มือใหญ่ทาบที่บานประตูอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างเบามือ ใบหน้าเคร่งเครียดเลือนหายไปทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กยังเอนตัวนั่งหลับ เขาเดินเข้าไปนั่งเคียงข้าง ค่อยๆ ประคองศีรษะของนางให้เอนมาพิงเขา “กระต่ายน้อย เจ้าจะหลับเช่นนี้ไม่ได้นะ” “ฮือ” นางครางในลำคออย่างหงุดหงิด “กระต่ายน้อย เจ้าจะไม่กินอะไรสักนิดเลยหรือ” เขาปลุกนางที่ริมหู “ข้าง่วงนอนจะแย่ อย่ามากวนข้า” นางดุเสียงที่รบกวนนาง เมื่อร่างกายได้ไออุ่นที่ถูกใจแล้ว จากที่ขยับตัวซุกเข้าไปกลายเป็นโถมตัวเข้าใส่ ชายหนุ่มไม่ทันระวังแต่ก็ยอมให้นางเป็นฝ่ายผลักเขาเอนลงนอนโดยมีนางนอนก่ายบนอกของเขาอีกที “ฟางเหนียง” เขาเรียกไม่ดังนัก แต่ได้ยินเสียงนางงึมงำ ทว่าเขาก็พอใจที่เป็นฝ่ายถูกกกกอดไม่น้อย เห็นนางไม่มีท่าทีจะตื่น จึงเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสอง สะบัดปลายนิ้วมือเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไป “ฟางเหนียง เป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้าก่อนนะ” เขาจูบแก้มนวลของนาง ความสุขและความอิ่มเอมก็แล่นเข้าสู่หัวใจ มีนางอยู่ในอ้อมแขน ได้นอนกอดตระกองนางไว้เช่นนี้ หากท
“เจ้าบอกข้ามาก่อน เจ้าคิดอะไรกับโจวฟู่หรงกันแน่!” เผลอขึ้นเสียงใส่นางเข้าจนได้“ท่านก็บอกเหตุผลที่ข้าต้องบอกท่านมาก่อนสิ” นางเชิดหน้าท้าทายโดยไม่คิดว่ามือใหญ่ของเขาจะยื่นมาประกบใบหน้านาง แล้วริมฝีปากของเขาก็ทาบลงมาอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนนางไม่ทันได้ปิดปาก ทำให้อีกฝ่ายแทรกลิ้นเรียวเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของนางได้ จุมพิตเหมือนคนละโมบที่ทำราวกับจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ มือเล็กทำได้เพียงแค่จับสาบเสื้อของเขาไว้เพื่อพยุงตัวเอง แม้เพียงช่วงอึดใจ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดอากาศหายใจ พยายามดิ้นรนเพื่อประท้วง ทว่าอีกฝ่ายกลับบดจุมพิตแรงขึ้นและร้อนแรงขึ้นจนนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เขาจึงยอมถอนริมฝีปากตนเอง“คราวนี้เข้าใจหรือยัง”เห็นแววตาราวกับมีลูกไฟอยู่ในนั้นแล้ว นางก็หลุบตาแล้วพยักหน้าหงึกๆ เขายกนิ้วโป้งแตะริมฝีปากที่แดงและเจ่อขึ้นเล็กน้อยเพราะจุมพิตของเขา“ห้ามเจ้าคิดถึงผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม”หญิงสาวอ้าปากจะประท้วง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนคำพูดลงท้องไปหมดสิ้น เมื่อเห็นนางยอมเชื่อฟัง แม้จะเหลือแววพยศอยู่บ้าง เขาก็คลายความกังวลลงไปได้เล็กน้อย
“สิ่งที่ทำในตอนนี้ต่างหากที่จะทำให้ข้าไม่กลับมาที่นี่อีก!” แววตานางจ้องมองเขาอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แผ่นหลังของนางเกร็งและตั้งตรงเหมือนแมวที่กำลังพองขนขู่อีกฝ่ายให้กลัว “อิงฮวา” เขาครางเรียกชื่อนางอย่างเศร้าหมอง เขาชอบนางที่ร่าเริงและอ่อนหวาน ในขณะเดียวกันนี้ นางก็เข้มแข็งจนชวนให้หลงใหล เขาอ้าปากกำลังจะพูดบางสิ่ง หางตาก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งเข้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อย หญิงสาวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็เอะใจ นางหันไปทางประตูและเพียงพริบตา ร่างเล็กของซุนเย่ผิงก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา“พวกท่านทำอะไรกัน!” ซุนเย่ผิงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ ยิ่งเห็นบนตักของโจวฟู่หรงมีหญิงอื่นนั่งอยู่ นางแทบอยากเข้าไปกระชากออกมาแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ซ้ำเสื้อผ้าของโจวฟู่หรงยังไม่เรียบร้อยอีกต่างหาก นางชี้หน้าอิงฮวาแล้วกรีดร้อง“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว” อิงฮวาอาศัยจังหวะที่เขาคลายข้อมือ รีบลุกขึ้นแล้วถอยห่าง “ก็เห็นอยู่ตำตา เจ้าจะแก้ตัวอะไรอีก!”“ข้าน้อยเพียงแค่ทำแผลให้หัวหน้าโจว แล้วซุ่มซ่ามล้มลงเท่านั้น” “แผล? พี่ฟู่หรงมีบาดแผลอะไรกัน ไยข้าไม่รู้” ซุนเย่ผิงรีบเดินเข้ามาใกล้ๆ พอเห็นบาดแผลของโจวฟู่หรงแ
“กลับบ้าน? เจ้าจะกลับบ้านที่ไหนอิงฮวา เจ้าจำได้แล้วรึ” ลู่อู๋จับแขนของหญิงสาวด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าน้อยๆ “ข้ายังจำอะไรได้ไม่หมด แต่ข้ารู้สึกว่ามีบิดาที่รักและเป็นห่วงข้ามาก ตอนนี้ได้ข่าวจากจวนแม่ทัพจ้าวว่าได้ช่วยบิดาของข้าไว้และพักอยู่ที่นั่น ข้าจะกลับไปพร้อมกับคุณชายจ้าว” “ดีจริง ในที่สุดเจ้าก็จะได้กลับไปเจอครอบครัว” ลู่อู๋ดีใจจนแทบจะหลั่งน้ำตา แม้จะอยู่ด้วยกันเวลาสั้นๆ แต่นางก็รักและเอ็นดูหญิงสาวผู้นี้นัก “จะ เจ้า จะ ดะ เดิน ทะ ทาง เมื่อใดกัน” จินปู๋ถามขึ้น เขาเองก็ดีใจที่รู้ว่าอิงฮวาจะได้กลับไปเจอครอบครัว“วันมะรืน” นางตอบแล้วเดินไปหยิบกระจาดที่ใส่อุปกรณ์เย็บปักถักร้อย “ท่านน้า อาการปวดหัวของท่านดีขึ้นหรือไม่ ข้าจะเขียนเทียบยาไว้ให้ท่านนะ”หญิงสาวเองก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย แม้จะดีใจที่จะได้กลับไปเจอบิดาของตน ช่วงระยะเวลาตั้งแต่นางฟื้นที่ตีนภูเขาและพบจินปู๋นั้นราวหนึ่งเดือน ความรู้สึกผูกพันย่อมมีไม่น้อย กลับไปครั้งนี้แล้วก็ไม่รู้อีกนานเพียงใดจะได้พบกันอีก คิดถึงตอนนี้แล้วนางก็ปรารถนาจะทำอะไรให้พวกเขาได้มากกว่านี้ แต่นางเ
อิงฮวาขยับมือไล่ให้จินปู๋ที่ละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรดี เขาเป็นห่วงทั้งสองแต่อีกคนก็เอาแต่ใจตนเอง เร่งเดินเข้าไปไม่รออีกคนที่เพิ่งเดินมาถึง หญิงสาวมองเห็นแผ่นหลังของจินปู๋ก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ตัวโตจนนางมองเห็นได้ชัดถนัดตาไม่ต้องกลัวหลง คราวก่อนที่เข้าป่ามาหาเม็ดบัวไปต้มเป็นยาบำรุงให้ท่านน้าลู่อู๋ นางก็ใช้วิธีนี้ทำให้ไม่พลัดหลงกับเขา หญิงสาวรวบชายกระโปรงแล้วเดินไปตามทางเส้นเล็กๆ คนที่นี่คงเข้าป่ามาสักการะเทพภูเขาอยู่บ่อยๆ เพราะเส้นทางที่เดินคล้ายกับเดินจนเป็นรอยทางเดินไปแล้ว เพราะตั้งใจไปหาเม็ดบัวให้ลู่อู๋ ทำให้ครั้งนั้นนางพบโจวฟู่หรงโดยบังเอิญ ในคราวนั้นนางไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ชายร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ เส้นสายบนใบหน้าดูกระด้างทว่าแววตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยว กลิ่นอายของเขาเหมือนราชสีห์ที่เพียงแค่สบตาสัตว์น้อยใหญ่ก็พากันหวาดกลัวตัวสั่น ทว่า... นางกลับรู้สึกว่านั่นเป็นเพียงเกราะที่เขาสร้างขึ้นเพื่อมิให้ผู้ใดเข้าใกล้ แท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่ห่วงใยผู้อื่นที่สุด ครั้งนี้ที่บาดเจ็บก็เพราะตนเองไปปกป้องลูกน้อง นางไม่ได้กลัวเขา ที่ผ่านมาเขาออกจะมีเมตตากับนางไม่น้
ซุนเย่ผิงหันหลังให้ นางเดินไปหยิบตะกร้าที่ถือติดมือมาด้วย หยิบขวดสุราออกมาแล้วตั้งบนก้อนหินขนาดใหญ่ เตรียมเครื่องบูชา นางไม่ได้มีความรู้ด้านการรักษาเหมือนอิงฮวาแต่นางก็เชื่อมั่นว่าความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนางจะทำให้เทพเจ้าประทานพรให้นางเป็นแน่ นางเพียงรอแค่จินปู๋เก็บดอกไม้สำหรับบูชามาให้ ก็จะได้ร่ายคำบูชาและขอพรเสียงสวบสาบและกอหญ้าสูงขยับไหวทำให้สองหญิงสาวหันไปมอง เพียงพริบตาหมาป่าตัวใหญ่ย่างเท้าออกมาจากพุ่มไม้ อิงฮวารู้สึกตัวได้ก่อนก็รีบก้าวไปยืนด้านหน้าซุนเย่ผิง“ทำไมมีหมาป่า”ซุนเย่ผิงงึมงำ หมาป่าเพิ่งถูกต้อนให้เข้าไปในป่าลึกกว่านี้ไม่ใช่เหรอ นางได้สติก็ยกมือขึ้นชักมีดสั้นที่เหน็บเอวออกมา ทันใดนั้นชายสี่ห้าคนก็เดินออกมาจากพุ่มไม้พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมบนใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น ซุนเย่ผิงสะกดกลั้นความกลัวที่แล่นขึ้นมาจุกคอ พอกวาดตามองก็พบว่าทั้งสองตกอยู่ในวงล้อมของชายฉกรรจ์นับสิบที่แต่งกายปกคลุมตัวเองด้วยหนังสัตว์ บนใบหน้าที่แก้มข้างขวาของแต่ละคนมีรอยแดงสามขีดเป็นสัญลักษณ์ของเผ่าเสือดำ“พวกเจ้าเป็นใคร อย่าเข้ามานะ” อิงฮวาเองก็หวาดกลัวไม่แพ้กัน กลิ่นไออำมหิตทำให้นางแทบหมดสติด้วยความหวาดกลัว
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง” มิน่าเล่า คนกลุ่มนั้นจึงมักมาก่อกวนแล้วก็กลับขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว เพราะรู้ว่าโจวฟู่หรงจะไม่มีวันติดตามขึ้นไปแน่“กลับไปข้าจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับท่านพ่อ จะหาทางจัดการเรื่องนี้ให้ได้อย่างเด็ดขาด” คราวที่แล้วเขาอยู่ในเหตุการณ์ซุ่มโจมตี ได้เห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตของเผ่าเสือดำที่ดุร้ายปานปีศาจมาแล้ว“เจ้าจะกลับแล้วรึ” หมอผู้เฒ่าเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม จ้าวจิ่นสือพยักหน้ารับเล็กน้อย “บิดาข้าส่งจดหมายเรียกตัวกลับ เมืองซูโจวฝนตกหนักประสบภัยน้ำท่วม บิดาต้องการให้ข้านำทหารไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน” หมอผู้เฒ่าลูบหนวดสีขาวของตนเองพลางพยักหน้ารับรู้ “แล้วแม่นางอิงฮวาล่ะ” “ข้าจะพานางกลับพร้อมกัน” “เจ้าจะเดินทางเมื่อใดกัน” “ความจริงข้าอยากเดินทางกลับเสียวันนี้ แต่ข้องใจเรื่องเผ่าเสือดำจึงรั้งอยู่ต่อเพื่อขอคำปรึกษากับหมอผู้เฒ่า มาบัดนี้เข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้ว คิดว่าพรุ่งนี้จะเดินทางกลับ” “เช่นนั้น เจ้าไปพาอิงฮวามาพบข้าหน่อยเถิด ข้ามีบางอย่างจะฝากไปให้บิดาของนางด้วย” “ได้ นางอยู่บ้านจินปู๋ ข้าจะไป
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” นางยืนยันแล้วหันไปทางซุนเย่ผิง กระตุกมือนางเบาๆ เหมือนเรียกสติ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้นางพยักหน้าตาม ซุนเย่ผิงที่ทั้งหวาดกลัวและงุนงงจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆอิงฮวาโล่งใจที่เห็นซุนเย่ผิงคล้อยตาม นางหันไปทางหัวหน้าเผ่าเสือดำแล้วยื่นมือข้างที่ว่าง ใช้นิ้วชี้แตะที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างเย้ายวน“ท่านใช้กำลังกับนางก็ได้เพียงร่างกาย หากท่านได้ใจนาง ท่านจะได้ความภักดีไปชั่วชีวิต” หญิงสาวใจชื้นที่เห็นหัวหน้าเผ่าคล้อยตาม แน่นอนว่าทั้งนางและซุนเย่ผิงไม่อาจสู้รบตบมือกับคนเหล่านี้ได้ ขนาดจินปู๋ยังถูกทำร้ายสาหัสเช่นนั้น แล้วผู้หญิงไร้วรยุทธ์อย่างนางจะไปทำอะไรได้ “แทนที่ท่านจะใช้กำลังจับพวกเราไป มิสู้ท่านเอ่ยปากเชิญเราไปไม่ดีกว่ารึ แล้วท่านก็ปล่อยเจ้ายักษ์สมองถั่วไว้ที่นี่เถิด เห็นไหม พวกท่านต้องเหนื่อยเสียแรงเกินความจำเป็นจริงๆ”“เจ้าจะยอมไปกับข้าดีๆ เรอะ!”“หากท่านเชิญ พวกข้าย่อมยินดี” นางรู้ว่าเขาเพียงแค่ใช้เสียงข่มขู่ เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทางหวาดกลัว อีกฝ่ายจึงผ่อนคลายวางความระมัดระวังลง“ดี! ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา!” “อืม” อิงฮวาหันไปทางซุนเย่ผิง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาทำทีเป็น
เหวินเฮ่าหลันคลี่พัดโบกไปมาเชื่องช้าคล้ายเกียจคร้าน แต่ในใจแฝงความกังวลอยู่หลายส่วนนัก สหายรักอย่างจ้าวจิ่นสือมาเมืองหลวงคราใดก็มักมาพักที่คฤหาสน์ตระกูลเหวิน จ้าวจิ่นสือเป็นคนไม่ถือยศศักดิ์ทำให้คบหากันสนิทใจ และเมื่อเขาเดินทางไปชายแดนก็มักจะแวะเวียนเยี่ยมเยือนจ้าวจิ่นสืออยู่เสมอ จะว่าไปบุรุษทั้งสองคนนี้เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วย่อมเป็นจุดเด่น ผู้หนึ่งบุคลิกองอาจสมเป็นบุตรชายทหารผู้แกล้วกล้า ส่วนอีกคนดูเป็นหนุ่มเจ้าสำราญผู้กุมการค้าในเมืองหลวง หากเห็นเหวินเฮ่าหลันตามหอนางโลมก็มิใช่เรื่องแปลก แต่กับจ้าวจิ่นสือนี่สิ สะดุดตาผู้คนเสียยิ่งกว่า “มาเที่ยวหอนางโลมก็เป็นธรรมดาของบุรุษ แต่ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนก่อน พี่สาวเจ้าก็เป็นพระชายาไปแล้ว ฐานะเจ้าก็เป็นเครือญาติกับ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค จ้าวจิ่นสือก็โบกมือห้ามไว้ก่อน เขายกจอกสุราขึ้นดื่มแต่สีหน้าไร้แววรื่นเริง ทั้งสองอยู่ในหอนางโลมก็จริงแต่ไม่ได้เรียกนางคณิกาเข้ามาปรนนิบัติ เพียงนั่งดื่มสุราและสนทนากันเรื่องทั่วไป แต่เหวินเฮ่าหลันเป็นคนมีความอดทนน้อยนัก แม้จะรักสนุกชอบเรื่องบันเทิงและดูเกียจคร้านไ
มู่หยางซัวเอ่ยตอบ ไม่คิดว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อกับคนที่นี่ แต่คนที่นี่กลับรู้ความเคลื่อนไหวเป็นไปของเขา แสดงว่า... พวกเขารอให้สองพ่อลูกกลับมานานแล้วจริงๆ “ว่าแต่เจ้าสองคนพ่อลูกพักที่ใดกัน” ท่านยายถามแล้วยื่นมือไปลูบเนื้อตัวมู่ฟางเหนียงอย่างเอ็นดู พอพิศดูใกล้ๆ แล้วก็เห็นว่า แท้จริงแล้วมู่ฟางเหนียงไม่ได้เหมือนอี้เฟยนัก แต่มีเค้าโครงหน้าอ่อนหวานเหมือนกัน ดวงตาเป็นประกายสดใสดุจแสงตะวันกระทบผิวน้ำยามเย็น แต่มีท่าทางเฉลียวฉลาดสุขุมเหมือนผู้เป็นพ่อ “โรงเตี๊ยมไม่ไกลที่นี่นักเจ้าค่ะ” นางเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกไป “ไอ้โรงเตี๊ยมนั่นมันเล็กนิดเดียว อาหารก็ไม่อร่อย ไปพักได้อย่างไรกัน หึ!” ท่านตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจ “ไปเก็บข้าวของมาพักด้วยกันที่นี่” มู่ฟางเหนียงหันไปทางบิดา เห็นท่าทีอ้ำอึ้งก็เข้าใจ พ่อของนางเป็นเด็กกำพร้า ไม่คุ้นชินกับการอยู่แบบครอบครัวใหญ่ ที่ผ่านมาก็มีกันแค่สองคนพ่อลูก และไม่ได้เผื่อใจว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างดี ดูท่าท่านพ่อที่ได้ฉายาหมอเทวดาไร้เงาผู้แสนจะสุขุมและไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด จะพ่ายแพ้แก่พ่อตาแม่ยายเสียแล้ว “ท่านพ่อกับห
เคอหลิ่งหลินบังเอิญได้พบคุณชายเฉินและแอบหลงรักเขา ส่วนนางกับพ่อรู้จักคุณชายเฉินเพราะเป็นคนป่วยที่ตามหาท่านหมอเทวดาไร้เงามาถึงชายแดนที่นางกับพ่ออยู่เคอหลิ่งหลินนิสัยโลดโผน เปิดเผย และจริงใจ นางชอบคุณชายเฉินก็แสดงออกว่าตนชอบ ไม่ปิดบัง ทำให้บิดาของนางต้องส่ายหน้าทุกที เคอหลิ่งหลินอาศัยติดตามบิดาของนางไปพบคุณชายเฉินบ่อยๆ และนางช่วยสอนเป่าขลุ่ยเพราะเห็นคุณชายเฉินบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนไพเราะ นางรู้ว่าพี่สาวที่แสนดีผู้นี้อุทิศตนเองเพื่อความรักที่มีต่อคุณชายเฉินมากเพียงใด เมื่อรู้ข่าวว่าเคอหลิ่งหลินได้เคียงข้างครองคู่กับคนที่นางรักและรักนาง มู่ฟางเหนียงก็รู้สึกยินดีและดีใจด้วยอย่างจริงใจส่วนนางนั้น พยายามไม่คิดเรื่องของตนเอง นางรู้ว่าสิ่งที่นางทำ ผิดจารีตประเพณีที่สตรีพึงกระทำ แต่นางก็ไม่นึกเสียใจ อย่างน้อยนางก็รู้ใจตัวเองว่ารักเขามาก และอาจมากเกินกว่าที่จะยอมแบ่งปันเขาให้หญิงอื่น มิอาจทำใจใช้สามีร่วมกับผู้ใด มู่หยางซัวพาลูกสาวเดินมาตามเส้นทางที่คุ้นเคยในอดีต จนมาหยุดที่หน้าร้านขายยาใหญ่โตร้านหนึ่ง สิบกว่าปีที่ผ่านมา จากร้านขายยาเล็กๆ กลายเป็นร้านใหญ่โตไปแล้ว ลูกสาวเห็นสีหน้าเคร่งเ
“เป็นท่านพ่อที่ต้องการเตรียมตัวเตรียมใจมากกว่าลูกกระมัง” นางอดหยอกล้อบิดาไม่ได้ “เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งเป็นผู้หญิงเถิด พ่อเกรงว่าตากับยายของเจ้าจะตำหนิพ่อเอาเสียเปล่าๆ” พูดแล้วก็ถอนหายใจหนักหน่วง “ตั้งแต่พาแม่ของเจ้าออกเดินทางมาจนเจ้าตัวโตขนาดนี้ ก็มิรู้ทั้งสองจะยังอยู่หรือไม่” “ลูกไม่เคยได้ยินท่านพ่อพูดถึงท่านตากับท่านยาย เลยไม่รู้ว่าพวกท่านเป็นคนอย่างไร” นางถามระหว่างรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมที่เข้าพักอยู่ “แม่ของเจ้าเป็นลูกสาวพ่อค้าร้านขายยา” “เอ๋? ท่านพ่อก็เป็นหมอ ท่านแม่เป็นลูกสาวร้านขายยา ไยถึงหนีตามกันเล่า” นางอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่จำความได้ ก็รู้เพียงแค่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักใคร่ชอบพอกัน แต่ท่านตากับท่านยายไม่ยอมรับในตัวลูกเขยที่ไร้ชาติตระกูล ซ้ำยังยากจนนัก ท่านพ่อจึงพาท่านแม่หนีออกมาและใช้ชีวิตเดินทางรักษาคนทั่วไป มีความสุขตามอัตภาพ “ตอนนั้นท่านตาของเจ้าหวังทำการค้ามากกว่าจะรักษาคน พ่อซึ่งตอนนั้นก็ทระนงตน ไม่ฟังผู้ใด ท่านตาอยากให้พ่อไปนั่งตรวจคนเจ็บป่วยที่ร้านขายยาของท่านตา ทีแรกพ่อก็ไปตาม
“ท่านพ่อของเจ้าบอกข้าแล้วว่าจะเดินทางไปเมืองหลวง”มู่ฟางเหนียงนิ่งงันไป พ่อเพิ่งคุยกับนางเมื่อครู่แต่บอกกับคนผู้นี้ไปก่อนแล้ว แสดงว่าท่านตัดสินใจแล้ว คงไม่มีเหตุผลให้นางยื้อเวลาที่จะอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว‘ท่านจะให้เราสองคนห่างกันอย่างนั้นหรือ?’เสียงของหมอมู่หยางซัวแทรกเข้ามาในหัวสมองของเขา จ้าวจิ่นสือกอดนางแน่นขึ้น กลัวว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กอดนางไว้แนบอกเช่นนี้ ยศถาบรรดาศักดิ์หรือแม้แต่ตำแหน่งรองแม่ทัพที่มีอยู่ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขได้มากเท่ากับที่มีนางอยู่เคียงข้าง“จากนี้เดินทางไปเมืองหลวงจะสะดวกกว่า ข้าจะเตรียมรถม้าพร้อมผู้ติดตามไปส่งเจ้ากับพ่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย”ทำไม... ทำไมเขาพูดเหมือนอยากให้นางไปไกลห่างเช่นนี้ด้วยเล่า“สิ่งของของเจ้าที่อยู่ที่บ้านข้า ข้าจะให้คนเก็บรักษาไว้อย่างดี หรือเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้บอก ข้าจะให้คนส่งตามไปให้เจ้า”ถ้อยคำแห่งความหวังดีกลับกลายเป็นโบยตีหัวใจนางให้เจ็บปวด นี่เขาคิดแทนนางถึงเพียงเชียวหรือ? กลัวว่านางจะไปไม่พ้นหน้าเขาหรืออย่างไรกันจะติดตามนางไปด้วยก็ไม่ได้ แค่นี้เขาก็หงุดหงิดเต็มประดาแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวลเกินกว่าเหตุไป ครา
“ฟางเหนียง พ่อเห็นว่างานที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว พ่อคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องเดินทางกันเสียที”“อะไรนะเจ้าคะ” นางตื่นตกใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?“เจ้าไม่อยากไปกับพ่อแล้วหรือ?”“มิได้ ลูกแค่... เรายังไม่ได้เตรียมตัว”“เตรียมตัว?” มู่หยางซัวทวนคำแล้วหัวเราะในลำคอ “พวกเราเคยเตรียมตัวกันด้วยรึ ถ้าไม่นับที่เราอยู่ชายแดนมาสองปี ที่ผ่านมาเราก็แทบไม่เคยเตรียมตัวก่อนออกเดินทางสักครั้ง”“แต่ว่า เรามีข้าวของอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าว”“เจ้าใส่ใจของพวกนั้นด้วยรึ พ่อไม่เคยนึกถึงเรื่องพวกนั้น” รอยยิ้มกึ่งล้อทำให้มู่ฟางเหนียงแอบค้อนเข้าให้“ข้ามีของที่ได้รับมาจากมิตรสหายเผ่าเอ้อหลุนชุน ถึงมันอาจไม่ได้มีราคาค่างวดมากมาย แต่มีค่ากับจิตใจของข้ามากนัก”“จากที่นี่เดินทางไปเมืองหลวงจะใกล้กว่า ถ้าเจ้าอยากย้อนกลับไปก็จะเสียเวลามาก”“แต่ว่า...” นางนึกถึงเครื่องประดับที่ทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ที่นางได้มา คิดถึงเสื้อคลุมหนังหมาป่าที่จินปู๋กับนางลู่อู๋มอบให้ คิดถึงบันทึกการรักษาที่ท่านหมอผู้เฒ่ามอบให้ สิ่งเหล่านั้นมีภาพของชายผู้นั้นปรากฏขึ้นมาด้วย“ฟางเหนียง บางสิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มัน
“ท่านหมอมู่” จ้าวจิ่นสือพยายามคุมสติและปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ท่านอาจไม่ทราบ ข้ากับฟางเหนียง...” มู่หยางซัวยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดออกมา “ข้าเป็นพ่อนาง ข้ามิได้ตาบอดจะได้ไม่รู้ไม่เห็นอะไร” มือของเขาเคยแต่จับมีดช่วยคน เพิ่งเคยรู้สึกอยากจับมีดฆ่าคนก็คราวนี้ “ข้าจริงใจกับนาง หวังให้ท่านเข้าใจ” “เจ้าหวังให้ผู้อื่นเข้าใจเจ้า แล้วเจ้าเข้าใจผู้อื่นรึ” “ข้าตั้งใจว่ากลับจากซูโจวจะให้ท่านพ่อสู่ขอฟางเหนียงกับท่าน” “แล้วอย่างไร?” ปกติมู่หยางซัวเป็นคนใจเย็น จะเห็นสีหน้าเคืองโกรธก็น้อยครั้งเหลือเกิน “เจ้าตบแต่งนางเข้าตระกูลเจ้าแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าจะรับหญิงอื่นเข้ามาไม่ได้อีก ตอนนี้เจ้าก็พูดได้ แต่อนาคตเจ้าจะไม่รับใครเข้ามาอีกรึ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ฐานะชาติกำเนิดของเจ้า เจ้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ” “ความหมายของท่านคือไม่ยินดียกนางให้ข้า” แม้จะข่มน้ำเสียงตัวเองให้ราบเรียบ แต่กรุ่นไอโทสะแผ่กระจายออกมาจนอีกฝ่ายยังรู้สึกได้ “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” มู่หยางซัวทำน้ำเสียงเยาะในลำคอ แค่นี้ก็โกรธจนไอโท
“พ่อไม่พูดใช่ว่าไม่รู้” มู่หยางซัวจับไหล่ของลูกสาวให้ก้าวเข้าไปนั่งบนเตียง ส่วนตนนั้นก็เลื่อนเก้าอี้กลมมานั่งใกล้ๆ “เจ้ารู้ว่าพ่อพูดถึงเรื่องจ้าวจิ่นสืออยู่” “ท่านพ่อ” นางหลุบตาลง เป็นฝ่ายไม่กล้าสบตาเสียเอง แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าสักวันเรื่องนี้พ่อต้องเอ่ยปากกับนาง “เจ้ารักคนผู้นั้นมากเลยหรือ” น้ำเสียงที่ถามเป็นน้ำเสียงตัดพ้อมากกว่าต้องการคำตอบ “พ่อรู้ อย่างไรก็ต้องมีวันนี้... อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง เจ้าจะทำตัวติดกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอก” “ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น ท่านพ่อตัวคนเดียว ลูกไม่ยอมทิ้งท่านพ่อเด็ดขาด หากลูกจะแต่งงานกับผู้ใด คนผู้นั้นก็ต้องยอมรับท่านพ่อได้ด้วยเช่นกัน” “เราผ่านอะไรกันมามากมายเหลือเกิน เจ้าอาจได้เห็นโลกกว้างมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน” มู่หยางซัวตบหลังมือของลูกสาวเบาๆ “เจ้าก็เห็นแล้ว ทั้งเศรษฐี ทั้งขุนนาง ทั้งยาจก ทั้งคนยากไร้ เจ้าย่อมรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยิ่งสูงศักดิ์มากเพียงใด ก็ยิ่งแก่งแย่งแข่งขันกันมากเพียงนั้น แล้วเจ้าจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้ไหวหรือไม่ เมื่อกลายเป็นคนของเขาไปแล้ว เจ้า
มู่ฟางเหนียงเดินเคียงข้างจ้าวจิ่นสือไปถึงศาลาหกเหลี่ยมที่องค์ชายไท่หยางประทับอยู่ องค์ชายไท่หยางเชื้อเชิญให้ทั้งสองนั่ง รอจนบ่าวรับใช้รินน้ำชาเรียบร้อยแล้ว จึงโบกมือไล่ให้ผู้อื่นออกไปให้หมด แม้จะไม่เห็นเงาร่างแต่ก็รู้ว่าต้าซื่อองครักษ์ขององค์ชายเฝ้าอารักขาอยู่“ข้าต้องยอมรับความสามารถในการจัดการของรองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือ ต่อให้ข้ามิได้มา เจ้าก็คงจัดการที่นี่ได้อย่างราบรื่นด้วยดี”“เป็นเพราะพระบารมีขององค์ฮ่องเต้และองค์ชาย ทำให้การงานครั้งนี้ลุล่วงด้วยดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าเองสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ครั้นจะให้องค์รัชทายาทเสด็จมาเองก็เกรงว่าจะมีคนลอบเอาชีวิต คราวที่แล้วยังหาตัวผู้บงการมิได้ ครั้งนี้ข้าเลยต้องมาเอง ข้าอาจจะทำอะไรได้ไม่เต็มที่นัก อย่างไรก็ต้องฝากเจ้าดูแลต่อด้วย”“ข้าน้อยรับพระบัญชา”มู่ฟางเหนียงนั่งฟังนิ่งๆ แล้วลอบมองคุณชายเฉิน ไม่สิ ตอนนี้คนผู้นี้คือองค์ชายไท่หยางที่มักพูดออกตัวว่าตนเองสุขภาพไม่แข็งแรง แต่เท่าที่นางเห็นตอนนี้ ช่างเป็นองค์ชายที่สุขภาพแข็งแรงดีเหลือเกิน“ความจริงที่เรียกเจ้าทั้งสองมาดื่มน้ำชาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน ข้าอยากคุยเรื่องเคอหลิ่งหลิน”จ้าวจิ่นสือเงยหน้าสบด