ไม่ทันได้ส่งเสียงหวีดร้อง ขาก็ไม่ยอมขยับหนี ทำได้แต่หลับตาปี๋อยู่อย่างนั้น แต่เพียงอึดใจร่างนางก็ถูกรวบไปปะทะกับแผงอก หญิงสาวลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าคมคายก้มมองนางด้วยสายตาตำหนิ นางก้มหน้างุดทั้งที่หัวใจเต้นรัว แต่เมื่อตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้น ได้ยินเสียงโอดครวญของหมอผีผู้นั้นที่นอนคลุกฝุ่นแบบไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าไปช่วย คงไม่ต้องถามว่าเขาปกป้องนางได้อย่างไร วิทยายุทธ์ระดับรองแม่ทัพแล้ว แค่นี้ไม่คณามือของเขาแน่ เพียงแต่...เขาอยู่ที่ใดกันถึงได้มาช่วยนางได้เร็วนัก “เห็นคนถือมีดพุ่งเข้าใส่ไยไม่หลบ เนื้อตัวทำจากเหล็กกล้าหรือไรกัน” นางอ้าปากจะเอ่ยขอบคุณ แต่พอได้ยินเขาดุ หญิงสาวก็หุบปากแล้วสะบัดหน้าหนี ถ้านางขยับเท้าได้ก็ไม่ต้องมายืนให้เขาทำหน้าดุใส่แบบนี้หรอก! ชิ! เห็นท่าทางของนางแล้วเขาก็กลั้นหัวเราะ แต่เพราะต้องแสร้งทำหน้าขึงขังอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงแหงนหน้าหัวเราะลั่นไปแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้ นางกลัวจนขยับเท้าไม่ได้ แม้เขาจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่นางอยู่ในสายตาของเขาตลอด มีหรือที่จะยอมให้มีอันตรายใดมาแตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ “เจ้า! เจ้า
“เจ้าเป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนี้” เขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ ยื่นหลังมือมาแตะหน้าผากของนาง “ตัวก็ไม่ร้อนนี่”“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” นางยกมือขึ้นปัดมือเขาไม่จริงจังนัก“มองหาข้าอยู่ใช่ไหมล่ะ” เขาพูดขึ้น แม้น้ำเสียงราบเรียบแต่แววตามีประกายเจ้าเล่ห์“ไม่ใช่เสียหน่อย” นางก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่ประคองไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง“เจ้านี่นะ” เขาหัวเราะออกมา นอกจากจะขี้เหนียวคำขอบคุณแล้วยังไม่ยอมรับความจริง เขาแอบมองอยู่ตั้งนาน เห็นนางยืนเหมือนเด็กหลงทางแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่พอเห็นสีหน้าของนางเหมือนเจ็บปวด เขาก็แทบกระโจนมาหานางในทันที เมื่อเห็นว่านางปากแข็งไม่ยอมรับความจริง เขาก็ได้แต่เดินนำทางให้นางกลับไปที่กระโจมที่พัก มองเห็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นางถือมาแล้วก็ก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เขาจับไหล่นางให้เดินเข้าไปในกระโจม“รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย อย่าให้ผู้อื่นต้องรอนาน”“ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย”นางหันไปทำตาดุใส่แล้วหมุนตัวเดินไปหลังฉากกั้น อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเขาเอาเวลาที่ไหนมาเตรียมน้ำอุ่นให้ ลึกๆ คือความพอใจ แต่อีกเสี้ยวหนึ่งบอกให้ยับยั้งใจไว้ ยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วนางกับเขามีความสัมพันธ์ใดกันแน่
จ้าวจิ่นสือก้าวยาวๆ พาร่างที่อ่อนปวกเปียกลงบนที่นอน ลมหายใจของนางทำให้เขาพลอยร้อนระอุไปด้วย ประคองศีรษะนางลงบนหมอน ท่าทางดุจกระต่ายน้อยของนางทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “เรา...เราออกมา..แบบนี้จะดีเหรอ” นางถามไปอย่างนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ร้อนวูบวาบในอกเหมือนคนเป็นไข้ หรือเพราะสุราที่ดื่มเข้าไปมาก“ข้าไม่ต้องการให้ใครจ้องมองเจ้า” น้ำเสียงแหบพร่าและจ้องมองนางอย่างเป็นเจ้าของ “ข้าไม่ใช่ของท่านเสียหน่อย” นางเถียงเสียงอ้อแอ้ มือเล็กดันแผงอกที่ทาบทับจนเกือบจะแนบชิด และไม่รู้ตัวว่าคำพูดของนางได้ไปยั่วยุเขาเข้าให้แล้ว ร่างใหญ่ลงนอนเคียงข้าง นางขยับตัวถอยห่าง แต่เตียงที่นางยึดครองมาผู้เดียวหลายราตรีมันไม่ได้กว้างอะไรนัก ขยับออกห่างได้แค่นิดเดียวเขากลับพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างนางไว้ ดวงตาดุดันของเขาจ้องมองนาง ร่างกายนางร้อนระอุขึ้นมาทันทีจนต้องปิดเปลือกตาหลบซ่อนตนเองทิ้งเสีย แล้วนางก็ต้องผวาลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกริมฝีปากหยักสวยกดจูบบดขยี้จนแทบหายใจไม่ออก!นางประท้วงด้วยการทุบแผงอกกำยำแต่ไร้ผล จุมพิตร้อนแรงทำให้นางเปิดปากยอมให้เรียวลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง มือที่ทุบแผง
อิงฮวาได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ มิรู้ตัวเลยว่าตนเองอิงอยู่บนอกแข็งแกร่งของเขา จนกระทั่งเขาเอี้ยวตัวรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วหันกลับมา นางยื่นมือไปหมายจะรับถ้วยน้ำมาดื่มเอง แต่เขากลับชักมือกลับแล้วกรอกน้ำเข้าปากตนเอง นางอ้าปากจะส่งเสียงประท้วง แต่เพียงพริบตาเดียวริมฝีปากของเขาก็ประกบริมฝีปากของนางปล่อยน้ำอุ่นไหลผ่านลำคอ...อีกครั้ง มือเล็กที่ยกค้างอยู่เงอะงะไม่รู้จะวางตรงที่ใด จึงได้แต่จับสาบเสื้อของเขาไว้ น้ำหยดสุดท้ายอยู่ที่ปลายลิ้น เขาตวัดลิ้นขบริมฝีปากล่างนางอย่างมันเขี้ยว แต่คนตัวเล็กอุทานเบาๆ พวงแก้มแดงจัดขึ้นมาทันที เขาถอนริมฝีปากแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังอยู่ใกล้จนลมหายใจร้อนลามเลียใบหน้าของนาง หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ คล้ายฟ้าสว่างแล้วเมื่อสว่างแล้วก็ควรออกไปจากเตียง แต่เขากักขังนางไว้อย่างนี้ จะลุกไปไหนได้อย่างไรกัน“เมื่อคืน...” ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ นางเมามายจนจำอะไรไม่ได้ แต่พอเห็นใบหน้าตึงของเขาแล้ว นางก็ทำอะไรไม่ถูก พยายามทบทวนอยู่ว่าเมื่อคืนหลังจากนางดื่มเข้าไปแล้ว นางไปเต้นรำรอบกองไฟกับหญิงสาวคนอื่นๆ แล้ว...แล้วเขาก็อุ้มนางกลับมา...แล้ว คิดถึงตอนนี้นางรีบก้ม
แม้ปรารถนาจะปลดปล่อยไฟปรารถนาไปพร้อมกับนาง แต่ก็ทำได้เพียงหักห้ามใจ เป็นฝ่ายเร่งเร้านางจนร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายบนที่นอน“จิ่นสือ...ข้า...ข้า...” ข้าไม่ไหวแล้ว!ได้แต่กรีดร้องออกมา ถูกเขาทรมานจนร่างกายแทบระเบิด ไฟราคะแผดเผานางจนมอดไหม้ ร่างกายนางกระตุกเกร็งจนผวาเข้ากอดเขาแน่น ใบหน้าซบอยู่ที่ซอกคอของเขา ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปพร้อมกับระลอกความรัญจวนที่เขาปรนเปรอให้จนนางสำลักล้นกลายเป็นน้ำตาใสๆ“เหนียงเอ๋อร์” เขากระซิบเรียกก่อนจูบน้ำตาของนางเบาๆ ค่อยๆ ถอนนิ้วออกจากกลีบดอกไม้ที่สั่นระริก ประคองนางที่หอบหายใจแรงกอดไว้อย่างปลอบโยน“เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า” เขาประกาศความเป็นเจ้าของในตัวนาง “ต่อไปนี้ทุกเรื่องของเจ้าคือเรื่องของข้า ข้าจะดูแลคุ้มครองเจ้า”จ้าวจิ่นสือกอดร่างเปลือยเปล่าที่อ่อนระทวยในวงแขน นางปรือตามองเขา เห็นความมั่นคงฉายในดวงตา หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้น“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” เขายกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ชื้นเหงื่อบนใบหน้าของนาง ไม่กล้าเอ่ยปากพูดไปว่า หากแม้บิดาของนางไม่อยู่หรือหาไม่พบ เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางต้องระหกระเหินใช้ชีวิตเร่ร่อนตามลำพังเช่นที่ผ่านมานาง
อิงฮวาเห็นโจวฟู่หรงก็แย้มยิ้มเดินเข้าไปย่อตัวคารวะ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส เช่นเดียวกับแววตาของนางที่เป็นประกาย นางทำท่าจะเอ่ยปากถามเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่เห็นว่าตรงนี้มีคนอยู่มากเกินไป เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยเรื่องบาดแผลนั่น จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขา ร้อยทั้งร้อยคนที่พบเขามักก้มหน้าหลบสายตา บางคนถึงขั้นตัวสั่นงันงก มีแต่นางที่กล้าสบตากับเขาโดยไร้แววหวาดกลัวเช่นนี้ ดวงตากลมสุกใส นางไม่ได้งดงามเฉิดฉันแต่เป็นความงามที่ให้ความรู้สึกสงบและเย็นใจ “คงเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ” โจวฟู่หรงเปิดปากพูดก่อน “ได้ยินเรื่องของเจ้าที่หมู่บ้านแล้ว” “ไม่เหนื่อยอันใด” อิงฮวาส่ายหน้าไปมา “แล้ว...ท่าน...” “ดีขึ้นมากแล้ว” แม้นางจะไม่เอ่ยปากถาม เขาก็รู้ว่านางจะพูดอะไร พอพูดไปก็เห็นรอยยิ้มของนางมากขึ้น จ้าวจิ่นสือสั่งเด็กรับใช้ให้ขนข้าวของไปไว้ที่ห้องของหญิงสาว เมื่อสั่งงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ก้าวยาวๆ ไปยืนเคียงข้างมู่ฟางเหนียง สายตาทั้งสองที่ปะทะกัน มีบางอย่างที่ทำให้โจวฟู่หรงเผลอหรี่ตามองคนตัวเล็กที่ยังเข้าใจว่าผู้ชายสามารถใช้
เห็นคนตัวเล็กแสดงท่าทีฮึดฮัดเอาจริง เขาก็ได้แต่กลั้นยิ้ม เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ได้ ก่อนนอนค่อยแวะมากล่อมนางก็ได้ คิดได้ดังนั้นก็ยอมถอยออกไปอย่างง่ายดาย ยืนมองจนนางปิดประตูแล้วเขาจึงหมุนตัวเดินออกมา เพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทาง หลังจากอาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคลออกหมดจดแล้ว นางแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดได้อีก แม้แต่กับข้าวมื้อเย็นที่ปกตินางจะเข้าครัวไปช่วยปาน่า แต่กลายเป็นว่าเมื่อนางนั่งบนเตียงตั้งใจแค่นั่งพักสักครู่จะเดินออกไป นางกลับผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว หญิงรับใช้ที่เข้ามาเชิญอิงฮวาไปร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับโจวฟู่หรงเห็นหญิงสาวหลับคอพับอยู่ ลองเรียกสองสามครั้งนางก็ไม่ขยับตัว หญิงรับใช้จนใจจึงค่อยๆ เดินออกไปรายงานหัวหน้าโจวให้ทราบ “หลับ? นางหลับอย่างนั้นรึ ให้คนจัดเตรียมอาหารไว้ในห้องของนางก็แล้วกัน เผื่อนางจะตื่นมาแล้วหิว” โจวฟู่หรงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วย้ายสายตามาที่บุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้าม“เห็นทีมื้อนี้ท่านต้องทนกินข้าวพร้อมข้าเสียแล้ว” “เป็นเช่นนั้นก็ดียิ่ง ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือเพียงคีบเนื้อเข
มือใหญ่ทาบที่บานประตูอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างเบามือ ใบหน้าเคร่งเครียดเลือนหายไปทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กยังเอนตัวนั่งหลับ เขาเดินเข้าไปนั่งเคียงข้าง ค่อยๆ ประคองศีรษะของนางให้เอนมาพิงเขา “กระต่ายน้อย เจ้าจะหลับเช่นนี้ไม่ได้นะ” “ฮือ” นางครางในลำคออย่างหงุดหงิด “กระต่ายน้อย เจ้าจะไม่กินอะไรสักนิดเลยหรือ” เขาปลุกนางที่ริมหู “ข้าง่วงนอนจะแย่ อย่ามากวนข้า” นางดุเสียงที่รบกวนนาง เมื่อร่างกายได้ไออุ่นที่ถูกใจแล้ว จากที่ขยับตัวซุกเข้าไปกลายเป็นโถมตัวเข้าใส่ ชายหนุ่มไม่ทันระวังแต่ก็ยอมให้นางเป็นฝ่ายผลักเขาเอนลงนอนโดยมีนางนอนก่ายบนอกของเขาอีกที “ฟางเหนียง” เขาเรียกไม่ดังนัก แต่ได้ยินเสียงนางงึมงำ ทว่าเขาก็พอใจที่เป็นฝ่ายถูกกกกอดไม่น้อย เห็นนางไม่มีท่าทีจะตื่น จึงเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสอง สะบัดปลายนิ้วมือเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไป “ฟางเหนียง เป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้าก่อนนะ” เขาจูบแก้มนวลของนาง ความสุขและความอิ่มเอมก็แล่นเข้าสู่หัวใจ มีนางอยู่ในอ้อมแขน ได้นอนกอดตระกองนางไว้เช่นนี้ หากท
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด