แม้ใจสู้ไม่ยอมถอย จิตวิญญาณไม่ยอมอยู่เฉย ทว่าร่างกายไม่พร้อม ไหนเลยจะต่อกรได้
รุ่งสางวันต่อมา หมิงเยว่จึงนอนซมลุกไม่ขึ้น ตัวร้อนดุจเพลิงลุกโชนท่วมร่างเพราะพิษไข้กำเริบอีกระลอก
หนังตาหนักอึ้งจนขนตายาวงอนระริกไหวอย่างคนต้องการตื่นแต่ลืมตามิได้ทำเอาหัวใจในอกบุรุษปวดเกร็ง เรียวคิ้วเข้มขมวดเครียดยามมองใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้รุมเร้ารุนแรงของคนเป็นภรรยา
ท่านหมอหญิงวัยกลางคนผู้เดิมรีบเร่งเข้ามาดูอาการทันทีที่จิ่นซินออกไปตาม
หยางเจี้ยนที่ยืนหน้าเตียงเบี่ยงตัวหลบเอ่ยเสียงเรียบ “รบกวนท่านหมอด้วย”
หมอหญิงน้อมรับ “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ”
จากนั้นในห้องจึงเหลือเพียงคนป่วยกับหมอหญิงและสาวใช้ ส่วนหยางเจี้ยนซึ่งช่วยอันใดมิได้มากกว่ายืนมองพลันรีบเร่งออกจากจวนไปอย่างเงียบเชียบ
ใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงวังหลวง
ยามนี้ยังไม่ถึงเวลาออกว่าราชการในท้องพระโรง ฮ่องเต้ยังทรงประทับที่ห้องพระอักษร
บุรุษวัยกลางคนในฉลองพระองค์มังกรทองอร่ามกำลังนั่งกุมขมับขบกราม รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่ง
ขันทีคนสนิทเดินเข้ามาค้อมเอวกล่าว
“ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนตรัสเสียงเข้ม “จะมิให้เรามีโทสะได้อย่างไร ใครๆ ต่างก็เห็นว่าธิดาคนโปรดของเราผลักฮูหยินของแม่ทัพหยางตกน้ำ”
ดวงหน้าเหี่ยวย่นของขันทีเผยแววครุ่นคิด “บางทีอาจเป็นแค่อุบัติเหตุก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพหยางก็ยังมิได้เข้ามายื่นฎีการ้องเรียนสิ่งใด”
คนเช่นหยางเจี้ยนมีนิสัยแข็งกร้าวดุดัน แม้ภายนอกดูสุขุมเยือกเย็น ทว่าหากผู้ใดทำให้มีโทสะเขากลับมิต่างจากธนูไฟที่ถูกยิง การที่เขายังเงียบย่อมเป็นสัญญาณที่ดี
ฮ่องเต้เยี่ยนจึงคลายโทสะเล็กน้อย แต่ยังไม่ทั้งหมด
“แล้วเจ้าองครักษ์น่าตายผู้นั้นเล่า?”
เดิมทีการที่บุรุษผู้หนึ่งล่วงเกินสตรีที่เป็นถึงองค์หญิง ทั้งยังต่อธารกำนัลจะอย่างไรย่อมไม่พ้นโทษประหาร แต่การเข่นฆ่าผู้มีพระคุณช่วยชีวิต มิอาจกระทำให้ชาวประชาครหาจนสร้างความอัปยศให้ราชวงศ์
แค่เนรเทศไปไกลๆ ก่อนแล้วตามสังหารเงียบๆ ไม่ให้กลับมาอีก ล้วนทำได้ ทว่า...
ขันทีคนสนิทเข้าใจความนัยขององค์เหนือหัวดี เขาจึงขยับเข้าใกล้ค้อมเอวต่ำยิ่งกว่าเดิมแล้วค่อยๆ เอ่ย “ทูลฝ่าบาทบางทีองค์หญิงอาจมิได้ปักใจชมชอบท่านแม่ทัพอย่างที่พวกเราเข้าใจ แต่เพราะองครักษ์ผู้นั้นต่ำต้อยเกินไป ตลอดมาจึงไม่สามารถเปิดเผย จำต้องเก็บเป็นความลับ กระทั่งช่วงความเป็นตายมาเยือนถึงได้...”
หลายครั้งขันทีคนสนิทสามารถวิเคราะห์เรื่องราวได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ล่วงเกินความคิดขององค์เหนือหัว
ไม่ต้องเอ่ยจนจบประโยค ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนย่อมกระจ่างแจ้งแจ่มชัด เรื่องแบบนี้บุรุษเจ้าสำราญล้วนเข้าใจ
พระองค์เองก็เคยหลงรักนางกำนัลต่ำต้อย แต่เพราะมิอาจทำตามประสงค์ของหัวใจ จึงต้องแสดงออกว่ารักแค่ฮองเฮา รักพระสนม รักสตรีอื่นที่เหมาะสมคู่ควรมากกว่า
ท้ายที่สุด องค์จักรพรรดิก็ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ “เราจะไม่ให้องค์หญิงของเราต้องขมขื่นในรักแท้เหมือนเรา พิธีอภิเษกสมรสต้องเกิดขึ้นทันทีหลังจากนางหายป่วย กำชับให้หมอหลวงรักษาโรคพิษเย็นให้นางอย่างดีที่สุด จัดการยกฐานะขององค์รักษ์ผู้นั้นเสีย ให้เป็นบุตรบุญธรรมของขุนนางใหญ่สักคน จะได้ไม่เป็นที่ครหา”
สิ้นกระแสรับสั่งอันเฉียบขาด ขันทีรีบค้อมกายรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงวางพระทัย”
ฐานันดรมิอาจกางกั้น สัมพันธ์รักไม่ควรสะบั้น
จังหวะนั้นขันทีน้อยหน้าห้องพลันส่งเสียงเข้ามา “ทูลฝ่าบาท ท่านแม่ทัพหยางขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ปรายตามองขันทีคนสนิท “หยางเจี้ยนมาขอเข้าเฝ้าเรา มิใช่มาร้องเรียนขอความเป็นธรรมหรอกกระมัง”
ธิดาคนโปรดก็สำคัญ ขุนนางใหญ่ผู้ภักดียิ่งสำคัญ จักรพรรดิเยี่ยนให้รู้สึกหนักพระทัยเหลือเกิน
ทว่าสุดท้ายก็ทำได้แค่ตรัสเสียงแผ่ว “ให้เขาเข้ามา”
ทางเดินทอดยาวลาดพรมตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงโต๊ะทรงงาน เรือนร่างสูงใหญ่สง่างามของหยางเจี้ยนค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นอายอันน่าเกรงขามตามธรรมชาติ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาแลดูอิดโรยอย่างยิ่ง ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองหากคนสำคัญของแว่นแคว้นล้มลงสักคนย่อมเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน จะอย่างไรหยางเจี้ยนผู้นี้พระองค์ก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก บิดาของเขายังเป็นสหายร่วมรบกันมากับพระองค์ความพิการของหยางจงยังคงเป็นบาดแผลในใจ เพราะอีกฝ่ายปกป้องพระองค์จนชีวิตตนแทบจะหาไม่หากตัดฐานันดรยิ่งใหญ่และอำนาจที่มิอาจสั่นคลอนจำต้องจำกัดขุนนางผู้หนึ่งให้อยู่ในกรอบที่ฮ่องเต้วางไว้ เยี่ยนหลงเซียนย่อมเป็นห่วงเป็นใยหยางเจี้ยนจากใจจริง ไม่ต่างจากลุงห่วงหลานชายคนสำคัญหยางเจี้ยนเดินมาถึงหน้าพระพักตร์ก็คุกเข่าลง ทำความเคารพเต็มพิธีการ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“วันนี้เจ้ามาเข้าเฝ้าเราตั้งแต่ฟ้าสาง มีสิ่งใดหรือ? คงมิใช่ฟ้องร้องเรื่องที่ฮูหยินของเจ้าตกน้ำกระมัง? เรื่องนั้นเราส่งคนไปตรวจสอบและสืบสาวแล้ว น่าจะเป็นอุบัติเหตุ องค์หญิงเจ็ดเองก็ตกน้ำ ยามนี้อาการยังไม่ดี
ข้าคือหมิงเยว่ นางโจรสาวผู้ชั่วช้าจ้าวแห่งหุบเขาบนเกาะมรณะอันลึกลับกลางทะเล จอมยุทธ์หญิงผู้เก่งกล้าถึงขั้นถูกขนานนามว่า เงาดาบแห่งจันทราแต่กลับตายภายใต้คมกระบี่ของเขาแล้วอย่างไรเล่า?ข้าได้แต่คิดอย่างปลดปลงเพราะเขาคือหยางเจี้ยน แม่ทัพพยัคฆ์ร้าย ชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมสูงส่งผดุงความยุติธรรมให้แก่ใต้หล้ามาช้านาน แต่ไม่เคยระรานนางสักคราวาจาหนักแน่นดุจขุนเขา สัจจะมีค่ายิ่งกว่าทองคำ แม้ไม่เคยคบหาแต่กลับรู้ได้ไม่ยากชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเขามิใช่แค่ตำแหน่งแม่ทัพทว่าหมายถึงนิสัยใจคอ ต่อให้อยู่คนละฝ่ายกลับรู้สึกเลื่อมใสเจ้าของฉายาจอมกระบี่สุริยันการตายด้วยน้ำมือเขานั้นนับว่าไม่เสียชาติเกิดเท่าใด ทว่า...การกลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นภรรยาของเขา ต้องคลอดลูกให้เขาคืออันใด?ไม่จริงใช่ไหม?***จากใจนักเขียน‘บุพเพรักแม่ทัพสุริยัน’ เป็นเรื่องราวของแม่ทัพหนุ่มจอมเคร่งขรึมเย็นชาและยึดมั่นกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน แต่กลับต้องแต่งงานกับคุณหนูต่ำศักดิ์ผู้หนึ่ง ซึ่งนางผู้นี้แท้จริงคือร่างที่ถูกสวมวิญญาณของนางโจรจอมกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกสาว เมื่อถึงคราวที่ชายหญิงผู้ต่างกันสุดขั้วต้องอยู่ในรั้วเรือนเดี
เนินเขาหินปูนสูงตระหง่านเหนือพื้นน้ำสีคราม อันเป็นธรรมชาติสรรสร้างภูมิทัศน์ราวกับความฝันทะเลยามสายัณ อาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าและท้องทะเลกลายเป็นสีแดงโลหิต บรรยากาศเหนือมวลน้ำเยียบเย็นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะเรือรบขนาดใหญ่หลายลำเคลื่อนตัวล้อมรอบเข้ามา ทหารเกราะเหล็กรูปร่างกำยำสูงใหญ่บนเรือหลายร้อยชีวิตกำลังยกคันธนูขึ้นเตรียมยิง ทุกสายตามองปลายธนูอย่างแข็งกร้าว กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงเครียดอย่างยิ่งภายในหุบเขามรณะบนเกาะลึกลับกลางทะเลที่เคยเขียวชอุ่ม บัดนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดของเหล่าผู้คน กำเนิดธารโลหิตแดงฉานไหลหลากไปตามรากไม้สายลมเย็นเยียบม้วนตัวอย่างบ้าคลั่งราวพายุที่เก็บกดมาแรมปี หอบโชยทุกความหนาวเหน็บที่ผสานกลิ่นคาวคละคลุ้งทั่วบริเวณมาโอบรอบเรือนร่างระหงสีชาดนางคือหมิงเยว่เจ้าของหน้ากากเงินยวงดุจสีนวลแห่งดวงจันทร์ ผู้ยืนตระหง่านเบื้องหน้าสมุนโจรทุกคนท่ามกลางซากศพมากมาย ท่ามกลางชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ที่ฉีกขาดกระจายเกลื่อน ภายใต้ความรู้สึกอันหลากหลายที่สาดซัดอย่างคลุ้มคลั่งยามก้มมองเศษซากชีวิตที่สิ้นสูญของคนที่เคยคุยเล่น เคยหยอกล้อ เคยหัวเราะ เคยทะเลาะกันทุกวัน ท่ามกลางแสงแดดอันเดือดร
ห่างจากที่ซ่องสุม เหนือพสุธากลางหุบเขามรณะ ร่างระหงชุดดำคาดแดงยอมเผยตัวออกมาในที่สุดท่ามกลางฝุ่นดินสีดำจัดตลบฟุ้งหอบกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งโดยรอบบริเวณ แม่ทัพหนุ่มยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ลำตัวของเขาตั้งตรงเหนือกลุ่มทหาร รอบกายแผ่ซ่านความอำมหิตผสานกลิ่นอายสังหารแห่งเทพสงครามเหนือหมู่มวลในระยะสายตาคมกริบท่ามกลางแสงอาทิตย์คมกล้า เขามองเห็นสตรีผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งภายใต้แสงตะวันอยู่ตรงนั้น มองคล้ายราชันแห่งขุนเขา ประหนึ่งปราการหินที่ก่อตัวขึ้นปกปักษ์พิทักษ์ทุกสรรพสิ่งบนผืนพนาร่างสูงในชุดเกราะของแม่ทัพคุมทหารแคว้นเยี่ยนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับ ในขณะที่เรียวตาคมค่อยๆ หรี่แคบลงเพื่อเพ่งพิศนางภาพสะท้อนของนางให้ความรู้สึกคล้ายกำลังมองเห็นปีศาจสาวผู้ชื่นชอบคุกคามมนุษย์ ความเย็นเยียบยิ่งนานยิ่งแผ่กำจายความเย็นกระด้างคล้ายน้ำแข็งค้างเกาะกุมตรึงแน่นบนผิวหนังผู้คนนางชี้ดาบขึ้นฟ้ากล่าววาจาท้าทายต่อเขา“เจ้าเรียกข้าว่าผู้ร้ายต่ำช้า แต่สวรรค์ย่อมรู้ดี นรกยิ่งเห็นพ้อง ค่ายโจรจันทราแดงของข้าเหนือกว่ากองทัพทหารหลายขุมนัก”ทว่าชายหนุ่มยังคงมองนิ่งด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเจ้าของร่างระหงผู้มีหน้ากากเงินบดบังใ
การต่อสู้ของชายหญิงเกิดขึ้นเนิ่นนานเสียงสั่นครืนก้องหล้า คล้ายแผ่นดินสะเทือนกึกก้อง ดังลั่นสะท้านผืนป่าสะท้อนหุบเขาอยู่เช่นนั้นจังหวะพุ่งตัวเข้าปะทะและกรีดกระบี่ใส่กันในระยะประชิด ใบหน้าของพวกเขาแทบแนบสนิท ยังดีที่มีอาวุธคมกริบกางกั้น มิเช่นนั้นคงคล้ายกับทำสิ่งอื่นมากกว่าฆ่าฟันขณะดวงตาคมสบประสานดวงตางามภายใต้หน้ากากเงินคู่นั้น หยางเจี้ยนสัมผัสได้ว่าพลังทำลายล้างของสตรีตรงหน้าสูงกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มากทว่าเสียงสตรีกลับดังลอดไรฟันอย่างเรียบง่ายแต่หนักแน่นยิ่ง “ข้ามีหน้าที่ของข้า ท่านมีหน้าที่ของท่าน แม้เราสองไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ข้าจะติดตามท่านกลับเมืองหลวง ขอแค่วาจาสัตย์ เพียงท่านรับปากข้า”บุรุษแค่นเสียงรับ “ได้! ว่ามา”สตรีผละออกสะบัดดาบ ก่อนพุ่งเข้ามา กระบี่บุรุษกรีดอากาศทะยานรับรุก เกิดการปะทะราวอสนีบาตฟาด กำเนิดประกายแสงแปลบปลาบไม่จบสิ้น“ดี! ศึกนี้หนักหนา ข้ายอมตายภายใต้เงื้อมมือท่าน แลกกับผลงานใหญ่หลวงของท่าน แต่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติ ค่ายโจรแห่งนี้จะสิ้นสลายไปพร้อมกับชีวิตของข้า คนที่ตายล้วนตายไปถือว่าชดใช้กรรม แต่คนที่หายสาบสูญนั้น ขอแค่ท่านไม่ตามหาหรือหมายหัวพวกเขาอีก
การกำราบและปราบปรามสำนักยุทธ์ฝ่ายอธรรมอันดับต้นแห่งยุทธภพอย่างค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วเหนือคาดหมายการได้หัวของสุดยอดฝีมือสมญานามเงาดาบจันทรามาวางบนแท่นประหารย่อมหมายถึงการกำจัดค่ายโจรจันทราแดง หนึ่งในฝ่ายอธรรมที่สมควรล้มล้างอย่างที่สุดแห่งยุทธภพได้สำเร็จยามนี้ค่ายโจรเถื่อนที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดต่อการค้าทางเรือได้สิ้นสลายไปแล้ว ความรุ่งเรืองเหนือใครคงไม่ไกลความดีความชอบครั้งนี้จักรพรรดิเยี่ยนทรงพิจารณาปูนบำเหน็จให้ทุกคนที่ให้ความร่วมมืออย่างถ้วนทั่วงานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อมอบรางวัลถูกจัดขึ้นภายในส่วนหน้าของพระราชวังอย่างอลังการยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นคึกคัก สุรารสเลิศอาหารรสล้ำนางรำและนักดนตรีร่วมขับกล่อมผู้คนตั้งแต่ช่วงบ่ายจวบจนมืดค่ำฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนทรงตรัสชื่นชมผู้สร้างความดีความชอบอยู่หลายประโยคตามด้วยพระราชทานรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อแก่ข้าราชบริพารขุนนางและตัวแทนจากสำนักต่างๆ ของยุทธภพที่เข้ามาสวามิภักดิ์และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปราบกลุ่มโจรร้ายอันดับหนึ่งครานี้และที่ลืมมิได้เลยก็คือแม่ทัพหยางเจี้ยน จอมทัพผู้นำกองกำลังทหารไปเสี่ยงเป็นเส
ย้อนกลับไปก่อนมีราชโองการสมรสพระราชทานตั้งแต่มารดาสิ้นใจ ไป๋หมิงเยว่ที่เคยเป็นที่หนึ่งของจวนก็ถูกลดฐานะลงกะทันหัน นางที่กลายเป็นบุตรสาวของอดีตภรรยาเอกก็คล้ายตายทั้งเป็น เพราะบิดายกฮูหยินรองขึ้นเป็นใหญ่ในเรือนหลังทันที น้องสาวคนรองของนางจึงโดดเด่นขึ้นมาบดบังรัศมีของคุณหนูใหญ่อย่างนางจนมิดอำนาจจัดการในจวนล้วนตกอยู่ในมือฮูหยินคนใหม่กับบุตรสาวคนรองจนสิ้น บุตรสาวคนโตจากอดีตฮูหยินเอกจึงไร้ตัวตนเข้าไปทุกที ทุกวันบ่าวไพร่ยังแทบไม่เคยเห็นหน้างานเลี้ยงการเข้าสังคมล้วนเป็นฮูหยินที่เคยเป็นรองและน้องสาวผู้น่ารักสดใส บิดายังใส่ใจแค่พวกนางทั้งสองเมื่อฮูหยินรองให้กำเนิดบุตรชายอีกหนึ่งคน บรรยากาศภายในจวนไป๋สำหรับไป๋หมิงเยว่ยิ่งย่ำแย่คุณหนูใหญ่จึงคล้ายถูกขังให้อยู่ตำหนักเย็นก็ไม่ปานเหล่าบ่าวไพร่เห็นเจ้านายทำเยี่ยงนั้นก็ยิ่งเกียจคร้านไม่นำพาต่อคุณหนูใหญ่ของจวนผู้นี้ พวกเขาพร้อมประจบสอพลอเฉพาะนายหญิงที่มีอำนาจในกำมือ ผู้อื่นไร้อำนาจจะต้องสนใจไปไยกระนั้นไป๋หมิงเยว่ก็หาได้ใส่ใจบิดาและแม่เลี้ยงไม่ ยิ่งไม่ชายตาแลเหล่าบ่าวไพร่ในจวนที่เปลี่ยนไปมิใคร่นับถือหรือกริ่งเกรงนางเหมือนเดิมทั้งหลายเหล่านั้น เพรา
หลายวันผ่านไปในที่สุดไป๋หมิงเยว่ก็เริ่มคิดได้นางเปิดประตูห้องออกด้วยใบหน้าซีดเซียว เรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงยิ่งกว่าเดิมหลี่เฟยเทียนยังคงมาหานาง คลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ เหมือนไม่เคยทำเรื่องบัดสีอันใดมาก่อน“เยว่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็หายป่วยแล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบเลย กระนั้นข้าก็มาหาเจ้าทุกวัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บไข้หรือไม่?”ชายหนุ่มตรงเข้ามาจับมือเรียวเล็กอย่างห่วงใย แววตาสั่นไหว ประหนึ่งหากมิได้เจอกันอาจขาดใจตายได้จิ่นซินที่ติดตามคุณหนูของตนทุกยามเวลา ได้เห็นความจริงทุกสิ่งมาโดยตลอดก็ลอบถอนหายใจเบื่อหน่ายนางเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยจึงไม่สะดวกอะไรเท่าใด จึงได้แต่ทำตากะหลับกะเหลือกสีหน้าพิกลแล้วหลบเลี่ยงไปไป๋หมิงเยว่มองหน้าชายคนรักด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบแม้เป็นคนอ่อนแอเป็นแค่คุณหนูในห้องหอที่แสนจะบอบบาง แต่นางไม่คิดจะกักเก็บความปวดร้าวให้กลัดหนอง นางไร้ซึ่งความคิดประคองความรักจอมปลอมอย่างคนโง่งม คำถามแทงใจจึงเกิดขึ้นต่อหน้าบุรุษ“ท่านมาหาข้าหรือมาหาใครกันแน่ เฟยเทียน”เพียงวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา บุรุษพลันเบิกตากว้าง“เยว่เอ๋อร์....เจ้า...” เขาอึกอัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไ
ทางเดินทอดยาวลาดพรมตั้งแต่หน้าประตูห้องจนถึงโต๊ะทรงงาน เรือนร่างสูงใหญ่สง่างามของหยางเจี้ยนค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกลิ่นอายอันน่าเกรงขามตามธรรมชาติ ทว่าใบหน้าหล่อเหลาแลดูอิดโรยอย่างยิ่ง ฮ่องเต้เลิกคิ้วมองหากคนสำคัญของแว่นแคว้นล้มลงสักคนย่อมเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน จะอย่างไรหยางเจี้ยนผู้นี้พระองค์ก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก บิดาของเขายังเป็นสหายร่วมรบกันมากับพระองค์ความพิการของหยางจงยังคงเป็นบาดแผลในใจ เพราะอีกฝ่ายปกป้องพระองค์จนชีวิตตนแทบจะหาไม่หากตัดฐานันดรยิ่งใหญ่และอำนาจที่มิอาจสั่นคลอนจำต้องจำกัดขุนนางผู้หนึ่งให้อยู่ในกรอบที่ฮ่องเต้วางไว้ เยี่ยนหลงเซียนย่อมเป็นห่วงเป็นใยหยางเจี้ยนจากใจจริง ไม่ต่างจากลุงห่วงหลานชายคนสำคัญหยางเจี้ยนเดินมาถึงหน้าพระพักตร์ก็คุกเข่าลง ทำความเคารพเต็มพิธีการ “ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”“ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถอะ”“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”“วันนี้เจ้ามาเข้าเฝ้าเราตั้งแต่ฟ้าสาง มีสิ่งใดหรือ? คงมิใช่ฟ้องร้องเรื่องที่ฮูหยินของเจ้าตกน้ำกระมัง? เรื่องนั้นเราส่งคนไปตรวจสอบและสืบสาวแล้ว น่าจะเป็นอุบัติเหตุ องค์หญิงเจ็ดเองก็ตกน้ำ ยามนี้อาการยังไม่ดี
แม้ใจสู้ไม่ยอมถอย จิตวิญญาณไม่ยอมอยู่เฉย ทว่าร่างกายไม่พร้อม ไหนเลยจะต่อกรได้รุ่งสางวันต่อมา หมิงเยว่จึงนอนซมลุกไม่ขึ้น ตัวร้อนดุจเพลิงลุกโชนท่วมร่างเพราะพิษไข้กำเริบอีกระลอกหนังตาหนักอึ้งจนขนตายาวงอนระริกไหวอย่างคนต้องการตื่นแต่ลืมตามิได้ทำเอาหัวใจในอกบุรุษปวดเกร็ง เรียวคิ้วเข้มขมวดเครียดยามมองใบหน้าแดงก่ำเพราะพิษไข้รุมเร้ารุนแรงของคนเป็นภรรยาท่านหมอหญิงวัยกลางคนผู้เดิมรีบเร่งเข้ามาดูอาการทันทีที่จิ่นซินออกไปตามหยางเจี้ยนที่ยืนหน้าเตียงเบี่ยงตัวหลบเอ่ยเสียงเรียบ “รบกวนท่านหมอด้วย”หมอหญิงน้อมรับ “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ”จากนั้นในห้องจึงเหลือเพียงคนป่วยกับหมอหญิงและสาวใช้ ส่วนหยางเจี้ยนซึ่งช่วยอันใดมิได้มากกว่ายืนมองพลันรีบเร่งออกจากจวนไปอย่างเงียบเชียบใช้เวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็เดินทางมาถึงวังหลวงยามนี้ยังไม่ถึงเวลาออกว่าราชการในท้องพระโรง ฮ่องเต้ยังทรงประทับที่ห้องพระอักษรบุรุษวัยกลางคนในฉลองพระองค์มังกรทองอร่ามกำลังนั่งกุมขมับขบกราม รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างยิ่งขันทีคนสนิทเดินเข้ามาค้อมเอวกล่าว“ฝ่าบาท อย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนตรัสเสียงเข้ม “จะมิให้เรา
นั่งเฝ้าดูแลเตาอุ่นให้คนเป็นภรรยาอยู่ครึ่งค่อนคืน ในที่สุดนางก็ตื่นขึ้นมาหยางเจี้ยนที่นั่งเฝ้าหน้าเตียงรีบรินน้ำอุ่นใส่ถ้วย บนโต๊ะกลมยังมีเตาเล็กต้มน้ำชา ถัดมาคือกาต้มน้ำขิง เตาเล็กเรียงรายคือกาต้มยาสมุนไพรตามใบสั่งของท่านหมอคนป่วยไม่จำเป็นต้องฝังเข็มจึงไม่ต้องตามหมอ แต่เขาไม่เคยต้องดูแลใครแบบนี้จึงไม่แน่ใจว่าแรกตื่นลืมตาคนป่วยต้องการสิ่งใด“เจ้าอยากกินอะไรหรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้ายังสั่งคนไปตุ๋นเนื้อแพะเอาไว้ ให้ยกเข้ามาเลยไหม?”จบคำก็ลุกขึ้นไปสั่งการให้คนยกเนื้อแพะตุ๋นเข้ามา โดยไม่ดูยามเวลาว่าดึกดื่นปานใด ขอเพียงภรรยาอิ่มท้อง ชดเชยยามเย็นและหัวค่ำที่นางเอาแต่หลับมิได้กินอะไร“เนื้อแพะมีฤทธิ์อุ่นช่วยขจัดพิษเย็นได้ ข้าสั่งให้ครัวตุ๋นไว้แล้วบดละเอียดใส่ในโจ๊กเคี่ยวรอจนเจ้าตื่นมากิน”หมิงเยว่เห็นสามีผู้ดุดันดูแลปรนนิบัติเช่นนี้ก็อึ้งงัน ความรู้สึกน้อยใจที่ก่อนหน้านี้เขาหายตัวไปพลันมลายสิ้น“ท่านเฝ้าข้าตลอดเลยหรือ?”“ย่อมใช่” กล่าวพลางใช้ผ้าซับเหงื่อให้คนบนเตียง “เจ้ามีสิ่งใดฟ้องร้องข้าหรือไม่? องค์หญิงเจ็ดกลั่นแกล้งเจ้า ผลักเจ้าตกน้ำ ยังสั่งคนลอบทำร้ายเจ้าถูกไหม? ขอเพียงเจ้ายืนยันข้าจะ
ทางฝั่งของหยางเจี้ยน เขาเพียรจดจำทุกคำพูดของหมอหญิงอย่างดี แม้ใบหน้าจะกำลังแดงเรื่อไปหมด“โรคสตรีเช่นนี้ ฝ่ายสามีจำต้องพึงระวังเป็นพิเศษ สามเดือนควรงดร่วมหอเด็ดขาด เพราะหากตั้งครรภ์ขึ้นมา ฮูหยินอาจแท้งได้ และเมื่อแท้งแม้เพียงครั้งโอกาสตั้งครรภ์ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกเลย พ้นสามเดือนอันตรายยามร่วมเตียงยังต้องนุ่มนวลอ่อนโยน ทำอย่างทะนุถนอมใส่ใจ ห้ามรุนแรง และที่สำคัญ ต้องจำกัดคืนละสามครั้ง”สมเป็นท่านหมอ เพียงมองปราดเดียวก็รู้แจ้งว่าบุรุษคู่สนทนากร้าวแกร่งเปี่ยมพลังปานใดเว้นสามเดือนไม่พอ ยังบอกรักได้แค่คืนละสามครั้ง ช่างน้อยยิ่งนัก!บุรุษหนุ่มเม้มปากเงียบงันสีหน้าถมึงทึงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตอบรับ หมอหญิงก็เริ่มเสียงเข้ม “ท่านแม่ทัพ...”หยางเจี้ยนตอบเสียงเนือย ท่าทีคล้ายนักรบพ่ายศึก “ข้าทราบแล้ว...”หลังตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้จิ้นเหอไปส่งท่านหมอกลับเรือนพำนักชั่วคราวเนื่องจากอีกฝ่ายมิใช่หมอประจำจวนแต่หยางเจี้ยนเชิญมาเป็นกรณีพิเศษ จึงต้องขอร้องให้อีกฝ่ายอยู่ต่อจนกว่าภรรยาของเขาจะหายจากพิษไข้ มิต้องนอนซมอีกส่วนสามเดือนนับจากนี้ย่อมต้องเป็นเขาที่รับหน้าที่ละเว้นนางอย่าง
เจียวหั่วแย้มยิ้มเอ่ยไปทางแม่สามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานอย่างมีหลักการและเหตุผลว่า“การมีทายาทเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด หากคนเป็นภรรยาไม่อาจมีบุตรให้สามีได้ง่าย ต่อให้วันนี้รักมากเพียงใด รักจนรอได้ถึงปีสองปีหรือสิบปี วันหน้าก็ยังต้องตัดใจอยู่ดี มิสู้อาศัยวันนี้ที่ร่างกายยังหนุ่มแน่นแข็งแรง บุตรชายที่เกิดมาย่อมเฉลียวฉลาดเก่งกาจทุกด้านเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำตระกูล ตัวข้าเองก็เป็นกังวลแทนเจี้ยนเอ๋อร์เสมอมา รอว่าเมื่อใดเขาจะมีเจ้าก้อนแป้งสืบสกุลที่แข็งแรงปราดเปรื่องเสียที หากถึงวันดีๆ วันนั้น ทุกคนในจวนย่อมมีความสุขเหลือเกินเจ้าค่ะ”ยิ่งเจียวหั่วพูดฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งพยักหน้าเห็นด้วย นางดึงมือของสะใภ้คนรองมาตบเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชมอีกฝ่ายอย่างมาก“ช่วงนี้เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้ารู้สึกสบายใจจริงๆ ไม่เสียแรงที่บุตรชายคนรองของข้าปักใจเพียงเจ้า เอาเถอะ! ที่เจ้าพูดมาล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น ข้าเองก็ตระหนักลึกซึ้ง”นางหันไปทางฟางเหนียง “สะใภ้ใหญ่ก็ช่วยเร่งมือจัดหาหลานสะใภ้คนใหม่ให้หลานชายของข้าด้วยล่ะ อย่าชักช้าเชียว”ช่างบังอาจยิ่งนัก หลานชายเจ้าแต่บุตรชายข้ามิใช่รึ? ฟางเหนียงพยายามรักษาสีหน้ามิให้บึ้งตึง
เห็นได้ชัดเจนว่าเขารักใคร่ภรรยาเอกยิ่งนัก หากรับภรรยารองหรืออนุเพิ่ม มิเป็นการฝืนใจหรืออย่างไรฟางเหนียงอดรนทนมิได้จึงไต่ถามจากหมอหญิงอีก“ท่านหมอพอมีวิธีรักษาลูกสะใภ้ของข้าหรือไม่? ต้องจ่ายเงินเท่าใดสกุลเราล้วนไม่เกี่ยง”ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะตอบคำถามนั้น เจียวหั่วพลันเอ่ยแทรก “สะใภ้ใหญ่อย่าได้กังวลจนเกินไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้มิใช่ไม่เคยเกิดกับสตรีใด หากสะใภ้ไป๋ไม่อาจมีบุตรได้ก็แต่งอนุเข้ามาให้เจี้ยนเอ๋อร์เท่านั้น ไม่ยากสักนิด”นางผูกใจเจ็บเรื่องซู่หลินไม่คลาย เพราะหมิงเยว่! สามีของนางจึงรับอนุเข้าเรือน ดังนั้นจึงกัดไม่ยอมปล่อยหยางเจี้ยนต้องมีอนุเช่นกันถึงจะสาสม!เจียวหั่วยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนแขวนใบหน้ายามเอ่ย “อีกอย่าง ต่อให้มีบุตรสาวได้แต่มิใช่บุตรชาย จะอย่างไรก็ต้องหาสตรีอื่นมาช่วยอยู่ดี เรื่องเฟ้นหาสตรีที่เหมาะสมกับเจี้ยนเอ๋อร์ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทมอบเป็นธุระให้ข้าจัดการในลำดับแรกก็ได้เจ้าค่ะ ส่วนคัดเลือกลำดับสุดท้ายแล้วแต่สะใภ้ใหญ่จะพิจารณา ดีหรือไม่เจ้าคะท่านแม่”ท้ายประโยคนางหันไปเอ่ยสำทับกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อมฟางเหนียงได้ฟังก็ขมวดคิ้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับพยักห
จวนติ้งอานโหวสกุลหยางไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หมิงเยว่ค่อยๆ ตื่นลืมตาขึ้นมา นางจำได้คลับคล้ายคลับคลาถึงอ้อมแขนอบอุ่นที่คุ้นเคย เป็นหยางเจี้ยนที่ช่วยนางไว้จากใต้น้ำอันเย็นเยียบแห่งนั้นเขาโอบกอดนางตลอดทางที่นั่งรถม้าแล้วเร่งกลับจวนด้วยกัน โดยไม่สนใจงานยิ่งใหญ่ประจำปีอันใดทั้งสิ้นต้นฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ กระแสน้ำเย็นจัดเหลือเกิน แม้ไม่เย็นเยียบเทียบเท่าฤดูหนาว ทว่ากลับคล้ายดั่งคมมีดนับพันกรีดเข้าผิวเนื้อก็มิปาน ช่างน่าเจ็บใจที่ร่างใหม่ผู้นี้อ่อนแอเปราะบาง กอปรกับไม่ได้พูดนานเกินไป เสียงเล็กจึงดังขึ้นแผ่วพร่า สติยังไม่ครบครันเท่าใด“ท่านพี่...”“ฮูหยินน้อย” จิ่นซินรีบเข้ามาดูแลนายสาวของตน “ท่านแม่ทัพไม่อยู่เจ้าค่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หมิงเยว่ได้ยินว่าหยางเจี้ยนไม่อยู่พลันเลือดลมตีขึ้นจนหายใจไม่ออก ภรรยาป่วยอยู่นะ สามีไปไหนเสียเล่า?ขณะกำลังน้อยอกน้อยใจอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครอยู่บนเตียงนอน หมอหญิงผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาตรวจอาการอย่างละเอียดลออ ระหว่างจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักไม่นานก็เก็บเครื่องมือใส่ล่วมยาแล้วโค้งกายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ทิ้งไว้แค่ใบสั่งยาบำรุงหลายแผ่น เพียงป
เมื่อคนที่หมายปองหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย โม่เฟิงจึงแค่นสบถในลำคอ ก่อนกลั้นหายใจว่ายน้ำหมุนกายแล้วไปต่อ โดยไม่รอให้ม่านน้ำที่หมุนวนชะลอตัวจนกระทั่งถูกหยางเจี้ยนจดจำใบหน้าได้อีกฝ่ายย่อมพะวงเพียงภรรยา ส่วนเขาแค่เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ งานที่พลาดก็แค่เงินจำนวนหนึ่งที่สูญเสียไป วิธีชั่วช้าเพื่อหาเงินมาเติมเต็มคลังตนยังมีมากมายนับไม่ถ้วนทันใดนั้น สายตาบุรุษพลันจับจ้องที่ดรุณีผู้หนึ่งนางผู้นั้นกำลังตะเกียกตะกายตีน้ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยเหลือเพียงชุดชั้นกลาง เผยผิวเปลือยขาวเนียนกระจ่างตา เห็นเอี้ยมสีสดรำไร ปลายเท้าที่ส่ายไปมายังไร้รองเท้าหุ้มไว้ มองไล่ขึ้นลงเห็นเรียวขาคู่นั้นที่กางเกงถูกมวลน้ำรั้งขึ้นจนเผยโคนขาอ่อนนวลเสลาอันงดงามเหนือเข่า ยิ่งนางตะกุยน้ำยิ่งเผยรูปร่างอ้อนแอ้นโค้งเว้าอรชร ทุกส่วนงดงามดั่งหยก นุ่มนวลบาดตากรีดใจ โม่เฟิงเบิกตาชะงักงันจนสำลักน้ำจังหวะนั้นกลุ่มองครักษ์มากมายพลันถลันเข้ามา แต่ละคนล้วนมีเป้าหมายตรงเข้าช่วยเหลือสตรีผู้นั้น“องค์หญิงเจ็ด!”“เร็ว! รีบช่วยองค์หญิง”“คุ้มครององค์หญิง!”โม่เฟิงผู้ชื่นชอบการล่าเหยื่อกระต่ายน้อยแสนงาม มีหรือจะยอม ก่อนที่ผู้ใดจะมาถึง
ทันทีที่มีสตรีตกน้ำ นั่นย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้โม่เฟิงลงมือ เป้าหมายคือฮูหยินคนงามของหยางเจี้ยนเขามิได้คิดทำให้อีกฝ่ายจมน้ำตายคล้ายอุบัติเหตุตามคำสั่งโหด แต่จะทำให้นางกลายเป็นของเขาเท่านั้นพอการทำตัวหยาบช้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่นมิใช่เรื่องยาก การครอบครองสตรีสักคนย่อมทำง่ายแค่พลิกฝ่ามือเช่นกันชายหนุ่มเคยเป็นอดีตโจรในหุบเขามรณะกลางทะเล เช่นนั้นด้วยพละกำลังและทักษะการว่ายน้ำรวมถึงการดำน้ำลอบโจมตีย่อมเหนือชั้น เพียงพริบตาร่างสูงก็พุ่งปราดเข้าใกล้เป้าหมายได้อย่างง่ายดายฝ่ามือใหญ่ที่มีเรียวนิ้วแกร่งดุจกรงเล็บพญาเหยี่ยว โจมตีรวดเดียวพลันถึงลำคอระหงของโฉมงาม เพื่อดึงนางขึ้นเหนือน้ำแล้วกอดรัดให้หนำใจแต่แล้วเขาพลันต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเพียงหันมองด้วยสายตาเย็นเยียบหาได้สะทกสะท้านไม่แน่งน้อยผู้นี้กำลังทำตัวคล้ายปีศาจวารีที่จมดิ่งแน่นิ่ง ดวงตานางจ้องมาที่เขาปราดหนึ่งก่อนสะบัดเสื้อผ้าหรูหราในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดีแล้วเอื้อมมือมาจับข้อมือของเขาออกจากลำคอของนางอย่างรู้จุดอ่อนที่สามารถยับยั้งเขาได้เป็นไปได้อย่างไร?ชั่วขณะที่โม่เฟิงกำลังผงะตกตะลึงด้วยคาดไม่ถึง หมิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงขีดจำกัดข