“ไว้เรย์จะคุยให้ แต่ไม่รับปากนะคะ ว่าจะพ่อจะยอมรึเปล่า” เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่จบลงไม่สวยเท่าไหร่นัก สถานะเดียวที่เหลืออยู่ระหว่างพวกท่านถึงกลายเป็นเกมชิงดีชิงเด่นกันอยู่เสมอ และคนที่ต้องยืนอยู่กลางสมรภูมิรบที่ว่านั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเธอ ที่ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อแม่ต้องการบางสิ่งจากเธอ บางสิ่งที่พ่อไม่อยากให้เธอยกให้ เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น
“ไม่ยอมก็ต้องยอม รีบจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้ฉันต้องบินไปเอาเองถึงที่!” พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้ง ราวกับจะตอกย้ำให้เธอได้รับรู้ ว่าเรื่องที่ท่านอยากจะพูดคุยด้วยนั้นมีเพียงเรื่องที่ดินเท่านั้น ส่วนเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงนั้น คงไม่มีใครสน!
หลายวันต่อมา
หลังจากยืนส่งลูกชายไปโรงเรียนได้ไม่นาน จิตตรีก็ต้องเปิดบ้านหลังน้อยของตนเองกับลูกเพื่อต้อนรับใครบางคนที่เดินทางมาหากันถึงบ้านด้วยเหตุผลที่มันทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากไล่
“ผมชื่อปรีชาครับ เป็นคนสนิทของคุณหญิงถวิล” แน่นอนว่านางรู้จักคนชื่อนี้ แต่ที่ไม่รู้คือท่านต้องการจากนางและลูกอีก
“แล้วไม่ทราบว่าคุณ มีธุระอะไรกับฉันอย่างนั้นเหรอคะ” เท่าที่จำได้ ก่อนตายสามีของนางย้ำหนัก ว่าให้นางกับลูกอยู่ให้ห่างคนในครอบครัวของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะกับใครคนนั้น ซึ่งนางก็ทำตามคำสั่งเสียที่ว่านั้นมาโดยตลอด ไม่นึกไม่ฝันเลยด้วยซ้ำ ว่าอยู่ๆ ทางนั้นจะส่งคนตามหากันจนพบตัวแบบนี้
“นายของผมสั่งเสียเอาไว้ก่อนที่ท่านจะจากไป ว่าให้ผมตามหาพวกคุณสองคนให้เจอ…” คำกล่าวนี้เองที่มันทำให้นางตกใจจนเข่าทรุด ก่อนที่จะเชิญให้คนตรงหน้าเข้ามาสนทนากันต่อในห้องรับแขก
ซึ่งหลังจากได้พูดคุยกันพักใหญ่
เรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ค่อยๆ ถูกเปิดเผยขึ้น มันเริ่มต้นมาจากที่นางกับสามีพบรักกันที่กรุงเทพ ตอนที่อีกฝ่ายนั้นต้องบินไปทำธุระด่วนแทนบิดาที่ล้มป่วย คุณเดชกล้าเป็นผู้ชายที่ดีพร้อม แน่นอนว่าครอบครัวของเขาย่อมไม่พอใจอย่างถึงที่สุดเมื่อเขาตัดสินใจพาเธอไปแนะนำให้ได้รู้จัก โดยเฉพาะคนใจร้ายคนนั้น…
“ถ้าแกไม่เลิกกับนังเด็กนี่ ต่อไปก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ ในเมื่ออวดดีนักจะพากันไปตายที่ไหนก็ไป ฉันจะถือเสียว่าลูกชายของฉันมันตายจากไปแล้ว!”นางยังคงจดจำได้ดีถึงสายตาของท่านยามเมื่อจ้องมองมา กว่าจะได้สติก็พบว่าตัวเองถูกสามีจับจูงออกมาจากห้องอาหารนั้นแล้ว และไม่ว่าจะเกลี่ยกล่อมยังไง อีกฝ่ายก็ยังยืนกรานคำเดิม ว่าอยากใช้ชีวิตที่เหลือด้วยกัน ต่อให้จะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เขาก็พร้อมที่จะทำ เพื่อแลกกับการที่มีเธอกับลูกอยู่ในชีวิต
กระทั่งวันนี้ วันที่ต้องมานั่งรับรู้เรื่องราวจากปากของคนตรงหน้า ความโกรธที่เคยมีก็ค่อยๆ บรรเทาลง หลงเหลือไว้แต่กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความสงสารจับใจที่ค่อยๆ แทรกกายเข้ามาแทนที่
“เรื่องนี้ฉันคงต้องขอปรึกษาลูกก่อน ได้ไหมคะ” คนตรงหน้าไม่ได้ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับ ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไป
ตกเย็น
“ย่าเหรอครับ” กล้าตะวันค่อนข้างตกใจไม่น้อยที่ได้รู้เรื่องของผู้เป็น ‘ย่า’ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เลยว่าท่านมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ด้วย ไหนจะทางเลือกที่ผู้เป็นแม่ถ่ายทอดมาให้ต้องตัดสินใจนั่นอีก ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ตกใจจนตั้งตัวไม่ถูก…
“จ๊ะ ก่อนสิ้นบุญคุณย่าเขาสั่งเสียให้คนตามหาเรา ท่านอยากให้เราย้ายไปอยู่ที่ไร่ของท่าน กล้าจะว่ายังไง อยากไปไหมลูก” เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับลูกชายโดยตรง เพราะถือเป็นทายาทคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของทางนั้น
เพราะแบบนี้นางถึงได้ปล่อยให้หน้าที่ตัดสินใจเป็นของเจ้าตัวเขาต่อไป และหากคำตอบของลูกคือไม่ ก็คงต้องเป็นไปตามนั้น เรื่องสมบัติมากมายนั่นเทียบไม่ได้เลยสักนิดกับความรู้สึกลูก และไม่ว่าคำตอบของกล้าตะวันจะเป็นไปในทิศทางไหน นางก็พร้อมที่จะเคารพทุกการตัดสินใจของลูกอย่างไม่มีข้อแม้!
“ครับแม่ เราจะไป!”
กล้าตะวันใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก็ตอบรับกลับไป อย่างน้อยไปจากที่นี่ ชีวิตเขากับแม่ก็จะไม่ต้องลำบากอีก ถ้ามันพอมีทางเป็นไปได้ ที่นับจากนี้แม่ของเขาจะได้อยู่อย่างสุขสบาย แน่นอนว่าเขายอมทำทุกอย่าง นั่นรวมไปจากที่นี่ ไปจากทุกคน!
“พี่กล้าไม่ไปไม่ได้เหรอคะ” คนแรกที่ทราบข่าวรีบมาหากันถึงบ้าน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยคำถามที่มันทำให้คนฟังรู้สึกลำบากใจ “ไม่ได้จริงๆ ครับคุณแหวน” ไม่ว่ายังไง สิ่งนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่เขากับแม่ได้ตัดสินใจไปแล้ว และเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะแค่ว่าเขาต้องการให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น อย่างน้อยๆ จากนี้ต่อไปท่านจะได้ไม่ต้องก้มหัวให้ใครอีก นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขาต้องการให้มันเกิดขึ้น แม่เหนื่อยมามากแล้ว คงถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสบายเสียที “แบบนี้ก็เท่ากับว่าต่อไปแหวนก็จะไม่ได้เจอพี่กล้าอีกแล้วเหรอคะ แล้วใครจะคอยปกป้องแหวนจากนัง...เอ่อ จากเรย์ละคะ!” “คุณแหวนยังมีคุณท่านทั้งสองนะครับ และผมเชื่อว่าพวกท่านจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายคุณแหวนได้อย่างแน่นอน” ชื่อของใครบางคนที่ได้ยินนั้นทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่างที่กำลังใกล้เข้ามา คนที่คงไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ “จริงเหรอคะ ที่เขาว่าน้าตรีกำลังจะไปจากที่นี่! เรื่องจริงเหรอคะ!” ก่อนที่ทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างที่คิด เมื่อร่างบอบ
หลายปีต่อมา “เราหย่ากันเถอะค่ะคุณพี่! อย่าให้น้องกับลูกๆ ต้องมารับผลกรรมที่คุณพี่ก่อไว้เลยนะคะ!” นั่นคือประโยคเด็ดที่ทำให้คนฟังหูตาสว่างทันทีที่ได้ยิน สุดท้ายเมื่อไม่อาจรั้งภรรยากับลูกๆ เอาไว้ได้ ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ ก็เห็นแต่จะต้องปล่อยเธอไปตามที่ต้องการเวลาเปลี่ยน ใจคนก็ย่อมเปลี่ยน ยามมั่งมี มองไปทางไหน ใครก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับ ทว่าในยามที่ล้ม มองไปทางไหนก็มักจะเจอแต่ผู้คนที่พากันเบือนหน้าหนี ซึ่งเขาไม่โทษใครในเรื่องนี้ เพราะเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาเป็นคนผิด ผิดที่ไว้ใจคนง่าย ผิดที่คิดว่ากำไรจากหุ้นที่นำไปลงทุนกับเพื่อนสนิทนั้นจะงอกเงยขึ้นเป็นเท่าตัว ทว่าสุดท้ายเขากลับคิดผิด เพราะนอกจากชีวิตจะไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่ใจหวังจะให้เป็นไปแล้วนั้น เขายังสิ้นเนื้อประดาตัว จนกลายเป็นบุคคลที่กำลังจะถูกฟ้องร้องให้ล้มละลาย บ้านหลังใหญ่ที่เคยอยู่ อีกไม่นานก็คงถูกยึด! ไหนจะภรรยาสาว ที่เพิ่งจะเอ่ยปากคำว่า ‘หย่า’ ออกมาให้ได้ยินนั่นอีก ยอมรับว่านาทีแรกเขาตกใจ ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะค่อยๆ หายไป แปรเปลี่ยนเป็นความชินชาที่แทรกกายเข้ามาแทนที่
ยังไม่ถึงสองวันดีด้วยซ้ำ เจ้าหนี้รายใหญ่ของครอบครัวก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าบ้าน ทำให้อินทุอรไม่มีทางเลือก จำต้องเดินลงมารับหน้าอีกฝ่ายด้วยตัวเอง แทนผู้เป็นพ่อที่กำลังหลับพักผ่อนอยู่ “ช่วยผมก็ช่วยคุณได้อยู่หรอกครับ แต่เงินตั้งหลายล้าน จะให้ช่วยฟรีๆ เห็นทีคงไม่ได้” หนนี้ไม่พูดเปล่า แต่พันแสงกลับเอื้อมมือเข้ามาใกล้ หมายจะสัมผัสข้อเล็กให้ได้ชื่นใจ ยอมรับว่าเขาชอบอินทุอรมาก ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยก็ว่าได้ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ปฏิเสธ ตอนที่พ่อของเธอบากหน้าเข้าไปขอกู้เงินถึงห้าล้านบาท “เก็บความหวังดีของคุณไว้เถอะค่ะ เพราะว่าฉันไม่ต้องการ!” “อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินใจแบบนั้นสิครับน้องเรย์ เก็บเอาไปคิดดูก่อนก็ได้...” จะช้าหรือเร็วเธอก็ต้องเป็นของเขาอยู่ดี ยิ่งคิดถึงวันที่นังตัวดีคลานเข่าไปร้องขอความเมตตา ถึงตอนนั้นพ่อจะจัดชุดใหญ่ ชนิดที่ว่าหล่อนจะไม่มีวันกล้าแสดงท่าทีอวดดีให้เขาได้เห็นอีก “ปล่อย!” ท่าทีคุกคามของคนตรงหน้า บวกกับมือหนาที่เอื้อมมากำข้อมือของเธอเอาไว้อย่างจาบจ้วงนั้น ทำให้อินทุอรตัดสินใจตวาดขึ้น ยอมรับว่าพ่อเลี้ยงพันแสงคือเจ้าหนี้ที
“เป็นยังไง ได้เจอน้องรึเปล่า!” ไม่ผิดไปจากที่คิดไว้เท่าไหร่นัก เมื่อแม่ของเขาจะรีบปรี่เข้ามาถามหาคนที่ท่านเฝ้าแต่คิดถึง และรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยตลอดหลายปีที่ผ่านมาเป็นอย่างแรกทันทีที่พบหน้าไม่สนกระทั่งว่าสภาพของเขาในตอนนี้นั้น มันจะดูย่ำแย่สักแค่ไหน “เจอครับ” “น้องเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม” หากให้พูดตามที่เห็น ก็ต้องยอมรับว่ายัยเด็กแสบนั่นโตขึ้นกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันค่อนข้างมาก ซ้ำยังเป็นคนสวยชวนมอง จึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้ชายหลายต่อหลายคน พยายามทำทุกทางเพื่อให้เธอไปเป็นเมีย “ยังแสบเหมือนเดิมครับ” พูดมาถึงตรงนี้แผลที่ถูกกัดก็เริ่มเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ มันทำให้เขาได้แต่คาดโทษแม่ตัวดีอยู่ภายในใจ ต่างจากมารดาที่ได้แต่ยิ้มรับต่อคำตอบที่ได้ยิน ไม่ได้โกรธหรือเกลียดอะไรเด็กน้อยที่นางรักและเอ็นดูไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ ของตัวเอง กลับกันพอได้ยินแบบนี้แล้วก็ชักอยากจะเห็นหน้าอีกสักครั้ง แต่ไม่ว่านางจะพูดยังไงนั้น ลูกชายก็ไม่ยอมพาไปเจออินทุอรท่าเดียว กล้าตะวันให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากให้นางกลับไปอยู่จุดเดิม “แม่ได้ยินคนเขาพูดกัน เรื่องน้องกับพ่อเลี
“ผมยินดีที่จะชดใช้หนี้สินทั้งหมดของพ่อคุณให้ แลกกับการที่คุณต้องไปทำงานใช้หนี้ที่ไร่ของผม!” ชายหนุ่มเปิดประเด็นขึ้นทันทีที่ถอนสายตา กลับมามองคนที่วันนี้ดูอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด ยอมรับว่าเขาไม่ชินกับคุณหนูเรย์ในสภาพแบบนี้เท่าไหร่ แต่กระนั้นก็พอจะเข้าใจได้ว่าชีวิตของคนเราต้องเดินต่อ ต่อให้จะล้มลุกคลุกคลานสักแค่ไหนก็ต้องรีบลุกให้ไว ซึ่งเขารู้และเข้าใจถึงความรู้สึกเหล่านี้ดีที่สุด เพราะตัวเองและแม่เคยผ่านมันมาก่อน “ฉันไม่ไป!”ประโยคนี้ไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการจะได้รับ แต่กระนั้นก็พอจะเดาออกอยู่ก่อนแล้วว่าอาจจะได้ยินมันออกจากปากของคนเอาแต่ใจตรงหน้า ที่แม้ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนให้เธอกลายเป็นผู้หญิงสวย แต่นิสัยนั้นกลับไม่ได้เปลี่ยนไปตามวันเวลาเลยแม้แต่นิดเดียว “เกรงว่าคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้จะไม่ใช่คุณ!” ความจริงแล้วถ้าเลือกได้ เขาเองก็ใช่ว่าจะยินดีกับเรื่องนี้เสียเมื่อไหร่กัน! แค่คิดก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว “หมายความว่ายังไง!” “คุณท่านตอบตกลงรับทุกข้อเสนอของผมแล้ว เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าเตรียมตัวให้พร
“น้าจิตรีขา พี่กล้าแกล้งหนู!” “ผมเปล่า ยัยเด็กนี่ต่างหากที่ไปแกล้งคุณแหวนเธอก่อน” กล้าตะวันสวนกลับ สายตาจ้องมองแม่คุณหนูช่างฟ้องอย่างเอาเรื่อง นับวัน ความร้ายของหล่อนยิ่งปรากฏเด่นชัดจนเขาไม่รู้จะรับมือยังไงไหว นี่ยังไม่รวมเรื่องที่เธอชอบสรรหามาทำให้เขาต้องปวดหัวอยู่บ่อยๆ “หนูเปล่าแกล้งนะคะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นอุบัติเหตุ ไม่เชื่อไปถามใครก็ได้”จะให้ไปถามใครได้ ในเมื่อทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่เป็นคนของเธอ แล้วแบบนั้นใครที่ไหนมันจะกล้าพูดความจริงเล่า “คุณทำ ผมเห็นกับตาว่าเขาผลักคุณแหวนตกน้ำครับแม่!” “ฉันบอกว่าเปล่าไง!” นั่งบ้านั่นมันทำตัวเองต่างหาก ลองถ้าไม่มากวนประสาทกันก่อน มีหรือที่เธอจะตอบกลับไปแบบนั้น “เอาล่ะๆ น้องบอกว่าเป็นอุบัติเหตุก็เป็นอุบัติเหตุสิกล้า เราจะดุน้องให้ได้อะไรขึ้นมา แล้วเมื่อกี้อย่าคิดว่าแม่ไม่เห็นนะที่เรากระชากแขนน้อง เจ็บไหนคะ ขอน้าดูหน่อย” อินทุอรลอบยิ้มก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แม่บ้านใจดี ที่เธอสนิทมากเป็นพิเศษอย่างออดอ้อน ด้วยพอจะรู้ดีว่าการกระทำนี้จะยิ่งทำให้อีกคนโกรธ แต่ก็นั่นแหละคือสิ่งที่เธออยากเห็น เ
ด้วยฝีมือการขับรถของตาลุงหนวด ที่เธอเพิ่งจะรู้จากปากของคะน้า เด็กสาววัยยี่สิบที่พูดจ้อไม่ยอมหยุดมาตลอดทางว่าชื่อของแกจริงๆ คือลุงบุญส่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนสวนบวกกับคนขับรถประจำไล่ ทำให้ทันทีที่ลงจากรถได้ อินทุอรก็ปล่อยทุกสิ่งที่เพิ่งทานเข้าไปเมื่อเช้านี้ออกมาจนหมดไส้หมดพุง โดยมีคะน้ายืนลูบหลังให้อย่างเป็นห่วง ต่างจากคนอื่นๆ ที่ได้แต่ยืนหัวเราะเยาะ ด้วยพอจะรู้ประวัติกันดี ว่าทุกครั้งที่มีคนงานใหม่เข้ามาทำงานที่ไร่แห่งนี้ ลุงบุญส่งก็มักจะ ‘รับน้องใหม่’ ด้วยวิธีการแบบนี้เสมอ ซึ่งก็เหมือนว่าครั้งนี้แกจะเล่นแรงกว่าทุกที นั่นไม่ใช่เพราะแกไม่ชอบขี้หน้าเด็กใหม่ แต่เป็นเพราะขัดคำสั่งเบื้องบนไม่ได้ต่างหาก! ‘ผมอนุญาตให้ลุงรับน้องเด็กใหม่ได้เต็มที่ ส่วนค่าจ้าง…ขึ้นอยู่กับว่าผมพอใจกับสภาพของเธอที่ได้เห็นแค่ไหน’ คนทุกคนย่อมมีปากท้องที่ต้องเลี้ยงดู ตนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เรื่องอะไรจะยอมพลาดโอกาสงามๆ ที่ผู้เป็นนายอุตส่าห์หยิบยื่นมาให้กันเล่า! “ไหวไหมคะคุณ เอายาดมไหมคะ เดี๋ยวคะน้าวิ่งไปขอป้าสีแกให้” เมื่อเธอพยักหน้าให้ เด็กนั่นก็วิ่งหายลับออกไปไกล ซึ่งเป็นจังหวะกับที่ใครบาง
“อินทุอร!” ชายหนุ่มตะโกนเรียกทันทีที่มาถึงจุดหมาย ทว่ามีแต่ความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับ เลยอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นทุบประตูแต่ก็ไร้ผล สุดท้ายเมื่อไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจใช้กุญแจสำรองไขเข้ามา เสียงน้ำไหลเป็นสิ่งแรกที่ได้ยิน ก่อนที่อีกเสียงจะตามมาติดๆ “กรี๊ดดด!” “หนูเรย์!”เพราะความตกใจต่อเสียงร้องที่ดังขึ้น มันทำให้เขาต้องรีบวิ่งไปผลักประตูห้องน้ำออก และภาพที่ได้เห็นหลังจากนั้นมันก็เป็น “กรี๊ดดดด แกเข้ามาทำไม ออกไปเดี๋ยวนี้นะไอ้บ้า!” อินทุอรกรีดร้องขึ้นสุดเสียง เมื่ออยู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ ของคนที่ก็ไม่รู้ว่าเข้ามาในบ้านของเธอได้ยังไง แต่มันไม่ได้สำคัญมากไปกว่าสภาพของเธอในตอนนี้ ที่เนื้อตัวเปลือยเปล่า ซ้ำยังนั่งแหมะอยู่ที่พื้น เพราะเมื่อครู่ดันเผลอเหยียบสบู่จนลื่นล้ม ครั้นพอพยายามจะลุกขึ้น ไอ้บ้านั่นก็เปิดประตูเข้ามาหน้าตาเฉย “ก็แล้วทำไมไม่รู้จักล็อกประตู! เกิดเป็นผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ผมเข้ามา ป่านนี้คุณมีผัวเป็นโขยงแล้ว!” กล้าตะวันตอบ ก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้จะบอกตัวเองว่าเมื่อครู่เขาไม่ได้เห็นอะไรทั
“ไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่มีวันปล่อย ไม่ว่าเธอหรือลูก ไม่มีวัน!” แต่สุดท้ายความหวังที่มีก็ต้องพังลงไม่เป็นท่า เพราะอีกคนไม่ยอมปล่อยกันตามคำขอ ไหนจะสายตาเอาเรื่องที่เขากำลังใช้มองกันอีก “ทำไมคะ!” “เพราะฉันรักเธอ!” สิ้นคำสารภาพรัก บรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบสงัดลงแทบจะทันที “คุณกิต…รู้ตัวไหมคะว่าพูดอะไรออกมา!” เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และหากเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่ควรที่จะพูดมันออกมา ในส่วนของเธอแค่ตกใจเท่านั้น ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าคำรักที่เพิ่งจะได้ยินจากปากเขามันจะเป็นเรื่องจริง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง แล้ววันนี้จะอยู่ๆ ก็พูดออกมา เธอไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะมารักเธอได้! “รู้สิ ฉันรู้ตัวดีทุกอย่าง ฉันรักเธอ” “แต่คู่หมั้นของคุณ…” “เรื่องของฉันกับน้องแหววจบแล้ว จากนี้ไปจะมีแค่เรื่องของเรา ให้โอกาสฉันอีกครั้งนะคะน้า ฉันสัญญาว่าจะรัก และดูแลคะน้ากับลูกให้ดีที่สุด” คนถูกถามชั่งใจอยู่นานเพราะยังคงตั้งตัวไม่ติดกับคำสารภาพรัก ที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเขาจะพ
ภาพของคู่หมั้นหนุ่ม ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหากันในร้านอาหารนั้นทำให้คนมองเริ่มรู้สึกว่าไม่แน่บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะมีโอกาสได้ใกล้กับเขาแบบนี้ แต่ถึงจะรู้สึกเช่นนั้น เธอก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เขาอยู่ดี “รอพี่นานไหมครับแหวว” กิตติคุณเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ สายตาที่มองคนตรงหน้า ยังคงไว้ด้วยความรักและเอ็นดูไม่เปลี่ยน เขารู้จักอีกฝ่ายมานาน ย่อมรู้สึกแย่ที่ต้องมาบอกสิ่งกับเธอ “ไม่นานเท่าที่พี่กิตรอแหววหรอกค่ะ…” หากวันนี้รักที่เขาเคยมีต่อกันจะลดลงเธอก็คงไม่กล้าที่จะกล่าวโทษ เพราะเป็นเธอเองที่ขอเวลาออกไปใช้ชีวิต เปิดช่องว่างให้มีใครอีกคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เป็นเธอที่ปล่อยให้บางสิ่งหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย “พี่กิตมีเรื่องอะไรจะบอกแหววเหรอคะ พูดมาได้เลยค่ะ แหววพร้อมแล้ว”คนถูกถามเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในนาทีถัดมาเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรต้องจบเรื่องวุ่นๆ ลง ไม่ควรยื้อเวลาเพื่อปิดกั้นโอกาสที่จะได้เจอคนดีๆ ของน้อง “พี่ขอโทษครับแหวว คือว่าพี่…” คำพูดมากมายที่เตรียมไว้มีอันต้องขาดหาย เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้า
ตอนจบของชีวิตคู่คนอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่สำหรับเธอแล้วมันคือการเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม คนเดิมที่เหมือนจะทำตัวน่ารักมากขึ้น นับตั้งแต่คืนนั้นคืนที่เขาตัดสินใจสารภาพความรู้สึกที่มีให้เธอได้รับรู้ ในขณะที่เธอเองก็สารภาพหลายๆ สิ่งที่ได้แต่เก็บงำไว้กับตัวเองกลับไปบ้าง เริ่มจากการสารภาพว่าเธอเองก็รักเขามานานแล้วเหมือนกัน รักตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าแต่ก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ เพราะเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ “แม่บอกว่าวันนี้หนูแอบออกไปเที่ยวที่คอกม้าอีกแล้ว เป็นความจริงรึเปล่าครับ” คนมีความผิดติดตัวหรือจะกลัวต่อคำถามที่ถูกส่งตรงมาให้กัน อินทุอรซะอย่าง ก็พยักหน้ายอมรับไปเลยสิคะ “จริงค่ะ” เป็นอีกครั้งแล้วที่ความดื้อของเมียทำให้เขาปวดหัว “หนูชอบถูกพี่ลงโทษเหรอคะ…” จะให้บอกยังไงดี ว่านั่นแหละมันคือสิ่งที่เธอต้องการจากเขาที่สุดสุดท้ายเมื่อไม่กล้าพอที่จะบอกออกไปตรงๆ เพราะกลัวเสียหน้า หญิงสาวถึงได้ขยับตัวเข้าหา พร้อมๆ กับเกี่ยวชุดนอนตัวบางออกไปจากตัวโชว์ซะเลย ให้มันรู้กันไปสิว่าทำถึงขนาดนี้แล้วเขาจะยังเมินเฉยต่อกันได้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นร
“หนูรู้ใช่ไหมลูก ว่าแม่รักหนูที่สุด” อินทุอรได้แต่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา ชีวิตเธอมีแค่น้าจิตรีก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เธอจะถือเสียว่ามันเป็นเวรกรรมของเธอ ที่ทำให้เธอต้องไปเจอคนพวกนั้น ในส่วนของแม่แท้ๆ นั้นหลังจากทำใจได้แล้วเธอจะลองตามหาท่านดู เชื่อว่าตัวเองจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริง และไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสิ่งนั้นมันจะทำให้เจ็บปวดสักแค่ไหน เธอจะไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ จะคิดเสียว่าอย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นแม่ ที่ให้เธอได้เกิดมา “เรย์ก็รักคุณแม่ค่ะ…ขอบคุณนะคะที่รักและดูแลเรย์มาตลอด เรย์รักคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ” ภาพของคนสองคนที่นั่งกอดกันกลมอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกนั้น ตกอยู่ในสายตาของกล้าตะวันตลอดเวลา เขาเฝ้ารอจนแน่ใจว่าสภาพจิตใจของภรรยาดีขึ้นมากแล้ว ถึงได้ตัดสินใจบอกบางสิ่งกับเธอ บางสิ่งที่ได้แต่เก็บงำมันเอาไว้กับตัวเองมาโดยตลอด “พี่มีความลับจะบอก อยากฟังไหมครับ” ชายหนุ่มอาศัยช่วงเวลากลางคืนที่ได้อยู่กันตามลำพังเอ่ยถามขึ้น ซึ่งเมื่อถามจบอีกคนก็รีบขยับตัวเข้ามาหากันแทบจะทันที “อยากค่ะ” เป็นกันรู้กันดีว่าความลับของสามีเป็นอะไรที่ยากต่อการคาดเดาค
บ้านที่เคยอยู่ในช่วงวัยเด็ก ทำให้คนที่เพิ่งจะก้าวขาลงจากรถอดที่จะหวนกลับไปคิดถึงคืนวันเก่าๆ ของตัวเองไม่ได้ แม้ช่วงเวลาเหล่านั้น เธอจะไม่ได้รับความรักจากผู้เป็นแม่อย่างที่ควรเป็น แต่ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่ให้ความรักและความอบอุ่นจนเธอไม่รู้สึกขาด “โผล่หัวกลับมาบ้านได้สักทีนะนังตัวดี ฉันคิดว่าแกจะลืมทางกลับบ้านแล้ว!” คำถากถางจากผู้เป็นแม่ ทำให้ความสงสัยที่ว่าบางทีท่านอาจไม่ได้ป่วยจริงหมดลง แต่ถึงจะรู้แบบนั้น เธอก็ยังเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่านอยู่ดี “แม่สบายดีนะคะ” “หึ เห็นสภาพฉันแบบนี้แล้วยังกล้าที่จะถามอีกรึไง แต่ก็ช่างเถอะ! ไหนๆ แกก็กลับมาแล้ว เย็นนี้เตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะให้คนของเสี่ยชาญมารับแกไปอยู่กับท่าน!” เพราะนางมีเวลาไม่มาก ไหนจะเส้นตายที่เจ้าของเงินขีดไว้ให้กันนั่นอีก การพูดตรงๆ ถึงความต้องการของตัวเอง จึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่คิดจะทำ และทำอย่างไม่ลังเล ไม่สนด้วยว่าสิ้นคำบอกกล่าวนี้มันจะทำให้อีกคนเจ็บแค่ไหน “เรย์แค่กลับมาเยี่ยมแม่เฉยๆ ค่ะ ไม่ได้กลับมาเพื่อจะไปอยู่กับใครทั้งนั้น เย็นนี้เรย์ก็ต้องกลับแล้ว…” เธอบอกไป
เพราะถูกสั่งให้นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่บ้านมาเป็นเวลานานร่วมเดือน จึงไม่แปลกที่อินทุอรจะเบื่อ และทุกครั้งที่รู้สึกเบื่อ คอกม้า เป็นสถานที่เดียวที่เธอมา แต่ทว่าวันนี้นั้นกลับมีบางสิ่งที่แปลกไป “นุชรักคุณกล้าค่ะ รักมาตลอด รักตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า!” ใครเลยจะไปคิดว่าจะได้มาเห็นฉากสารภาพซึ่งๆ หน้าแบบนี้ แถมคนที่เพิ่งจะถูกสารภาพรัก ยังเป็นพ่อสามีตัวดีของตัวเองอีกด้วย! “ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณนุช…แต่ผมแต่งงานแล้ว” เป็นกล้าตะวันที่ตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เหนื่อยถึงต่อให้วันนี้เขาจะยังครองตัวเป็นโสดอยู่ เขาก็คงไม่มีทางมองคนตรงหน้าเป็นอย่างอื่นนอกเหนือไปจากเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้นอยู่ดี ระยะเวลาหลายปีที่ได้รู้จักกันมา หากว่ามันจะก่อเกิดเป็นความรักก็คงเป็นไปนานแล้ว คงไม่รอให้มีอีกคนเข้ามาแทรกอย่างที่คนตรงหน้ากำลังเข้าใจผิด “คุณรักเธอเหรอคะ!” “….” “นุชรู้ว่าคุณไม่ได้รักเธอ ที่ต้องแต่งงานด้วยก็เพราะสถานการณ์บังคับ นุชรับได้นะคะ จะให้นุชอยู่ในสถานะไหนก็ได้ ขอแค่ให้นุชได้อยู่ข้างๆ คุณก็พอ” เธอลงทุนหมดหน้าตักเพื่อพาตัวเองมายืนอยู่ตร
“ถึงจะช่วยเอาคืนให้ไม่ได้ เพราะกำลังท้องอยู่ แต่คะน้าจะช่วยเป็นพยานให้ค่ะ ว่าคุณเรย์ของคะน้าไม่ได้ทำ ถึงต่อให้ทำก็ไม่ใช่ฝ่ายที่เริ่มก่อนแน่!” คนได้ฟังรู้สึกซึ้งใจอยู่ไม่น้อย เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลงเชื่อละครฉากใหญ่ ที่ผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นจงใจสร้างขึ้น เธอยังมีคะน้า มีเจ แล้วก็มีลุงบุญส่งที่เชื่อว่าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่มันจะทำให้เธอมีกำลังใจขึ้น “ขอบคุณมากนะคะน้าที่เชื่อใจฉัน ว่าแต่เธอเถอะ ไปอยู่ที่นู้น พวกเขาดีกับเธอรึเปล่า” ที่ถามก็เพราะเธอเป็นห่วง ลองถ้าคนพวกนั้นไม่ดีกับแม่คะน้าของเธอดูสิ แม่จะตามไปด่าให้อายเลย! “ทุกคนดีกับคะน้ามากค่ะ โดยเฉพาะคุณท่านทั้งสอง คุณเรย์ไม่ต้องห่วงนะคะ” ได้ยินแบบนี้เธอก็ค่อยเบาใจหน่อย เพราะถ้าทางนั้นไม่ดีกับคนของเธอ ก็อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมยกคะน้าให้ “ฉันดีใจด้วยนะ” “คุณเรย์อย่าคิดมากนะคะ นายก็แค่ยังไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น แต่คะน้าเชื่อนะคะ ว่าคนแบบนั้นสักวันจะต้องแพ้ภัยตัวเอง!” ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ เธอก็ได้แต่หวังว่านา
“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำให้ต้องผิดหวัง ขอโทษที่ฉันตอแหลไม่เก่งเหมือนแม่นี่ แต่จะว่าไปแล้ว ดูๆ ไปก็เหมาะสมกันดี หญิงร้ายชายโง่!” กล้าตะวันไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปนอกจากหันกลับไปหาคนเจ็บอีกครั้ง แน่นอนว่าการที่อีกฝ่ายต้องมาเจอกับอะไรเช่นนั้นในไร่ของเขานั้น เป็นเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้ “พอจะเดินไหวไหมครับคุณนุช เดี๋ยวผมพาไปทำแผลที่สำนักงานนะครับ”คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้ารับ ก่อนจะทิ้งตัวซบลงที่อกแกร่งของคนที่เธออยากจะได้มาครอบครองแทบขาดใจ แต่ก็เหมือนว่าเธอจะเข้าใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที “มันจะมีสักครั้งไหม ที่นายคิดอยากจะปกป้องฉัน! เหมือนที่ชอบทำกับคนอื่น…” คำถามนี้เองที่มันหยุดอีกคนเอาไว้ ก่อนที่ในนาทีถัดมา คำตอบของเขา มันจะค่อยๆ ฆ่าเธอให้ตายลงอย่างช้าๆ “คุณคงไม่อยากรู้คำตอบหรอก…” นี่สินะ…คือคำตอบ! หลังจากสองคนนั้นพากันขับรถออกไป อินทุอรก็ถูกพามานั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องรับแขก โดยมีคุณจิตตรียังขนาบข้างไม่ห่าง “ถ้าเรย์บอกว่าไม่ได้ทำ คุณแม่จะเชื่อเรย์ไหมคะ” คนทั้งโลกจะไม่เชื่อเธอยังไงก็ได้ เธอไม่สน แต่ถ้
เมื่อตั้งสติได้คะน้าก็ถูกพามาที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับสองสามีภรรยา หลังจากนั้นไม่นานคนที่เธอไม่อยากเจอหน้าที่สุดถึงปรากฏตัวขึ้น แค่เพียงเขาขยับทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอขยับกายหนี ด้วยกลัวว่าเขาจะเข้ามาทำอะไรบ้าๆ เหมือนที่ชอบทำ“แกน่ะหยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่เห็นรึไงว่าทำให้น้องกลัว!” คำตวาดของผู้เป็นแม่ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินเป็นบุญหูนั้น ทำเอากิตติคุณไม่กล้าที่จะเดินต่อ สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น “เอาล่ะ เมื่อมากันครบแล้วก็เริ่มคุยกันเลยดีกว่า หนูต้องการอะไรพูดมาได้เลย ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!” หนนี้เป็นพ่อของเขาที่เอ่ยขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าบ้านนี้นอกจากแม่แล้วก็มีแต่พ่อนี่แหละที่ออกคำสั่งกับเขาได้ “หนูไม่ต้องการอะไรค่ะ นอกจากคำสัญญาจากปากของลูกชายท่าน ว่านับจากนี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเราสองคนแม่ลูกอีก” เพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น ที่เธอต้องการจากคนอย่างเขา และคิดว่ามันคงไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงอะไร หากเขาจะยอมทำให้กัน “ผมไม่ยอม! ในท้องนั่นก็ลูกผม หลานพ่อ! จะให้ไม่เข้าไปยุ่งได้ไง ผมไม่ยอม! ขอใหม่! แล้วก็ช่วยตั้งสต