นางหลับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนที่เขาหันตัวมาหา ยังมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขาอีกด้วยเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง ความเข้าใจที่นางมีต่อบุรุษยังน้อยมากเกินไป ไม่กังวลเลยว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับนางหรือไม่?เขากลับไม่รู้ว่าภายในใจของซือเจ๋อเยว่เขากลับเป็นบุรุษที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดเนื่องจากเป็นเพราะเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน อันที่จริงนางก็กังวลใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางกลับไม่ได้เสียเปรียบเดิมทีเขาก็ไม่ค่อยได้นอนหลับสักเท่าใดนัก หลังจากกอดนางหลวม ๆ เขาก็พบว่าตนรู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมือของเขาวางลงบนบริเวณเอวของนางโดยไม่รู้ตัว คางวางไว้ที่บนศีรษะของนาง หัวใจก็รู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัวตอนที่ซือเจ๋อเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าก็สว่างแล้ว ไม่รู้ว่าเยียนเซียวหรานออกไปตอนไหนเมื่อคืนนี้นางนอนหลับสนิทเป็นอย่างยิ่ง บิดขี้เกียจยกใหญ่แม้ว่าการกระทำของทั้งสองคนในเวลานี้ จะเหมือนกำลังลักลอบคบชู้กัน แต่ขอเพียงแค่สามารถต่อชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบคบชู้หรือรักษาอาการป่วย ล้วนไม่สำคัญสาวใช้ผิงเอ๋อร์ยื่นมือออกมานวดลำคอเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าว “เหตุใดเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงคุยกันด้วยอย่างมีความสุขตอนที่มาถึงหน้าประตูตำหนักขององค์หญิงสาม พวกเขาได้คุยถึงเรื่องวิธีการย่างน่องไก่วิธีที่หนึ่งร้อยหนึ่งแล้ว ทั้งสองคนสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งผ่านอาหารคนของวังหลวงคนนั้นกล่าวเตือนนางเบา ๆ “อารมณ์ขององค์หญิงสามไม่ค่อยดี องค์หญิงระวังตัวหน่อย”เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาเตือน ซือเจ๋อเยว่ก็รู้ดีถึงอย่างไรองค์หญิงสามก็ไม่ชอบหน้าตนเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นต่อหน้านางอีก ถ้าอารมณ์ดีก็คงจะเห็นผีเพียงแต่หลังจากนางเดินเข้าไป พบว่าฮองเฮาก็ทรงประทับอยู่ด้วยเช่นกันเมื่อฮองเฮาเห็นนางเดินเข้ามา ก็ขยิบตาให้นางทีหนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างสนิทสนมและอบอุ่น “ขาของเจ๋อเยว่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ขอบคุณฮองเฮาที่ประทานยาให้เพคะ หากไม่ได้ยาพวกนั้น ในเวลานี้ข้าคงจะยังไม่ดีขึ้นแน่นอนเพคะ”ฮองเฮาอมยิ้มกล่าว “ยาพวกนั้นมีประโยชน์ต่อองค์หญิงก็ดี”หลังซือเจ๋อเยว่กับฮองเฮายิ้มให้กันและกัน นางถึงหันหน้าไปมององค์หญิงสาม จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลายวันมานี้องค์หญิงสามถูกทรมานไม่น้อย สีหน้าดูค่อนข้างแย่ เพียงแต่ฮองเฮาทรงอยู่ด้วย นาง
องค์หญิงสามโมโหจนด่าออกมา “ซือเจ๋อเยว่ เจ้าบังอาจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเอาของแบบนี้มาราดหัวข้า ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”พูดจบนางอยากจะลงมือฉีกซือเจ๋อเยว่ออกเป็นชิ้น ๆเพียงแต่หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่ราดน้ำใส่องค์หญิงสามเสร็จก็ไปหลบที่ด้านหลังของฮองเฮา “ฮองเฮา หม่อมฉันรักษาองค์หญิงสามหายแล้วเพคะ”ฮองเฮาตำหนิองค์หญิงสาม “เจ๋อเยว่เป็นคนรักษาอาการป่วยให้เจ้า ห้ามเสียมารยาท!”องค์หญิงสามถึงพบว่า หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่นำน้ำถ้วยนั้นมาราดหัวนาง คิดไม่ถึงว่าจะไม่ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงร้องของไก่อีกแล้วนางตกตะลึงอยู่ตรงนั้นหลายวันมานี้นางถูกเรื่องนี้ทำให้รู้สึกทรมานไม่น้อย ภายในใจได้รับแรงกดดันมากมายนางกลัวมากว่าต่อไปตนจะไม่สามารถพูดได้อีก!ในที่สุดวันนี้ก็หายดีแล้ว อารมณ์ของนางซับซ้อนเล็กน้อยนางคิดไม่ถึงว่าซือเจ๋อเยว่จะสามารถรักษานางให้หายดีได้จริงๆ!วันที่สองที่นางโดนคุณไสยฮองเฮาก็ได้เชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาแล้ว เป็นเพราะนางกับอวิ๋นไท่เฟยไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความสามารถแบบนี้ จึงไล่ตะเพิดไปวันนี้พวกเขาเชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาอีกครั้ง อันที่จริงนางก็ยังไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความส
"ข้าสามารถรักษาอาการที่เจ้าร้องปานไก่ขันได้ นั่นก็หมายความว่าข้ารู้วิชาเต๋าจริงๆ" "และวิชาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการดูโหงวเฮ้ง คนในเมืองหลวงที่ข้าดูให้ ล้วนแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ" "ผู้ใดก็ตามที่ข้าเอ่ยขึ้นต้องตาย ล้วนไม่สามารถรอดชีวิตได้" "ดังนั้นยามนี้เจ้าไม่ควรด่าข้า แต่ควรคุกเข่าขอร้องให้ข้าช่วยเจ้า ขจัดพลังชั่วร้ายที่เกาะอยู่บนตัวเจ้า" องค์หญิงสามฟังแล้วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว "เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดกัน? จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้า? ข้ายอมตายดีกว่าคุกเข่าให้เจ้า!" ซือเจ๋อเยว่จ้องใบหน้าของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนปรบมือแล้วเอ่ยขึ้น "เจ้านี่ช่างมีศักดิ์ศรีดีเหลือเกิน จงจำคำที่เจ้าบอกไว้ในวันนี้ให้ดี แล้วอย่าได้มาหาข้าอีก" องค์หญิงสามทำท่าจะโต้ตอบต่อ แต่ฮองเฮาที่ถูกเสียงทะเลาะของพวกนางทำให้ปวดหัว จึงได้บอกกับนางกำนัลข้างกาย "พวกเจ้าพาองค์หญิงสามไปพักผ่อนก่อน" กลุ่มคนพาตัวองค์หญิงสามออกไปนางยังคงด่าทอไม่หยุดขณะถูกพาตัวออกไป สายตาที่มองซือเจ๋อเยว่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ซือเจ๋อเยว่สังเกตเห็นกลิ่นอายมืดดำล้อมรอบตัวองค์หญิงสาม จึงรู้ว่านิสัยอารมณ์ร้ายของนางเป็นผลมาจากพลังนั
ฮองเฮาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากเป็นคนอื่นถามข้าเช่นนี้ ข้าคงปฏิเสธแน่นอน เพราะข้าเป็นฮองเฮา ข้าต้องสำรวมและใจกว้าง ไม่สามารถปล่อยให้ผู้ใดหยิบยกสิ่งใดมาเป็นอาวุธโจมตีข้าได้” “แต่ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่มีอันใดต้องปิดบัง ข้ายอมรับว่าข้าเกลียดอวิ๋นไท่เฟยมากจริงๆ” การที่ฮองเฮาสามารถรักษาตำแหน่งของตนไว้ได้อย่างมั่นคงตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะเพียบพร้อมด้วยทั้งด้วยเล่ห์เหลี่ยมและฝีมือ แต่สิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือวิธีการของอวิ๋นไท่เฟย ซึ่งก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เจาหมิงกลับโปรดปรานอวิ๋นไท่เฟยเป็นอย่างมาก แม้ฮองเฮาจะเคยใช้วิธีการต่าง ๆ มากมายเพื่อจัดการอวิ๋นไท่เฟย แต่เพราะอวิ๋นไท่เฟยมีความโปรดปรานจากฮ่องเต้เจาหมิง วิธีเหล่านั้นกลับไม่ได้ผลมากนัก อวิ๋นไท่เฟยเองก็ชอบแสดงความหยาบคายและยั่วยุฮองเฮาอยู่เสมอ มีอยู่หลายครั้งที่ฮองเฮาเกือบจะทนไม่ไหวด้วยความโกรธ แต่ต้องหาวิธีอื่นมาระงับอารมณ์และหาข้อได้เปรียบแทน ซือเจ๋อเยว่แย้มยิ้มพลางถามออกไป “หากฮองเฮามีโอกาส จะทรงต้องการส่งนางไปดูแลสุสานจักรพรรดิหรือไม่?” เพียงพักเดียวดวงตาของฮองเฮาก็เป็นประกาย “แน่นอน ข้าอยากทำเช่นนั้น!” หลังจากเอ่ยเสร็จ นางก็ถ
ยามนี้ฮองเฮาเพิ่งเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเหตุใดวันนั้นที่ซือเจ๋อเยว่เผาบ้านของจวนหนิงกั๋วกง จวนหนิงกั๋วกงกลับไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพื่อตอบโต้ ก่อนหน้านี้ ฮองเฮาเคยคิดว่าอาจเป็นเพราะหนิงกั๋วกงเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับซือเจ๋อเยว่ จึงเลือกที่จะไม่เอาเรื่อง แต่ความจริงคือจวนหนิงกั๋วกงกลัวว่าหากมีการตรวจสอบ ความลับของพวกเขาอาจถูกเปิดเผยจนปกปิดไว้ไม่ได้ เพราะเหตุนี้ ฮองเฮาจึงไม่สงสัยในความน่าเชื่อถือของคำกล่าวซือเจ๋อเยว่ เพราะมีแต่คำอธิบายนี้เท่านั้นที่สามารถไขปริศนาหลายอย่างที่เคยไม่เข้าใจได้ ซือเจ๋อเยว่แย้มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “รอให้สวรรค์ลงโทษพวกเขา สู้พวกเราลงมือเองไม่ดีกว่าหรือเพคะ?” ฮองเฮามองซือเจ๋อเยว่ด้วยความสนใจ ขณะที่ซือเจ๋อเยว่ตอบกลับด้วยสายตาที่แจ่มจรัส “คดีของจวนเยียนอ๋องยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน กำลังของพวกเรายังจำกัด” “แต่หากฮองเฮาเต็มใจร่วมมือกับพวกหม่อมฉัน โอกาสสำเร็จก็จะยิ่งมีมากขึ้น” ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซือเจ๋อเยว่พบฮองเฮา นางก็เริ่มครุ่นคิดว่าจะดึงฮองเฮามาร่วมมือดีหรือไม่ ฮองเฮาเป็นคนที่ระมัดระวังอย่างยิ่ง คนเช่นนี้หากไม่มีแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่หรือถูกผล
ซือเจ๋อเยว่ได้ยินเสียงตะโกนของอวิ๋นไท่เฟย คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย แม้เป็นเวลานี้ก็ยังไร้สำนึกถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะพบ ฮองเฮาส่งสายตาถามซือเจ๋อเยว่ ว่านางต้องการให้ช่วยหรือไม่ ซือเจ๋อเยว่าส่ายหัวเบา ๆ เรื่องของอวิ๋นไท่เฟยเช่นนี้ นางสามารถจัดการเองได้ นางยกถ้วยชาขึ้นจิบเบา ๆ แล้วถือถ้วยชาเดินออกไป ฮองเฮาเห็นท่าทีสงบนิ่งของซือเจ๋อเยว่ ริมฝีปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย นางชื่นชอบในบุคลิกของซือเจ๋อเยว่ ฮองเฮามองเห็นเงาของตนเองในวัยเยาว์ในตัวซือเจ๋อเยว่ แต่ความกล้าหาญของซือเจ๋อเยว่กลับมากกว่านางในวัยเยาว์มากนักซือเจ๋อเยว่เสมือนกุหลาบที่กำลังเบ่งบานนอกวัง งดงามและชวนหลงใหล แต่เต็มไปด้วยหนามแหลม ผู้ใดแตะต้องก็จะทิ่มแทงผู้นั้น ฮองเฮาอยากรู้ว่าวันนี้ซือเจ๋อเยว่จะจัดการอวิ๋นไท่เฟยอย่างไร จึงเดินตามออกไป แม้ฮองเฮามั่นใจว่าซือเจ๋อเยว่าสามารถรับมือกับอวิ๋นไท่เฟยได้ แต่เพราะที่นี่คือพระราชวัง หากอวิ๋นไท่เฟยพาคนมามาก ซือเจ๋อเยว่าอาจเสียเปรียบ ฮองเฮาจึงออกไปดูสถานการณ์ หากซือเจ๋อเยว่ถูกอวิ๋นไท่เฟยรังแก นางจะช่วยเหลือได้บ้าง ซือเจ๋อเยว่เพิ่งจะเดินออกมา อวิ๋นไท
อวิ๋นไท่เฟยโกรธจนตัวสั่น ตะคอกด้วยเสียงเย็นชา "เจ้าไปเรียนกฎระเบียบแปลก ๆ อันใดมาจากข้างนอก? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วันนี้ข้าจะสอนเจ้าให้รู้จักมารยาทเอง!" ซือเจ๋อเยว่กวักนิ้วเรียก "เชิญท่านลองเข้ามาได้ตามสบาย" ท่าทีเยือกเย็นของซือเจ๋อเยว่ ทำให้อวิ๋นไท่เฟยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เนื่องด้วยความโกรธ นางจึงไม่ได้คิดอันใดมาก จึงสั่งให้ข้ารับใช้สาวของนางไปสั่งสอนซือเจ๋อเยว่ ซือเจ๋อเยหาได้หลบเลี่ยงไม่ ร่ายคาถาใส่ร่างกายของนางกำนัลคนนั้นโดยตรง ทันใดนั้นนางกำนัลรู้สึกถึงลมเย็นยะเยือกพัดผ่านหลัง นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง จึงพบว่ามีวิญญาณตนหนึ่งเกาะอยู่บนหลังของตน วิญญาณตนนั้นมีลิ้นที่ยาวเหยียด มันเผยรอยยิ้มอันน่ากลัวแสดงฟันขาวซีดให้นางเห็น ก่อนจะยื่นลิ้นมายังตัวนาง นางกำนัลตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง กรีดร้องเสียงดัง "อย่าฆ่าข้านะ!" จากนั้นนางก็รู้สึกคล้ายดั่งว่ามีบางอย่างบีบรัดคอ หายใจไม่ออก ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำ ภาพที่น่าประหลาดเช่นนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ซือเจ๋อเยว่ หันไปถามข้ารับใช้คนอื่น ๆ "พวกเจ้าอยากลองบ้างหรือไม่?" ข้ารับใช้ที่เดิม
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ