แม้ใจสู้ไม่ยอมถอย จิตวิญญาณไม่ยอมอยู่เฉย ทว่าร่างกายไม่พร้อม ไหนเลยจะต่อกรได้รุ่งสางวันต่อมา หมิงเยว่จึงนอนซมลุกไม่ขึ้น ตัวร้อนดุจเพลิงลุกโชนท่วมร่างเพราะพิษไข้กำเริบอีกระลอกหนังตาหนักอึ้งจนขนตายาวงอนระริกไหวอย่างคนต้องการตื่นแต่ลืมตามิได้ทำเอาหัวใจในอกบุรุษปวดเกร็ง เรียวคิ้วเข้มขมวดเครียดยามมองใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้รุมเร้ารุนแรงของคนเป็นภรรยาท่านหมอหญิงวัยกลางคนผู้เดิมรีบเร่งเข้ามาดูอาการทันทีที่จิ่นซินออกไปตามหยางเจี้ยนที่ยืนหน้าเตียงเบี่ยงตัวหลบเอ่ยเสียงเรียบ “รบกวนท่านหมอด้วย”หมอหญิงน้อมรับ “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ”จากนั้นในห้องจึงเหลือเพียงคนป่วยกับหมอหญิงและสาวใช้ ส่วนหยางเจี้ยนซึ่งช่วยอันใดมิได้มากกว่ายืนมองพลันรีบเร่งออกจากจวนไปอย่างเงียบเชียบใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงวังหลวงยามนี้ยังไม่ถึงเวลาออกว่าราชการในท้องพระโรง ฮ่องเต้ยังทรงประทับที่ห้องพระอักษรบุรุษวัยกลางคนในฉลองพระองค์มังกรทองอร่ามกำลังนั่งกุมขมับขบกราม รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่งขันทีคนสนิทเดินเข้ามาค้อมเอวกล่าว“ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนตรัสเสียงเข้ม “จะมิให้เรา
ทางเดินทอดยาวลาดพรมตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงโต๊ะทรงงาน เรือนร่างสูงใหญ่สง่างามของหยางเจี้ยนค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นอายอันน่าเกรงขามตามธรรมชาติ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาแลดูอิดโรยอย่างยิ่ง ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองหากคนสำคัญของแว่นแคว้นล้มลงสักคนย่อมเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน จะอย่างไรหยางเจี้ยนผู้นี้พระองค์ก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก บิดาของเขายังเป็นสหายร่วมรบกันมากับพระองค์ความพิการของหยางจงยังคงเป็นบาดแผลในใจ เพราะอีกฝ่ายปกป้องพระองค์จนชีวิตตนแทบจะหาไม่หากตัดฐานันดรยิ่งใหญ่และอำนาจที่มิอาจสั่นคลอนจำต้องจำกัดขุนนางผู้หนึ่งให้อยู่ในกรอบที่ฮ่องเต้วางไว้ เยี่ยนหลงเซียนย่อมเป็นห่วงเป็นใยหยางเจี้ยนจากใจจริง ไม่ต่างจากลุงห่วงหลานชายคนสำคัญหยางเจี้ยนเดินมาถึงหน้าพระพักตร์ก็คุกเข่าลง ทำความเคารพเต็มพิธีการ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“วันนี้เจ้ามาเข้าเฝ้าเราตั้งแต่ฟ้าสาง มีสิ่งใดหรือ? คงมิใช่ฟ้องร้องเรื่องที่ฮูหยินของเจ้าตกน้ำกระมัง? เรื่องนั้นเราส่งคนไปตรวจสอบและสืบสาวแล้ว น่าจะเป็นอุบัติเหตุ องค์หญิงเจ็ดเองก็ตกน้ำ ยามนี้อาการยังไม่ดี
ต่อให้ได้ร้อยหมอผู้เก่งกาจและยาดีอีกพันตำรับ มีหรือจะสู้สามีเพียงหนึ่งเดียวที่ดูแลชิดใกล้หมิงเยว่ในร่างใหม่ที่อ่อนแอบอบบางเกินร่างเดิมจึงหายป่วยเร็วยิ่ง นางนอนซมเพราะพิษไข้ไม่กี่วันก็ลุกขึ้นมาเดินเล่นได้แล้วทว่าท่านหมอหญิงยังคงกำชับก่อนจากไปถึงเรื่องเว้นระยะอันตรายภายในสามเดือน ทั้งย้ำเตือนจำนวนครั้งต่อคืนให้พ้นช่วงหนึ่งปี หากมีข่าวดีและคลอดจนสำเร็จลุล่วง ค่อยทำตามใจตัวเองหลังจากนั้นที่หน้าเรือนส่วนตัว หยางเจี้ยนได้แต่ตอบรับเรียบๆ แววตาตึงเครียด ก่อนน้อมส่งท่านหมอด้วยท่าทางเคร่งขรึม แต่ใบหูแดงเรื่อหมอหญิงย่อกายคารวะด้วยรอยยิ้ม ยังไม่ลืมกำชับเรื่องการแสดงความรักวิธีอื่น เพื่อรักษาสัมพันธ์อันดีต่อกันหยางเจี้ยนประสานหมัด “ลำบากท่านหมอให้ต้องกังวลแล้ว”หมอหญิงวัยกลางคนผู้เปี่ยมประสบการณ์เอ่ยเบาๆ“คำโบราณว่าสามีภรรยาห่างไกลก็ใช่ใกล้ชิดก็ใช่ บางครั้งเรื่องมิควรใส่ใจกลับจำฝังใจ เรื่องควรใส่ใจถ้วนถี่กลับมองเมิน จะด้วยเพราะเขินอายหรือไม่เห็นความสำคัญก็สุดรู้ ความสัมพันธ์เปราะบางนัก ข้าเห็นสามีภรรยารักใคร่ก็เบาใจ มิอาจเอื้อมเป็นกังวล”ในฐานะสตรี หมอหญิงนึกชื่นชมคนตรงหน้าไม่น้อย ยากนักที่จะ
หยางเจี้ยนสุดความสามารถจะห้ามปรามอาการชอบอวดโอ่เยี่ยงนี้ของภรรยาจริงๆ กระนั้นเขากลับสั่งให้คนไปหาสิ่งที่นางกล่าวมาทั้งหมด แล้วใช้สมองเร่งขบคิดบทกลอนให้นางด้วยตนเองอย่างเคร่งเครียด จากนั้นยังสลักให้นางเองกับมือ‘วาจาข้าดุจขุนเขา เราสองร่วมเรียง เคียงคู่นิรันดร์’รอบนี้ไม่เหมือนรอบแรก เพราะแววตาคมเข้มดำจัดที่มักจะสุขุมสงบเยือกเย็นตลอดเวลา บัดนี้ฉายแววรื่นรมย์เปล่งประกายกรุ้มกริ่ม ยามมอบบทกลอนให้คนเป็นภรรยาได้เปิดอ่านอย่างผ่าเผยอีกครั้งหมิงเยว่ได้อ่านพลันเบิกตากว้าง หัวใจเต้นระรัว นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหยางเจี้ยนที่เอาแต่ทำหน้าเคร่งขรึม พูดน้อยถนอมคำ จะมีวาทะศิลป์เป็นเลิศถึงเพียงนี้แม้จะสั้นแต่ความหมายกินใจเหลือเกิน...หญิงสาวแทบจะเดินทางไปยังทะเลแล้วดำน้ำลงไปอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อนำหัวใจจ้าวสมุทรมามอบให้เขาโดยแท้ หากไม่ติดปัญหาว่าสายน้ำย่านธาราทั่วหล้าอาจแห้งเหือด จนผู้คนล้มตายระเนระนาด หากหัวใจจ้าวสมุทรถูกขุดขึ้นมาดังนั้น หมิงเยว่จึงทำได้เพียงเขียนกลอนแทนใจ บอกความรู้สึกทั้งหมดที่มี มอบให้เขาอย่างห้าวหาญ‘นิรันดร์ข้าถือกำเนิด แม้เกิดตายสิบชาติ จักรักมั่นเพียงท่าน ทำทุกทางเพื่อยืนห
กระทั่งวันแห่งมงคลมาถึงชาวประชาจึงร่วมใจกันยกโคมแดง ประดับประดาทั้งเมือง ออกจากเรือนมากล่าวคำอวยพรกันเต็มสองฝั่งถนนอย่างชื่นมื่น ส่งเสียงแซ่ซ้องยินดีแข่งกับเสียงปะทัดและเสียงดนตรีในขบวนเจ้าบ่าวที่บรรเลงอย่างรื่นเริงเพื่อต้อนรับราชบุตรเขยพิธีกราบไหว้ฟ้าดินจัดขึ้นที่ตำหนักส่วนกลางตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้ผู้เปี่ยมพระเมตตา นับได้ว่าเป็นการประกาศศักดาให้ราชบุตรเขยทางอ้อม เพื่อเอาใจธิดาคนโปรดอย่างองค์หญิงเยี่ยนลู่เสียนทั้งยังมอบวังกู้กงเหยียนซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวังหลวงให้คู่สามีภรรยาได้ครองรักกันสืบไปขุนนางต่างพร้อมใจกันเข้ามาร่วมยินดีคับคั่ง รวมถึงหยางเจี้ยนที่มาพร้อมฮูหยินของเขาวันนี้หมิงเยว่แต่งกายงดงาม เคียงข้างมากับสามี เฉกเช่นสตรีสูงส่งสมฐานะฮูหยินแม่ทัพ เสื้อผ้ายาวกรุยกรายปักลายอย่างประณีตบรรจงด้วยดอกไม้เล็กๆ สีแดงสด ช่วยขับผิวขาวผ่อง แลดูสดใสสบายตาทั้งหรูหราในคราเดียวแขกเหรื่อที่มาร่วมงานมงคลขององค์หญิงเจ็ดวันนี้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่โต ฮูหยินของพวกเขาแต่ละคนจึงคล้ายแต่งกายมาประชันโฉมในที หมิงเยว่เริ่มชอบการแข่งขันแบบนี้ยิ่งนัก แม้ดูไร้สาระทว่าเพื่อเสริมบารมีให้สามีย่อ
เป็นดังคาด หมิงเยว่รอไม่นาน เงาร่างสง่างามของบุรุษในอาภรณ์มงคลก็ปรากฏบนเส้นทางโคมแดงรอยยิ้มเย็นเยียบเริ่มปรากฏบนมุมปากที่แต้มชาดยามนี้หมิงเยว่มิใช่สตรีอ่อนแอบอบบางเช่นก่อนแล้ว ต้องขอบคุณอาการป่วยจากไข้พิษเย็นในครานั้นนางฝึกวิชาจันทราเย็น อาการหยินพร่องจากพิษเย็นสำหรับสตรีอื่นคือโทษมหันต์แต่นางกลับเสมือนยาชูกำลัง มันเป็นการเสริมพลังขั้นสูงสุดถึงจิตวิญญาณซึ่งในโบราณ มีวิธีการฝึกเช่นนี้ พวกเขาใช้วิธีจับดรุณีลงสระเยือกแข็ง ถ้ารอดจะฝึกวิชาสำเร็จเปี่ยมพละกำลัง แต่ข้อเสียคือสิบคนจะตายเก้าคนรอดแค่หนึ่งคนเท่านั้น ต่อมาบรรพชนยังให้ฝึกดูดพลังจากแสงจันทรา แม้สำเร็จช้า แต่นั่นหมายถึงผู้กล้าที่ได้สืบทอดสุดยอดวิชาในตำนานในชาติก่อน หมิงเยว่มีสมญานามเงาดาบแห่งจันทรา ฆ่าคนไม่กะพริบตา นั่นเพราะสำเร็จวิชาจันทราเย็นถ้าสู้ภายใต้แสงจันทร์ นางสามารถบงการแสงจันทร์ฆ่าคนได้อย่างไร้เสียงไร้เงา ฆ่าใครก็ได้ในร้อยจั้ง กระทั่งเดินเหินบนพื้นน้ำดุจพื้นดินด้วยซ้ำในชาตินี้ เพราะแสงจันทร์ที่สอดส่องแบบเงียบเชียบในวันที่นางนอนซมเพราะพิษไข้คืนนั้น ทำให้พลังฟื้นคืนจากจิตวิญญาณ ก่อเกิดความอุ่นซ่านแทรกผสานความเย็นเยีย
ขณะโม่เฟิงกำลังสงสัยและมองจนสองตาแดงก่ำ เลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน ใจสั่นสะเทือนราวรัวกลอง เสียงเย็นเยียบของหมิงเยว่ก็ดังขึ้นเนิบนาบ“เจ้าเหยี่ยวน้อยโม่เฟิง...จำกันได้แล้วใช่ไหม?”สวรรค์!ชายหนุ่มอ้าปากตาค้าง กล้ามเนื้อขมวดเกร็งกระทั่งหมิงเยว่ค่อยๆ ปล่อยฝ่ามือที่กุมลำคอออกแล้วยืนกอดอกมองยิ้มๆ เขายังคงยืนนิ่งตัวแข็งทื่อ ราวกับร่างไร้วิญญาณ“บังอาจนัก! พบเจ้าสำนัก ยังไม่คุกเข่า”หมิงเยว่แค่นเสียงลอดไรฟันให้ได้ยินแค่พวกเขา แต่เพียงเท่านั้นกลับทำโม่เฟิงประสานหมัดทิ้งตัวคุกเข่าหนึ่งข้างทันที “ท่ะ...ท่านเจ้าสำนัก เป็นท่านจริงๆ รึ? เป็นไปได้อย่างไร? ข้าเห็นกับตาว่าท่านถูกตัดคอ...”โม่เฟิงละล่ำละลั่กถามอย่างงุนงงเป็นที่สุดทั้งตกใจ แปลกใจและดีใจปะปนหลากหลายอารมณ์ ลำตัวเริ่มสั่นเทาอย่างยากจะควบคุมหมิงเยว่เหยียดยิ้ม “ข้าตายแล้วเกิดใหม่อย่างไรเล่า”โม่เฟิงเงยหน้ามองเหลอหลาทว่าหมัดยังคงประสาน คุกเข่าหนึ่งข้างดุจเดิม “ม่ะ หมายความว่าอย่างไรขอรับ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”หญิงสาวยังคงยิ้มร้าย เอื้อมมือตบบ่ากว้างเบาๆ กล่าวหยอกเย้า “เรื่องนั้นช่างมันเถอะ! เหตุที่ข้ามาวันนี้ ข้าต้องการคุยเรื่องข
หมิงเยว่พึงพอใจยิ่ง นางได้สมุนกลับคืนมาหนึ่งคน ทั้งยังเป็นถึงราชบุตรเขย ช่างน่าภูมิใจเหลือเกินหญิงสาวยิ้มกริ่ม ก่อนนึกขึ้นมาได้อีกหนึ่งเรื่อง“อ้อ...ข้ามีอีกเรื่องจะรบกวนเจ้า”“ขอรับ”หมิงเยว่หน้าเครียด “ข้าเจอซิงเยว่ในเมืองหลวง”โม่เฟิงขมวดคิ้ว “เป็นไปได้อย่างไร? นายหญิงรองสมควรปกครองเหมืองแร่นอกเขตแคว้นเยี่ยนมิใช่หรือ?”นั่นคือข้อตกลงของทุกคนที่แยกย้ายกระจัดกระจายหลังจากค่ายโจรจันทราแดงล่มสลาย เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้ คนของทางการไม่อาจไล่ล่าติดตาม โดยเฉพาะซิงเยว่ น้องสาวหนึ่งเดียวของท่านเจ้าสำนักหัวหน้าค่ายโจรจันทรานางมีอาณาจักรแห่งใหม่ที่เหมืองแร่ สมุนอีกนับร้อยที่รอดชีวิตล้วนอยู่ที่นั่นหมิงเยว่เคร่งเครียดกว่าเดิม “ข้ายังเจอนางเป็นเพียงสาวใช้ให้คุณชายผู้หนึ่ง แต่ข้าไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แล้วซิงเยว่ยามนี้อยู่ที่ไหน ก่อนหน้านี้ข้าแอบว่าจ้างคนไปสืบ แต่ไม่ได้เรื่องสักที เจอเจ้าก็ดี ข้าอยากให้เจ้าช่วยสืบหน่อย ได้ความอย่างไรห้ามบุ่มบ่ามเด็ดขาด รีบส่งข่าวให้ข้าทันที”โม่เฟิงประสานหมัด “รับบัญชาขอรับ ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ”“ดีมาก” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ “รีบไปเข้าหอเถอะ ในห้องนั้นมีท
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย