หรงซีประคองเจียงหวานหว่านและเดินต่อไป“ท่าน…เอ่อ พี่ใหญ่ ท่านเจ้าเมืองเมืองเว่ยสุ่ยจางเสี้ยวเทียนเป็นคนของหรงมู่หาน สามปีก่อนบุตรสาวคนเล็กของจางเสี้ยวเทียนชื่อจางเยี่ยนเยี่ยนได้มาเป็นอนุของหรงมู่หาน”เจียงหวานหว่านนึกถึงอนุของหรงมู่หาน ในนั้นมีหญิงสาวอีกหลายคนที่สกุลต่างๆ ได้ส่งตัวหญิงสาวไปเป็นของขวัญให้กับหรงมู่หานเพื่อให้สกุลของตนเองได้ประโยชน์ ยอมเสียหญิงสาวคนหนึ่งไปเพื่อเป็นการซื้อขาย“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องของหรงมู่หานได้ดีกว่าใครๆ”หรงซีรู้สึกสงสัยขึ้น สำหรับเรื่องนี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ก่อนออกเดินทางเจียงหวานหว่านเป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่ง นางจะรู้ดีเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว“ท่านอ๋อง ได้โปรดให้อภัยด้วยที่ข้าไม่อาจบอกที่มาของเรื่องนี้ได้ แต่ท่านอ๋องได้โปรดเชื่อว่าข้ายอมตาย แต่ไม่ยอมทำเรื่องที่ผิดต่อท่านอ๋องเด็ดขาด”หรงซีได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจขึ้นเล็กน้อย เหตุใดเจียงหวานหว่านถึงจริงจังกับเขามากถึงเพียงนี้ทุกคนล้วนแต่มีความลับของตัวเองทั้งสิ้น ในเมื่อเจียงหวานหว่านไม่อยากบอก หรงซีเองก็ไม่บับบังคับนางอย่างน้อยจนถึงตอนนี้ เจียงหวานหว่านก็มีค่า
นางอยู่ห้องเดียวกับหรงซีทันใดนั้นในหัวของเจียงหวานหว่านก็ปรากฏภาพหรงซีกำลังนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำนางส่ายหน้าไปมาเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา ไม่ให้ตัวเองคิดมากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมสั่งให้เสี่ยวเอ้อมาต้อนรับ พาหรงซีกับเจียงหวานหว่านขึ้นไปเจียงหวานหว่านเดินตามหลังหรงซีไปอย่างช้าๆแม้ว่านางจะชอบเขา แต่หญิงชายอยู่ด้วยกันลำพังสองต่อสองในห้องเดียวกันเช่นนี้ นางก็ลำบากใจเช่นกันเสี่ยวเอ้อพาทั้งสองไปส่งเข้าห้อง จากนั้นก็ปิดประตูห้องลง“เอ่อ….”เจียงหวานหว่านไม่รู้ว่าต้องเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดออกมาดีดวงตาอันลึกล้ำแคบยาวนั้นของหรงซีจ้องมองเจียงหวานหว่าน และค่อยๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนดวงตาคู่นั้นจะพลันเปลี่ยนเป็นหยอกล้อขึ้น “เจียงหวานหว่าน เจ้ามีใจทะเยอทะยานต่อข้ามาก หากคืนนี้ข้าจะทำให้ความปรารถนาของเจ้าเป็นจริงล่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงหวานหว่านก็เกิดความคิดมากมายขึ้น แต่นางยังรักษาระยะห่างเอาไว้ได้ดี“ท่านอ๋อง ได้โปรดเคารพตัวเองด้วย”หลังกล่าวคำนี้จบ ใจของเจียงหวานหว่านก็เต้นเร็วขึ้น อารมณ์และความรู้สึกแปลกประหลาดทำให้ใจนางสั่นขึ้น “เจียงหวานหว่าน ข้าเจ้ายอมข้า ข้าจะปกป้องเจ้าไปตลอด
เมื่อเนื้อเข้าไปในปาก จู่ๆ หรงซีก็เกิดความรู้สึกพึงพอใจขึ้นเห็นหรงซีกินอย่างหยุดไม่ได้เช่นนี้ เจียงหวานหว่านก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ“เอาถ้วยกับตะเกียบมาเพิ่มกินด้วยกันสิ คืนนี้เราต้องเดินทางกันต่อ”เจียงหวานหว่านคิดว่าจะพักที่นี่หนึ่งคืน นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องรีบเดินทางต่ออีก“ข้าไม่หิว ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยล้านิดหน่อย ท่านอ๋องกินเถอะ ข้าจะขอตัวไปพักผ่อนสักหน่อย”เจียงหวานหว่านอ้าปากหาว และเดินขึ้นเตียงไปพักผ่อนไม่นานนักลมหายใจอันแผ่วเบาก็ดังขึ้นและเมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว นางพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องที่โรงเตี๊ยมแล้ว แต่อยู่บนรถม้าคันหนึ่งและสิ่งที่ทำให้นางตื่นตระหนกตกใจนั่นก็คือ หรงซีกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนแม้ระหว่างทั้งสองจะมีเสื้อคลุมกั้นอยู่ แต่มันก็ไม่สมควรนางจะลุกอย่างเงียบๆ แต่เพียงขยับเล็กน้อย หรงซีก็กอดนางเอาไว้แน่นเจียงหวานหว่านไม่กล้าขยับตัวผลีผลาม นางจึงลืมตาขึ้นแล้วจ้องมองหรงซีใบหน้าของหรงซีอยู่ใกล้มากอย่างเห็นได้ชัด เจียงหวานหว่านกัดริมฝีปากเหมือนอยากจูบเขา และเมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ เจียงหวานหว่านก็รู้สึกดูถูกตัวเองมาก นี
รถม้าเคลื่อนตัวไปช้าๆ เข้าไปในเมืองชิงเหอ ทุ่วตรงไปยังจวนท่านเจ้าเมืองเมื่อท่านเจ้าเมืองเว๋ยซื่อเจี๋ยท่านเจ้าเมืองชิงเหอรู้ว่าหรงซีมา ก็นำเหล่าขุนนางภายใต้สังกัดออกไปต้อนรับทันที“กระหม่อมเว๋ยซื่อเจี๋ย คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”เว๋ยซื่อเจี๋ยมองหรงซีด้วยสายตาที่เปล่งประกายเมื่อก่อนเขาเคยเป็นลูกน้องของหรงซี เนื่องจากอาการป่วยของเขา เขาจึงถอนตัวออกจากทัพรบหลังจากได้รับการเลื่อนขึ้นมาจากท่านอ๋อง เขาก็เข้ามารับตำแหน่งท่านเจ้าเมืองเมืองชิงเหอท่านอ๋องเป็นผู้มีพระคุณต่อเขา ดังนั้นเมื่อเมืองชิงเหอเกิดเรื่องขึ้น เขาก็รีบขอความช่วยเหลือจากท่านอ๋องเป็นคนแรก“แม่นางคนนี้ชื่อว่าเจียงหวานหว่านนางเป็นหมอ นางเป็นศิษย์ของปรมาจารย์หมอเซียน”หรงซีแนะนำเจียงหวานหว่านให้เว๋ยซื่อเจี๋ยรู้จักเมื่อได้ยินเชื่ปรมาจารย์หมอเซียน เว๋ยซื่อเจี๋ยก็รู้สึกตกใจมากเดิมทีคิดว่าแม่นางที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องจะเป็นหญิงงามของท่านอ๋องเสียอีกนึกไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าจะมีหมอที่ฝีมือวิเศษเช่นนี้ อีกทั้งยังเป็นหมอหญิงที่อายุน้อยเช่นนี้อีกด้วยเขาผิดเองที่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก ศิษย์ของปรมาจารย์หมอเซียน
หากเจียงหวานหว่านเป็นอันใดไป เขาจะทำเช่นไรเขารู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกดึงไปดึงมาและเมื่อเขาคิดจะเรียกเจียงหวานหว่านกลับมา เจียงหวานหว่านได้ย่างเท้าก้าวเข้าไปในประตูอารามชิงเหอแล้วทหารที่เฝ้าประตูปิดประตูอารามลง“หวังว่าท่านหมอเจียงจะรักษาได้”เว๋ยซื่อเจี๋ยกล่าวอย่างทอดถอนใจภายในอารามชิงเหอมีหมออยู่หลายท่าน พวกเขารักษาไม่ได้ และพวกเขาก็ออกไปไม่ได้เช่นกันและเมื่อหมอเหล่านั้นเห็นหม่นางน้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามา ต่างก็พากันถอนหายใจออกมา“แม่นางน้อย มาให้ข้าตรวจดูหน่อยว่าเจ้าไม่สบายตรงไหน”หมอชราผมหงอกท่านหนึ่งกล่าวถามเจียงหวานหว่านด้วยความเป็นห่วง“ท่านหมอเหมียว แม่นางผู้นี้ดูไม่เหมือนคนป่วยไข้เลย”หมอวัยหลางคนท่านหนึ่งสังเกตสีหน้าของเจียงหวานหว่าน และพบว่านางไม่ได้ป่วยอันใด“ท่นาหมอเหมียว ท่านหมอข่ง แม่นางน้อยผู้นี้หน้าตาไม่คุ้นเลย เหมือนไม่ใช่คนเมืองชิงเหอ”ท่านหมอเคอเป็นหนึ่งในสามของหมอที่อายุน้อยที่สุดกล่าวออกมาท่านหมอข่งก็เห็นด้วยกับคำพูดของท่านหมอเคอ เขาเองก็รู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเจียงหวานหว่านเลยสายตาของหมอเคอจ้องมองเจียงหวานหว่านอย่างพิจารณานางเห็
เจียงหวานหว่านจับชีพจรของคนป่วยหลายคน และพบว่าอาการป่วยของแต่ละคนนั้นมีความรุนแรงต่างกัน แต่เป็นพิษชนิดเดียวกันเป็นเพราะในร่างกายของทุกคนมีพิษ แต่เนื่อจากร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกันคนที่โดนพิษมีทั้งชายหญิงคนแก่และเด็ก พวกเขาไม่มีกำลังวังชาเลย ราวกับกำลังจะตายไปในไม่ช้าก็มิปานนางเข้าใจอาการทั่วไปของโรคนี้แล้ว นางส่งสัญญาณบอกให้หมอเหมียวและหมอคนอื่นๆ ออกไป“หมอเจียง ข้ามีชีวิตอยู่มาหลายสิบปีก็ไม่เคยพบเคยเห็นโรคนี้มาก่อนเลย”หมอเหมียวกล่าวอย่างทอดถอนใจสายตาของเจียงหวานหว่านกวาดมองไปที่หมอเหมียว และกล่าวถามว่า “ท่านหมอเหมียว ขอข้าจับชีพจรท่านดูหน่อย”หมอเหมียวได้ยินคำพูดนี้ของเจียงหววานหว่านก็ตกตะลึงขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยื่นมือให้เจียงหวานหว่านเจียงหวานหว่านจับชีพจรเขาและะขมวดคิ้วขึ้น และพบว่าเป็นเหมือนที่นางคาดการณ์ไว้ไม่มีผิดนางหยิบกระดาษกับพู่กันที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา และเขียนบางอย่างไปก่อนจะยื่นให้ทหารเฝ้าเวรยาม“เอาจดหมายนี้ไปส่งให้ท่านอ๋องหน่อย ข้าจะรอคำตอบจากท่านอ๋อง”ทหารไม่กล้ารีรอจึงรีบไปรายงานทันทีเจียงหวานหว่านเดินไปที่ม้านั่ง และนั่งลง“ท่านหม
เจียงหวานหว่านยิ้ม “เช่นนั้นรบกวนอาจารย์กัวแล้ว”หมอเคอได้ยินคำพูดของกัวอี้เทียนก็ตกใจจนอ้าปากค้างอาจารย์กัวเป็นบุคคลสำคัญอันดับต้นๆ ของเมืองชิงเหอ นอกจากเจ้าเมืองแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเรียกใช้เขากัวอี้เทียนหยิบกระดาษและพู่กันออกมา “เป็นเกียรติของข้าที่สามารถช่วยทำงานเบ็ดเตล็ดให้ท่านหมอเจียงได้”กัวอี้เทียนมองหมอเคอที่มีตาหามีแววไม่แล้วเยาะเย้ยในใจท่านหมอเจียงเป็นปรมาจารย์หมอเซียนในตำนาน ด้วยความสนใจที่ท่านอ๋องมีต่อท่านหมอเจียง เขาเองก็ต้องประจบประแจงให้ดี“ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านหมอเจียง แยกแยะผู้ป่วย สมุนไพรที่ท่านหมอเจียงต้องการกำลังจัดเตรียมอยู่ แล้วก็ช่างตัดเย็บสิบห้าคนกำลังเร่งทำหน้ากากผ้าตามที่ท่านหมอเจียงต้องการ...”ท่าทางของอาจารย์ทำให้เจียงหวานหว่านเข้าใจ เป็นเพราะสถานะของหรงซีใช้การได้แล้วหมอเคอยืนงงอยู่ที่เดิม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์กัวถึงได้ปฏิบัติต่อสตรีนางหนึ่งด้วยความเคารพเช่นนี้“อาจารย์กัว ท่านและพวกเทียนซูสวมหน้ากากก่อน อย่าได้ติดโรคระบาด ให้ทหารข้าหลวงหน้าหอบรรพชนชิงเหอมาทั้งหมดมาตรวจชีพจร ดูว่าพวกเขามีคนติดโรคระบาดเท่าไหร่”เขาเอาแต่สนใจทำความดี
เจียงหวานหว่านนับถือในคุณธรรมความเป็นหมอของหมอเหมียว “ท่านหมอเหมียว ข้าจะพยายามสุดความสามารถ”แม้นางไม่มั่นใจเต็มร้อย แต่นางก็ถอยได้ไม่เช่นกันหมอเหมียวเหลือหมอข่งเอาไว้ ให้เขาช่วยเหลือเจียงหวานหว่านเจียงหวานหว่านเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็เริ่มรักษาหมอเหมียวใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดเจียงหวานหว่านก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกนางเก็บเข็มแล้วเอ่ยกับหมอข่ง “รบกวนท่านหมอข่งดูและท่านหมอเหมียวด้วย”“ท่านหมอเจียง ท่านไปพักผ่อนสักครู่เถอะ”หมอข่งเองก็เป็นหมอคนหนึ่งเช่นกัน เขารู้ว่าการฝังเข็มนั้นใช้สมาธิอย่างมากอีกทั้งหมอเจียงก็ได้รักษาให้ผู้ป่วยอาการหนักหลายรายแล้ว หากยังฝืนทนต่อไป เกรงว่าจะกระทบถึงร่างกาย“ท่านหมอข่ง วิธีการฝังเข็มนี่ท่านเรียนเป็นแล้วหรือไม่?”เจียงหวานหว่านเงยหน้ามองหมอข่ง“ต้องดูสักหลายรอบหน่อย”สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝังเข็มคือความถูกต้องแม่นยำ หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็จะสร้างผลกระทบที่ต่างกันมาก เขาไม่กล้ารับประกันว่าตัวเองทำได้แล้ว“ท่านหมอข่ง อาการป่วยของท่านเบากว่าท่านหมอเหมียวมาก หากท่านรักษาโรคหายก่อน ก็สามารถช่วยแบ่งเบาหน้าที่ข้าได้บ้