นางกล่าวอย่างหยั่งเชิง “คืนนี้ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”สายตาที่เยียนเซียวหรานจ้องนางลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมเมื่อนางเห็นสายตาของเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิงชั่วที่จูบ กอด ลูบคลำชาวบ้านแล้ว ไม่ยอมรับผิดชอบนั่นเป็นรสชาติที่โหดร้ายไปหน่อยนางจำต้องกล่าวอีกว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ...”หลังจากนางกลืนน้ำลายก็กล่าวขึ้นอีกว่า “หากเจ้ากลัวว่ามืดแล้วเดินทางไม่สะดวก ไม่อย่างนั้นก็ค้างที่นี่สักคืนเป็นอย่างไร?”“ได้” เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบซือเจ๋อเยว่ “...”ต่อให้นางจะหัวช้าแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็สามารถสัมผัสความหมายอื่นได้นางมองเขาอีกครั้ง แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้น...พวกเรา...นอนกันดีหรือไม่?”ถึงแม้นางจะรู้ว่าถึงพวกเขาจะกอดกันนอนหลับไปแบบนี้ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่การนอนบนเตียงเดียวกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือเรื่องหนึ่งนางพูดจบก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อยเยียนเซียวหรานกลับกล่าว “ช้าก่อน”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา “เจ้าจะกลับไปนอนหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินทางปลอดภัย ข้าเคลื่อน
เมื่อนางพูดจบก็เริ่มเตะขาไปมาเนื่องจากนางไม่ได้เดินมาหลายวัน ดังนั้นในเวลานี้การไหลเวียนของเลือดจึงติดขัดเล็กน้อย การเคลื่อนไหวไม่ค่อยคล่องตัวเท่าใดนัก แต่ว่าคาถาถูกทำลายแล้วจริง ๆเยียนเซียวหรานกล่าวเสียงเบา “ดีใจด้วย”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจบางอย่าง “ก่อนหน้านี้ตอนที่สามารถกระโดดได้ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร”“เดินไม่ได้มาหลายวัน รู้สึกว่าไม่สะดวกไปเสียทุกอย่าง”“บัดนี้อะไรก็หายดีแล้ว จึงรู้สึกดีใจมาก”“ที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกของการสูญเสียบางอย่างไปแล้วได้กลับคืนมา ไม่เลวเลยจริงๆ!”เยียนเซียวหรานจ้องมองใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มนั้นของนาง ภายในใจมีความรู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยดูเหมือนว่านางจะเป็นคนที่รู้จักพอกับอะไรง่าย ๆ เป็นพิเศษ เรื่องแค่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้นางพอใจมากได้ซือเจ๋อเยว่เตะขาบนเตียงสองครั้งแล้วแต่ยังรู้สึกไม่พอ จึงลงจากเตียงแล้วเดินต่ออีกหลายก้าว ท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยเยียนเซียวหรานที่กำลังเอนตัวพิงเตียงจ้องมองกระโดดไปกระโดดมาอยู่ตรงนั้น ความอบอุ่นในดวงตาก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่นางกระโดดเสร็จก็กระโจนขึ้นเตียงอีกครั้ง มองเขากล่าว “ก่อนหน
ซือเจ๋อเยว่ “...”เหมือนว่านางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แต่ยังถาม “เจ้าทำร้ายพวกเขาหรือ?”ริมฝีปากของเยียนเซียวหรานเปื้อนไปด้วยความเย้ยหยัน “ใช่นะสิ ไม่เพียงทำร้ายพวกเขา ยังทำร้ายพวกเขาจนสภาพดูไม่ได้อีกด้วย”“จากนั้นพวกเขาก็พบว่านอกจากจะด่าไม่ชนะข้าแล้ว ยังต่อยตีไม่ชนะข้าอีกด้วย จึงทำให้พวกเขาโมโหมาก”“ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งไปฟ้องท่านพ่อ...”“ท่านพ่อลงโทษเจ้าหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ถามด้วยความสงสัยเยียนเซียวหรานพยักหน้า “ทั้งลงโทษ แล้วก็ไม่ได้ลงโทษ”ซือเจ๋อเยว่ก็ยิ่งสงสัย “อะไรคือทั้งลงโทษแล้วก็ไม่ลงโทษ?”เยียนเซียวหรานตอบ “ตอนนั้นพวกเขายังพากับนักเรียนของสำนักศึกษาหลวงเกือบร้อยคนมาก่อเรื่องวุ่นวายที่จวนเยียนอ๋อง พูดว่าข้าดูหมิ่นนักกวี ลงมือทำร้าย”“ท่านพ่อจึงถามเหตุผล พวกเขาก็รู้สึกขายหน้าอีก เลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นสำคัญและพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบางอย่าง”“หลังจากที่ท่านพ่อฟังจบก็ถามข้าว่าเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าจึงนำบทกลอนที่ตอนนั้นข้าแต่งขึ้นเพื่อโต้ตอบ นำมาอ่านต่อหน้าของทุกคนอีกครั้ง”“คนพวกนั้นคงจะคิดไม่ถึงว่าข้าจะยังเก็บรักษาของพวกนี้เอาไว้อยู่ ตอนที่ข้านำมาพูดอีกครั้งพ
“หากพี่ใหญ่ยังอยู่ละก็ เขาจะต้องทำได้ดีกว่าข้าแน่นอน”ซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยอยากได้ยินเขาพูดเช่นนี้ “ข้ารู้ว่าซื่อจื่อดีมาก แต่ว่าเจ้าไม่ต้องปฏิเสธตัวเองขนาดนี้”“หลังจากที่ข้ามาถึงจวนเยียนอ๋อง ข้าได้เห็นความพยายามที่เจ้าทำเพื่อจวนเยียนอ๋องด้วยตนเอง”“ข้าคิดว่าต่อให้ซื่อจื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็สู้เจ้าไม่ได้”เยียนเซียวหรานคิดไม่ถึงว่าจะพูดเช่นนี้ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หันหน้าไปมองนาง “ท่านกำลังปลอบใจข้าหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ ข้าปลอบใจใครไม่เป็น ข้าเพียงแค่พูดถึงสิ่งที่ข้าเห็นเท่านั้น”“คุณชายเยียนซานมีความสามารถมีความรับผิดชอบ จะต้องปกป้องญาติทุกคนได้ ฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของจวนเยียนอ๋องให้กลับมาอีกครั้ง!”ริมฝีปากของเยียนเซียวหรานยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวซือเจ๋อเยว่กล่าวอีก “เจ้าให้ความสำคัญกับทุกคนในจวนอ๋อง โดยเฉพาะข้า”หัวใจของเยียนเซียวหรานเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “คนอื่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้หากข้าไร้เจ้า ก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”เยียนเซียวหราน “...”เยียนเซียวหราน “!!!!!!”คำพูดประโยคนี้ของนางอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฟังอย่า
นางหลับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนที่เขาหันตัวมาหา ยังมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขาอีกด้วยเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง ความเข้าใจที่นางมีต่อบุรุษยังน้อยมากเกินไป ไม่กังวลเลยว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับนางหรือไม่?เขากลับไม่รู้ว่าภายในใจของซือเจ๋อเยว่เขากลับเป็นบุรุษที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดเนื่องจากเป็นเพราะเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน อันที่จริงนางก็กังวลใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางกลับไม่ได้เสียเปรียบเดิมทีเขาก็ไม่ค่อยได้นอนหลับสักเท่าใดนัก หลังจากกอดนางหลวม ๆ เขาก็พบว่าตนรู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมือของเขาวางลงบนบริเวณเอวของนางโดยไม่รู้ตัว คางวางไว้ที่บนศีรษะของนาง หัวใจก็รู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัวตอนที่ซือเจ๋อเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าก็สว่างแล้ว ไม่รู้ว่าเยียนเซียวหรานออกไปตอนไหนเมื่อคืนนี้นางนอนหลับสนิทเป็นอย่างยิ่ง บิดขี้เกียจยกใหญ่แม้ว่าการกระทำของทั้งสองคนในเวลานี้ จะเหมือนกำลังลักลอบคบชู้กัน แต่ขอเพียงแค่สามารถต่อชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบคบชู้หรือรักษาอาการป่วย ล้วนไม่สำคัญสาวใช้ผิงเอ๋อร์ยื่นมือออกมานวดลำคอเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าว “เหตุใดเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงคุยกันด้วยอย่างมีความสุขตอนที่มาถึงหน้าประตูตำหนักขององค์หญิงสาม พวกเขาได้คุยถึงเรื่องวิธีการย่างน่องไก่วิธีที่หนึ่งร้อยหนึ่งแล้ว ทั้งสองคนสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งผ่านอาหารคนของวังหลวงคนนั้นกล่าวเตือนนางเบา ๆ “อารมณ์ขององค์หญิงสามไม่ค่อยดี องค์หญิงระวังตัวหน่อย”เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาเตือน ซือเจ๋อเยว่ก็รู้ดีถึงอย่างไรองค์หญิงสามก็ไม่ชอบหน้าตนเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นต่อหน้านางอีก ถ้าอารมณ์ดีก็คงจะเห็นผีเพียงแต่หลังจากนางเดินเข้าไป พบว่าฮองเฮาก็ทรงประทับอยู่ด้วยเช่นกันเมื่อฮองเฮาเห็นนางเดินเข้ามา ก็ขยิบตาให้นางทีหนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างสนิทสนมและอบอุ่น “ขาของเจ๋อเยว่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ขอบคุณฮองเฮาที่ประทานยาให้เพคะ หากไม่ได้ยาพวกนั้น ในเวลานี้ข้าคงจะยังไม่ดีขึ้นแน่นอนเพคะ”ฮองเฮาอมยิ้มกล่าว “ยาพวกนั้นมีประโยชน์ต่อองค์หญิงก็ดี”หลังซือเจ๋อเยว่กับฮองเฮายิ้มให้กันและกัน นางถึงหันหน้าไปมององค์หญิงสาม จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลายวันมานี้องค์หญิงสามถูกทรมานไม่น้อย สีหน้าดูค่อนข้างแย่ เพียงแต่ฮองเฮาทรงอยู่ด้วย นาง
องค์หญิงสามโมโหจนด่าออกมา “ซือเจ๋อเยว่ เจ้าบังอาจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเอาของแบบนี้มาราดหัวข้า ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”พูดจบนางอยากจะลงมือฉีกซือเจ๋อเยว่ออกเป็นชิ้น ๆเพียงแต่หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่ราดน้ำใส่องค์หญิงสามเสร็จก็ไปหลบที่ด้านหลังของฮองเฮา “ฮองเฮา หม่อมฉันรักษาองค์หญิงสามหายแล้วเพคะ”ฮองเฮาตำหนิองค์หญิงสาม “เจ๋อเยว่เป็นคนรักษาอาการป่วยให้เจ้า ห้ามเสียมารยาท!”องค์หญิงสามถึงพบว่า หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่นำน้ำถ้วยนั้นมาราดหัวนาง คิดไม่ถึงว่าจะไม่ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงร้องของไก่อีกแล้วนางตกตะลึงอยู่ตรงนั้นหลายวันมานี้นางถูกเรื่องนี้ทำให้รู้สึกทรมานไม่น้อย ภายในใจได้รับแรงกดดันมากมายนางกลัวมากว่าต่อไปตนจะไม่สามารถพูดได้อีก!ในที่สุดวันนี้ก็หายดีแล้ว อารมณ์ของนางซับซ้อนเล็กน้อยนางคิดไม่ถึงว่าซือเจ๋อเยว่จะสามารถรักษานางให้หายดีได้จริงๆ!วันที่สองที่นางโดนคุณไสยฮองเฮาก็ได้เชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาแล้ว เป็นเพราะนางกับอวิ๋นไท่เฟยไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความสามารถแบบนี้ จึงไล่ตะเพิดไปวันนี้พวกเขาเชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาอีกครั้ง อันที่จริงนางก็ยังไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความส
"ข้าสามารถรักษาอาการที่เจ้าร้องปานไก่ขันได้ นั่นก็หมายความว่าข้ารู้วิชาเต๋าจริงๆ" "และวิชาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการดูโหงวเฮ้ง คนในเมืองหลวงที่ข้าดูให้ ล้วนแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ" "ผู้ใดก็ตามที่ข้าเอ่ยขึ้นต้องตาย ล้วนไม่สามารถรอดชีวิตได้" "ดังนั้นยามนี้เจ้าไม่ควรด่าข้า แต่ควรคุกเข่าขอร้องให้ข้าช่วยเจ้า ขจัดพลังชั่วร้ายที่เกาะอยู่บนตัวเจ้า" องค์หญิงสามฟังแล้วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว "เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดกัน? จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้า? ข้ายอมตายดีกว่าคุกเข่าให้เจ้า!" ซือเจ๋อเยว่จ้องใบหน้าของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนปรบมือแล้วเอ่ยขึ้น "เจ้านี่ช่างมีศักดิ์ศรีดีเหลือเกิน จงจำคำที่เจ้าบอกไว้ในวันนี้ให้ดี แล้วอย่าได้มาหาข้าอีก" องค์หญิงสามทำท่าจะโต้ตอบต่อ แต่ฮองเฮาที่ถูกเสียงทะเลาะของพวกนางทำให้ปวดหัว จึงได้บอกกับนางกำนัลข้างกาย "พวกเจ้าพาองค์หญิงสามไปพักผ่อนก่อน" กลุ่มคนพาตัวองค์หญิงสามออกไปนางยังคงด่าทอไม่หยุดขณะถูกพาตัวออกไป สายตาที่มองซือเจ๋อเยว่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ซือเจ๋อเยว่สังเกตเห็นกลิ่นอายมืดดำล้อมรอบตัวองค์หญิงสาม จึงรู้ว่านิสัยอารมณ์ร้ายของนางเป็นผลมาจากพลังนั
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ