นางกล่าวอย่างหยั่งเชิง “คืนนี้ลำบากเจ้าแล้วจริง ๆ ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”สายตาที่เยียนเซียวหรานจ้องนางลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมเมื่อนางเห็นสายตาของเขาก็คิดว่าตนเองเป็นผู้หญิงชั่วที่จูบ กอด ลูบคลำชาวบ้านแล้ว ไม่ยอมรับผิดชอบนั่นเป็นรสชาติที่โหดร้ายไปหน่อยนางจำต้องกล่าวอีกว่า “ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่นนะ...”หลังจากนางกลืนน้ำลายก็กล่าวขึ้นอีกว่า “หากเจ้ากลัวว่ามืดแล้วเดินทางไม่สะดวก ไม่อย่างนั้นก็ค้างที่นี่สักคืนเป็นอย่างไร?”“ได้” เยียนเซียวหรานตอบเสียงเรียบซือเจ๋อเยว่ “...”ต่อให้นางจะหัวช้าแค่ไหน แต่ในเวลานี้ก็สามารถสัมผัสความหมายอื่นได้นางมองเขาอีกครั้ง แล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้น...พวกเรา...นอนกันดีหรือไม่?”ถึงแม้นางจะรู้ว่าถึงพวกเขาจะกอดกันนอนหลับไปแบบนี้ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่การนอนบนเตียงเดียวกัน ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่คลุมเครือเรื่องหนึ่งนางพูดจบก็รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อยเยียนเซียวหรานกลับกล่าว “ช้าก่อน”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา “เจ้าจะกลับไปนอนหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินทางปลอดภัย ข้าเคลื่อน
เมื่อนางพูดจบก็เริ่มเตะขาไปมาเนื่องจากนางไม่ได้เดินมาหลายวัน ดังนั้นในเวลานี้การไหลเวียนของเลือดจึงติดขัดเล็กน้อย การเคลื่อนไหวไม่ค่อยคล่องตัวเท่าใดนัก แต่ว่าคาถาถูกทำลายแล้วจริง ๆเยียนเซียวหรานกล่าวเสียงเบา “ดีใจด้วย”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยอารมณ์ทอดถอนใจบางอย่าง “ก่อนหน้านี้ตอนที่สามารถกระโดดได้ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร”“เดินไม่ได้มาหลายวัน รู้สึกว่าไม่สะดวกไปเสียทุกอย่าง”“บัดนี้อะไรก็หายดีแล้ว จึงรู้สึกดีใจมาก”“ที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกของการสูญเสียบางอย่างไปแล้วได้กลับคืนมา ไม่เลวเลยจริงๆ!”เยียนเซียวหรานจ้องมองใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มนั้นของนาง ภายในใจมีความรู้สึกสะเทือนอารมณ์เล็กน้อยดูเหมือนว่านางจะเป็นคนที่รู้จักพอกับอะไรง่าย ๆ เป็นพิเศษ เรื่องแค่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้นางพอใจมากได้ซือเจ๋อเยว่เตะขาบนเตียงสองครั้งแล้วแต่ยังรู้สึกไม่พอ จึงลงจากเตียงแล้วเดินต่ออีกหลายก้าว ท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อยเยียนเซียวหรานที่กำลังเอนตัวพิงเตียงจ้องมองกระโดดไปกระโดดมาอยู่ตรงนั้น ความอบอุ่นในดวงตาก็เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่นางกระโดดเสร็จก็กระโจนขึ้นเตียงอีกครั้ง มองเขากล่าว “ก่อนหน
ซือเจ๋อเยว่ “...”เหมือนว่านางจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว แต่ยังถาม “เจ้าทำร้ายพวกเขาหรือ?”ริมฝีปากของเยียนเซียวหรานเปื้อนไปด้วยความเย้ยหยัน “ใช่นะสิ ไม่เพียงทำร้ายพวกเขา ยังทำร้ายพวกเขาจนสภาพดูไม่ได้อีกด้วย”“จากนั้นพวกเขาก็พบว่านอกจากจะด่าไม่ชนะข้าแล้ว ยังต่อยตีไม่ชนะข้าอีกด้วย จึงทำให้พวกเขาโมโหมาก”“ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งไปฟ้องท่านพ่อ...”“ท่านพ่อลงโทษเจ้าหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ถามด้วยความสงสัยเยียนเซียวหรานพยักหน้า “ทั้งลงโทษ แล้วก็ไม่ได้ลงโทษ”ซือเจ๋อเยว่ก็ยิ่งสงสัย “อะไรคือทั้งลงโทษแล้วก็ไม่ลงโทษ?”เยียนเซียวหรานตอบ “ตอนนั้นพวกเขายังพากับนักเรียนของสำนักศึกษาหลวงเกือบร้อยคนมาก่อเรื่องวุ่นวายที่จวนเยียนอ๋อง พูดว่าข้าดูหมิ่นนักกวี ลงมือทำร้าย”“ท่านพ่อจึงถามเหตุผล พวกเขาก็รู้สึกขายหน้าอีก เลี่ยงที่จะพูดถึงประเด็นสำคัญและพูดถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบางอย่าง”“หลังจากที่ท่านพ่อฟังจบก็ถามข้าว่าเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ ข้าจึงนำบทกลอนที่ตอนนั้นข้าแต่งขึ้นเพื่อโต้ตอบ นำมาอ่านต่อหน้าของทุกคนอีกครั้ง”“คนพวกนั้นคงจะคิดไม่ถึงว่าข้าจะยังเก็บรักษาของพวกนี้เอาไว้อยู่ ตอนที่ข้านำมาพูดอีกครั้งพ
“หากพี่ใหญ่ยังอยู่ละก็ เขาจะต้องทำได้ดีกว่าข้าแน่นอน”ซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยอยากได้ยินเขาพูดเช่นนี้ “ข้ารู้ว่าซื่อจื่อดีมาก แต่ว่าเจ้าไม่ต้องปฏิเสธตัวเองขนาดนี้”“หลังจากที่ข้ามาถึงจวนเยียนอ๋อง ข้าได้เห็นความพยายามที่เจ้าทำเพื่อจวนเยียนอ๋องด้วยตนเอง”“ข้าคิดว่าต่อให้ซื่อจื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็สู้เจ้าไม่ได้”เยียนเซียวหรานคิดไม่ถึงว่าจะพูดเช่นนี้ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หันหน้าไปมองนาง “ท่านกำลังปลอบใจข้าหรือ?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ ข้าปลอบใจใครไม่เป็น ข้าเพียงแค่พูดถึงสิ่งที่ข้าเห็นเท่านั้น”“คุณชายเยียนซานมีความสามารถมีความรับผิดชอบ จะต้องปกป้องญาติทุกคนได้ ฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ของจวนเยียนอ๋องให้กลับมาอีกครั้ง!”ริมฝีปากของเยียนเซียวหรานยกขึ้นโดยไม่รู้ตัวซือเจ๋อเยว่กล่าวอีก “เจ้าให้ความสำคัญกับทุกคนในจวนอ๋อง โดยเฉพาะข้า”หัวใจของเยียนเซียวหรานเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “คนอื่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ตอนนี้หากข้าไร้เจ้า ก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”เยียนเซียวหราน “...”เยียนเซียวหราน “!!!!!!”คำพูดประโยคนี้ของนางอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง เมื่อฟังอย่า
นางหลับโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนที่เขาหันตัวมาหา ยังมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขาอีกด้วยเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ทีหนึ่ง ความเข้าใจที่นางมีต่อบุรุษยังน้อยมากเกินไป ไม่กังวลเลยว่าเขาจะทำอะไรบางอย่างกับนางหรือไม่?เขากลับไม่รู้ว่าภายในใจของซือเจ๋อเยว่เขากลับเป็นบุรุษที่มีความน่าเชื่อถือที่สุดเนื่องจากเป็นเพราะเรื่องนั้นที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน อันที่จริงนางก็กังวลใจว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่นางกลับไม่ได้เสียเปรียบเดิมทีเขาก็ไม่ค่อยได้นอนหลับสักเท่าใดนัก หลังจากกอดนางหลวม ๆ เขาก็พบว่าตนรู้สึกง่วงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมือของเขาวางลงบนบริเวณเอวของนางโดยไม่รู้ตัว คางวางไว้ที่บนศีรษะของนาง หัวใจก็รู้สึกสงบโดยไม่รู้ตัวตอนที่ซือเจ๋อเยว่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฟ้าก็สว่างแล้ว ไม่รู้ว่าเยียนเซียวหรานออกไปตอนไหนเมื่อคืนนี้นางนอนหลับสนิทเป็นอย่างยิ่ง บิดขี้เกียจยกใหญ่แม้ว่าการกระทำของทั้งสองคนในเวลานี้ จะเหมือนกำลังลักลอบคบชู้กัน แต่ขอเพียงแค่สามารถต่อชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบคบชู้หรือรักษาอาการป่วย ล้วนไม่สำคัญสาวใช้ผิงเอ๋อร์ยื่นมือออกมานวดลำคอเดินเข้ามาหาพร้อมกล่าว “เหตุใดเมื่อ
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงคุยกันด้วยอย่างมีความสุขตอนที่มาถึงหน้าประตูตำหนักขององค์หญิงสาม พวกเขาได้คุยถึงเรื่องวิธีการย่างน่องไก่วิธีที่หนึ่งร้อยหนึ่งแล้ว ทั้งสองคนสร้างมิตรภาพที่ลึกซึ้งผ่านอาหารคนของวังหลวงคนนั้นกล่าวเตือนนางเบา ๆ “อารมณ์ขององค์หญิงสามไม่ค่อยดี องค์หญิงระวังตัวหน่อย”เรื่องนี้ไม่ต้องให้เขาเตือน ซือเจ๋อเยว่ก็รู้ดีถึงอย่างไรองค์หญิงสามก็ไม่ชอบหน้าตนเป็นอย่างมาก ทั้งยังทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นต่อหน้านางอีก ถ้าอารมณ์ดีก็คงจะเห็นผีเพียงแต่หลังจากนางเดินเข้าไป พบว่าฮองเฮาก็ทรงประทับอยู่ด้วยเช่นกันเมื่อฮองเฮาเห็นนางเดินเข้ามา ก็ขยิบตาให้นางทีหนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างสนิทสนมและอบอุ่น “ขาของเจ๋อเยว่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “ขอบคุณฮองเฮาที่ประทานยาให้เพคะ หากไม่ได้ยาพวกนั้น ในเวลานี้ข้าคงจะยังไม่ดีขึ้นแน่นอนเพคะ”ฮองเฮาอมยิ้มกล่าว “ยาพวกนั้นมีประโยชน์ต่อองค์หญิงก็ดี”หลังซือเจ๋อเยว่กับฮองเฮายิ้มให้กันและกัน นางถึงหันหน้าไปมององค์หญิงสาม จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยหลายวันมานี้องค์หญิงสามถูกทรมานไม่น้อย สีหน้าดูค่อนข้างแย่ เพียงแต่ฮองเฮาทรงอยู่ด้วย นาง
องค์หญิงสามโมโหจนด่าออกมา “ซือเจ๋อเยว่ เจ้าบังอาจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเอาของแบบนี้มาราดหัวข้า ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”พูดจบนางอยากจะลงมือฉีกซือเจ๋อเยว่ออกเป็นชิ้น ๆเพียงแต่หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่ราดน้ำใส่องค์หญิงสามเสร็จก็ไปหลบที่ด้านหลังของฮองเฮา “ฮองเฮา หม่อมฉันรักษาองค์หญิงสามหายแล้วเพคะ”ฮองเฮาตำหนิองค์หญิงสาม “เจ๋อเยว่เป็นคนรักษาอาการป่วยให้เจ้า ห้ามเสียมารยาท!”องค์หญิงสามถึงพบว่า หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่นำน้ำถ้วยนั้นมาราดหัวนาง คิดไม่ถึงว่าจะไม่ส่งเสียงออกมาเป็นเสียงร้องของไก่อีกแล้วนางตกตะลึงอยู่ตรงนั้นหลายวันมานี้นางถูกเรื่องนี้ทำให้รู้สึกทรมานไม่น้อย ภายในใจได้รับแรงกดดันมากมายนางกลัวมากว่าต่อไปตนจะไม่สามารถพูดได้อีก!ในที่สุดวันนี้ก็หายดีแล้ว อารมณ์ของนางซับซ้อนเล็กน้อยนางคิดไม่ถึงว่าซือเจ๋อเยว่จะสามารถรักษานางให้หายดีได้จริงๆ!วันที่สองที่นางโดนคุณไสยฮองเฮาก็ได้เชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาแล้ว เป็นเพราะนางกับอวิ๋นไท่เฟยไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความสามารถแบบนี้ จึงไล่ตะเพิดไปวันนี้พวกเขาเชิญตัวซือเจ๋อเยว่มาอีกครั้ง อันที่จริงนางก็ยังไม่เชื่อว่าซือเจ๋อเยว่จะมีความส
"ข้าสามารถรักษาอาการที่เจ้าร้องปานไก่ขันได้ นั่นก็หมายความว่าข้ารู้วิชาเต๋าจริงๆ" "และวิชาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดก็คือการดูโหงวเฮ้ง คนในเมืองหลวงที่ข้าดูให้ ล้วนแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ" "ผู้ใดก็ตามที่ข้าเอ่ยขึ้นต้องตาย ล้วนไม่สามารถรอดชีวิตได้" "ดังนั้นยามนี้เจ้าไม่ควรด่าข้า แต่ควรคุกเข่าขอร้องให้ข้าช่วยเจ้า ขจัดพลังชั่วร้ายที่เกาะอยู่บนตัวเจ้า" องค์หญิงสามฟังแล้วไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว "เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดกัน? จะให้ข้าคุกเข่าให้เจ้า? ข้ายอมตายดีกว่าคุกเข่าให้เจ้า!" ซือเจ๋อเยว่จ้องใบหน้าของนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนปรบมือแล้วเอ่ยขึ้น "เจ้านี่ช่างมีศักดิ์ศรีดีเหลือเกิน จงจำคำที่เจ้าบอกไว้ในวันนี้ให้ดี แล้วอย่าได้มาหาข้าอีก" องค์หญิงสามทำท่าจะโต้ตอบต่อ แต่ฮองเฮาที่ถูกเสียงทะเลาะของพวกนางทำให้ปวดหัว จึงได้บอกกับนางกำนัลข้างกาย "พวกเจ้าพาองค์หญิงสามไปพักผ่อนก่อน" กลุ่มคนพาตัวองค์หญิงสามออกไปนางยังคงด่าทอไม่หยุดขณะถูกพาตัวออกไป สายตาที่มองซือเจ๋อเยว่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ซือเจ๋อเยว่สังเกตเห็นกลิ่นอายมืดดำล้อมรอบตัวองค์หญิงสาม จึงรู้ว่านิสัยอารมณ์ร้ายของนางเป็นผลมาจากพลังนั
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ