จ้าวจิ่นสือก้าวยาวๆ พาร่างที่อ่อนปวกเปียกลงบนที่นอน ลมหายใจของนางทำให้เขาพลอยร้อนระอุไปด้วย ประคองศีรษะนางลงบนหมอน ท่าทางดุจกระต่ายน้อยของนางทำให้มุมปากของเขายกยิ้ม “เรา...เราออกมา..แบบนี้จะดีเหรอ” นางถามไปอย่างนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ร้อนวูบวาบในอกเหมือนคนเป็นไข้ หรือเพราะสุราที่ดื่มเข้าไปมาก“ข้าไม่ต้องการให้ใครจ้องมองเจ้า” น้ำเสียงแหบพร่าและจ้องมองนางอย่างเป็นเจ้าของ “ข้าไม่ใช่ของท่านเสียหน่อย” นางเถียงเสียงอ้อแอ้ มือเล็กดันแผงอกที่ทาบทับจนเกือบจะแนบชิด และไม่รู้ตัวว่าคำพูดของนางได้ไปยั่วยุเขาเข้าให้แล้ว ร่างใหญ่ลงนอนเคียงข้าง นางขยับตัวถอยห่าง แต่เตียงที่นางยึดครองมาผู้เดียวหลายราตรีมันไม่ได้กว้างอะไรนัก ขยับออกห่างได้แค่นิดเดียวเขากลับพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างนางไว้ ดวงตาดุดันของเขาจ้องมองนาง ร่างกายนางร้อนระอุขึ้นมาทันทีจนต้องปิดเปลือกตาหลบซ่อนตนเองทิ้งเสีย แล้วนางก็ต้องผวาลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อริมฝีปากถูกริมฝีปากหยักสวยกดจูบบดขยี้จนแทบหายใจไม่ออก!นางประท้วงด้วยการทุบแผงอกกำยำแต่ไร้ผล จุมพิตร้อนแรงทำให้นางเปิดปากยอมให้เรียวลิ้นของเขาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นน้อยๆ ของนาง มือที่ทุบแผง
อิงฮวาได้แต่พยักหน้ารับหงึกๆ มิรู้ตัวเลยว่าตนเองอิงอยู่บนอกแข็งแกร่งของเขา จนกระทั่งเขาเอี้ยวตัวรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วหันกลับมา นางยื่นมือไปหมายจะรับถ้วยน้ำมาดื่มเอง แต่เขากลับชักมือกลับแล้วกรอกน้ำเข้าปากตนเอง นางอ้าปากจะส่งเสียงประท้วง แต่เพียงพริบตาเดียวริมฝีปากของเขาก็ประกบริมฝีปากของนางปล่อยน้ำอุ่นไหลผ่านลำคอ...อีกครั้ง มือเล็กที่ยกค้างอยู่เงอะงะไม่รู้จะวางตรงที่ใด จึงได้แต่จับสาบเสื้อของเขาไว้ น้ำหยดสุดท้ายอยู่ที่ปลายลิ้น เขาตวัดลิ้นขบริมฝีปากล่างนางอย่างมันเขี้ยว แต่คนตัวเล็กอุทานเบาๆ พวงแก้มแดงจัดขึ้นมาทันที เขาถอนริมฝีปากแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังอยู่ใกล้จนลมหายใจร้อนลามเลียใบหน้าของนาง หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ คล้ายฟ้าสว่างแล้วเมื่อสว่างแล้วก็ควรออกไปจากเตียง แต่เขากักขังนางไว้อย่างนี้ จะลุกไปไหนได้อย่างไรกัน“เมื่อคืน...” ไม่น่าเลย ไม่น่าเลยจริงๆ นางเมามายจนจำอะไรไม่ได้ แต่พอเห็นใบหน้าตึงของเขาแล้ว นางก็ทำอะไรไม่ถูก พยายามทบทวนอยู่ว่าเมื่อคืนหลังจากนางดื่มเข้าไปแล้ว นางไปเต้นรำรอบกองไฟกับหญิงสาวคนอื่นๆ แล้ว...แล้วเขาก็อุ้มนางกลับมา...แล้ว คิดถึงตอนนี้นางรีบก้ม
แม้ปรารถนาจะปลดปล่อยไฟปรารถนาไปพร้อมกับนาง แต่ก็ทำได้เพียงหักห้ามใจ เป็นฝ่ายเร่งเร้านางจนร่างเล็กดิ้นทุรนทุรายบนที่นอน“จิ่นสือ...ข้า...ข้า...” ข้าไม่ไหวแล้ว!ได้แต่กรีดร้องออกมา ถูกเขาทรมานจนร่างกายแทบระเบิด ไฟราคะแผดเผานางจนมอดไหม้ ร่างกายนางกระตุกเกร็งจนผวาเข้ากอดเขาแน่น ใบหน้าซบอยู่ที่ซอกคอของเขา ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปพร้อมกับระลอกความรัญจวนที่เขาปรนเปรอให้จนนางสำลักล้นกลายเป็นน้ำตาใสๆ“เหนียงเอ๋อร์” เขากระซิบเรียกก่อนจูบน้ำตาของนางเบาๆ ค่อยๆ ถอนนิ้วออกจากกลีบดอกไม้ที่สั่นระริก ประคองนางที่หอบหายใจแรงกอดไว้อย่างปลอบโยน“เจ้าเป็นผู้หญิงของข้า” เขาประกาศความเป็นเจ้าของในตัวนาง “ต่อไปนี้ทุกเรื่องของเจ้าคือเรื่องของข้า ข้าจะดูแลคุ้มครองเจ้า”จ้าวจิ่นสือกอดร่างเปลือยเปล่าที่อ่อนระทวยในวงแขน นางปรือตามองเขา เห็นความมั่นคงฉายในดวงตา หัวใจของนางก็พลันอบอุ่นขึ้น“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” เขายกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ชื้นเหงื่อบนใบหน้าของนาง ไม่กล้าเอ่ยปากพูดไปว่า หากแม้บิดาของนางไม่อยู่หรือหาไม่พบ เขาก็จะไม่ปล่อยให้นางต้องระหกระเหินใช้ชีวิตเร่ร่อนตามลำพังเช่นที่ผ่านมานาง
อิงฮวาเห็นโจวฟู่หรงก็แย้มยิ้มเดินเข้าไปย่อตัวคารวะ แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกระจ่างใส เช่นเดียวกับแววตาของนางที่เป็นประกาย นางทำท่าจะเอ่ยปากถามเรื่องอาการบาดเจ็บ แต่เห็นว่าตรงนี้มีคนอยู่มากเกินไป เกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยเรื่องบาดแผลนั่น จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าเขา ร้อยทั้งร้อยคนที่พบเขามักก้มหน้าหลบสายตา บางคนถึงขั้นตัวสั่นงันงก มีแต่นางที่กล้าสบตากับเขาโดยไร้แววหวาดกลัวเช่นนี้ ดวงตากลมสุกใส นางไม่ได้งดงามเฉิดฉันแต่เป็นความงามที่ให้ความรู้สึกสงบและเย็นใจ “คงเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ” โจวฟู่หรงเปิดปากพูดก่อน “ได้ยินเรื่องของเจ้าที่หมู่บ้านแล้ว” “ไม่เหนื่อยอันใด” อิงฮวาส่ายหน้าไปมา “แล้ว...ท่าน...” “ดีขึ้นมากแล้ว” แม้นางจะไม่เอ่ยปากถาม เขาก็รู้ว่านางจะพูดอะไร พอพูดไปก็เห็นรอยยิ้มของนางมากขึ้น จ้าวจิ่นสือสั่งเด็กรับใช้ให้ขนข้าวของไปไว้ที่ห้องของหญิงสาว เมื่อสั่งงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ก้าวยาวๆ ไปยืนเคียงข้างมู่ฟางเหนียง สายตาทั้งสองที่ปะทะกัน มีบางอย่างที่ทำให้โจวฟู่หรงเผลอหรี่ตามองคนตัวเล็กที่ยังเข้าใจว่าผู้ชายสามารถใช้
เห็นคนตัวเล็กแสดงท่าทีฮึดฮัดเอาจริง เขาก็ได้แต่กลั้นยิ้ม เอาเถอะ ตอนนี้ไม่ได้ ก่อนนอนค่อยแวะมากล่อมนางก็ได้ คิดได้ดังนั้นก็ยอมถอยออกไปอย่างง่ายดาย ยืนมองจนนางปิดประตูแล้วเขาจึงหมุนตัวเดินออกมา เพราะความอ่อนเพลียจากการเดินทาง หลังจากอาบน้ำชำระล้างคราบเหงื่อไคลออกหมดจดแล้ว นางแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดได้อีก แม้แต่กับข้าวมื้อเย็นที่ปกตินางจะเข้าครัวไปช่วยปาน่า แต่กลายเป็นว่าเมื่อนางนั่งบนเตียงตั้งใจแค่นั่งพักสักครู่จะเดินออกไป นางกลับผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว หญิงรับใช้ที่เข้ามาเชิญอิงฮวาไปร่วมโต๊ะมื้อเย็นกับโจวฟู่หรงเห็นหญิงสาวหลับคอพับอยู่ ลองเรียกสองสามครั้งนางก็ไม่ขยับตัว หญิงรับใช้จนใจจึงค่อยๆ เดินออกไปรายงานหัวหน้าโจวให้ทราบ “หลับ? นางหลับอย่างนั้นรึ ให้คนจัดเตรียมอาหารไว้ในห้องของนางก็แล้วกัน เผื่อนางจะตื่นมาแล้วหิว” โจวฟู่หรงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วย้ายสายตามาที่บุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้าม“เห็นทีมื้อนี้ท่านต้องทนกินข้าวพร้อมข้าเสียแล้ว” “เป็นเช่นนั้นก็ดียิ่ง ข้ามีเรื่องอยากหารือกับท่านเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือเพียงคีบเนื้อเข
มือใหญ่ทาบที่บานประตูอย่างลังเลครู่หนึ่งก่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างเบามือ ใบหน้าเคร่งเครียดเลือนหายไปทันทีเมื่อเห็นร่างเล็กยังเอนตัวนั่งหลับ เขาเดินเข้าไปนั่งเคียงข้าง ค่อยๆ ประคองศีรษะของนางให้เอนมาพิงเขา “กระต่ายน้อย เจ้าจะหลับเช่นนี้ไม่ได้นะ” “ฮือ” นางครางในลำคออย่างหงุดหงิด “กระต่ายน้อย เจ้าจะไม่กินอะไรสักนิดเลยหรือ” เขาปลุกนางที่ริมหู “ข้าง่วงนอนจะแย่ อย่ามากวนข้า” นางดุเสียงที่รบกวนนาง เมื่อร่างกายได้ไออุ่นที่ถูกใจแล้ว จากที่ขยับตัวซุกเข้าไปกลายเป็นโถมตัวเข้าใส่ ชายหนุ่มไม่ทันระวังแต่ก็ยอมให้นางเป็นฝ่ายผลักเขาเอนลงนอนโดยมีนางนอนก่ายบนอกของเขาอีกที “ฟางเหนียง” เขาเรียกไม่ดังนัก แต่ได้ยินเสียงนางงึมงำ ทว่าเขาก็พอใจที่เป็นฝ่ายถูกกกกอดไม่น้อย เห็นนางไม่มีท่าทีจะตื่น จึงเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสอง สะบัดปลายนิ้วมือเล็กน้อยเทียนในห้องก็ดับวูบไป “ฟางเหนียง เป็นเจ้าที่ล่วงเกินข้าก่อนนะ” เขาจูบแก้มนวลของนาง ความสุขและความอิ่มเอมก็แล่นเข้าสู่หัวใจ มีนางอยู่ในอ้อมแขน ได้นอนกอดตระกองนางไว้เช่นนี้ หากท
“เจ้าบอกข้ามาก่อน เจ้าคิดอะไรกับโจวฟู่หรงกันแน่!” เผลอขึ้นเสียงใส่นางเข้าจนได้“ท่านก็บอกเหตุผลที่ข้าต้องบอกท่านมาก่อนสิ” นางเชิดหน้าท้าทายโดยไม่คิดว่ามือใหญ่ของเขาจะยื่นมาประกบใบหน้านาง แล้วริมฝีปากของเขาก็ทาบลงมาอย่างรวดเร็ว เร็วเสียจนนางไม่ทันได้ปิดปาก ทำให้อีกฝ่ายแทรกลิ้นเรียวเข้ามาเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของนางได้ จุมพิตเหมือนคนละโมบที่ทำราวกับจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ มือเล็กทำได้เพียงแค่จับสาบเสื้อของเขาไว้เพื่อพยุงตัวเอง แม้เพียงช่วงอึดใจ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดอากาศหายใจ พยายามดิ้นรนเพื่อประท้วง ทว่าอีกฝ่ายกลับบดจุมพิตแรงขึ้นและร้อนแรงขึ้นจนนางไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เขาจึงยอมถอนริมฝีปากตนเอง“คราวนี้เข้าใจหรือยัง”เห็นแววตาราวกับมีลูกไฟอยู่ในนั้นแล้ว นางก็หลุบตาแล้วพยักหน้าหงึกๆ เขายกนิ้วโป้งแตะริมฝีปากที่แดงและเจ่อขึ้นเล็กน้อยเพราะจุมพิตของเขา“ห้ามเจ้าคิดถึงผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ตาม”หญิงสาวอ้าปากจะประท้วง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางก็ได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น เก็บกลืนคำพูดลงท้องไปหมดสิ้น เมื่อเห็นนางยอมเชื่อฟัง แม้จะเหลือแววพยศอยู่บ้าง เขาก็คลายความกังวลลงไปได้เล็กน้อย
“สิ่งที่ทำในตอนนี้ต่างหากที่จะทำให้ข้าไม่กลับมาที่นี่อีก!” แววตานางจ้องมองเขาอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แผ่นหลังของนางเกร็งและตั้งตรงเหมือนแมวที่กำลังพองขนขู่อีกฝ่ายให้กลัว “อิงฮวา” เขาครางเรียกชื่อนางอย่างเศร้าหมอง เขาชอบนางที่ร่าเริงและอ่อนหวาน ในขณะเดียวกันนี้ นางก็เข้มแข็งจนชวนให้หลงใหล เขาอ้าปากกำลังจะพูดบางสิ่ง หางตาก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งเข้ามา เขาชะงักไปเล็กน้อย หญิงสาวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็เอะใจ นางหันไปทางประตูและเพียงพริบตา ร่างเล็กของซุนเย่ผิงก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา“พวกท่านทำอะไรกัน!” ซุนเย่ผิงกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ ยิ่งเห็นบนตักของโจวฟู่หรงมีหญิงอื่นนั่งอยู่ นางแทบอยากเข้าไปกระชากออกมาแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ ซ้ำเสื้อผ้าของโจวฟู่หรงยังไม่เรียบร้อยอีกต่างหาก นางชี้หน้าอิงฮวาแล้วกรีดร้อง“ท่านหญิง ท่านเข้าใจผิดแล้ว” อิงฮวาอาศัยจังหวะที่เขาคลายข้อมือ รีบลุกขึ้นแล้วถอยห่าง “ก็เห็นอยู่ตำตา เจ้าจะแก้ตัวอะไรอีก!”“ข้าน้อยเพียงแค่ทำแผลให้หัวหน้าโจว แล้วซุ่มซ่ามล้มลงเท่านั้น” “แผล? พี่ฟู่หรงมีบาดแผลอะไรกัน ไยข้าไม่รู้” ซุนเย่ผิงรีบเดินเข้ามาใกล้ๆ พอเห็นบาดแผลของโจวฟู่หรงแ
องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น
ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั
“ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา
หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั
“ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย
“นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน
“เจ้าจะรีบไปไหนกัน!” “ข้าหายดีแล้ว จะไปหาฟางเหนียง” เขาควรรีบไปอธิบายกับนาง เมื่อวานส่งจดหมายแจ้งให้ท่านพ่อทราบเรื่องภารกิจลับเรียบร้อยแล้ว และจะเดินทางกลับพร้อมรับมู่ฟางเหนียงไปด้วยเลย โธ่! ยังมิทันไรก็เป็นพวก ‘เกรงใจภรรยา’ เสียแล้ว เหวินเฮ่าหลันได้แต่คลี่พัดโบกไปมา ปกปิดสีหน้าระอาใจ เป็นบุรุษองอาจ ไฉนต้องมาพะวักพะวนกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ “เจ้ารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวนางก็มาแล้ว” “เฮ่ย!” “เจ้าจะร้องอะไร” เหวินเฮ่าหลันเห็นอาการของสหายแล้วก็ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ได้ยินมาจากเคอหลิ่งหลินว่าจ้าวจิ่นสือบาดเจ็บแต่ไม่ให้เรียกมู่ฟางเหนียงมาทำแผลเพราะเกรงใจที่เป็นเวลาพักผ่อนของนางแล้ว อย่างไรนางก็จะเป็นภรรยาอยู่แล้ว หน้าที่ภรรยาดูแลสามีก็ถูกแล้ว จะค่ำหรือสว่างจะเป็นไรไป เดือดร้อนต้องไปตามหมอผู้อื่นมารักษาให้ แม้จะไม่ใช่บาดแผลสาหัสก็เถอะ “ข้ายังไม่ได้อธิบายกับนาง นางมาเจอข้าแบบนี้...” “เจ้านี่! เป็นถึงรองแม่ทัพ! อย่ามาทำตัวกลัวเมียให้เสียชื่อหน่อยเลย!” เหวินเฮ่าหลันกดเสียงต่ำ เรื่องแบบนี้พ
เคอหลิ่งหลินก็เห็นหญิงสาวในชุดแดงหน้าตาซีดเซียว นางมาไม่ทันจึงไม่รู้ว่าหญิงนางนี้มีเรื่องแค้นใดกับจ้าวจิ่นสือ แต่ด้วยความสงสารในท่าทีสับสนและดูเคว้งคว้างของนางจึงเดินเข้าไปใกล้ หมายจะปลอบประโลมให้สงบใจ“แม่นาง อย่างไรแล้วค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด เจ้ามีบาดแผล ให้ข้าดูหน่อยจะเป็นไร” เคอหลิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่ทำให้ร่างของหญิงสาวในชุดแดงแข็งทื่อ กวาดตาจ้องมองคนทั้งหมด คนพวกนี้พูดคุยเหมือนเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่นางนั้นเล่า ไร้ผู้ใดไม่มีใครอีกแล้ว ความเศร้าหมองและหดหู่กัดกินจิตใจ มือบางกำด้ามกริชแน่นขึ้น หมายมั่นจะเอาชีวิตของจ้าวจิ่นสือให้ได้ นางพุ่งเข้าใส่อย่างไม่คิดหวาดกลัวและไม่สนใจว่านางอาจถูกฝ่ามือซัดกลับจนถึงแก่ชีวิตช่างปะไร นางจะได้ไม่ต้องเดียวดายอีกแล้ว“จิ่นสือ!” เป็นเสียงเคอหลิ่งหลินที่หวีดร้องอย่างตกใจ น้องชายนางกลับไม่หลบยืนนิ่งปล่อยให้หญิงนางนั้นแทงกริชเข้าชายโครงด้านซ้ายของเขา เพราะคิดว่าจ้าวจิ่นสือจะหลบหลีกหรือตอบโต้ได้ จึงไม่มีใครขวางหรือเข้าไปช่วย ทุกคนจึงตื่นตะลึง แม้แต่หญิงผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ“เจ้า! ไยไม่หลบข้า!” หญิงสาวในชุดแดงปล
แต่กระนั้นอีกฝ่ายกลับไม่ลดความพยายาม เตรียมพุ่งกริชเล่มเดิมนั้นใส่จ้าวจิ่นสืออีก นั่นหมายความว่าเขาคือคนที่นางต้องการชีวิต ร่างบางง้างมือขึ้นแต่ยังไม่ทันไร แสงวาบหนึ่งก็พุ่งผ่านเฉียดมือนางไปเล็กน้อย แต่ก็กรีดผิวเรียกเลือดสีเข้มกระเซ็นออกมา หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจแต่ไม่ยอมทิ้งกริชเพียงแค่ยกมือกุมบาดแผลแล้วมองมีดสั้นที่ปักบนผนังห้องก่อนจะตวัดสายตามองไปทางหน้าต่าง ผู้มาใหม่กระโจนเข้ามา ใบหน้ามีหน้ากากอสูรปกปิดครึ่งหน้าด้านบน แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นทันทีที่เห็นนาง คราวนี้จ้าวจิ่นสือจับกระบี่ขึ้นมา แต่หัตถ์เทวะกลับยกมือโบกไปมาคล้ายไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ แล้วเดินวนเวียนรอบกายหญิงสาว ดวงตาคู่งามนั้นไร้แววหวาดกลัวแต่กลับวาวโรจน์ดุจแมวป่า ‘ช่างน่าสนใจนัก!’ “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เป็นจ้าวจิ่นสือที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เห็นชัดว่าชายผู้นั้นไม่ได้รู้จักหญิงสาวในชุดสีแดง “เป็นข้าควรถามเจ้ามากกว่า” หัตถ์เทวะหันมาทางจ้าวจิ่นสือ “ข้านึกว่าเรามีเรื่องสนทนากันตามลำพัง” “เจ้าไม่ได้ส่งนางผู้นี้มาทำร้ายข้าหรอกหรือ” ฝีมืออย่างนาง... จ