‘องค์ชายไท่หยาง’ ต้าซื่อ-องครักษ์ที่ติดตามพระองค์หลายปียืนมองผู้เป็นนายอย่างประหลาดใจ เพียงชั่วพริบตาที่หญิงสาวนางหนึ่งตกน้ำ ผู้เป็นนายถึงกับกระโจนลงน้ำไปช่วยด้วยพระองค์เอง แต่พอเขาแลเห็นเสี้ยวหน้าของหญิงสาวที่สั่นสะท้านในอ้อมกอดขององค์ชาย เขาก็ต้องตกใจหนักเข้าไปอีก “แม่นางเคอ!” “ข้าจะพานางกลับที่พัก เจ้าไปบอกหญิงรับใช้ของนางให้รีบตามมา” “พ่ะย่ะค่ะ” ต้าซื่อรับคำสั่ง เขาเข้าใจว่านางเป็นคนของสกุลจ้าว ติดตามจ้าวฮูหยินเข้าวังมาด้วย เขาจึงรีบกลับเข้าไปในงานเลี้ยงอย่างรวดเร็ว “ปะ...ปล่อย...ปล่อยหม่อมฉัน” แม้เจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ความเจ็บปวดนี้กลับเรียกสติของนางให้รู้ว่าตนเองกำลังอยู่กับผู้ใด “หม่อมฉันไม่เป็น...ไม่เป็นอะไร...เพคะ” นางกัดฟันไม่ให้ได้ยินเสียงฟันกระทบกันเพราะหนาวสั่น “ไม่เป็นได้อย่างไร เจ้าตัวสั่นออกอย่างนี้” เสียงสูดลมหายใจลึกข่มโทสะ เหตุใดถึงโกรธนางนักนะ “หม่อมฉันกลับเองได้เพคะ” เคอหลิ่งหลินยืนยันทั้งที่สองขาแทบไร้แรงทรงตัว แต่กระนั้นก็ยังเม้มปากแน่นจนเรียบตึงเพื
“คุณหนูเจ้าคะท่านเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงชุนเอ๋อร์ดังอยู่ด้านนอก เคอหลิ่งหลินสบตากับดวงตาคบกริบคู่นั้นแล้ว เขานั่งอยู่ขอบเตียงแต่นางไม่มีแรงยันตัวเองขึ้นจากที่นอน“ไม่...ไม่มีอะไร ข้าจะนอนแล้ว”สิ้นเสียงของนาง มือใหญ่ยกขึ้นสะบัดเพียงเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไปเหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง นางอยากจะหัวเราะแต่ทำไม่ได้ เขาเคยพร่ำเตือนนางให้เข้าทางประตู แต่ครั้งนี้เป็นเขาที่เข้ามาทางหน้าต่าง เวลานี้เขาไม่เหมือนคนเจ็บป่วยอ่อนแอเลย“เจ็บตรงไหน?” น้ำเสียงนั้นไม่อ่อนโยนสักนิด มิใช่คำถามแต่เหมือนคาดคั้น นางเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อจะอ้าปากกัดริมฝีปากตัวเองกลั้นเสียงร้องแห่งความทุกข์ทรมาน ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับส่งนิ้วตนเองขวางไว้ให้นางงับแทนเสียนี่“อย่า! เจ้าอาจกัดลิ้นตัวเองได้” ใช่ นางมิได้กัดลิ้นตนเอง แต่กัดนิ้วของเขาแทนเพราะกัดเข้าไปเต็มแรงจนรู้สึกถึงรสคาวในปาก ริมฝีปากที่ซีดนั้นกลายเป็นสีแดงชาดเพราะเลือดของเขา นางอ้าปากออก มองใบหน้าของเขา เขาไม่ใช่ ‘คุณชายเฉิน’ ของนาง เขาเป็นองค์ชายไท่หยาง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ต่างหาก นางเจ็บปวดและเจ็บใจ ช่างโง่นักไยไม่ใช้สมองน้อยๆ คิดบ้างล่ะว่
“เจ้าได้ยินชัดแล้ว” เคอหลิ่งหลินถอนหายใจเบาๆ“แต่ข้าอยากพบองครักษ์ของเขามากกว่า” “คุณหนูจะพบคนผู้นั้นทำไมเจ้าคะ” “ข้ามีเรื่องต้องสอบถามเขา” แล้วนางก็หุบปากลง เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากพูดมากเกินไป “เจ้านี่ช่างซักข้าเหมือนท่านแม่เสียจริง” “ก็จริงนี่เจ้าคะ ท่านจะไปพบชายหน้าตาโหดแถมไร้กิริยามารยาทอย่างคนผู้นั้นทำไมกัน” ชุนเอ๋อร์เบ้ปากทำจมูกย่น “หิ้วข้ามานี่ถามข้าสักคำไหมว่าเจ็บหรือเปล่า” เคอหลิ่งหลินเห็นท่าทางกระฟัดกระเฟียดของชุนเอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เขาเป็นองครักษ์ จะให้ทำตัวนุ่มนิ่มเป็นขันทีได้อย่างไรกัน” นางหยอกล้อสาวใช้ประจำตัว “แหม! ทะนุถนอมบ่าวหน่อยก็มิได้ หิ้วมาอย่างกับข้าเป็นกระต่ายจะเอาไปเชือดอย่างไรก็ไม่รู้ หน้าตาบึ้งตึงผิดกับองค์ชายไท่หยางที่หล่อเหลาสง่างามยิ่งนัก” “เจ้านี่ก็เปรียบเทียบไปได้ คนผู้นั้นเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้อย่างไรก็ต้องดีกว่าองครักษ์อยู่แล้ว” ใช่ ก็มีแต่นางที่โง่งมดูไม่ออกว่าเขาเป็นใครมาตั้งสองปี “แล้วทำไมท่านไม่ไปหาองค์ชายไท่หยางละเจ้าคะ จะไ
“เออนะ...แม่เคยได้ยินว่าองค์ชายไท่หยางสุขภาพไม่แข็งแรง ทรงมาพักฟื้นแถบชายแดนบ่อยๆ เพราะมีบ่อน้ำพุร้อนที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดี เจ้าชอบเข้าป่าไปฝึกเพลงขลุ่ยนี่เคยพบองค์ชายบ้างหรือไม่ หลินเอ๋อร์” ร่างที่สวมอาภรณ์งดงามไม่แพ้องค์หญิงใดถึงกับสะดุ้ง นางพยายามซ่อนอาการไม่ให้ผิดปกติ แต่ช้าไปแล้ว ทุกอากัปกิริยาของนางนั้นอยู่ในสายตาของผู้เป็นแม่และบ่าวรับใช้ที่ติดตามมานาน “ขะ...ข้า...มะ...ไม่... ไม่เคยเจอองค์ชายเสียหน่อย”นางถึงขั้นกับพูดไม่ออก ใช่ๆ นางมิได้โกหกเพราะคนที่นางเจอคือคุณชายเฉิน หากรู้ว่าเขาเป็นถึงองค์ชาย นางรึจะกล้าเข้าไปใกล้ขนาดนี้เพราะไม่ต้องการถูกซักถามอะไรอีก นางรีบเดินออกมาแต่ก้าวพ้นประตูไปแค่ครึ่งก้าวก็ต้องหันกลับมาทางฮูหยินอี้ซิ่วและชุนเอ๋อร์ “ข้าจะไปพบองครักษ์ขององค์ชายไท่หยางได้ที่ใด” ทั้งฮูหยินอี้ซิ่วกับชุนเอ๋อร์มองหน้ากันแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เสียงหัวเราะของทั้งสองทำให้เคอหลิ่งหลินได้แต่เม้มปากตัวเองแน่นจนเรียบตึงข่มความเขินอายที่เกิดขึ้นในใจ ท่าทางตอนนี้ของนางนั้นน่ารักเสียจนฮูหยินอี้ซิ่วอยากให้สามีนางได้
“หม่อมฉันขอยืมตัวองครักษ์ของพระองค์สักครู่เพคะ”“?!?”คิ้วเข้มเรียวยาวเป็นระเบียบขมวดกันด้วยความงุนงง ไท่หยางเห็นว่านางพูดจริง จึงปรายตามองไปทางองครักษ์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หากสายตาของผู้เป็นนายคมดุจลูกธนู ต้าซื่อรู้สึกได้เลยว่ามันพุ่งตรงเสียบหน้าอกของเขาดัง ฉึก! เลยทีเดียวเคอหลิ่งหลินไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องสูดลมหายใจลึกและแรงแบบนั้น สีหน้าดูไม่พอใจอย่างมากหรือว่านางมาไม่ถูกเวลา “หม่อมฉันมีเรื่องต้องสนทนากับเขาสักครู่ หวังว่าจะไม่ทำให้พระองค์ขุนเคืองพระทัย” องครักษ์ร่างใหญ่เห็นผู้เป็นนายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตแล้ว เขาจึงก้าวเท้าเข้าไปทางเคอหลิ่งหลินที่มีหญิงรับใช้ตามติดมาด้วย เขาผายมือเชิญให้นางเดินตามเขาไปอีกด้านหนึ่งของบริเวณสวน เมื่อเคอหลิ่งหลินมั่นใจว่าบริเวณนี้ไม่มีผู้อื่นที่จะได้ยินแล้วจึงหันไปสั่งชุนเอ๋อร์ให้รออยู่ห่างสักหน่อย“แต่...ท่านหญิง”“ไม่มีอะไรหรอก เจ้ารออยู่นั้นสักประเดี๋ยวเถอะ”“เจ้าค่ะคุณหนู” ชุนเอ๋อร์จำใจรับคำสั่ง แต่เมื่อเงยหน้าเห็นคนตัวใหญ่ยักษ์ก็แอบแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ ต้าซื่อได้แต่งุนงงกับคนติดตามของเคอหลิ่งหลิน“นางแค่เป็นห่วงข้า ไม่มีอะไรหรอก” เคอหลิ่งหลินหัวเราะเ
ไท่หยางเจตนาพูดให้เคอหลิ่งหลินได้ยินชัดทุกถ้อยคำ นางเพียงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็หุบปากยืนนิ่งราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่นางทำไว้กับเขา หากนางเป็น ‘เคอหลิ่งหลิน’ คนเดิมของเขา นางจะพูด...พูด...พูดทุกอย่างที่รู้สึก ไม่ใช่อ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ “ตายจริงให้หม่อมฉันทำแผลให้เถิดเพะคะ ปล่อยทิ้งไว้หากแผลติดเชื้อมาจะรักษายากนัก” ถ้าเขาเป็น ‘คุณชายเฉิน’ ของนางละก็...นางคงไม่ต้องกล้ำกลืนถ้อยคำไว้จนเต็มกระพุ้งแก้มแบบนี้หรอก “หม่อมฉันมารบกวนเวลาของพระองค์นานแล้วขอตัวกลับก่อนเพคะ” เคอหลิ่งหลินหุนหันหมุนตัวเดินออกไป แต่นางนึกขึ้นได้ก็เดินกลับมายอบคารวะองค์ชายไท่หยางก่อนสะบัดหน้าเดินเร็วๆออกมา ชุนเอ๋อร์แทบจะวิ่งตามเลยทีเดียว “คุณหนู รอบ่าวด้วยซิเจ้าคะ” เคอหลิ่งหลินเดินออกมาได้หลายก้าว ใจที่เต้นแรงก็เริ่มเบาลง เป็นนางที่กัดนิ้วของเขา แต่เขานั้นแหละยื่นนิ้วให้นางกัดทำไม พอนึกถึงรอยช้ำสีเขียวที่รอบนิ้วของเขาก็อดเป็นกังวลไม่ได้ หญิงสาวหันกลับไปมองตำหนักขององค์ชายไท่หยาง กวาดตามองรอบๆ แล้วแอบยิ้มนิดๆ รอยยิ้มของเคอหลิ่งห
“อยู่ในอ้อมกอดข้า ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้น ข้าเพียงแต่ช่วยเจ้ามิให้ทหารยามเห็นเจ้าก็เท่านั้น”“ขอบพระทัยที่ช่วยเหลือเพคะ” ทำบ่อยละซิ! ชิ! นางเม้มปากกัดกลืนคำพูดที่คิดไว้ลงท้องเสียหมดสิ้น“ข้างนอกอากาศเย็น เข้าไปในตำหนักเถิด” เขายอมถอยให้ก่อน แต่ไหนแต่ไรนางมักเอาอกเอาใจเขาเสมอ ตั้งแต่พบหน้ากัน ได้รู้ฐานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย ยังมิได้พูดจากันดีๆ สักคราเดียว“พระองค์รู้ว่าหม่อมฉันจะมาหรือเพคะ” นางถามอย่างแปลกใจ มองไหล่ซ้ายที่มือใหญ่ประคองให้ก้าวเดินไปข้างหน้า “หม่อมฉันเดินเองได้ มิต้องลำบากพระองค์ประคองให้เช่นนี้ก็ได้”บุรุษหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แต่มิยอมปล่อยให้หญิงสาวเดินเองตามลำพังตามที่นางร้องขอ“เมื่อคราวที่ดวงตาของข้าพร่าเลือน ข้าก็ห้ามมิให้เจ้าประคองข้า แล้วเจ้ายอมทำตามที่ข้าขอหรือไม่”“ตะ...ตอนนั้น...มัน...มันไม่เหมือนตอนนี้นี่เพคะ” นางเถียงตะกุกตะกักหญิงสาวยอมเดินเข้ามาในตำหนักอย่างว่าง่าย ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดแค่ว่าจะเอายาสมานแผลมาแอบวางไว้ให้เขา แต่เมื่อถูกจับได้แล้ว นางก็เป็นอันทำสิ่งใดไม่ถูก ไท่หยางพาหญิงสาวเข้ามาในห้องทรงอักษรที่เขาทำงานอยู่และแ
“ไยตอนที่เราพบกันเจ้ามิเคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้”“ไม่สำคัญอันใด ข้าก็มิได้โกหกอะไรท่าน ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว” หญิงสาวไหวไหล่ “ท่านจะเห็นข้าเป็นคนเลี้ยงม้าหรือบ่าวไพร่ก็หาใช่เรื่องที่ข้าใส่ใจ ทีท่านเองก็มิเคยบอกข้าว่าท่านเป็นใคร”“น้ำเสียงเจ้าเหมือนเคืองข้าอยู่นะ”“เปล่าเสียหน่อย ท่านคิดไปเอง” นางแย้มยิ้ม ราวกับเด็กน้อย “ไหนๆ ข้าก็ทำนิ้วท่านเจ็บ ข้าเขียนแผนที่ให้ท่านใหม่ก็แล้วกัน เส้นทางบ้างเส้นเป็นความลับทางการทหาร แต่ในฐานะที่ท่านเป็นองค์ชาย ข้าคงเปิดเผยได้ไม่ผิดกฏอะไร”นางนั่งลงแล้วพับแขนเสื้อขึ้น หยิบพู่กันแล้วจุ่มหมึกวาดเส้นทางใหม่ลงบนกระดาษ“ได้ยินว่าท่านเตรียมเรื่องที่จะไปช่วยชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วม ข้าจะเขียนแผนที่เส้นทางลัดให้จะย่นเวลาได้หนึ่งหรือสองวันเลยทีเดียว”ไท่หยางนั่งลงเคียงข้างเคอหลิ่งหลิน ข้อมือที่จับพู่กันตวัดพลิ้วไปมาปรากฏเส้นทางที่เข้าใจได้ง่าย แม้จะมองเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง“เรื่องแต่งโคลงกลอนหรือเขียนภาพข้าไม่ถนัด แต่ถ้าเป็นเรื่องแผนที่ข้าชำนาญนัก” นางพูดอวดตัวแต่กลับหัวเราะอย่างร่าเริง“ข้ามักเดินทางคนเดียว แฝงตัวกับช