23 กุมภาพันธ์ เวลา 01:50 น.
ในขณะที่นักท่องราตรีคนอื่น ๆ ต่างกำลังเต้นบนฟลอร์อย่างเมามัน แต่สามสาว นับสอง เจนนี่ และแก้มบุ๋ม นั้นเมามายจนไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว
สภาพแต่ละคนดูได้ซะที่ไหน หรือนี่คือที่มาของคำว่า มาอย่างหงส์กลับอย่างหมา
เจนนี่ที่เมาก็เดินเต้นและชนแก้วไปจนทั่ว ราวกับว่าตัวเองนั้นรู้จักกับเขาไปหมดทุกโต๊ะ เหลือเพียงสองสาวที่ลุกไปไหนไม่ไหว แก้มบุ๋มก็ได้แต่นั่งเท้าคางสัปหงก หากเธอฝืนดื่มต่ออีกนิดมีหวังได้อ้วกคาโต๊ะแน่
ส่วนนับสองที่คออ่อนที่สุด ก็ฟุบหน้าหลับบนโต๊ะไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย และคาดว่าต่อให้ร้านปิดเธอก็น่าจะยังไม่ตื่น
"คนสวยครับง่วงแล้วเหรอ ไปต่อกับเรามั้ย" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร บางทีเขาอาจจะคุยกับคนอื่นอยู่ก็ได้
"ว่ายังไงครับไปมั้ย" ชายคนนั้นยังคงถามต่อพลางฉวยโอกาสใช้มือโอบไหล่ของเธอ ทำเอาอภิชญาที่ฟุบหน้าหลับอยู่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ
"ไม่ค่ะขอบคุณ" เธอตอบกลับเสียงแข็ง ก่อนจะปัดมือของผู้ชายคนนั้นออกด้วยความไม่สบอารมณ์ เธอฟุบหน้าลงบนโต๊ะอีกครั้งและหวังว่าเขาจะไม่ตอแยและเดินจากไปแต่โดยดี
เธออยากกลับบ้านแล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คงจะขับรถกลับเองไม่ไหว ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมามองหาเพื่อนอีกครั้ง ก็เห็นว่าแก้มบุ๋มมีสภาพที่ไม่ต่างกันกับเธอนัก เธอจึงกวาดสายตามองหาเจนนี่ ผู้เป็นความหวังเดียวที่เหลือของเธอ
โอเค.. คืนนี้อีเจนนี่ได้ผู้ แสดงว่ามันคงไม่ว่างไปส่งเธอกับแก้มบุ๋มอย่างแน่นอน แต่ในขณะที่อภิชญากำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ข้อมือของเธอก็ถูกกระชากโดยผู้ชายคนนั้น คนที่เธอเพิ่งปฏิเสธไปเมื่อกี้
"ไปเหอะน่า อย่าเล่นตัวนักเลย เดี๋ยวจ่ายเงินให้ก็ได้จะเอาเท่าไหร่ว่ามา"
"ไม่ไปเว้ย พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ" อภิชญาพยายามขัดขืนอย่างเต็มที่ ยื้อยุดฉุดกระชากกับมันอยู่นานก็ไม่มีใครคิดเข้ามาช่วย มีเพียงแก้มบุ๋มที่พยายามยื้อแย่งเธอจากไอ้ผู้ชายคนนั้น แต่แรงของผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชายได้
ตอนนี้เธอกลัวมากเสียจนร้องไห้ออกมา อภิชญาพยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่ว่าใครที่จะเข้ามาช่วย ก็มักโดนผู้ชายคนนี้ด่าว่า อย่ามาเสือกเรื่องผัวเมีย เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น ก็ทำได้แค่เดินหนีไป
"มึงปล่อยมือสกปรกนั่นออกจากเมียกูเดี๋ยวนี้" น้ำเสียงดุดันน่าเกรงขามดังขึ้นจากทางด้านหลัง วายุพร้อมด้วยเพื่อนสนิททั้งสองก็เดินมาด้วยเช่นกัน ตั้งแต่เขารู้ว่าเธอคือนับสองคนนั้น เขาก็คอยจ้องมองเธอมาตลอด จนกระทั่งไอ้เวรเมื่อกี้มันมาเกาะแกะกับเธอ
ตอนแรกเขาคิดว่ามันคงเป็นแฟนของนับสอง แต่เท่าที่สังเกตดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่ นี่มันคือการคุกคามชัด ๆ
น่าโมโหที่คนอยู่ตรงนั้นตั้งเยอะแต่ไม่มีใครคิดช่วยเธอเลยสักคน มีเพียงคนเดียวที่คอยช่วยเหลือก็คือแก้มบุ๋ม ซึ่งสภาพก็เมาเละจนยืนเองแทบไม่ไหว
เป็นผู้หญิงแต่กลับมาเที่ยวเมาเละเทะ โดยไม่มีผู้ชายที่ไว้ใจได้มาด้วยสักคน ไม่รู้ว่าซื่อหรือใจกล้ากันแน่
"ขะ.. ขอโทษครับคุณเหนือ" ชายคนนั้นรีบปล่อยมือออกจากนับสองและสาวเท้าเดินหนีออกไปในทันที หากใครที่มาเที่ยวที่นี่ประจำก็จะต้องรู้ว่า ผู้ชายสามคนนี้เป็นผู้มีอิทธิพลขนาดไหน อีกทั้งร้านที่เขากำลังยืนอยู่ตอนนี้ก็เป็นของคุณเอก.. เขาไม่อยากมีปัญหากับคนระดับนี้เพราะผู้หญิงเพียงคนเดียวหรอกนะ
วายุพยายามข่มอารมณ์โมโหเอาไว้ ทั้งที่นับสองรู้ตัวว่าเป็นคนคออ่อน ก็กินเอาจนเดินไม่ไหว ที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตแบบไหนกัน คงไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกครั้งหรอกใช่มั้ย
"ไอ้เอกกูฝากดูแลเจนนี่กับแก้มบุ๋มหน่อยได้มั้ย เปิดโรงแรมให้พวกเธอนอน เดี๋ยวค่าโรงแรมกูออกเอง" วายุพูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบเฉกเช่นเคย เพื่อนสนิททั้งสองก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความเข้าใจ
"เออเดี๋ยวพวกกูช่วยดูให้ ส่วนค่าโรงแรมเดี๋ยวกูจัดการเอง" เอกภพตอบกลับอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องหาโรงแรมสักสองห้อง เพราะเจนนี่น่าจะไม่ว่างในคืนนี้ เหลือก็แต่แก้มบุ๋มที่นั่งหลับอยู่บนโต๊ะนี่แหละ
"งั้นกูกลับล่ะ ส่วนไอ้เวรเมื่อกี้กูฝากสั่งสอนด้วย" วายุเอ่ยขึ้น พลางช้อนตัวอุ้มนับสองไว้ในอ้อมแขน คนตัวเล็กฟุบหน้าเข้ากับแผงอกของเขาและร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง เหตุการณ์เมื่อครู่คงทำให้เธอตกใจกลัวมาก
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาล่ะอยากเดินตามออกไปกระทืบมันด้วยตีนตัวเองจริง ๆ ถ้าไม่ติดว่าต้องพานับสองออกไปจากที่นี่ เขาสาบานเลยว่าจะให้มันได้นอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่โรงพยาบาลสักเดือน
"กูจัดการให้เองไม่ต้องห่วง" เอกภพตบบ่าเพื่อนรักอย่างรู้ใจ ก่อนจะหันไปประคองแก้มบุ๋มไว้ในอ้อมแขน เพราะรายนี้ก็เมาจนหลับกลางอากาศไปแล้ว
"อย่าลืมเอาลูกสาวเขาไปคืนนะเว้ย" รชานนท์ตะโกนตามหลังไปอย่างติดตลก
วายุอุ้มคนตัวเล็กมาวางไว้บนเบาะนั่งข้างคนขับอย่างเบามือ ซึ่งตอนนี้เธอหยุดร้องไห้และผล็อยหลับไปแล้ว เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังวิลล่าของตัวเอง ตลอดเวลาที่ขับรถเขาก็เหลือบไปมองเธออยู่เป็นระยะ
ใบหน้าหวานอิงหัวแนบกับกระจกอย่างไร้สติ เผยให้เห็นลำคอขาวเนียนน่าหลงใหล เส้นผมที่ดัดลอนมาเป็นอย่างดีตอนนี้มันคลายออกจนเหลือเพียงลอนจาง ๆ ยิ่งมองดูยิ่งรู้สึกใจเต้น
วายุพยายามรวบรวมสติเอาไว้ เขาจะต้องตั้งใจขับรถไปให้ถึงบ้าน แม้ว่าคนที่นอนหลับอยู่ด้านข้างจะล่อตาล่อใจมากขนาดไหนก็ตาม
23 กุมภาพันธ์ เวลา 02:39 น.
ลัมโบร์กีนีอะเวนทาดอร์ แล่นเข้ามาจอดในโรงรถ วายุก้าวขาลงมาจากสปอร์ตคาร์คันหรู ร่างกำยำเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับอย่างเบามือ เขาอุ้มคนตัวเล็กออกมาจากรถอย่างทะนุถนอม และพาเธอตรงเข้าไปข้างในบ้านในทันที
"บอสครับ เอ่อ.." สิงห์ มือขวาคนสนิทที่วิ่งออกมาต้อนรับ เขาจ้องมองผู้หญิงในอ้อมแขนของเจ้านายด้วยความงุนงง
ไหนบอสบอกเขาว่าจะไปสังสรรค์กับเพื่อน อีกทั้งยังบอกเขาว่าไม่ต้องนัดใครมาให้ แต่บอสกลับพาผู้หญิงมาที่บ้าน
พามาที่บ้าน!!! พามาที่บ้านอย่างนั้นเหรอ!!
ตั้งแต่เขาทำงานให้บอสมา เขาไม่เคยเห็นบอสพาผู้หญิงคนไหนมาที่บ้าน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงแรมทั้งนั้น แต่กับผู้หญิงคนนี้บอสอุ้มมาเองกับมือ อีกทั้งยังพามาถึงบ้าน
นี่หมายความว่าเธอคนนี้ต้องมีอะไรที่พิเศษต่างจากคนอื่นอย่างแน่นอน!
"ไปเปิดประตูห้องผมให้หน่อย" เขาออกคำสั่งด้วยท่าทางเร่งรีบ สิงห์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งนำไปที่ห้องนอนของเจ้านายในทันที
เมื่อมือขวาคนสนิทปิดประตูแล้วเดินจากไป เขาจึงอุ้มร่างของเธอไปวางลงบนเตียงนอนสีเทาขนาดคิงไซซ์ ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่ง และเดินออกมาพร้อมกับกะละมังใส่น้ำและน้ำขนหนูผืนเล็กอีกหนึ่งผืน
วายุบรรจงเช็ดหน้าและเช็ดตัวให้เธออย่างดี จากนั้นก็รีบหาถังขยะมาวางไว้ด้านข้างเตียง เผื่อว่าเธอตื่นมาแล้วจะอยากอาเจียน อย่างน้อยข้างเตียงก็ยังมีถังขยะอยู่ใกล้ ๆ
แววตานุ่มลึกจ้องมองใบหน้าของคนที่หลับใหลอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ ทำไมกันนะ..ทำไมเขาถึงพาเธอมาที่นี่ ถ้าหากเธอแต่งงานมีลูกมีสามีไปแล้วเขาจะทำยังไงดี เขาจะกลายเป็นไอ้ชั่วที่ลักพาตัวเมียคนอื่นใช่มั้ย
"อื้อ.." คนตัวเล็กที่นอนอยู่บนเตียงสะลึมสะลือบิดขี้เกียจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความแสบตา เพราะแสงไฟภายในห้องมันสว่างเกินกว่าที่เธอนอนหลับต่อได้
วายุที่เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบรีโมทไฟบนหัวเตียงและปรับให้มันเป็นเพียงแสงสลัว เขายังจำได้ดีว่านับสองไม่ชอบนอนในห้องที่มืดหรือสว่างเกินไป
หากเป็นสมัยที่อยู่คอนโด เธอก็มักจะแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อยเพื่อให้แสงจากข้างนอกพอส่องผ่านเข้ามาบ้าง ต่างกันกับเขาที่ชอบนอนในห้องที่เย็นและมืดสนิท แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ตามใจเธอ จนในที่สุดเขาเองก็เคยชินกับการนอนในห้องที่มีแสงไฟสลัว
"ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง" วายุเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อครู่เขาเห็นว่าเธอโดนไอ้เวรนั่นกระชากแขนเสียจนตัวปลิว หากเขาไม่มาช่วยเอาไว้เกรงว่าป่านนี้เธอคงได้ไปอยู่ในห้องของผู้ชายคนอื่นอย่างแน่นอน
ถ้าจะเป็นอย่างนั้นให้สองมาอยู่ห้องกู ไม่ดีกว่าเหรอ!
"หื้มม เฮียเหนือเหรอ.." อภิชญาหลับตาพูดออกมาเสียงแผ่ว เธอยังคงจำกลิ่นน้ำหอมของเขาได้ดี ยังคงจำเสียงนุ่มทุ้มของเขาได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เธออยากลืมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยลืมมันได้อยู่ดี"ครับ..เฮียเอง สองเป็นยังไงบ้าง" คำถามของวายุนั้นช่างกว้างขวาง เป็นยังไงบ้าง ในหลาย ๆ ความหมาย อาการของเธอตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมาเธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม..เขายังคงกุมมือบอบบางของหญิงสาวไว้แน่น ราวกับว่ากลัวเธอจะหายไปจากเขาอีก ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง มีคนรักใหม่แล้วหรือยัง แต่งงานมีลูก มีชีวิตใหม่ไปหรือยัง.."หนูคิดถึง..คนใจร้าย" ริมฝีปากบางบ่นงึมงำว่าคำพูดของเธอนั้น วายุกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ดวงตาคมเข้มจ้องมองคนตัวเล็กอย่างซับซ้อน บนใบหน้าหล่อเหลาคล้ายมีความคิดอะไรบางอย่างเขาเองก็คิดถึงเธอมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีความกล้าพอที่จะไปตามง้อเธอกลับมา จึงทำได้เพียงหลับหูหลับตาใช้ชีวิตต่อไป และได้แต่ภาวนาขอให้เธอได้ไปพบเจอกับคนที่ดีแต่ตอนนี้ เธอกลับพูดออกมาว่าคิดถึงเขา ถึงแม้จะเป็นเพียงตอนที่เธอกำลังเมาอยู่ก็ตาม แต่มันก็ทำให้ความโลภภายในใจก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง"สองครับ..เฮียขอจ
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำงาน กระทบลงบนเส้นผมสีดำสนิทซึ่งตอนนี้มันยังไม่ทันแห้งดี เจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกันนั้น กำลังกวาดสายตาอ่านเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยท่าทางสุขุม"คุณเหนือคะ..กาแฟมาแล้วค่ะ" เสียงหวานของสาวรับใช้วัยยี่สิบหกดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง เธอมีชื่อว่าชะเอม เป็นคนที่ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก และเป็นหลานสาวของป้าลำดวน แม่บ้านคนเก่าแก่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาทำงานให้วายุได้เพียงสามปีชะเอมแอบมีใจให้เขา ชายหนุ่มนั้นรู้ดี แต่ทว่าสมภารไม่กินไก่วัดนั่นคือคติประจำใจของวายุ เขาไม่คิดที่จะทำเรื่องพรรค์นั้นในบ้านของตัวเอง และไม่คิดพาใครมาทำเรื่องอย่างว่าภายในบ้านของเขายกเว้นเรื่องเมื่อคืนไว้ก็แล้วกัน"เข้ามาได้" น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไปชะเอมเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เธอพยายามเอาใจคุณเหนือมาตลอดแต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเธอเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะแตะต้องเธอเลยสักนิด แต่เมื่อคืนเขากลับพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มานอนค้างที่บ้านเป็นครั้งแรก.."เสร็จธุระก็ออกไปได้แล้ว ผมจะทำงาน""ค่ะ
ภาพที่อภิชญาเห็นอยู่เบื้องหน้าคือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีเทาขาวสไตล์โมเดิร์น โถงกลางห้องมีโซฟาหนังสีเทาพร้อมโต๊ะกระจกสีดำสำหรับรองรับแขก ถัดไปก็เป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และเก้าอี้หนังสีดำที่หันหลังให้เธออยู่ตอนนี้ ก็มีผู้ชายคนนั้น คนที่เธอคาดว่าเป็นผู้ชายคนเมื่อคืนนั่งอยู่"เอ่อ..ฉันไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไรจากคุณนะคะ เพราะเราเองต่างก็เมากันทั้งคู่" คนตัวเล็กชิงเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน ถึงเขาจะรวยหรือมีตังค์ยังไง แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอตั้งใจมาจับหรือจะมาเกาะเขากินพลาดแล้วก็ให้พลาดไป คิดเสียว่า วินวินกันทั้งคู่"ครับ แล้วยังไงต่อ" เขาตอบกลับเสียงเรียบ โดยที่ไม่ยอมหันเก้าอี้กลับมาคุยให้เธอเห็นหน้าค่าตาเลยสักนิด อภิชญาขมวดคิ้วเสียจนมันจะผูกกันเป็นโบ จากความทรงจำอันเลือนรางของเธอ เมื่อคืนผู้ชายคนนี้ขย้ำเธออย่างกับหมาป่าหิวโซที่บังเอิญเจอเข้ากับลูกแกะ แต่ดูซิ ตื่นเช้ามาแม้แต่หน้าของเธอเขาก็ไม่หันมามองเสียเซลฟ์ฉิบหายเลยโว้ย"อย่างที่บอกไปค่ะ ฉันไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไรจากคุณ ฉันเพียงแค่กังวลเลยอยากมาถามเพื่อความสบายใจ""ครับแล้วคุณกังวลเรื่องอะไร" เขายังคงไม่หันกลับมา อีกทั้
สปอร์ตคาร์คันหรูแล่นผ่านเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดตัวไปตามแนวภูเขาและต้นไม้เขียวขจี แต่ทว่าบรรยากาศภายในรถกลับเงียบสงัด จนได้ยินเพียงแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ วายุเหลือบไปมองคนตัวเล็กที่นั่งหลับพิงกระจกอยู่เป็นระยะ ภาพสมัยที่เขาและเธอยังรักกันอยู่ก็ฉายกลับมาให้เห็นอีกครั้งเพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีเสียงหวาน ๆ ของเธอที่เรียกเขาว่าเฮียเหนืออีกแล้ว รอยยิ้มที่แสนสดใสนั่นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีก"เฮียคิดถึงสองนะ..คิดถึงมาโดยตลอด" เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับถนนข้างหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจะยังมีสติอยู่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเธอก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดก่อนหน้านี้อภิชญาเลือกที่จะแกล้งหลับเพื่อหนีความอึดอัดที่เกิดขึ้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ แต่เธอไม่หลงเชื่อคำพูดของคนหลอกลวงเป็นครั้งที่สองหรอกถ้าเชื่ออีกครั้งเธอก็กินหญ้าแทนข้าวแล้ว!แกล้งหลับไปแกล้งหลับมา เธอก็เดินทางข้ามเวลาเสียอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีรถที่เธอนั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าร้านเหล้าเมื่อคืนเป็นที่เรียบร้อย อภิชญาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด
แสงไฟสลัวส่องกระทบผิวน้ำในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ ร่างเปลือยเปล่าของอภิชญาเอนกายลงในอ่างน้ำอุ่น เธอปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ และนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน วนเวียนอยู่ในหัวอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเธอควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดีล่ะ มันไม่ใช่ความเศร้า แต่ในทางเดียวกันมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ถ้าหากว่ากันตามตรงเธอกลับรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ ที่ผู้ขายคนนั้นคือเขา ไม่ใช่คนอื่น.. แต่นั่นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธตัวเอง และตอกย้ำความจริงว่าเธอยังคงไม่ลืมเขาแม่งเอ๊ย!เรียวแขนเล็กออกแรงฟาดลงบนผิวน้ำด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโมโหตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอภิชญาพยายามที่จะเปิดใจมีรักครั้งใหม่ แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะลืมคนเก่าไม่ได้ หรือเพราะเข็ดขยาดกับความรักก็ไม่รู้ จนเพื่อนสนิทของเธอก็มักจะถามอยู่เสมอว่า ผู้ชายพรรค์นั้นมันมีดีอะไร ทำไมถึงไม่ลืมมันไปสักทีก็นั่นน่ะสิ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันอภิชญาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำและตบตีอยู่กับตัวเองราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ดวงตากลมโตจ้องมองรอยแดงที่ปรากฏอย
"ที่ทำงานคือที่ไหนเหรอลูก แล้วหนูสมัครงานอะไรไป" ภาสกรผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงเขาก็อยากให้ลูกสาวอันเป็นที่รักของเขานั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าสามารถเลี้ยงให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบายได้โดยที่ยัยสองไม่ต้องไปทำงานแต่ก็นั่นแหละ.. ลูกน่ะเลี้ยงได้แค่ตัว พอโตมาพวกเขาก็คงอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อีกอย่างนับสองก็เรียนจบมาสองปีตามกำหนดแล้วด้วย เขาคงห้ามนั่นห้ามนี่ลูกตลอดไปไม่ได้"หนูสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ตไปค่ะ เป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดใหม่ หนูคิดว่าเขาอาจจะต้องการคนเลยลองยื่นใบสมัครไป""เฮียเลี้ยงหนูได้นะ ไม่เห็นต้องลำบากไปหางานทำเลย ถ้าหนูอยากทำงานจริง ๆ มาทำตำแหน่งบัญชีอยู่กับเฮียที่กรุงเทพก็ได้ หรือหนูจะนอนตีพุงอยู่คอนโดอย่างเดียวเฮียก็ไม่ว่า คอนโดเก่าของหนูก็ยังไม่ได้ขายนี่นา"อภิชญาได้แต่หันมองหน้าพ่อและพี่ชายสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติแล้วทางครอบครัวควรเร่งให้เธอไปทำงานตั้งแต่เรียนจบมาแล้วด้วยซ้ำแต่นี่เธอนอนตีพุงอยู่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว เพราะพ่อเป็นคนขอไว้ว่าอยากให้ลูกสาวพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้เธอต้องมา
เป็นดาราแล้วยังไง สวยแล้วยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ผู้หญิงโลภมากเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ"นั่นสิ..จะรีบกลับไปไหน แฟนเก่าสุดที่รักมากินข้าวด้วยทั้งที" เหมันต์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวายุก็ไม่ต่างจากน้ำมันกับไฟ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีปากเสียงกันเสียทุกที"มึงจะกระแนะกระแหนกูไปถึงไหนวะไอ้หนาว" วายุหันกลับมาพูดกับน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดว่าไม่พอใจ แปลกที่ใครต่อใครก็มองว่ามันเป็นคนดี มีแต่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามันกวนส้นตีน"ตาเหนือ!! พูดจาไม่น่ารักเลย ลมหนาวก็ด้วยอย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิลูก" คุณหญิงทอฝันพยายามเอ่ยปราม ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้"สวัสดีค่ะคุณพ่อ..คุณแม่" เสียงหวานของดาราสาวพูดขึ้น เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของวายุอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะเหนือ อ้อ..หนาวด้วย" เธอเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร สมัยก่อนตอนที่ยังคบอยู่กับลมเหนือ เธอเคยมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาชอบพาเธอกลับมาเที่ยวบ้านในทุกครั้งที่ปิดเทอม"อือไม่ได้เจอกันนานเลย" เหมันต์ตอบกลับอย่าง
เรือนร่างระหงก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์สีขาวคันโปรด เธอตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองผ่านเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาว สีขาวพับแขน ถูกสวมใส่ทับด้วยกระโปรงสั้นทรงเอสีดำ ทรงผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อยและรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเสริมให้เธอดูสง่าอภิชญาจับกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนจะกระชับซองเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครงานไว้แนบอก เธอระบายลมหายใจออกเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของรีสอร์ตหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แผนกต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักสาวสวยคนหนึ่งเดินนำเธอไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์งานอภิชญานั่งลงบนโซฟาหนังสีเทาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่ด้านหน้าของเธอเป็นโต๊ะกระจกสีดำ ถัดออกไปเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และบรรดาตู้หนังสือ บรรยากาศภายในห้องนั้นคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าที่นี่มันคือห้องรับรองแขกหรือว่าห้องทำงานกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ จะอย่างไรก็ช่างจุดมุ่งหมายเดียวที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบแห่งนี้ ก็เพื่องานและเงิน!อภิชญานั่งรออย่างเรียบร้อยภายในห้องด้วยความรู้สึกประหม่า เรียวแข
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ
"มึงเล่าความจริงทั้งหมดมาให้กูฟังก่อน แล้วกูจะยอมบอกมึง" สิ้นคำพูดของเหมันต์ วายุก็พยักหน้าเล็กน้อย เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้แฝดผู้น้องฟัง รวมถึงเรื่องของน้ำหวานด้วยเช่นกันลมหนาวที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากพี่ชาย ก็ได้แต่กุมขมับด้วยความเครียด เพราะสิ่งที่ไอ้เหนือเล่ากับสิ่งที่นับสองเล่าเหมือนหนังคนละม้วน "มึงคิดว่าเด็กในท้องของผู้หญิงที่ชื่อน้ำหวานเป็นลูกมึงจริงมั้ยวะ""เอาตรง ๆ มั้ยไอ้หนาว กูคิดว่าไม่ใช่ลูกกูแน่นอน แต่กูยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่ะ ตอนแรกกูตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหากับสอง พอนับสองมาหนีไปแบบนี้กูแม่งทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย""เหนือมึงฟังกูนะ วันที่มึงไปนอนค้างกับผู้หญิงคนนั้น มันเป็นคนกดรับสายและคุยกับสอง อีกทั้งยังส่งผลตรวจครรภ์มาให้สองด้วย ผู้หญิงของมึงด่าสองว่าหน้าด้าน เป็นแค่เมียน้อย ทีนี้มึงเข้าใจหรือยังทำไมสองถึงได้หนีมึงไป" วายุได้แต่นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาแน่ใจว่านับสองไม่ได้โทรหาเขาเลยสักสาย หรือว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นตอนที่เขาอาบน้ำ.. เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ
อภิชญาพักฟื้นสภาพจิตใจและร่างกายอยู่ที่ไร่องุ่นรัตนกิจโกศลราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่ที่นี่ หญิงสาวกล่าวขอบคุณและบอกลาทุกคนในไร่ที่คอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่"รักษาตัวนะคะพี่" เพียงดาวสาวน้อยผู้ร่าเริงวัยยี่สิบต้น ๆ ลูกสาวของคุณลุงคุณป้าในไร่เดินมาโอบกอดเธอด้วยแววตาละห้อย ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เธออาศัยอยู่ที่นี่ เพียงดาวนับว่าเป็นคนที่เธอสนิทด้วยที่สุด "สู้ ๆ เรื่องเฮียหนาวนะดาว พี่เป็นกำลังใจให้" อภิชญากระซิบข้างหูสาวน้อยเบา ๆ ทำเอาเพียงดาวถึงกับหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู บอกตามตรงว่าเธอดูออกตั้งแต่ช่วงสองสามวันแรกที่มาอยู่แล้วล่ะว่าสาวน้อยคนนี้แอบรักเฮียหนาว เพราะเพียงดาวเก็บสีหน้าและแววตาไม่เก่งเอาเสียเลย แต่มองดูแล้วเธอก็เป็นเด็กที่น่ารักดี ทั้งสดใส และร่าเริง.."ขอบคุณค่ะ ถ้ามีโอกาสดาวจะไปเยี่ยมพี่นะคะ"...เหมันต์เป็นคนขับรถมาส่งอภิชญาถึงหน้าบ้าน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปทำธุระต่อ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่นานนักร่างของหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้
เมื่อเสียงรถของวายุไกลออกไปแล้ว อภิชญาจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว บอกตามตรงว่าเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาก ผู้ชายที่เข้ามาดุจวายุเมื่อกี้ คือเฮียเหนือที่เธอเคยรู้จักจริง ๆ น่ะเหรอ"เฮียหนาว..สองขอโทษนะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่สั่นไหว เธอรู้สึกขอบคุณเฮียหนาวจากใจจริงที่เขาช่วยปิดบังเรื่องที่เธออยู่ที่นี่เอาไว้จนวินาทีสุดท้าย และรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเจ็บตัว"ขอโทษอะไรกัน เฮียไม่เป็นไรเลย ไอ้เหนือมันสันดานเสียโดนสักทีก็ดีเหมือนกัน" เหมันต์พูดขึ้นอย่างติดตลก ไม่อยากให้นับสองต้องคิดมาก เพราะเมื่อคืนหลังจากที่เขาพานับสองกลับมาที่ไร่ เขาก็ให้เธอไปนอนพักอยู่ในห้องสำหรับรับรองแขก แต่ทว่าไฟในห้องนอนของหญิงสาวก็ยังถูกเปิดไว้จนเกือบเช้า ถ้าให้เดาละก็เธอคงยังไม่ได้นอนอย่างแน่นอนอภิชญาทำได้เพียงนิ่งเงียบ เพราะประโยคสนทนาระหว่างพี่น้องเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกอย่าง "เออใครมันจะไปดีเหมือนมึง ดีขนาดนี้สองยังไม่เอาเลย" เฮียเหนือพูดเอาไว้อย่างนั้น.. มันยิ่งตอกย้ำว่าเธอช่างเป็นคนตาบอดที่โง่งม หากผู้ชายที่เธอรักคือเฮียหนาวก็คงจะดี อย่างน้อยเธอก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดท