ฟางเหนียงจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ยกมือขึ้นคลึงขมับ ทอดถอนใจอย่างเอือมระอา “เจ้าคงไม่รู้กระมัง คฤหาสน์ที่เจ้าไปก่อเรื่องเป็นของสกุลหลิว ผู้ทรงอิทธิพลหนึ่งในสี่แห่งแคว้นเยี่ยน แม้แต่ขุนนางขั้นหนึ่งยังต้องไว้หน้าถึงสามส่วน นายน้อยหลิวผู้นั้นยังเป็นถึงทายาทผู้สืบทอด เป็นสหายของเชื้อพระวงศ์ กับเจี้ยนเอ๋อร์แม้หลิวไท่หยางเป็นเสมือนน้ำคลองไม่ยุ่งน้ำบ่อ ทว่าหากเกิดการปะทะหรือมีปัญหากันขึ้นมา ฮ่องเต้ต้องไม่พอพระทัยอย่างมากแน่”หมิงเยว่ที่เงียบอยู่นาน ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมองแม่สามี เมื่อสังเกตเห็นอารมณ์ของอีกฝ่ายมิคล้ายห่าฝนโหมพายุซัด ดังเช่นคราแรกที่เดินเข้าห้องมา นางจึงเริ่มเปิดปาก“ท่านแม่ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ข้าทำไปเพราะมีเหตุผล”ฟางเหนียงถอนหายใจ รู้สึกหนักอึ้งในอกไปหมด“เหตุผลอะไรกันเล่าที่ทำให้เจ้ากล้าทำเรื่องไร้สาระไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน ไม่คำนึงถึงสามีเช่นนี้ แล้วถ้านายน้อยผู้นั้นมาทวงคน จนเกิดการขัดแย้งกันขึ้นมาจะทำอย่างไร”เขามาทวงคนก็ดี ข้าจะได้คิดบัญชีกับเขาอีกคน!หมิงเยว่คิดในใจอย่างเดือดดาล นางยังคงคุกเข่าอย่างมั่นคง เงยหน้ามองแม่สามีช้าๆ วาจาราบเรียบ“ท่านแม่ สาวใช้ของหลิวไท่
หลังจากได้รับการประคบประหงมอยู่หลายวัน ในที่สุดซิงเยว่ก็อาการดีขึ้นจนหายเป็นปลิดทั้งระหว่างดูแลน้องสาว หมิงเยว่ยังได้รับรู้ว่าที่แท้แล้วซิงเยว่ความจำเลือนหาย จำอันใดมิได้เลย“เรื่องราวตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เจ้าก็จำไม่ได้เหรอ” หมิงเยว่ถามอย่างคาดไม่ถึง รู้สึกปวดหนึบในใจ “เจ้าจำมิได้หรือว่าตัวเองเป็นถึงนายหญิงทางแดนใต้ มีเหมือนแร่ ครอบครองนาเกลือนอกเขตปกครอง ร่ำรวยมหาศาล”“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ ข้าเป็นนายหญิงเหมืองแร่ ครอบครองนาเกลือนอกเขตปกครองแดนใต้ผู้ร่ำรวยหรือ?”ทันทีที่ซิงเยว่ได้ยินหมิงเยว่บอกฐานะที่แท้จริง นางก็แทบไม่เชื่อหูตนเอง “ท่านรู้ได้อย่างไร?”หมิงเยว่ได้แต่อ้ำอึ้ง แน่นอนว่ายามนี้นางอยู่ในฐานะคนแปลกหน้าสำหรับน้องสาว ทั้งใบหน้าและฐานะมิใช่พี่สาวของอีกฝ่าย และที่สำคัญ ซิงเยว่ความจำเสื่อม เท้าความไปก็เท่านั้น ยังไงก็จำไม่ได้ว่ามีพี่สาวที่ตายไปแล้ว นางจึงทำได้แค่บอกกล่าวถึงเรื่องราวบางส่วน“ข้ารู้ก็แล้วกัน เจ้าจำอะไรไม่ได้เลยเช่นนี้ ข้าบอกไปเจ้าก็ไม่คุ้นอยู่ดี เอาเป็นว่าเจ้าเล่าเรื่องของตัวเองมาดีกว่า”ซิงเยว่พยักหน้า ค่อยๆ เล่าเรื่องราวของตนเนิบช้า“ยามนั้น ข้าฟื้นขึ้นมาก็พ
หลังจากวันนั้น ซิงเยว่จึงพำนักอยู่ที่เรือนพักผ่อนริมทะเลสาบ โดยที่หมิงเยว่ดูแลไม่ห่าง“ฮูหยินน้อย ข้ามิบังอาจเจ้าค่ะ”ซิงเยว่เอ่ยเสียงเบาอย่างเกรงใจเมื่อหมิงเยว่นำขนมที่ทำเองมาให้ชิม“ข้าบอกให้เรียกว่าอย่างไร?” หมิงเยว่ชักสีหน้าซิงเยว่กะพริบตา “เอ่อ...พี่หมิงเยว่ ...อันที่จริงควรเป็นข้าที่ปรนนิบัติท่าน”“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าตั้งใจทำให้แม่สามี จานนี้ของเจ้า กินให้หมด ห้ามเหลือสักชิ้นเชียว”ซิงเยว่จึงรับมาอย่างเสียมิได้ กระทั่งกัดไปหนึ่งคำถึงได้รู้สึกว่ารสชาติคุ้นเคยนัก ความเค็มระดับนี้เสมือนเคยกินมาโดยตลอดอย่างไรอย่างนั้นหมิงเยว่มองน้องสาวผู้ความจำเสื่อมอย่างพึงพอใจ “ครั้งหน้าเจ้าต้องเข้าครัวช่วยข้าทำขนมรากบัว ตกลงไหม”นางทำเป็นแค่อาหารที่ทำจากรากบัวและน้องสาวก็มักจะเข้าครัวทำร่วมกัน เป็นความทรงจำระหว่างพี่น้องตั้งแต่ชาติปางก่อน เผื่อซิงเยว่จะเริ่มจำได้บ้างไม่มากก็น้อย“รับทราบเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านทำขนมรากบัว”“อืม...ดีมาก” นางหัวเราะชอบใจ หันมาทางแม่สามี “ท่านแม่ ข้าชงชาให้นะเจ้าคะ จะได้กินกับขนม”ฟางเหนียงเลิกคิ้ว “เจ้าชงชาเก่งแล้วหรือ?”หมิงเยว่ค้อมศีรษะ “ข้าได้ท่านแม่สอนอย่างไรเล่า
กระทั่งวันหนึ่ง เสียงโวยวายดังสนั่นลั่นบริเวณตรงหน้าประตูเรือนปานฟ้าถล่มลงมานั้น ทำให้หมิงเยว่รับรู้ได้ว่าคืนวันอันสงบสุขได้จบสิ้นลงแล้วผู้ที่มามิใช่ใคร เขาคือกลุ่มคนจากตระกูลหลิวบ่าวไพร่ที่ดูแลเรือนพักริมทะเลสาบแห่งนี้เป็นแค่องครักษ์ฝีมือจัดอยู่ในระดับธรรมดา มิใช่ผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง และคนยังมีจำนวนน้อยกว่า ดังนั้นคนจำนวนมากกว่าอย่างอันธพาลแซ่หลิวจึงบุกทะลวงเข้ามาได้อย่างง่ายดายท้ายที่สุด หมิงเยว่จึงขอร้องฟางเหนียง “ท่านแม่ ท่านอยู่ภายในห้องอย่างสบายใจได้หรือไม่?”ฟางเหนียงพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง คิดว่าลูกสะใภ้เป็นห่วงความปลอดภัย หารู้ไม่ว่าหมิงเยว่แค่ไม่อยากให้แม่สามีเห็นภาพอันอหังการหลุดจริตสตรีหลังเรือนของตน นางยังไม่ลืมผลักจิ่นซินและมู่ชิว รวมถึงสาวใช้คนสนิทของแม่สามีเข้าไปรวมตัวกันด้านในทั้งหมด และสุดท้ายก็คือซิงเยว่คนนี้สำคัญที่สุด ห้ามออกมาเด็ดขาด“ซิงเยว่เข้าไปอยู่ในห้องนี้ ไม่ต้องออกมา”“แต่ว่า....” ซิงเยว่ทำท่าไม่ยินยอม แต่หมิงเยว่ไม่สน คนจะเป็นมารร้ายใครก็ห้ามไม่ได้ นางจะขัดขวางความรักอันผิดศีลธรรมของน้องสาวอย่างเด็ดเดี่ยวเมื่อจัดการจับซิงเยว่โยนเข้าไปในห้องด้านในได้แล้ว ห
จังหวะรุกไล่ฟาดดาบกรีดกันกลางอากาศปราดหนึ่งก่อนสกัดกั้นไขว้กันรอจังหวะผลักดันพลังในระยะประชิด หมิงเยว่แค่นเสียงฉุนใส่หน้าบุรุษ “ท่านไม่มีสิทธิ์ในตัวซิงเยว่ จงกลับไปดูแลภรรยาของท่านซะ”หลิวไท่หยางหรี่ตา แววขึงเครียดไม่ยินยอมสักเสี้ยว “ภรรยาของข้าอยู่ที่นี่ ข้ามีสิทธิ์ต่อนางทุกประการ”หมิงเยว่ยิ่งเดือดดาลฟาดดาบจนสะบั้นเส้นผมบุรุษขาดร่วงหลายเส้น “ภรรยาของท่านคือโจวซู่ฉิน!”หลิวไท่หยางไม่สนใจเส้นผมของตน เขาสะบัดดาบปล่อยพลังปราณอันตราย “ภรรยาของข้าคือซิงเยว่!”ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ออมมือ ไม่มีใครยอมใคร ฝ่ายหนึ่งตะวันเดือด อีกฝ่ายจันทราเย็น คลื่นพลังจึงคล้ายเห็นฟ้าแลบร้อนฉ่ากรีดลงกลางอากาศอันเย็นเยียบกระนั้นช่างเป็นความต่างอย่างไม่อาจเข้ากันได้เลยสักเสี้ยว ราวกับต้องการเป็นศัตรูคู่แค้นกันไปทุกชาติยามนี้หมิงเยว่จึงได้ประจักษ์ชัดว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าคือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่หาตัวจับได้ยากผู้หนึ่งผู้ใดว่าเขาคือนายน้อยตระกูลคหบดีของเมืองหลวง ที่นางเห็นมิใช่ยอดฝีมือจากสำนักตะวันเดือดหรอกหรือ?ท่ามกลางเสียงฟาดฟันดังกระหึ่มกึกก้องกรีดม่านฟ้า กำลังมีคำถามเกิดขึ้นในสมองเล็กของหมิงเยว่ชั่วขณะห
ที่แท้การต่อสู้เมื่อครู่เพราะผู้หนึ่งจอมกระบี่สุริยัน อีกฝั่งคือจอมยุทธ์ตะวันเดือด ลำแสงทรงพลังจึงส่งผลต่อคนผู้หนึ่งรุนแรง ไหนเลยจะมีความเย็นเยียบอย่างต้องการแช่แข็งผู้คนในพริบตาเฉกเช่นพลังจันทราของหมิงเยว่เมื่อหมิงเยว่เกิดภาวะเป็นลมหมดแรงเกือบล้มพับ ยามนี้ความเงียบงันจึงปกคลุมไปทั่วบริเวณแสงตะวันส่องลงมา บุรุษชุดดำปลดผ้าบนหน้าออกก่อนเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ“ข้าไม่อยู่ ไยซุกซน?”สีเข้มของเสื้อผ้าขับเน้นให้ใบหน้าหล่อเหลาอันคุ้นตาขาวกระจ่างดุจหยกงาม แรกเริ่มหมิงเยว่เพียงผงะตกใจ ทว่าต่อมานางคล้ายลืมตัว รีบมุดเข้าไปในอกของสามี โดยไม่สนใจผู้ใดร่างหยางเจี้ยนพลันแข็งทื่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงกระชับวงแขนโอบร่างนุ่มแน่นขึ้นพลางดุเสียงหนึ่ง“ไฉนไม่เคยเชื่อฟัง”หมิงเยว่งึมงำ “ข้าคิดถึงท่าน”ภายใต้แววตาเย็นชาดุดันทั้งใบหน้าคมคายเรียบเฉย ใบหูของหยางเจี้ยนกลับแดงเรื่อขึ้นมาอย่างยากจะห้ามได้เดิมทีคิดว่าจะต้องสั่งสอนภรรยาสักครา แต่ท่าทางคล้ายเจ็บป่วยใกล้ล้มลงอย่างที่หยางเจี้ยนเห็นช่วงก่อนหน้า ทำให้เขารู้สึกห่วงนางขึ้นมาจับใจ“เจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหน?”หมิงเยว่ผงกศีรษะออกจากอ้อมอกสามี มองไปทางหล
แม่ทัพหนุ่มย่อมรู้ใจภรรยา สายตารู้สึกผิดระคนกังวลเป็นห่วงเป็นใยของหมิงเยว่ มิใช่สิ่งที่เขาจะละเลยได้ นางต้องได้เห็นกับตาว่าสตรีในอ้อมแขนบุรุษแซ่หลิวปลอดภัยไร้กังวล คนถึงจะมีสิทธิ์จากไปจังหวะนั้นองครักษ์และชายชุดดำติดตามกลุ่มหนึ่งพลันเดินห้อมล้อมปิดทางเข้าออกของหลิวไท่หยางจนมืดมิด รอบทิศแปดด้านถูกตัดขาดทันใดหยางเจี้ยนแค่นเสียงอีกครา“นายน้อยหลิวเหลือทางเลือกเดียว!”ทางเลือกเดียวที่ว่าคือจำต้องพาซิงเยว่เข้าด้านในของเรือนพักริมทะเลสาบแห่งนี้เท่านั้นหลิวไท่หยางขบกรามข่มกลั้นโทสะทะเลเพลิงในอกมิให้ปะทุกัมปนาท พลางกระชับวงแขน โอบอุ้มร่างไร้สติของซิงเยว่อย่างหวงแหนเดินเข้าเรือนด้านในหยางเจี้ยนหันไปสั่งจิ้นเหอเสียงเฉียบ “รีบไปเชิญท่านหมอมาสองคน เร็วที่สุด!”“ขอรับ!”จิ้นเหอกับลูกน้องอีกสองคนรีบหมุนกายหายวับไปหยางเจี้ยนจับร่างนุ่มของสตรีจอมซุกซนขึ้นอุ้ม “ส่วนเจ้าเข้าห้องกับข้า หากท่านหมอยังไม่มาตรวจร่างกาย เจ้าไม่มีสิทธิ์ขยับไปทางใดทั้งสิ้น”ยามนี้หมิงเยว่ย่อมหมดสิทธิ์ทัดทานแม้ครึ่งคำ นางยิ้มเจื่อนแก้ตัวงึมงำ “ข้าไม่เป็นอันใดจริงๆ แค่เครียด”หัวคิ้วหยางเจี้ยนขมวดขรึมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น “
ย้อนกลับไปครานั้น บนเกาะลึกลับกลางทะเล ยามทำศึกกับเจ้าแห่งหุบเขามรณะฉายาเงาดาบจันทราหยางเจี้ยนใช้ดาบนางกรีดนิ้วตนอย่างสงบเยือกเย็น ‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’‘คนที่ตายล้วนตายไปถือว่าชดใช้กรรม แต่คนที่หายสาบสูญนั้น ข้ารับปากว่าจะไม่ตามหาหรือหมายหัวอีก...’ชายหนุ่มจดจำได้แม่นยำ การกระทำทั้งหมดยิ่งรู้ดีเหตุที่ระลึกได้ในวันนี้ ล้วนเป็นเพราะสิ่งที่หมิงเยว่หลุดปากเมื่อครู่ อีกทั้งยังแอบติดตามและลอบมองหมิงเยว่ตลอดหลายวันเชิงยุทธ์ของเงาดาบจันทราเขาเคยเจอมากับตัว พิสูจน์ด้วยตนเองมาหลายกระบวนท่า มีหรือจะมองไม่ออกเขารู้มาว่าเคล็ดวิชาจันทราเย็นมีเพียงอดีตเจ้าสำนักจันทราแดงเท่านั้นที่ครอบครอง ใต้หล้านี้ไม่มีคนที่สอง กระทั่งน้องสาวของนางยังฝึกไม่สำเร็จเดิมทีเมื่อค่ายจันทราแดงล่มสลาย วิชาจันทราเย็นอันโหดร้ายย่อมหายสาบสูญแต่หมิงเยว่ ...นางประมือกับหลิวไท่หยางด้วยฝีมืออันร้ายกาจอย่างคาดไม่ถึง เขาถึงขั้นยืนตะลึงยากละสายตา ฝ่ามือยังยกขึ้นปิดปากตนเองมิให้อุทานออกมาท่วงท่าของเขายามนั้น ช่างน่าขบขันสิ้นดีเดิมทีเขาลืมสตรีผู้เป็นหัวหน้าค่ายโจรไปแ
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย