“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”
มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอน
แต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้
“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”
เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่า
เป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ
“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”
มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์
“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุระต่อนะ”
ว่าแล้วก็รีบขึ้นรถขับออกไป โดยที่มินยังไม่ทันได้บอกลา มินทำอะไรไม่ได้ก็เลยจัดการปิดประตูรั้ว
จังหวะที่กำลังจะปิดประตูรั้ว ได้มองไปข้างหน้าซึ่งก็คือหน้าปากซอยก็เห็นป้าอุษามองมาที่บ้านของเธอ เมื่อเห็นดังนั้น จึงตัดสินใจเดินไปหาป้าอุษาทันที คราแรกป้าอุษาอยากจะเดินหนี แต่มินตราก็รีบเรียกไว้ก่อน
“สวัสดีค่ะ ป้าอุษา”
ป้าอุษาเมื่อเห็นว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยหันมาเผชิญหน้ากับมินตราแทน
“สวัสดีจ๊ะ หนูมิน เป็นอย่างไรบ้างสบายดีมั้ย นอนหลับสบายดีหรือเปล่า”
(ประโยคคำถามเดียวกันเลย) มินคิดในใจ
“เอ่อ ก็ดีค่ะ แต่...” ในเมื่อตั้งใจที่จะหาคำตอบ มินต้องเล่นลูกไม้สักหน่อย
“แต่อะไรจ๊ะ เจออะไรหรือเปล่าลูก” ป้าอุษารีบละล่ำละลักถาม
“คือ มินเหมือนจะเห็นเด็กผู้ชาย แต่.. น่าจะเป็นฝันค่ะ ในฝันน่ากลัวมากค่ะ” มินรีบบอกออกไป และลอบสังเกตปฏิกิริยาของหญิงสูงวัยตรงหน้า
“ฝันหรือเห็นจริงๆ ลูก ลองนึกดูดี” ระหว่างถาม ป้าอุษาก็ยื่นมือเข้ามาจับทื่มือมินอย่างแน่น พร้อมกับเขย่าไปด้วย
เมื่อมินมองไปที่มือ ป้าอุษาที่ลืมตัวไปชั่วขณะ ก็รีบปล่อยมือออก แต่ก็ยังมองหน้ามินเหมือนกับต้องการคำตอบ
“ฝันค่ะ แต่เหมือนจริงมาก ที่สำคัญน่ากลัวมาก” มินพูดไปพร้อมกับทำหน้าตกใจไปด้วย
“เหรอ ฝันว่าอะไร เล่าให้ป้าฟังหน่อยสิ”
มินจึงเล่าถึงความฝัน ให้ป้าฟัง เมื่อได้ยินดังนั้น ป้าอุษาก็ตาเบิกโพลงขึ้นมา ปากอ้าไม่หุบ เมื่อได้สติก็มองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสงสาร
“มีอะไรที่มินยังไม่รู้เกี่ยวกับบ้านหลังนี้หรือเปล่าค่ะ” มินถามป้าอุษาเสียงต่ำ เธอมั่นใจว่าป้าต้องรู้เรื่องอะไรสักอย่างแน่ ๆ
“เอ่อ ปะ ป้าไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรจริง ๆ แล้วหนูมินไม่ถามเจ้าของบ้านเหรอจ๊ะ” ป้าอุษาหลบสายตา
“ถามแล้วค่ะ เขาตอบว่าไม่มีอะไรค่ะ” มินตอบเสียงเรียบ
“อืม ถ้าไม่มีอะไรก็คงไม่มีอะไร ยังไงก็แล้วแต่ ถ้ายังไงหนูมินก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ที่สำคัญอย่าไว้วางใจอะไรง่ายๆ” ป้าเอ่ยออกมาอย่างปริศนา
“อย่าไว้วางใจอะไรง่าย ๆ คืออะไรค่ะ” อะไรนี่คืออะไร มินขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“เอ่อ เปล่า ไม่มีอะไร ป้าต้องขอตัวก่อนนะ อ้อ อีกเรื่อง วันที่ 13 ที่จะมาถึง ป้าแนะนำให้เราไปนอนที่อื่นนะ ป้าต้องไปแล้ว” พูดจบหญิงสูงวัยก็รีบเดินกลับเข้าไปในร้านขายของชำของตัวเองทันที โดยไม่ฟังเสียงเรียกของมินตราเลย
“ป้าคะ ป้าคะ อะไรเนี่ย นึกอยากจะไปก็ไป”
มินตราเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว โชคดีที่ก่อนออกไปมินตราเปิดไฟในบ้านทิ้งไว้ก่อน ทำให้บรรยากาศในบ้านไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนทุกที
มินเดินไปที่ห้องครัวเริ่มทำกับข้าวทานเอง หลังทานข้าวเสร็จ มินทำการล้างจาน
ระหว่างที่ล้างจานอยู่นั้น มินได้ยินเสียงเหมือนกับคนเดินไปเดินมาอยู่ข้างบน
เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด
ตอนแรกเสียงก็ห่าง ๆ เหมือนคนเดินหนึ่งคนค่อย ๆ เดินย่อง ๆ มินพยายามข่มความกลัวและคิดว่าเป็นแค่ไม้ลั่น เพราะกำลังจะเข้าหน้าฝนอากาศเปลี่ยน ไม้ปาเก้ข้างบนน่าจะมีการหดตัว แต่สิ่งที่ทำให้มินตกใจคือ
ตึง ตึง ตึง ตึง
เสียงวิ่ง มันคือเสียงวิ่งจริง เป็นเสียงที่วิ่งจากข้างบนห้องนอนกลางและวิ่งไล่ลงมายังตรงบันได และ
ปัง
เสียงประตูห้องเก็บของปิดดังลั่น
เมื่อได้ยินเสียงประตูปิด จึงรีบหันไปทางเสียงทันที มือที่ถือจานที่กำลังล้างอยู่ก็หล่นลงไปด้วยความตกใจ
“ว้าย”
เพล้ง
แกร๊บ
มินเผลอเหยียบไปบนจานที่แตกตรงพื้น
“โอ้ย”
เลือดไหลออกมาจากฝ่าเท้าของมิน หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ จัดการดึงเศษกระเบื้องของจานออกจากฝ่าเท้า แล้วรีบเดินเลี่ยงเศษกระเบื้องไปล้างเท้าในห้องน้ำ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ต้องผงะเล็กน้อย เพราะได้กลิ่นเหม็นเน่าออกมาอย่างแรง ประมาณว่ากลิ่นน้ำยาปรับอากาศที่พึ่งซื้อมาไม่สามารถกลบได้ แต่ด้วยอาการปวดที่เท้าทำให้ต้องกลั้นลมหายใจเข้าไปล้างเท้าและรีบออกมาใส่ยาพร้อมกับแปะพลาสเตอร์ยาที่ฝ่าเท้าตรงโซฟา
ก่อนใส่ยา มินได้หยิบพลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนและขวดยาเบตาดีนออกมาจากล่องยาและวางไว้ข้างนอกข้างกล่องยา ซึ่งทั้งหมดนั้นวางอยู่บนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็ง่วนอยู่กับการใส่ยา เมื่อใส่เสร็จเธอกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบพลาสเตอร์ยากลับพบว่า......พลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนนั้นหายไปแล้ว
มินขมวดคิ้ว เธอแน่ใจว่าตัวเองเอาออกมาพร้อมกับขวดยา แต่ตอนนี้มันหายไปไหน จะว่าปลิวก็ไม่ใช่ เพราะในห้องไม่มีลมเลย หน้าต่าง ประตูปิดสนิท พัดลมไม่ได้เปิด แล้วมันหายไปได้ยังไง
ไม่อยากคิดอะไรมาก จึงเปิดกล่องยาและเอาพลาสเตอร์ยาอีกอันออกมาแล้วแปะไปที่แผล เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยจึงนำกล่องยาไปเก็บในตู้ข้าง ๆ โทรทัศน์ แล้วรีบเดินกลับเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อทำความสะอาดเศษกระเบื้องให้เรียบร้อย จังหวะที่เดินไปที่ครัวนั้น มินรู้สึกว่ามีคนเดินตาม แต่เหมือนหันกลับไปก็ไม่พบใคร ใจพยายามคิดว่าคิดมากไปเอง แต่ก็ยังรู้สึกสงสัยห้องเก็บของนั่นอยู่ดี คิดไว้ว่าวันหยุดยาวพรุ่งนี้จะจัดการเข้าไปดูในห้องเก็บของอย่างแน่นอน
เมื่อทำอะไรเรียบร้อยแล้ว มินออกมาเดินดูความเรียบร้อยที่ห้องรับแขกอีกครั้ง มินยืนตกใจตัวแข็งทื่อเหมือนหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้
ภาพตรงหน้า เด็กผู้ชายตัวน้อย น่าตาน่ารัก ลักษณะสูบผอมเล็กน้อย ใส่เสื้อยืดสีฟ้า กางเกงขาสั้นสีน้ำตา อายุประมาณ 7-8 ขวบ กำลังเปิดกล่องยาอยู่ตรงโต๊ะรับแขก เด็กชายหยิบพลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนออกมาเล่นหลายแผ่น พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู ดูเหมือนเด็กคนนี้จะชอบนะ
มินพยายามตั้งสติและเดินเข้าไป เธออยากรู้เรื่องเกินว่าเด็กคนนี้เป็นใคร และทำไมถึงมาอยู่ที่บ้านเธอ หรือเด็กคนนี้จะแอบอยู่ในห้องเก็บของนะ แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ ที่จะมีคนมาอาศัยอยู่โดยที่เธอไม่รู้ ความคิดทุกอย่างประดังประเดเข้ามา
“ผมอาศัยอยู่ในห้องเก็บของจริงๆ ครับ” เสียงเด็กน้อยดังขึ้นมาโดยที่ปากไม่ได้ขยับ
มินเม้มริมฝีปากแน่น ความหวาดกลัวเริ่มครอบงำเข้ามาภายในจิตใจของเธอ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้มาก่อน เธอทั้งกลัวแต่ก็กระหายที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ทะ ทะ เธออ่านใจฉันได้เหรอ ทะ ทะ เธอเป็นใคร” มินทำใจกล้าถามเด็กคนนั้นออกไป
เด็กชายค่อย ๆ เงยขึ้นมาช้ามองมายังมินตราพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างน่าเอ็นดู
“ผมชอบพี่ฮะ ผมเป็นห่วงพี่ ผมไม่อยากให้พี่อยู่ที่นี่ ที่นี่อันตราย พี่ต้องออกไป พี่ต้องออกไป พี่ต้องออกไป ออกไป!”
คำสุดท้ายดังสนั่นเข้ามาในโสตประสาทหูของหญิงสาวจนเธอตกใจและแล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียงของตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับเสียงดัง
ปัง เสียงปิดประตูห้องนอนของเธอเอง
หญิงสาวพยายามมองไปรอบ ๆ ห้องและแล้วเธอก็รู้สึกแปล๊บขึ้นมา
“ฝะ ฝะ ฝันอีกแล้วเหรอ โอ้ย”
ความรู้สึกเจ็บที่เท้า เมื่อเปิดผ้าห่มและยกขึ้นมากลับพบว่าฝ่าเท้าของเธอมีพลาสเตอร์ยาลายการ์ตูนแปะอยู่เหมือนในฝันไม่มีผิด
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อันไหนคือความฝัน อันไหนคือความจริง”
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu