เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา
“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา
“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆ
สักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน
“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”
มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป
“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป
“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”
“หา จะซื้อเลยเหรอลูก ป้าว่าลูกลองอยู่ไปอีกสักพักก่อนดีมั้ยจ๊ะ เผื่อ” พูดแล้วก็หยุดไว้แค่นี้
“เผื่ออะไรเหรอค่ะ คุณป้า” มินก็งง เพราะรออยู่หลายนาที คุณป้าก็ไม่ยอมพูดต่อ
“เผื่อเราจะไปถูกใจหลังใหม่กว่านี้ไงจ๊ะ ยังไงนี่ก็เป็นบ้านเก่าแล้ว ยังไม่รู้ว่าต้องซ่อมอีกเท่าไหร่ จะคุ้มหรือเปล่า ป้าแค่เป็นห่วงจ๊ะ เห็นเราอยู่คนเดียว ไม่อยากให้สิ้นเปลือง”
มินพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของผู้สูงวัย ถึงแม้ตอนนี้เธอพอจะมีเงินก้อนจากการฟ้องหย่าและขายบ้าน แต่เก็บเงินไว้ก็อาจจะดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงยกมือไหว้ลาคุณป้าแล้วเดินออกจากร้านไป ไม่วายหันมาทักทายกับลูกค้าอีกสองคนในร้านก่อนออกไปเช่นกัน
“ป้าๆ นี่ใช่คนที่ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนั้นหรือเปล่า” เสียงหญิงสาวหนึ่งในลูกค้าดังขึ้น
“อืม ใช่ น่าสงสารจัง มาอยู่คนเดียวด้วย ไม่รู้จะอยู่เลยวันนั้นได้หรือเปล่า”
“นี่ก็เพิ่งสิ้นเดือนเองนะป้า อีกตั้งหลายวันกว่าจะถึงวันนั้น เราพอจะช่วยอะไรเธอได้มั้ย”
“เฮ้อ ป้าก็อยากช่วย แต่ใครที่เข้าไปที่ของมันแล้ว ไม่เคยมีรอดออกมาได้สักราย อีกอย่างหนูคนนี้ทำสัญญาไปแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทั้งสามคนได้แต่ถอนหายใจออกมาดังๆ
มินเดินกลับเข้ามาในบ้านก็รีบนำน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำเข้าไปใส่ในห้องนั้นชั้นล่างทันที พร้อมทั้งพยายามเปิดหน้าต่างในห้องน้ำออกให้กว้างให้มากที่สุดเพื่อที่จะระบายกลิ่น
เมื่อทำความสะอาดบ้านชั้นล่างเรียบร้อยแล้ว มินกำลังสองจิตสองใจว่าระหว่างเก็บของในห้องเก็บของเลย หรือว่าจะขึ้นไปทำความสะอาดชั้นบนก่อนดี
ยังไม่ทันได้ตัดสินใจอะไร เสียงกดออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น
อ๊อด อ๊อด อ๊อด
มินไปชะโงกหน้าดูจากหน้าต่าง เห็นชายสูงวัยคนหนึ่งยืนอยู่ที่รั้วหน้าบ้าน มินจำได้ทันทีว่าเป็นเจ้าของบ้าน จึงรีบเดินออกไปหา และทำท่าจะเปิดประตูเพื่อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าบ้าน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องเปิดหรอก คุณมิน พอดีผมผ่านมาแถวนี้ จึงแวะมาเยี่ยมครับ เดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่ออีกครับ ว่าแต่คุณมินอยู่มาครบอาทิตย์แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ขาดเหลืออะไรหรือเปล่า บอกผมได้นะครับ”
“อ๋อ ก็ดีค่ะ”
“แล้ววันนี้คุณมินไม่ออกไปไหนเหรอครับ”
“ไม่หล่ะค่ะ วันนี้ตั้งใจทำงานบ้านค่ะ มีเวลาอยู่บ้านแค่เสาร์ อาทิตย์ ยังเก็บของไม่เสร็จด้วยค่ะ”
“อ้อ งั้นผมไม่รบกวนแล้วกันนะครับ หากมีปัญหาอะไรโทรหา หรือส่งข้อความหาผมได้ตลอดนะครับ”
หลังจากเจ้าของบ้านขับรถออกไป มินก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ลูกบิดประตูห้องเก็บของเสีย
“อันนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าของบ้านเช่าหรือเปล่านะ แต่ช่างเถอะ แค่นี้เอง เราซื้อเองก็ได้เนอะ”
เมื่อคิดได้แล้ว ก็หันกลับเข้าบ้าน แต่เธอก็เหลือบเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างชั้นสองมองลงมายังเธอ
มินยืนตะลึงอยู่กับที่ สักพักก็รีบขยี้ตาตัวเอง เมื่อลืมตาขึ้นมาหลังจากขยี้ตาเสร็จ ก็เห็นว่าตรงนั้นเป็นแค่เสาไม้แขวนผ้าอยู่ตรงหน้าต่างตรงนั้น
มินถอนหายใจออกมาทันที
“เฮ้อ กลางวันแสกๆ สงสัยเราจะเพลียแดด หรือจะพักสักหน่อย เอาอย่างนี้ดีกว่า ขึ้นไปแค่กวาดเช็ดถูตรงพื้นห้องก็พอ ส่วนห้องเก็บของค่อยเป็นพรุ่งนี้แล้วกัน”
วันนั้นมินจึงแค่ทำความสะอาดบ้านข้างบนข้างล่าง แต่ยังไม่ได้เข้าไปในห้องเก็บของสักที ส่วนห้องนอนอีกสองห้องนั้น มินก็ทำแค่กวาดถูเท่านั้น ยังไม่ได้เปิดดูข้างในตู้เสื้อผ้าแม้แต่น้อย
สองห้องนอนที่เล็กกว่าห้องของมินนั้น มีทั้งเตียงและตู้เสื้อผ้า พร้อมกับโต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะหนังสือ ค่อนข้างครบครัน จริงๆ ยกเว้นห้องของมินเท่านั้นที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆ เลย นั่นจึงทำให้มินตัดสินใจเลือกห้องนอนใหญ่ เพราะมินได้ขนเตียงจากบ้านเดิมมาด้วย
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เนื่องจากซอยนี้คนอยู่ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ จะมีก็แค่บริเวณหน้าปากซอยเท่านั้น ซึ่งที่เธอรู้เพราะได้ยินเสียงคนคุยกันจอแจ เสียงเด็กเล่นดังมาจากหน้าปากซอยไกลๆ
มินเริ่มรู้สึกหิว แต่ก็ไม่อยากทำอะไรมากมาย จึงทำแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินไปดูหนังไปด้วย ชีวิตนี้เธอมีความสุขจริงๆ โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอในระหว่างนั้น
เมื่อเก็บล้างเรียบร้อย หญิงสาวที่เหนื่อยมาทั้งวันกับการทำความสะอาดบ้านก็รีบขึ้นไปจัดการอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเธอทำอะไรเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้น หญิงสาวได้รับข้อความจากไลน์กลุ่มของแผนกของเธอ
“เฮ้อ หัวหน้าทุกที่นี่เหมือนกันหมดเลยเนอะ วันทำงานไม่เคยเป็นวันทำงานเลยจริงๆ งานด่วนอีกแล้ว”
ถึงจะบ่นไปก็ต้องทำอยู่ดี จึงทำการเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อนั่งทำงานด่วนที่ต้องส่งให้เจ้านายดู
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว หญิงสาวยังนั่งง่วนกับรายงานที่ต้องทำส่งเจ้านายผู้แสนดีอยู่ คืนนี้เป็นคืนแรกที่เธอเลยเวลาเที่ยงคืนแล้วเธอยังไม่นอน หญิงนั่งทำงานไป ง่วงนอนไป
ตึก ตึก ตึก
เสียงเดินย่ำฝีเท้าอยู่นอกห้องทำให้หญิงสาวที่อยู่ในภวังค์ของงานรู้สึกตัวขึ้นมา หันหน้าไปทางประตูห้อง เมื่อรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ มินรีบปิดเสียงโทรทัศน์ที่เธอเปิดทิ้งไว้ทันที เมื่อทุกอย่างในห้องเงียบหมด มินก็ได้ยินเสียงข้างนอกห้องชัดเจนขึ้น
แอ๊ด
เสียงเปิดประตูของห้องนอนห้องข้างๆ กันดังขึ้นมา พร้อมกับเสียงซุบซิบเบาๆ ตามมา
“แก....ทำอะไรอยู่” เสียงหญิงสาวดังขึ้นมา แต่เสียงนั้นมีความแผ่วเบา
“ปล่อยผมไปได้มั้ยครับ” ตามมาด้วยเสียงเด็กชายที่น่าจะอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ และมีความแผ่วเบาเช่นเดียวกัน
“ปล่อยหรือ แกแอบขโมยกินอีกแล้วใช่มั้ย ไอ้เด็กบ้า ทำไมสอนไม่จำ หา!”
ตามมาด้วยเสียงไม้ตี
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ
“โอ้ย โอ้ย โอ้ย ผมผิดไปแล้วครับ ผมผิดไปแล้ว อย่าตีผมเลยครับ”
จากตอนแรกที่เสียงพูดคุยนั้นออกจะแผ่วเบา แต่ตอนนี้เสียงกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ มินที่นั่งทำงานอยู่ เมื่อได้ยินเสียงคนถูกตี และร้องไห้ แถมเสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีตกใจ แต่ยังปลอบใจตัวเองว่าเสียงเหล่านั้นไม่ได้ดังมาจากบ้านของตัวเอง
“ใครกันมาตีเด็กแถวนี้ เสียงดังเหมือนอยู่ในบ้าน แต่ไม่น่าใช่สิ ในบ้านเราไม่มีคนนี่น่า หรือจะเป็นหน้าบ้านกัน”
คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินไปเปิดระเบียงบ้านเพื่อไปดูตรงหน้าบ้านว่ามีใครมาตีเด็กอยู่แถวนี้หรือเปล่า
วันนี้เป็นคืนเดือนมืด และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไฟถนนตรงหน้าบ้านกลับมีอาการติดๆ ดับๆ ทำให้มินมองเห็นไม่ค่อยชัด เมื่อเพ่งนานๆ ก็ยังไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติแม้แต่น้อย
“ไม่มีอะไรนี่นา จะบอกว่าบ้านข้างๆ เหรอ”
มองไปทางบ้านข้างๆ ทั้งสองหลัง ทุกหลังก็ยังปิดไฟมืดไปหมด ก็เลยเดินกลับไปนั่งทำงานต่อ
“หรือเราหูฝาดไป ตอนนี้ก็ไม่มีเสียงแล้วนี่นา ช่างเถอะ ทำงานต่อดีกว่า”
คืนนั้น มินทำงานต่อจนถึงตีสาม ซึ่งช่วงเวลานั้น ไม่มีเสียงร้องไห้ หรือเสียงพูดคุยอีก แต่มีเสียงเอี๊ยด อ๊าด และตึงตังแทน ด้วยความที่มินเป็นคนไม่กลัวสิ่งลี้ลับ ประกอบกับความง่วงและอยากปั่นงานเร็วๆ จึงไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้น
วันนี้มินตื่นสายเป็นพิเศษ ยังอาบน้ำไม่ทันเสร็จดี ก็มีเสียงมือถือดังขึ้น
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
“ใครกันโทรมาเวลานี้” บ่นพึมพำในใจแล้วรีบพันผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องทันที แต่เมื่อเห็นหน้าจอดโทรศัพท์ว่าเป็นพี่อู๊ดก็อารมณ์ดีขึ้นมา
“ว่าไงค่ะ คุณพี่ โทรมาจะพาน้องไปเลี้ยงข้าวที่ไหนอีกหรือค่ะ” มินกล่าวหยอกออกไปอย่างอารมณ์ดี
“เฮ้ย รู้ได้ไงเนี่ยว่าจะพาไปกินข้าว” อู๊ดตอบกลับมาด้วยเสียงใสเช่นกัน
“อืม ผีบ้านผีเรือนบอกนะ” มินตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร
“พูดอะไรอย่างนั้นวะ เจอแล้วเหรอ” น้ำเสียงอู๊ดดูจริงจังขึ้นมา
“เฮ้ย พี่เป็นอะไรล้อเล่นน่า พี่เชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ” มินเมื่อเห็นน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีของอู๊ดก็เลยถามออกมา ไม่อยากเชื่อว่าพี่ชายคนนี้จะเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย
“เรื่องพวกนี้ล้อเล่นไม่ได้นะมิน อีกอย่างบ้านที่มินอยู่ก็ไม่ใช่บ้านใหม่เสียหน่อย แถมมีประวัติด้วย”
“อ๋อ ประวัตินั้นนะเหรอ เจ้าของบ้านบอกแล้วหล่ะ แต่เขาสองคนเสียที่นอกบ้านนี่ ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาเสียหน่อย แต่พูดก็พูดนะ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ค่าเช่าถูกมากเลย ไม่รู้ทำไมคนก่อนๆ ถึงย้ายออกเนอะพี่”
อู๊ดนิ่งไปสักพัก ดูเหมือนว่าน้องที่ทำงานคนนี้ของเขายังไม่รู้เรื่องจริงสินะ
“เอาหล่ะ แต่งตัวเสร็จหรือยัง พี่จะถึงบ้านเราแล้ว”
“โอเค มาเลยจะเสร็จแล้วค่ะ”
อู๊ดวางหูจากมิน แต่ในใจเริ่มคิดไม่ตก ทำยังไงดี เขาควรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังหรือเปล่านะ
จังหวะที่คิดอยู่นั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่อู๊ดจะเลี้ยวเพื่อกลับรถพอดี
เอี๊ยดดดดดดด โครมมมม
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
“พี่เจ้าของบ้านค่ะ บ้านหลังนี้มีผีหรือเปล่าค่ะ”มินตราตัดสินใจถามออกไปโดยตรง เธอรู้สึกอึดอัด เธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เธอยังหาเบาะแสอะไรไม่ได้เลย อ้อ ยกเว้นไดอารี่ที่เพิ่งเจอ เธอต้องกลับไปอ่านต่ออย่างแน่นอนแต่ยังไงตอนนี้คนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าตรงนี้“เอ่อ มะ มะ ไม่มีอะไรนี่ เรื่องประวัติก็เล่าให้น้องมินไปแล้วนี่นา ไม่มีผี ไม่มีคนเสียชีวิตที่นี่หรอก ว่าแต่มินพบเจออะไรที่ผิดปกติเหรอ”เมื่อเจอคำถามไป เจ้าของบ้านก็ทำหน้าเหวอทันที พยายามตอบออกมาอย่างตะกุกตะกักในตอนแรก เมื่อตั้งสติได้ ก็พยายามถามว่าหญิงสาวตรงหน้าได้พบเจออะไรหรือเปล่าเป็นคำตอบที่คิดไว้แล้วจริงๆ เขาไม่บอกความจริงดีๆ ด้วย มินตราคิดในใจ“เปล่าหรอกค่ะ ก็แค่ฝันไม่ดี และก็น่าจะแค่แสงตกกระทบเลยทำให้เห็นภาพประหลาดๆ ก็เท่านั้นค่ะ”มินเม้มปากสักพักแล้วก็เล่าบางอย่างออกมาแต่แน่นอนว่าไม่ใช่ความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์“อ้อ ใช่ ใช่ ใช่ น่าจะเป็นแสงไฟหล่ะ ดี ดี ดี มินอยู่ได้ พี่ก็สบายใจ งั้นพี่ไปทำธุร
“เฮ้ย เปิดออกอีกแล้วเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”มินแข้งขาเริ่มอ่อนลง โชคดีที่เธอจับราวบันไดไว้ ไม่งั้นมีหวังได้ตกบันไดลงไปแน่เมื่อตั้งสติได้ หญิงสาวรีบวิ่งเข้าไปดันประตูห้องเก็บของกลับไปทันที พร้อมกับเอากล่องเก็บของมาดันไว้เหมือนเดิมมินเอาตัวพิงหลังประตูไว้แล้วตบไปที่อกของตัวเองจากความฝันเมื่อคืน เรื่องประตู เธอเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสักอย่างอยู่กับเธอด้วย แต่ด้วยความที่หญิงสาวเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เมื่อหายตื่นตระหนกก็พยายามหาเหตุผลเพื่อมารองรับกับเหตุการณ์เหล่านี้“มันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่เรื่องบังเอิญ เมื่อคืนก็แค่ฝันไปเท่านั้น”จากนั้นมินก็รีบออกจากบ้านไปทำงานทันทีวันนี้มินทำงานอย่างเหม่อลอยทั้งวัน พร้อมกับคิดไปว่าต้องสืบหาต้นตอของเสียงเหล่านั้นเย็นนั้นมินแวะไปเยี่ยมพี่อู๊ดก่อนกลับบ้านแอ๊ด“สวัสดีค่ะ พี่อู๊ด วันนี้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานหรือเปล่าค่ะ”อู๊ดมองหน้ามินเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็ไม่ได้ถามออกมา กลับตอบกลับคำถามของมินแทน
“ไม่ใช่เด็ก แต่เป็น....”ทันใดนั้นอยู่ ๆ อู๊ดก็ตาเบิกกว้าง มองไปทางระเบียง“มะ มะ ไม่มีอะไร ไม่พูดแล้ว เปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนเรื่องเหอะ”“อ้าวทำไมอะพี่ ก็เรื่องนี้มันทำให้คนขับรถตู้กังขาอยู่เนี่ย ว่าพี่เอาเด็กขึ้นไปด้วยหรือเปล่า”“มะ ไม่มี ไม่มีเด็กที่ไหน พี่ไปคนเดียวจะมีเด็กได้ยังไง” อู๊ดโวยวายแล้วทำการเอียงตัวหลบ พยายามไม่มองไปทางระเบียง และพยายามหลบสายตามินเช่นกัน“อะไรวะเนี่ย เออ เออ ไม่มีก็ไม่มีพี่ แล้วนี่รู้สึกปวดหัว ปวดตัวอะไรบ้างหรือเปล่า ให้ตามหมอมั้ย”อู๊ดส่ายหัว แต่ก็ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก มินอยากจะถามเพิ่มแต่คุณหมอเปิดประตูเข้ามาพอดี จึงไม่พูดอะไรต่อไม่กี่อึดใจ พี่โต้งก็เปิดประตูเข้ามาเหมือนกัน“น้องมิน พี่มาแล้ว เรากลับไปพักมั้ย พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก” พี่โต้งรีบพูดออกมาเพราะเกรงใจรุ่นน้องคนสนิทของลูกพี่ลูกน้องที่ต้องมาเฝ้ามินเหลือบตาไปมองพี่อู๊ด เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเขามีอะไรปิดบังเธอบางอย่าง แต่ในเมื่อเขาไม่บอกก็เลยไม่อยาก
มินรอพี่คนสนิทมารับที่โซฟาชั้นล่างและคอยมองออกไปตรงหน้าบ้านตลอดเวลา“ทำไมยังไม่มาสักทีนะ ไหนบอกว่าใกล้ถึงยังไงหล่ะ นี่ก็เกือบชั่วโมงแล้วนะ ลองโทรดูดีกว่า”ตู้ด ตู้ด ตู้ด “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”“ทำไมโทรไม่ติดนะ”มินนั่งรอไปอีกประมาณสิบห้านาที จากนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามาเป็นสายที่ไม่รู้จักกริ้ง กริ้ง กริ้ง“สวัสดีค่ะ”“สวัสดีค่ะ โทรมาจากโรงพยาบาล S ค่ะ ไม่ทราบว่ารู้จักนายภาณุวัฒน์หรือเปล่าครับ”[เอ๊ะ นี่มันชื่อจริงพี่อู๊ดนี่นา]“รู้จักค่ะ”“พอดีนายภาณุวัฒน์เกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับเขาค่ะ”“หา! เกิดอุบัติเหตุเหรอค่ะ เขาเป็นอะไรมากมั้ยค่ะ ฉันเป็นน้องที่ทำงานค่ะ”“อ๋อ คุณพอจะติดต่อญาติเขาให้ได้มั้ยค่ะ พอดีไม่สามารถติดต่อญาติเขาได้เลยค่ะ”“ดิฉันรู้จักแค่ลูกพี่ลูกน้องค่ะ เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ แล้วตอนนี้เข้าเยี่ยมได้มั้
เมื่อเห็นทุกคนเงียบไป มินจึงเงยหน้ามองไปที่คุณป้า ก็เห็นว่าคุณป้ามองหน้าลูกค้าอีกสองคนอยู่สีหน้าตกใจ ปนหวาดผวา“เป็นอะไรกันค่ะ มีอะไรหรือเปล่าค่ะ” มินถามออกมา“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ ว่าแต่หนูมินหาของเจอหรือยัง ป้าเดินเข้าไปเอามาให้แล้วกันนะ” ว่าแล้วป้าอุษาก็เดินเข้าไปข้างในร้าน มินจึงหันไปยิ้มกับลูกค้าชายหญิงอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มตอบด้วยสีหน้าฝืนๆสักพัก ป้าอุษาจึงเดินออกมาพร้อมกับน้ำยาดับกลิ่นในห้องน้ำหลายยี่ห้อแล้วยื่นให้มิน“ป้ามีประมาณนี้ ใช้ได้มั้ยจ๊ะ”มินดูและหยิบขึ้นมาหลายชิ้น เพราะเธอกะว่าจะเอาไปใช้กับห้องน้ำชั้นบนด้วย เมื่อเลือกได้แล้ว มินก็ทำการจ่ายเงินและกำลังจะเดินออกจากร้านไป“หนูมินจ๊ะ หนูทำสัญญาเช่าบ้านนี้มากี่ปีจ๊ะ” ป้าอุษาถามออกมาก่อนที่มินจะเดินจากร้านไป“จริงๆ ทำไว้ที่หกเดือนเองค่ะ เพราะตอนแรกตั้งใจจะซื้อบ้านใหม่ พอดีบ้านหลังเก่าขายได้ จึงมาเช่าอยู่ชั่วคราว แต่อยู่ ๆ ไป ก็ค่อนชอบบ้านหลังนี้เหมือนกันค่ะ กำลังคิดจะถามราคาซื้อจากเจ้าของบ้านอยู่ค่ะ”&l
วันนี้เหมือนเป็นวันที่ดีของมินจริงๆ ตั้งแต่เช้าออกจากบ้าน รถไม่ติดเลยสักนิด ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่ทำงานที่ทำงานใหม่ ตำแหน่งงานใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่นั้น ทำให้มินเหมือนเป็นคนใหม่มินมีความสุขมาก ทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานล้วนดีกับเธอ ทำให้การเรียนรู้งานไปได้เร็วพอสมควร มีที่ประหลาดใจเล็กน้อยก็คือ เธอเพิ่งรู้ว่า พี่อู๊ด หัวหน้างานเก่าที่เธอสนิทนั้น ก็มาทำงานที่นี้ด้วย แม้อยู่คนละแผนกแต่ก็ทำให้เธออุ่นใจที่มีคนรู้จักอยู่ที่นี้ด้วยตกเย็นก่อนเลิกงาน“มิน มิน” เสียงห้าวเรียกขานขึ้นมา ระหว่างที่มินกำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองเพื่อกลับบ้าน ทำให้หญิงสาวหันไปมองหาที่มาของเสียงเรียก ทว่า กลับไม่พบใครเลยสักคนแต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าพี่อู๊ดมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ“อุ๊ย ตกใจหมดเลยพี่ ทำไมเดินมาเร็วจัง เมื่อกี้เสียงพี่ยังอยู่ข้างหลังมินอยู่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายคนสนิทตรงหน้าพร้อมกับเอามือทาบอกไปในตัว“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ขอโทษ พี่กลัวมาตามเราไม่ทัน ก็เลยรีบวิ่งมา เห็นเรียกแล้วไม่หยุดเดิน
แกร๊ก ครืด ครืด ครืดเสียงเปิดประตูรั้วที่ค่อนข้างเก่าและมีสนิมดังขึ้นช่วงเช้าที่บ้านหลังหนึ่ง ในซอยเลขที่ 1 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ตามด้วยเสียงตึงตัง และเสียงคนตะโกนโหวกเหวกโวยวายหญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่แต่งหน้า รูปร่างสมส่วนกำลังเดินหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเข้ามาในบ้าน พร้อมกับบอกพนักงานขนของถึงตำแหน่งในบ้านที่ต้องการให้นำเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปวาง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินออกไปหยิบกล่องเล็กกล่องน้อยเข้ามาวางไว้ที่มุมๆ หนึ่งของบ้านเพื่อรอที่จะจัดเรียงเมื่อพนักงานที่จ้างมาทำการขนของเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวจัดการโอนเงินชำระค่าจ้างพร้อมกับเซ็นเอกสารที่จำเป็นให้เรียบร้อย เมื่อทุกคนจากไปหมดแล้ว ร่างบางหันมองไปรอบๆ บ้านด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความภูมิใจเล็กๆ ออกมา“เริ่มต้นใหม่สักทีนะ ยัยมิน ต่อไปนี้เราก็ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับชายชั่วหญิงเลวคู่นั้นอีกต่อไปแล้ว&rdqu