สวยมากจริงๆ ฉันดีใจมากที่ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ หลังจากที่รอคอยให้บ้านหลังนี้ซ่อมเสร็จ ......”
มินกำลังจะอ่านต่อ แต่ก็มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นมา
อ๊อด อ๊อด อ๊อด
มินนำไดอารี่ออกจากห้องไปวางไว้บนเตียงในห้องนอนตัวเองพร้อมกับกระเป๋าถือ แล้วรีบเดินลงไปข้างล่างเมื่อดูว่าใครมาหา
เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านออกไปก็ต้องแปลกใจเพราะพบกับเจ้าของบ้านที่ยืนอยู่หน้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่ไปถึงดวงตา เหมือนกับฝืนยิ้มอย่างไงอย่างงั้น
“สวัสดีค่ะ” มินยกมือไหว้ และทำท่าจะเปิดประตูรั้วให้อีกฝ่ายเข้ามา
แต่ก็เหมือนครั้งแล้ว หรือจริง ๆ ก็เหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ที่เจ้าของบ้านไม่เคยเข้ามาเหยียบในบ้านหลังนี้เลย โดยทุกครั้ง เขาจะมีข้ออ้างกับเธอเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“สวัสดีครับ ไม่ต้องหรอกครับ พอดีผมแวะมาทำธุระแถวนี้ เลยแวะมาเยี่ยมครับ ว่าแต่คุณมินอยู่ได้ใช่มั้ยครับ”
มินพยายามคิดตามถึงประโยคคำถามที่เมื่อก่อนฟังแล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรผิดปกติ แต่วันนี้ทุกอย่างดูผิดปกติไปหมด พร้อมย้อนไปถึงเมื่อวันแรกที่เข้ามาดูบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านก็ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าติดสายให้เธอเดินดูบ้านได้ตามใจชอบ
“คุณมิน คุณมินครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงเรียกของเจ้าของบ้านทำให้หญิงสาวกลับมาจากห้วงความคิดถึงเรื่องในตอนที่มาดูบ้านแรก ๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ มินอยู่ได้ค่ะ เพียงแต่ว่า...” ประโยคหลังของมินเริ่มเบาเสียงลง สองจิตสองใจว่าจะถามเขาไปดีมั้ย เขาจะหาว่าเธองมงายหรือเปล่า ถ้าหากที่นี่ไม่มีอะไรจริงๆ ล่ะ เราจะโดนฟ้องมั้ย
“เพียงแต่ว่าอะไรหรือครับ” เสียงคนถามเหมือนมีความตื่นเต้นอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu