“หนูรู้ใช่ไหมลูก ว่าแม่รักหนูที่สุด” อินทุอรได้แต่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา ชีวิตเธอมีแค่น้าจิตรีก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เธอจะถือเสียว่ามันเป็นเวรกรรมของเธอ ที่ทำให้เธอต้องไปเจอคนพวกนั้น ในส่วนของแม่แท้ๆ นั้นหลังจากทำใจได้แล้วเธอจะลองตามหาท่านดู เชื่อว่าตัวเองจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริง และไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสิ่งนั้นมันจะทำให้เจ็บปวดสักแค่ไหน เธอจะไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ จะคิดเสียว่าอย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นแม่ ที่ให้เธอได้เกิดมา “เรย์ก็รักคุณแม่ค่ะ…ขอบคุณนะคะที่รักและดูแลเรย์มาตลอด เรย์รักคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ” ภาพของคนสองคนที่นั่งกอดกันกลมอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกนั้น ตกอยู่ในสายตาของกล้าตะวันตลอดเวลา เขาเฝ้ารอจนแน่ใจว่าสภาพจิตใจของภรรยาดีขึ้นมากแล้ว ถึงได้ตัดสินใจบอกบางสิ่งกับเธอ บางสิ่งที่ได้แต่เก็บงำมันเอาไว้กับตัวเองมาโดยตลอด “พี่มีความลับจะบอก อยากฟังไหมครับ” ชายหนุ่มอาศัยช่วงเวลากลางคืนที่ได้อยู่กันตามลำพังเอ่ยถามขึ้น ซึ่งเมื่อถามจบอีกคนก็รีบขยับตัวเข้ามาหากันแทบจะทันที “อยากค่ะ” เป็นกันรู้กันดีว่าความลับของสามีเป็นอะไรที่ยากต่อการคาดเดาค
ตอนจบของชีวิตคู่คนอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่สำหรับเธอแล้วมันคือการเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม คนเดิมที่เหมือนจะทำตัวน่ารักมากขึ้น นับตั้งแต่คืนนั้นคืนที่เขาตัดสินใจสารภาพความรู้สึกที่มีให้เธอได้รับรู้ ในขณะที่เธอเองก็สารภาพหลายๆ สิ่งที่ได้แต่เก็บงำไว้กับตัวเองกลับไปบ้าง เริ่มจากการสารภาพว่าเธอเองก็รักเขามานานแล้วเหมือนกัน รักตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าแต่ก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ เพราะเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ “แม่บอกว่าวันนี้หนูแอบออกไปเที่ยวที่คอกม้าอีกแล้ว เป็นความจริงรึเปล่าครับ” คนมีความผิดติดตัวหรือจะกลัวต่อคำถามที่ถูกส่งตรงมาให้กัน อินทุอรซะอย่าง ก็พยักหน้ายอมรับไปเลยสิคะ “จริงค่ะ” เป็นอีกครั้งแล้วที่ความดื้อของเมียทำให้เขาปวดหัว “หนูชอบถูกพี่ลงโทษเหรอคะ…” จะให้บอกยังไงดี ว่านั่นแหละมันคือสิ่งที่เธอต้องการจากเขาที่สุดสุดท้ายเมื่อไม่กล้าพอที่จะบอกออกไปตรงๆ เพราะกลัวเสียหน้า หญิงสาวถึงได้ขยับตัวเข้าหา พร้อมๆ กับเกี่ยวชุดนอนตัวบางออกไปจากตัวโชว์ซะเลย ให้มันรู้กันไปสิว่าทำถึงขนาดนี้แล้วเขาจะยังเมินเฉยต่อกันได้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นร
ภาพของคู่หมั้นหนุ่ม ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหากันในร้านอาหารนั้นทำให้คนมองเริ่มรู้สึกว่าไม่แน่บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะมีโอกาสได้ใกล้กับเขาแบบนี้ แต่ถึงจะรู้สึกเช่นนั้น เธอก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เขาอยู่ดี “รอพี่นานไหมครับแหวว” กิตติคุณเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ สายตาที่มองคนตรงหน้า ยังคงไว้ด้วยความรักและเอ็นดูไม่เปลี่ยน เขารู้จักอีกฝ่ายมานาน ย่อมรู้สึกแย่ที่ต้องมาบอกสิ่งกับเธอ “ไม่นานเท่าที่พี่กิตรอแหววหรอกค่ะ…” หากวันนี้รักที่เขาเคยมีต่อกันจะลดลงเธอก็คงไม่กล้าที่จะกล่าวโทษ เพราะเป็นเธอเองที่ขอเวลาออกไปใช้ชีวิต เปิดช่องว่างให้มีใครอีกคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เป็นเธอที่ปล่อยให้บางสิ่งหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย “พี่กิตมีเรื่องอะไรจะบอกแหววเหรอคะ พูดมาได้เลยค่ะ แหววพร้อมแล้ว”คนถูกถามเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในนาทีถัดมาเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรต้องจบเรื่องวุ่นๆ ลง ไม่ควรยื้อเวลาเพื่อปิดกั้นโอกาสที่จะได้เจอคนดีๆ ของน้อง “พี่ขอโทษครับแหวว คือว่าพี่…” คำพูดมากมายที่เตรียมไว้มีอันต้องขาดหาย เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้า
“ไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่มีวันปล่อย ไม่ว่าเธอหรือลูก ไม่มีวัน!” แต่สุดท้ายความหวังที่มีก็ต้องพังลงไม่เป็นท่า เพราะอีกคนไม่ยอมปล่อยกันตามคำขอ ไหนจะสายตาเอาเรื่องที่เขากำลังใช้มองกันอีก “ทำไมคะ!” “เพราะฉันรักเธอ!” สิ้นคำสารภาพรัก บรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบสงัดลงแทบจะทันที “คุณกิต…รู้ตัวไหมคะว่าพูดอะไรออกมา!” เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และหากเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่ควรที่จะพูดมันออกมา ในส่วนของเธอแค่ตกใจเท่านั้น ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าคำรักที่เพิ่งจะได้ยินจากปากเขามันจะเป็นเรื่องจริง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง แล้ววันนี้จะอยู่ๆ ก็พูดออกมา เธอไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะมารักเธอได้! “รู้สิ ฉันรู้ตัวดีทุกอย่าง ฉันรักเธอ” “แต่คู่หมั้นของคุณ…” “เรื่องของฉันกับน้องแหววจบแล้ว จากนี้ไปจะมีแค่เรื่องของเรา ให้โอกาสฉันอีกครั้งนะคะน้า ฉันสัญญาว่าจะรัก และดูแลคะน้ากับลูกให้ดีที่สุด” คนถูกถามชั่งใจอยู่นานเพราะยังคงตั้งตัวไม่ติดกับคำสารภาพรัก ที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเขาจะพ
เชียงราย ประเทศไทย “น้าตรีขา หิวจังเลยค่ะ มีอะไรทานบ้างคะ” เสียงหวานที่ดังขึ้นบริเวณหน้าบ้านหลังน้อยท้ายฟาร์ม ส่งผลให้สองแม่ลูกซึ่งกำลังช่วยกันตั้งโต๊ะอาหารเย็นต้องพากันรีบออกมาดู ก่อนจะพบเข้ากับภาพคุณหนูของฟาร์มดวงมณี ฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้กำลังยืนส่งยิ้มหวาน แข่งกับตะวันที่ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าอยู่ไม่ไกล “ทำไมไม่กินที่บ้านใหญ่” ก่อนจะกลายเป็นเสียงของคนหวงแม่ ที่เอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังลอยไปถึงหูของอีกคนเข้าอยู่ดีอินทุอร หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักกันดี ในฐานะลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณแรมเดือนกับคุณภานุวัฒน์ สองสามีภรรยาที่ตอนนี้หย่าร้างกันมานานกว่าสามปีกว่าแล้ว โดยที่อินทุอรนั้นอยู่กับพ่อ ส่วนเอกทัศน์ผู้เป็นพี่ชายนั้นอยู่กับแม่ ตามข้อตกลงที่มีไว้ก่อนหย่า “ก็ฉันอยากกินที่นี่ ได้ใช่ไหมคะน้าตรีขา” เมื่อเห็นชัดแล้วว่าใครบางคน ที่มักจะชอบทำตัวเป็นปรปักษ์กับเธออยู่บ่อยๆ เริ่มทำตัวมีปัญหา อินทุอร จึงหันไปเข้าทางผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือคุณน้าจิตรี แม่ของเขาแทน ด้วยรู้ดีว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าเธอจะทำตัวแสบสันสักแค่ไหน ท่านก็พร้อมที่จะอ้าแขนปกป้องเธอแทบจะทุ
เธอได้แต่ถามตัวเองในใจ สายตาที่จ้องมองบิดานั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าวอย่างถึงที่สุด ตั้งแต่จำความได้ ท่านไม่เคยลงไม้ลงมือกับเธอเลยสักครั้ง จนกระทั่งสองแม่ลูกนั่นก้าวเข้ามา ทุกอย่างก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ความรักของท่าน ที่นับวันก็ยิ่งต้องถูกแบ่งไปให้กับคนพวกนั้น คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้วใยท่านต้องมาบีบบังคับ ให้เธอไปนับญาติด้วยกับพวกมันด้วย! “หนูเรย์ พ่อขอ...” “ช่างเถอะค่ะ เรย์เจ็บจนชินแล้ว ในเมื่อไม่ว่าเรย์จะพูดยังไง มันก็คงไปไม่ถึงสติของพ่อ ก็เชิญพ่อมีความสุขกับคนพวกนี้ต่อไปเถอะค่ะ เรย์ขอตัว...” เธอเอ่ยได้เพียงเท่านั้นก็รีบวิ่งหนีออกมาจากบ้าน บ้านที่ตอนนี้มันไม่ได้ให้ความอบอุ่นกับเธอเหมือนเดิมอีกแล้ว สุดท้ายเมื่อไม่รู้จะพาตัวเองหลบไปเลียแผลใจที่ไหน ก็เลยพาตัวเองมาที่นี่ซึ่งมันเป็นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มา “ทานเยอะๆ นะคะ นี่ถ้ารู้ก่อนว่าจะมาทานข้าวด้วย น้าคงทำของโปรดไว้ให้” จิตรีเอ่ยขึ้นอย่างเอาอกเอาใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรนางถึงได้ถูกชะตากับเด็กคนนี้นัก ต่างจากคนอื่นๆที่มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน
หนนี้เขาเลือกที่จะหันหลังนั่งยองๆ ให้อีกคนขึ้นขี่หลัง และหากหนนี้เธอยังดื้อไม่เลิกอีกเขาจะไม่ใจดีกับเธออีกต่อไป พอกันที! อินทุอรแน่นิ่งไปนาน ก่อนจะยอมตวัดมือไปโอบรอบคอแกร่งเมื่ออีกคนทำท่าจะลุกหนีกันไปอีกรอบ เขารอจนแน่ใจว่าเธอจะไม่ก่อเรื่องอะไรอีก ถึงได้ค่อยๆ ลุกขึ้น ความใกล้ชิดที่มากกว่าครั้งไหนๆ ส่งผลให้ใจดวงน้อยเต้นรัวแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “นี่ เดินเบาๆ หน่อยสิ!” “เรื่องมากจริง!” ถึงปากจะเอ่ยบ่น แต่ฝีเท้าที่ก้าวเดินไปเบื้องหน้าก็ยอมชะลอลงอย่างช้าๆ นั่นเลยทำให้อินทุอรถึงกับลอบยิ้ม เมื่อในที่สุดยกนี้เธอก็สามารถเอาชนะเขาอีกจนได้! ใช้เวลาร่วมสิบนาทีเห็นจะได้ ก่อนคนทั้งคู่จะมาถึงจุดหมาย กล้าตะวันค่อยๆ วางร่างเล็กที่แบกมาไกลหลายกิโลลงพื้น ก่อนจะเฝ้ามองจนแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายเดินหายเข้าไปในบ้านแล้ว ถึงได้หมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านพักของตนเองกับมารดา โดยไม่รู้เลยว่าทุกย่างก้าวของตนเองนั้น ถูกจ้องมองจากสายตาสองคู่ตลอดเวลา “กลับมาแล้วเหรอจ๊ะน้องเรย์” กระทั่งหนึ่งในนั้นเห็นร่างของน้องสาวนอกสายเลือดเดินเข้ามาในบ้านถึงได้เอ่ยทักทา
“ไว้เรย์จะคุยให้ แต่ไม่รับปากนะคะ ว่าจะพ่อจะยอมรึเปล่า” เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่จบลงไม่สวยเท่าไหร่นัก สถานะเดียวที่เหลืออยู่ระหว่างพวกท่านถึงกลายเป็นเกมชิงดีชิงเด่นกันอยู่เสมอ และคนที่ต้องยืนอยู่กลางสมรภูมิรบที่ว่านั้น ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเธอ ที่ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ เมื่อแม่ต้องการบางสิ่งจากเธอ บางสิ่งที่พ่อไม่อยากให้เธอยกให้ เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น “ไม่ยอมก็ต้องยอม รีบจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้ฉันต้องบินไปเอาเองถึงที่!” พูดจบอีกฝ่ายก็ตัดสายทิ้ง ราวกับจะตอกย้ำให้เธอได้รับรู้ ว่าเรื่องที่ท่านอยากจะพูดคุยด้วยนั้นมีเพียงเรื่องที่ดินเท่านั้น ส่วนเธอจะเป็นตายร้ายดียังไงนั้น คงไม่มีใครสน! หลายวันต่อมา หลังจากยืนส่งลูกชายไปโรงเรียนได้ไม่นาน จิตตรีก็ต้องเปิดบ้านหลังน้อยของตนเองกับลูกเพื่อต้อนรับใครบางคนที่เดินทางมาหากันถึงบ้านด้วยเหตุผลที่มันทำให้นางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากไล่ “ผมชื่อปรีชาครับ เป็นคนสนิทของคุณหญิงถวิล” แน่นอนว่านางรู้จักคนชื่อนี้ แต่ที่ไม่รู้คือท่านต้องการจากนางและลูกอีก “แล้วไม่ทราบว่าคุณ มีธุระอะไ
“ไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่มีวันปล่อย ไม่ว่าเธอหรือลูก ไม่มีวัน!” แต่สุดท้ายความหวังที่มีก็ต้องพังลงไม่เป็นท่า เพราะอีกคนไม่ยอมปล่อยกันตามคำขอ ไหนจะสายตาเอาเรื่องที่เขากำลังใช้มองกันอีก “ทำไมคะ!” “เพราะฉันรักเธอ!” สิ้นคำสารภาพรัก บรรยากาศโดยรอบก็พลันเงียบสงัดลงแทบจะทันที “คุณกิต…รู้ตัวไหมคะว่าพูดอะไรออกมา!” เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และหากเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นก็ไม่ควรที่จะพูดมันออกมา ในส่วนของเธอแค่ตกใจเท่านั้น ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าคำรักที่เพิ่งจะได้ยินจากปากเขามันจะเป็นเรื่องจริง เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำให้เธอรู้สึกแบบนั้นเลยสักครั้ง แล้ววันนี้จะอยู่ๆ ก็พูดออกมา เธอไม่เชื่อเด็ดขาด ไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะมารักเธอได้! “รู้สิ ฉันรู้ตัวดีทุกอย่าง ฉันรักเธอ” “แต่คู่หมั้นของคุณ…” “เรื่องของฉันกับน้องแหววจบแล้ว จากนี้ไปจะมีแค่เรื่องของเรา ให้โอกาสฉันอีกครั้งนะคะน้า ฉันสัญญาว่าจะรัก และดูแลคะน้ากับลูกให้ดีที่สุด” คนถูกถามชั่งใจอยู่นานเพราะยังคงตั้งตัวไม่ติดกับคำสารภาพรัก ที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าเขาจะพ
ภาพของคู่หมั้นหนุ่ม ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหากันในร้านอาหารนั้นทำให้คนมองเริ่มรู้สึกว่าไม่แน่บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้าย ที่เธอจะมีโอกาสได้ใกล้กับเขาแบบนี้ แต่ถึงจะรู้สึกเช่นนั้น เธอก็ยังเลือกที่จะส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เขาอยู่ดี “รอพี่นานไหมครับแหวว” กิตติคุณเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงโต๊ะ สายตาที่มองคนตรงหน้า ยังคงไว้ด้วยความรักและเอ็นดูไม่เปลี่ยน เขารู้จักอีกฝ่ายมานาน ย่อมรู้สึกแย่ที่ต้องมาบอกสิ่งกับเธอ “ไม่นานเท่าที่พี่กิตรอแหววหรอกค่ะ…” หากวันนี้รักที่เขาเคยมีต่อกันจะลดลงเธอก็คงไม่กล้าที่จะกล่าวโทษ เพราะเป็นเธอเองที่ขอเวลาออกไปใช้ชีวิต เปิดช่องว่างให้มีใครอีกคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เป็นเธอที่ปล่อยให้บางสิ่งหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย “พี่กิตมีเรื่องอะไรจะบอกแหววเหรอคะ พูดมาได้เลยค่ะ แหววพร้อมแล้ว”คนถูกถามเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นในนาทีถัดมาเมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าเขาควรต้องจบเรื่องวุ่นๆ ลง ไม่ควรยื้อเวลาเพื่อปิดกั้นโอกาสที่จะได้เจอคนดีๆ ของน้อง “พี่ขอโทษครับแหวว คือว่าพี่…” คำพูดมากมายที่เตรียมไว้มีอันต้องขาดหาย เมื่ออยู่ๆ คนตรงหน้า
ตอนจบของชีวิตคู่คนอื่นเป็นไงไม่รู้ แต่สำหรับเธอแล้วมันคือการเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม คนเดิมที่เหมือนจะทำตัวน่ารักมากขึ้น นับตั้งแต่คืนนั้นคืนที่เขาตัดสินใจสารภาพความรู้สึกที่มีให้เธอได้รับรู้ ในขณะที่เธอเองก็สารภาพหลายๆ สิ่งที่ได้แต่เก็บงำไว้กับตัวเองกลับไปบ้าง เริ่มจากการสารภาพว่าเธอเองก็รักเขามานานแล้วเหมือนกัน รักตั้งแต่วันแรกที่พบหน้าแต่ก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ เพราะเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ “แม่บอกว่าวันนี้หนูแอบออกไปเที่ยวที่คอกม้าอีกแล้ว เป็นความจริงรึเปล่าครับ” คนมีความผิดติดตัวหรือจะกลัวต่อคำถามที่ถูกส่งตรงมาให้กัน อินทุอรซะอย่าง ก็พยักหน้ายอมรับไปเลยสิคะ “จริงค่ะ” เป็นอีกครั้งแล้วที่ความดื้อของเมียทำให้เขาปวดหัว “หนูชอบถูกพี่ลงโทษเหรอคะ…” จะให้บอกยังไงดี ว่านั่นแหละมันคือสิ่งที่เธอต้องการจากเขาที่สุดสุดท้ายเมื่อไม่กล้าพอที่จะบอกออกไปตรงๆ เพราะกลัวเสียหน้า หญิงสาวถึงได้ขยับตัวเข้าหา พร้อมๆ กับเกี่ยวชุดนอนตัวบางออกไปจากตัวโชว์ซะเลย ให้มันรู้กันไปสิว่าทำถึงขนาดนี้แล้วเขาจะยังเมินเฉยต่อกันได้อีก ถ้าเป็นแบบนั้นร
“หนูรู้ใช่ไหมลูก ว่าแม่รักหนูที่สุด” อินทุอรได้แต่พยักหน้ารับทั้งน้ำตา ชีวิตเธอมีแค่น้าจิตรีก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ เธอจะถือเสียว่ามันเป็นเวรกรรมของเธอ ที่ทำให้เธอต้องไปเจอคนพวกนั้น ในส่วนของแม่แท้ๆ นั้นหลังจากทำใจได้แล้วเธอจะลองตามหาท่านดู เชื่อว่าตัวเองจะกล้าเผชิญหน้ากับความจริง และไม่ว่าผลสุดท้ายแล้วสิ่งนั้นมันจะทำให้เจ็บปวดสักแค่ไหน เธอจะไม่ร้องไห้ ไม่เสียใจ จะคิดเสียว่าอย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นแม่ ที่ให้เธอได้เกิดมา “เรย์ก็รักคุณแม่ค่ะ…ขอบคุณนะคะที่รักและดูแลเรย์มาตลอด เรย์รักคุณแม่ที่สุดเลยค่ะ” ภาพของคนสองคนที่นั่งกอดกันกลมอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกนั้น ตกอยู่ในสายตาของกล้าตะวันตลอดเวลา เขาเฝ้ารอจนแน่ใจว่าสภาพจิตใจของภรรยาดีขึ้นมากแล้ว ถึงได้ตัดสินใจบอกบางสิ่งกับเธอ บางสิ่งที่ได้แต่เก็บงำมันเอาไว้กับตัวเองมาโดยตลอด “พี่มีความลับจะบอก อยากฟังไหมครับ” ชายหนุ่มอาศัยช่วงเวลากลางคืนที่ได้อยู่กันตามลำพังเอ่ยถามขึ้น ซึ่งเมื่อถามจบอีกคนก็รีบขยับตัวเข้ามาหากันแทบจะทันที “อยากค่ะ” เป็นกันรู้กันดีว่าความลับของสามีเป็นอะไรที่ยากต่อการคาดเดาค
บ้านที่เคยอยู่ในช่วงวัยเด็ก ทำให้คนที่เพิ่งจะก้าวขาลงจากรถอดที่จะหวนกลับไปคิดถึงคืนวันเก่าๆ ของตัวเองไม่ได้ แม้ช่วงเวลาเหล่านั้น เธอจะไม่ได้รับความรักจากผู้เป็นแม่อย่างที่ควรเป็น แต่ก็ยังมีใครอีกหลายคนที่ให้ความรักและความอบอุ่นจนเธอไม่รู้สึกขาด “โผล่หัวกลับมาบ้านได้สักทีนะนังตัวดี ฉันคิดว่าแกจะลืมทางกลับบ้านแล้ว!” คำถากถางจากผู้เป็นแม่ ทำให้ความสงสัยที่ว่าบางทีท่านอาจไม่ได้ป่วยจริงหมดลง แต่ถึงจะรู้แบบนั้น เธอก็ยังเลือกที่จะเดินตรงเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่านอยู่ดี “แม่สบายดีนะคะ” “หึ เห็นสภาพฉันแบบนี้แล้วยังกล้าที่จะถามอีกรึไง แต่ก็ช่างเถอะ! ไหนๆ แกก็กลับมาแล้ว เย็นนี้เตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะให้คนของเสี่ยชาญมารับแกไปอยู่กับท่าน!” เพราะนางมีเวลาไม่มาก ไหนจะเส้นตายที่เจ้าของเงินขีดไว้ให้กันนั่นอีก การพูดตรงๆ ถึงความต้องการของตัวเอง จึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่คิดจะทำ และทำอย่างไม่ลังเล ไม่สนด้วยว่าสิ้นคำบอกกล่าวนี้มันจะทำให้อีกคนเจ็บแค่ไหน “เรย์แค่กลับมาเยี่ยมแม่เฉยๆ ค่ะ ไม่ได้กลับมาเพื่อจะไปอยู่กับใครทั้งนั้น เย็นนี้เรย์ก็ต้องกลับแล้ว…” เธอบอกไป
เพราะถูกสั่งให้นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่บ้านมาเป็นเวลานานร่วมเดือน จึงไม่แปลกที่อินทุอรจะเบื่อ และทุกครั้งที่รู้สึกเบื่อ คอกม้า เป็นสถานที่เดียวที่เธอมา แต่ทว่าวันนี้นั้นกลับมีบางสิ่งที่แปลกไป “นุชรักคุณกล้าค่ะ รักมาตลอด รักตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า!” ใครเลยจะไปคิดว่าจะได้มาเห็นฉากสารภาพซึ่งๆ หน้าแบบนี้ แถมคนที่เพิ่งจะถูกสารภาพรัก ยังเป็นพ่อสามีตัวดีของตัวเองอีกด้วย! “ผมขอโทษจริงๆ ครับคุณนุช…แต่ผมแต่งงานแล้ว” เป็นกล้าตะวันที่ตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิดอะไรให้เหนื่อยถึงต่อให้วันนี้เขาจะยังครองตัวเป็นโสดอยู่ เขาก็คงไม่มีทางมองคนตรงหน้าเป็นอย่างอื่นนอกเหนือไปจากเพื่อนที่ดีคนหนึ่งเท่านั้นอยู่ดี ระยะเวลาหลายปีที่ได้รู้จักกันมา หากว่ามันจะก่อเกิดเป็นความรักก็คงเป็นไปนานแล้ว คงไม่รอให้มีอีกคนเข้ามาแทรกอย่างที่คนตรงหน้ากำลังเข้าใจผิด “คุณรักเธอเหรอคะ!” “….” “นุชรู้ว่าคุณไม่ได้รักเธอ ที่ต้องแต่งงานด้วยก็เพราะสถานการณ์บังคับ นุชรับได้นะคะ จะให้นุชอยู่ในสถานะไหนก็ได้ ขอแค่ให้นุชได้อยู่ข้างๆ คุณก็พอ” เธอลงทุนหมดหน้าตักเพื่อพาตัวเองมายืนอยู่ตร
“ถึงจะช่วยเอาคืนให้ไม่ได้ เพราะกำลังท้องอยู่ แต่คะน้าจะช่วยเป็นพยานให้ค่ะ ว่าคุณเรย์ของคะน้าไม่ได้ทำ ถึงต่อให้ทำก็ไม่ใช่ฝ่ายที่เริ่มก่อนแน่!” คนได้ฟังรู้สึกซึ้งใจอยู่ไม่น้อย เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะหลงเชื่อละครฉากใหญ่ ที่ผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นจงใจสร้างขึ้น เธอยังมีคะน้า มีเจ แล้วก็มีลุงบุญส่งที่เชื่อว่าเธอไม่ได้ทำอย่างที่ถูกกล่าวหา ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่มันจะทำให้เธอมีกำลังใจขึ้น “ขอบคุณมากนะคะน้าที่เชื่อใจฉัน ว่าแต่เธอเถอะ ไปอยู่ที่นู้น พวกเขาดีกับเธอรึเปล่า” ที่ถามก็เพราะเธอเป็นห่วง ลองถ้าคนพวกนั้นไม่ดีกับแม่คะน้าของเธอดูสิ แม่จะตามไปด่าให้อายเลย! “ทุกคนดีกับคะน้ามากค่ะ โดยเฉพาะคุณท่านทั้งสอง คุณเรย์ไม่ต้องห่วงนะคะ” ได้ยินแบบนี้เธอก็ค่อยเบาใจหน่อย เพราะถ้าทางนั้นไม่ดีกับคนของเธอ ก็อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมยกคะน้าให้ “ฉันดีใจด้วยนะ” “คุณเรย์อย่าคิดมากนะคะ นายก็แค่ยังไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของผู้หญิงคนนั้น แต่คะน้าเชื่อนะคะ ว่าคนแบบนั้นสักวันจะต้องแพ้ภัยตัวเอง!” ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ เธอก็ได้แต่หวังว่านา
“ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำให้ต้องผิดหวัง ขอโทษที่ฉันตอแหลไม่เก่งเหมือนแม่นี่ แต่จะว่าไปแล้ว ดูๆ ไปก็เหมาะสมกันดี หญิงร้ายชายโง่!” กล้าตะวันไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปนอกจากหันกลับไปหาคนเจ็บอีกครั้ง แน่นอนว่าการที่อีกฝ่ายต้องมาเจอกับอะไรเช่นนั้นในไร่ของเขานั้น เป็นเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบอย่างเสียไม่ได้ “พอจะเดินไหวไหมครับคุณนุช เดี๋ยวผมพาไปทำแผลที่สำนักงานนะครับ”คนถูกถามเพียงแต่พยักหน้ารับ ก่อนจะทิ้งตัวซบลงที่อกแกร่งของคนที่เธออยากจะได้มาครอบครองแทบขาดใจ แต่ก็เหมือนว่าเธอจะเข้าใกล้เส้นชัยเข้าไปทุกที “มันจะมีสักครั้งไหม ที่นายคิดอยากจะปกป้องฉัน! เหมือนที่ชอบทำกับคนอื่น…” คำถามนี้เองที่มันหยุดอีกคนเอาไว้ ก่อนที่ในนาทีถัดมา คำตอบของเขา มันจะค่อยๆ ฆ่าเธอให้ตายลงอย่างช้าๆ “คุณคงไม่อยากรู้คำตอบหรอก…” นี่สินะ…คือคำตอบ! หลังจากสองคนนั้นพากันขับรถออกไป อินทุอรก็ถูกพามานั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องรับแขก โดยมีคุณจิตตรียังขนาบข้างไม่ห่าง “ถ้าเรย์บอกว่าไม่ได้ทำ คุณแม่จะเชื่อเรย์ไหมคะ” คนทั้งโลกจะไม่เชื่อเธอยังไงก็ได้ เธอไม่สน แต่ถ้
เมื่อตั้งสติได้คะน้าก็ถูกพามาที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับสองสามีภรรยา หลังจากนั้นไม่นานคนที่เธอไม่อยากเจอหน้าที่สุดถึงปรากฏตัวขึ้น แค่เพียงเขาขยับทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ เธอก็เผลอขยับกายหนี ด้วยกลัวว่าเขาจะเข้ามาทำอะไรบ้าๆ เหมือนที่ชอบทำ“แกน่ะหยุดอยู่ตรงนั้นเลย ไม่เห็นรึไงว่าทำให้น้องกลัว!” คำตวาดของผู้เป็นแม่ที่นานๆ ครั้งจะได้ยินเป็นบุญหูนั้น ทำเอากิตติคุณไม่กล้าที่จะเดินต่อ สุดท้ายก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่กับที่เท่านั้น “เอาล่ะ เมื่อมากันครบแล้วก็เริ่มคุยกันเลยดีกว่า หนูต้องการอะไรพูดมาได้เลย ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!” หนนี้เป็นพ่อของเขาที่เอ่ยขึ้นมาบ้าง แน่นอนว่าบ้านนี้นอกจากแม่แล้วก็มีแต่พ่อนี่แหละที่ออกคำสั่งกับเขาได้ “หนูไม่ต้องการอะไรค่ะ นอกจากคำสัญญาจากปากของลูกชายท่าน ว่านับจากนี้เขาจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเราสองคนแม่ลูกอีก” เพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น ที่เธอต้องการจากคนอย่างเขา และคิดว่ามันคงไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงอะไร หากเขาจะยอมทำให้กัน “ผมไม่ยอม! ในท้องนั่นก็ลูกผม หลานพ่อ! จะให้ไม่เข้าไปยุ่งได้ไง ผมไม่ยอม! ขอใหม่! แล้วก็ช่วยตั้งสต