ทว่ากระบี่ในมือของเยียนเซียวหรานในเวลานี้แทงเข้าไปในเงาดำแล้ว จากนั้นก็แปะยันต์หลายแผ่นที่บนกระบี่ด้วยความรวดเร็วเงาดำนั่นมองเขาด้วยความดูถูกก่อนแวบหนึ่ง ไม่ได้เห็นยันต์พวกนั้นอยู่ในสายตาเพียงแต่ครู่ต่อมา ยันต์นั่นถูกกระตุ้น ฟ้าร้องและฟ้าผ่าผสมกับไฟและลมกระโชกแรงพัดเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งฟ้าร้องก่อให้เกิดไฟ และลมก็ช่วยให้เกิดฟ้าร้อง เพียงชั่วพริบตา พื้นที่ทั้งหมดก็เต็มไปด้วยสายฟ้าและเปลวเพลิงซือเจ๋อเยว่ “...”เมื่อครู่นี้นางนำยันต์ให้เยียนเซียวหรานครึ่งหนึ่ง เป็นเพราะสถานการณ์คับขัน นางไม่ได้มองว่าเป็นยันต์อะไรบ้างยันต์ที่นางวาดอานุภาพทรงพลัง แต่ละแผ่นประสิทธิผลดียิ่ง ต่อให้เป็นตัวนางเอง ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้ยันต์สักเท่าไหร่ร่างกายของนางในเวลานี้โงนเงน ออกแรงตะโกน “หมอบลงไป!”เยียนเซียวหรานมองเห็นเปลวเพลิงและสายฟ้าที่โหมกระหน่ำนั่นไม่จำเป็นต้องให้ซือเจ๋อเยว่บอก ก็หันหลังกระโจนตัวเข้ามา กดนางเอาไว้ใต้ตัว ใช้ร่างกายของเขาขวางสายฟ้าและเปลวเพลิงที่ทรงพลังให้นางซือเจ๋อเยว่ “...”นางให้เขาหมอบลง ไม่ได้ให้เขาหมอบลงแบบนี้แต่ว่าเป็นเพราะการเข้าใกล้ของเขา นางสัมผัสได้ชัดเจนว่าพล
เยียนเซียวหรานตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เขามองซือเจ๋อเยว่ด้วยความเหลือเชื่อเล็กน้อยในตอนนี้นางกำลังลืมตาทั้งสองข้างมองเขา มองอย่างค่อนข้างชัดเจน ท่าทางไม่เหมือนกับเสียสตินางลงมือกับภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จะเกินไปหน่อยหรือไม่?เขากล่าวเสียงเย็นชา “องค์หญิง โปรดระวังการกระทำของท่านด้วย”เขาพูดจบก็ยื่นมือออกไปกำลังจะผลักนางออก แต่นางกลับโอบลำคอของเขาเอาไว้แน่นกล่าวใกล้กับริมฝีปากของเขา “รอเดี๋ยว ข้าอธิบายได้!”เยียนเซียวหรานไม่รู้ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจะอธิบายอะไรได้หรือจะพูดอีกอย่างว่า ไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร ทั้งสองคนใกล้ชิดกันขนาดนี้นั้นคือเรื่องจริงเขากำลังสับสน ว่าจะสะบัดนางออกไปตรง ๆ เลยดีหรือไม่ซือเจ๋อเยว่รู้สึกถึงความแน่นตึงของร่างกายเขารวมทั้งอารมณ์ที่ใกล้จะระเบิด นางยกมือขึ้นมาทันทีเยียนเซียวหรานไม่เข้าใจเหตุผลอยู่เล็กน้อย นางกล่าวออกมาทันที “ดูเส้นสีแดง”สายตาของเยียนเซียวหรานหยุดอยู่ที่เส้นสีแดงบนข้อมือของนาง ในเวลานี้เส้นสีแดงนั้นมีเพียงท่อนสั้น ๆ เท่านั้นก่อนหน้านี้เขารู้ว่านางจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอายุสิบแปดปี เส้นสีแดงเส้นนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
สำนักเต๋าที่นางอาศัยอยู่ในสายตาคนอื่นก็เป็นแค่สำนักเต๋าโทรม ๆ แห่งหนึ่ง แต่ในใจของนางรู้ดีว่า สำนักเต๋าที่นางอาศัยอยู่ไม่ได้จนอย่างที่คนนอกมองเห็นอย่างแน่นอนภายในมีสมบัติหายากไม่น้อยไปกว่าวังหลวงเพียงแต่นางมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานมาก สมบัติหายากเหล่านั้นสำหรับนางแล้วไม่มีความหมายเท่าใดนักหากสิ่งของเหล่านั้น สามารถแลกกับอายุขัยของนางได้ นางจะนำออกมาแลกโดยที่ไม่ถือสาเลยเมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินคำพูดประโยคนี้ของนางสีหน้าก็ยิ่งแย่กว่าเดิมเขากล่าวด้วยสีหน้าโกรธ “องค์หญิง นี่ท่านเห็นข้าเป็นคณิกาชายหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ตะลึงงันไปทันที นางจูบเขาเอาเปรียบเขา จากนั้นให้เงินเขา เรื่องนี้เมื่อพูดจากแก่นแท้แล้ว ค่อนข้างใกล้เคียงกับคณิกาชายจริง ๆ นางรีบกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้นจริง ๆ ข้าเพียงคิดว่าเจ้าช่วยข้าแล้ว ข้าอยากจะตอบแทนเจ้าบ้างก็เท่านั้น”“หากเจ้าคิดว่าข้าพูดแบบนี้ไม่เหมาะสมละก็ เช่นนั้นข้าขอโทษเจ้าด้วย”“ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นเจ้าเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สถานการณ์ของข้าค่อนข้างพิเศษ”สีหน้าของเยียนเซียวหรานผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ “องค์หญิงน่าจะรู้ตัวตนของพวกเราดี”
ก่อนหน้านี้เขากังวลถึงสถานะของทั้งสองคน แต่เมื่อได้ยินทั้งหมดที่นางกล่าวมาถึงแม้ว่านางจะมีสถานะของพระชายาซื่อจื่อแห่งจวนเยียนอ๋องค้ำคออยู่ แต่วันแรกที่นางเข้าจวน เหล่าไท่จวินก็เขียนหนังสือหย่าแทนซื่อจื่อดังนั้นเมื่อพูดตามความจริงแล้ว นางกับเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย กล่าวเสียงเบา “ให้ข้าช่วยท่านย่อมได้ แต่ต่อไปท่านห้ามเรียกข้าว่าน้องสามอีก”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า เขาจะวุ่นวายกับการเรียกนี้ก่อนหน้านี้นางเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกวัน จงใจเรียกเขาแบบนั้นเป็นการหยอกล้อเขานางหัวเราะเบา ๆ ทีหนึ่ง “หากเจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกเจ้าแบบนี้ ข้าไม่เรียกก็ได้”นางพูดจบก็เริ่มบ่นอย่างกลัดกลุ้ม “แต่หากข้าไม่เรียกเจ้าน้องสาม ข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไร?”เยียนเซียวหรานเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “ท่านเรียกเซียวหรานชื่อของข้าตรง ๆ เลยก็ได้”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางคิดว่าการเรียกแบบนี้เหมือนว่าจะใกล้ชิดกันขึ้นอีกหน่อยเยียนเซียวหรานกล่าวเสียงเย็นชา “หากท่านไม่ยินดี เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกัน”ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ข้าทำตา
นางถอนหายใจเบา ๆ ทีหนึ่ง “คาถาสายดำนี่โหดเหี้ยมเกินไปจริงๆ”“คนพวกนี้ของจวนหนิงกั๋วกง ไม่ปฏิบัติเหมือนกับพวกเขาเป็นคนจริง ๆ ชีวิตของพวกกันเองยังไม่ใส่ใจ”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงเรียบ “ท่านสนใจตัวท่านเองก่อนจะดีกว่า!”เมื่อเขาเห็นนางมองมา ก็พูดเสริมอีกประโยค “ถึงอย่างไรวันนี้พวกเราก็เป็นฝ่ายบุ่มบ่ามเข้ามา พวกเขาไม่มีทางให้พวกเรามีชีวิตรอดออกไปแน่”คิ้วของซือเจ๋อเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย “ไม่เป็นไร เรื่องนี้ข้าได้เตรียมการไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว วันนี้พวกเราจะต้องมีชีวิตรอดออกไปจากจวนหนิงกั๋วกง”เขาหันหน้าไปมองนาง มีความประหลาดใจเล็กน้อยว่านางเตรียมการอะไร นางกลับอุบเอาไว้ ไม่ยอมปริปากหลังจากหนิงกั๋วกงถูกอวิ๋นเยว่ปิงประคองออกไปก็ไออย่างรุนแรงเขากัดฟันกล่าว “ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานล่วงรู้ความลับของพวกเราแล้ว จะให้พวกมันมีชีวิตรอดไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”จวนสกุลอวิ๋นทุ่มเทพละกำลังไปตั้งมากมายกว่าจะทำค่ายกลออกมาได้ วันนี้ถูกทำลายภายในชั่วพริบตา หนิงกั๋วกงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเพียงแต่ต่อให้เขาไม่พอใจมากสักแค่ไหน อยากจะฟื้นฟูค่ายกลนี้ให้เป็นเหมือนเดิมกลับเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เนื
ซือเจ๋อเยว่กล่าวเสียงดัง “ช้าก่อน”อวิ๋นเยว่ปิงมองนางด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “เจ้ายังมีอะไรที่ต้องพูดอีก?”มุมปากของซือเจ๋อเยว่ยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ได้มีอะไรที่ต้องพูด ข้าแค่อยากจะบอกท่านว่า ค่ายกลที่พังไปแล้วอันนั้นข้าซ่อมได้”อวิ๋นเยว่ปิงถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้าซ่อมได้อย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ถูกต้อง อันที่จริงข้าไม่ได้ตั้งใจอยากจะทำลายค่ายกลนั่นหรอก”“เพียงแต่ตอนนั้นที่งูยักษ์นั่นเลื้อยออกมา ข้าตกใจจนทนไม่ไหว ใช้คาถาเต๋าผิดไปเพราะความรีบร้อน จึงทำลายค่ายกลนั่นโดยไม่ทันระวัง”ในสายตาของอวิ๋นเยว่ปิงที่มองนางมีความประเมินเพิ่มขึ้นไม่น้อยนางพยายามกล่าวต่อ “ท่านก็รู้นี่ ถึงแม้ว่าข้าจะแซ่ซือ แต่ว่าท่านแม่ของข้าแซ่อวิ๋น จวนกั๋วกงเป็นที่พึ่งพาที่ใหญ่ที่สุดของข้า”“ในใจของข้า ย่อมอยากจะให้จวนกั๋วกงดี มีเพียงแค่จวนกั๋วกงดีเท่านั้น ข้าถึงจะดีไปด้วย”เมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินประโยคนี้ก็เหลือบตามองนางแวบหนึ่งนี่นางกำลังนำคำพูดที่หนิงกั๋วกงพูดกับนางก่อนหน้านี้ มาพูดใหม่อีกรอบเพียงแต่ตอนนี้นางเต็มไปด้วยความจริงจัง ดวงตาที่สวยงามคู่นั้นมองดูแล้วเต็มไปด้วยความจร
แม้เขาจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินราชครูสวรรค์พูดถึงวิธีการใช้ของสิ่งนั้นดูท่านางคงทำลายค่ายกลโดยไม่ตั้งใจจริงๆ เพราะหากนางเจตนาของนางเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูแล้วละก็ ราชครูสวรรค์คงกำจัดนางไปแล้วแน่ภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรอดจากเงื้อมมือของราชครูสวรรค์ไปได้เขาจงใจกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ความผิดแล้ว ก็จงคิดหาวิธีชดเชยเสียเถิด”“ที่บอกว่าสามารถซ่อมแซมค่ายกลนั่นได้ เช่นนั้นก็ลองพูดให้ข้าฟังดูทีว่าจะซ่อมอย่างไร?”ซือเจ๋อเยว่ตอบว่า “ค่ายกลนี้เป็นเวทวิชาโบราณที่เก่าแก่มากชนิดหนึ่ง การตั้งค่ายกลให้สำเร็จมีเงื่อนไขที่เข้มงวดมาก”“บัดนี้ ถูกข้าทำลายลงโดยไม่ได้ตั้งใจ คิดจะซ่อมแซมมันให้ดีดังเดิมนั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย”“และเพราะหลายปีมานี้ จวนหนิงกั๋วกงเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงที่สุด ดังนั้น จึงต้องให้ผู้ที่มีสายเลือดในสายนี้ของจวนกั๋วกง มาเป็นผู้สังเวยและเคลื่อนย้าย”เมื่ออวิ๋นเยว่ปิงได้ยินนางพูดถึงที่มาของค่ายกลนี้ออกมา และวิธีการซ่อมแซมที่นางกล่าวก็คล้ายกับคำอธิบายที่ราชครูสวรรค์เหลือทิ้งไว้ก่อนหน้าอย่างมากแววตาของเขาก็ลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย “เจ้ารู้เรื
ซือเจ๋อเยว่ถอนใจ “ท่านดูสภาพที่ไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ของข้าสิ ข้าจะไปฆ่าเขาได้อย่างไร?”ดวงตาของอวิ๋นเยว่ปิงหรี่ลงเบาๆ “เรื่องนี้ง่ายมาก องค์หญิงสามารถดูอยู่ด้านข้างได้”“รอตอนที่มันใกล้ตาย องค์หญิงแค่มาแทงมันเพิ่มอีกดาบก็พอแล้ว”ทันทีที่เขากล่าวจบก็โบกมือครั้งหนึ่ง จากนั้นองครักษ์พวกนั้นก็พุ่งเข้ามาดั่งฝูงหมาป่าทันทีซือเจ๋อเยว่รู้ว่าการที่อวิ๋นเยว่ปิงสามารถกลายเป็นซื่อจื่อของจวนกั๋วกงได้ คนจะต้องไม่โง่แน่ นางก็ไม่สามารถหลอกเขาได้นานทว่าตอนนี้ เพียงแค่พบหน้า นางก็พบว่าเขาระมัดระวังตัวและอำมหิตกว่าที่นางคาดการณ์นักนางถอนใจทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ธรรมเนียมของจวนหนิงกั๋วกงไม่ค่อยดีจริงๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะฆ่าคนแล้ว ไม่กลัวผลกรรมจะตามสนองหรืออย่างไร”เยียนเซียวหรานกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ถ้าพวกเขากลัวกรรมตามสนอง ก็ไม่มีทางสร้างค่ายกลที่ชั่วช้าไร้มโนธรรมเช่นนี้ออกมาแล้ว”ขณะที่ปากของเขาเอ่ยวาจา กระบี่ในมือก็ถูกยกขึ้นมาแล้ว บีบบังคับให้องครักษ์ที่อยู่ใกล้พวกเขาถอยออกไป จากนั้นจับมือซือเจ๋อเยว่ได้ก็วิ่งออกไปทันทีซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่าน่าเสียดายอยู่บ้าง อีกเพียงนิดเดียวก็จะหลอก
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ