เป็นดาราแล้วยังไง สวยแล้วยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ผู้หญิงโลภมากเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ
"นั่นสิ..จะรีบกลับไปไหน แฟนเก่าสุดที่รักมากินข้าวด้วยทั้งที" เหมันต์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวายุก็ไม่ต่างจากน้ำมันกับไฟ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีปากเสียงกันเสียทุกที
"มึงจะกระแนะกระแหนกูไปถึงไหนวะไอ้หนาว" วายุหันกลับมาพูดกับน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดว่าไม่พอใจ แปลกที่ใครต่อใครก็มองว่ามันเป็นคนดี มีแต่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามันกวนส้นตีน
"ตาเหนือ!! พูดจาไม่น่ารักเลย ลมหนาวก็ด้วยอย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิลูก" คุณหญิงทอฝันพยายามเอ่ยปราม ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ..คุณแม่" เสียงหวานของดาราสาวพูดขึ้น เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของวายุอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
"ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะเหนือ อ้อ..หนาวด้วย" เธอเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร สมัยก่อนตอนที่ยังคบอยู่กับลมเหนือ เธอเคยมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาชอบพาเธอกลับมาเที่ยวบ้านในทุกครั้งที่ปิดเทอม
"อือไม่ได้เจอกันนานเลย" เหมันต์ตอบกลับอย่างขอไปที หากเลือกได้เขาก็ไม่อยากตอบอะไรกลับไปเลยด้วยซ้ำ แต่ติดที่ว่าวันนี้เธอเป็นแขกของแม่ เขาเลยต้องทักทายกลับไปตามมารยาท
ต่างจากวายุที่เอาแต่ก้มหน้าตักข้าวในจานของตัวเองกินโดยที่ไม่หันมาแลคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเลยด้วยซ้ำ เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยทักทายกลับตามมารยาท แขกของใครก็ให้คนนั้นต้อนรับเอาเอง
เขากลับมาเพื่อกินข้าวกับครอบครัว ครอบครัวที่แปลว่าต้องไม่มีคนอื่นมาเสนอหน้านั่งอยู่ด้วย เพราะถึงเขาและไอ้หนาวจะชอบทะเลาะกันยังไง แต่มันก็ยังเป็นคนในครอบครัว ไม่เหมือนกับใครบางคน!
"ม่านซื้อขนมร้านดังมาฝากทุกคนด้วยค่ะ ทานข้าวเสร็จแล้วเรามากินของหวานกันหน่อยดีมั้ยคะ"
"ดีเลยลูก กินคาวต้องกินหวานต่อถึงจะถูก ใช่มั้ยคะคุณ" คุณหญิงทอฝันหันกลับไปคุยกับผู้เป็นสามี คุณปิติภัทรจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วยกับภรรยา
เขาไม่ได้ชอบหรือรังเกียจแม่หนูม่านฟ้านี่เป็นพิเศษ เพราะเมื่อก่อนเขาก็เห็นว่าเธอรักกับเจ้าลูกชายคนโตของเขาอยู่ แต่ก็ได้ข่าวว่าทั้งคู่เลิกกันไปนานแล้ว เขายังจำได้ดีว่าตอนนั้นเจ้าเหนือมันเสียใจหนักเอาการ
ถึงจะไม่รู้ว่าทั้งสองเลิกกันไปด้วยเรื่องอะไร แต่ดูจากกิริยาของไอ้เจ้าเหนือคนเป็นพ่อก็คงพอเดาออกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดี แต่เอาเถอะ..
เขาก็ไม่อยากจะขัดคอเมียสักเท่าไหร่ เมียว่าไงเขาก็ว่าอย่างนั้นนั่นแหละ ส่วนเจ้าลูกชายตัวดีมันจะกลับไปคบกับหนูม่านฟ้ามั้ยก็คงเป็นสิทธิ์ของมัน
เขาแค่อยากให้ลูกชายทั้งสองของเขามีความสุข มีเมียที่รักใคร่คอยดูแลซึ่งกันและกัน ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีฐานะร่ำรวยเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่รักลูกชายของเขาจริง ๆ ก็พอ
แต่ปัญหาคือมันไม่อยากมีเมียกันน่ะซิ!
หลังจากมื้ออาหารผ่านไป วายุก็ไม่รั้งรอที่จะอยู่เพื่อนั่งกินขนมร่วมกับผู้หญิงที่ชื่อว่าม่านฟ้า เขาขอตัวกลับไปยังบ้านของตนเองด้วยเหตุผลว่า มีเอกสารสำคัญที่ต้องกลับไปเคลียร์
พ่อและแม่ของเขาทำได้เพียงมองหน้ากันตาปริบ ๆ ทอฝันรู้ดีว่าลูกชายของตนนิสัยเป็นอย่างไร การที่เขายอมฝืนใจนั่งรับประทานอาหารจนจบมื้อ นั่นก็ถือว่าเขาเชื่อฟังเธอมากแล้ว
อีกอย่างเรื่องระหว่างลมเหนือกับหนูม่านฟ้าเป็นอย่างไรนั้น ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดแน่ชัด แต่หากสังเกตจากอาการของเจ้าลูกชายคนโตของเธอแล้ว เธอก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
"จากนี้ไปพ่อกับแม่ไม่ต้องพยายามหาคนมาให้ผมดูตัวนะครับ เพราะผมมีคนที่มองไว้แล้ว" วายุเอ่ยขึ้นก่อนจะหันกลับไปยักคิ้วใส่แฝดน้องของตนเอง เหมันต์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยมิได้แสดงอาการใดออกมา
คนอย่างไอ้เหนือมันจริงจังกับใครเป็นซะที่ไหน มันคงจะยกเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าแฟนเก่าอย่างม่านฟ้าล่ะซิ
"แกหมายความว่ายังไงตาเหนือ" ปิติภัทรถึงกับหูผึ่งที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากลูกชายคนโตของตน ไหนก่อนหน้านี้มันพูดอย่างหนักแน่นเลยว่ายังไม่พร้อมที่จะมีเมีย ทำไมถึงได้เปลี่ยนคำพูดไวขนาดนี้..
หรือจริง ๆ แล้วมันแค่พูดออกมาเพื่อประชดหนูม่านฟ้า ผู้เป็นพ่ออย่างเขาก็ได้แต่คิดฉงนสนเท่ห์อยู่ในใจ
"ก็ตามนั้นแหละครับพ่อ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ" วายุยกมือไหว้ลาพ่อและแม่ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องอาหารโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมองด้านหลังอีก
ร่างแกร่งของชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างรถคันโปรดของตน เขาเปิดประตูออกก่อนจะถอดเสื้อสูทสีดำโยนเข้าไปบนเบาะนั่งข้างคนขับอย่างไม่ไยดี เรียวนิ้วยาวปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวไปจนถึงกลางอกเผยให้เห็นความกำยำ
ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ วายุกลับถูกมือเล็ก ๆ ของใครบางคน คว้าข้อมือเอาไว้ และต่อให้ไม่หันกลับไปมอง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคนนั้นคือใคร
"มีธุระอะไร" น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้นพลางสะบัดข้อมือออกจากการสัมผัสของม่านฟ้า ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักมากที่สุด
"เรื่องมันก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว..เหนือยังไม่หายโกรธม่านอีกเหรอคะ" เรือนร่างระหงเดินมาขวางหน้าเขาไว้ ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนที่สำคัญที่สุดของเขา และก็เป็นเธอเองที่เป็นคนทำร้ายเขา แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอก็พยายามง้อเขามาโดยตลอด แต่ก็ดูเหมือนว่าวายุจะไม่ใจอ่อนเลยสักนิด
ม่านไม่เชื่อหรอกว่าเหนือจะหมดรักม่านแล้ว.. ม่านไม่เชื่อว่าในใจของคุณจะไม่เหลือม่านอยู่เลย
"ม่านรู้ว่าม่านทำผิดต่อเหนือ ตอนนี้ม่านสำนึกผิดแล้วจริง ๆ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหรอคะ ม่านจะพยายามทำให้เรื่องของเรามันดีกว่านี้.." เจ้าของใบหน้าสวยกัดริมฝีปากก่อนจะกลั้นใจโพล่งออกไป ตลอดเวลาหลายปีเธอพยายามปีนป่ายจากบทตัวประกอบ จนกลายมาเป็นนางเอกดาวรุ่ง เธอพยายามเป็นคนที่เหมาะสมกับลมเหนือ เพื่อที่เขาจะได้คบกับเธอโดยไม่ต้องอายใคร
แต่ใครจะรู้ว่าความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของเธอ ทำให้เธอสูญเสียเขาไปตลอดกาล..
"พอเถอะม่าน คุณไม่ต้องพยายามทำอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้ต้องการมัน ขอตัวก่อน" วายุเอ่ยถ้อยคำที่แสนจะเย็นชาออกมาอย่างหน้าตาเฉย เขาใช้หลังมือดันให้คนตัวเล็กหลบไปด้านข้าง ก่อนจะก้าวขาขึ้นไปบนรถและขับออกไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้ม่านฟ้ายืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
เธอมองตามหลังเขาที่ขับรถจากไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง ก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ เพื่อข่มกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้..
หกปีก่อน
เมฆฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล ไม่นานนักความมืดครึ้มก็ปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ ลมเหนือรู้สึกเหมือนหัวใจของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อม่านฟ้าเอ่ยคำที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน
"เหนือ...ม่านว่าเราเลิกกันเถอะ"
คำพูดนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขา ราวกับว่าโลกทั้งใบได้หยุดนิ่งลงชั่วขณะ หูทั้งสองข้างอื้ออึงจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง มีเพียงเสียงดังวิ้ง ดุจเสียงระฆังแห่งความสิ้นหวังที่ส่งสัญญาณถึงจุดจบของความรักอันยาวนานของเขาและเธอ
บรรยากาศที่เคยอบอุ่นและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเมื่อครั้งที่ยังรักกัน กลับกลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัดและเจ็บปวด
วายุมองไปที่ม่านฟ้าด้วยความเจ็บปวดในดวงตาของเขา เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเขา แต่ตอนนี้เธอกำลังจะเดินจากไปโดยไม่ลังเล เขาพยายามจะพูดแต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
"ม่าน...ทำไม" เขาถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอหน่วยในดวงตา"ม่านรักเหนือไม่ใช่เหรอ"
"ใช่ ม่านรักเหนือ แต่ตอนนี้สถานการณ์มันไม่เหมือนเดิมแล้ว"
"เพราะไอ้ผู้กำกับเวรนั่นใช่ป่ะ เรารู้นะว่ามันชอบม่านเรามองครั้งเดียวก็รู้แล้ว เราแม่งโคตรไม่สบายใจเลยที่ม่านต้องไปทำงานร่วมกับมันอะ ทำไมม่านไม่พยายามเข้าใจเราบ้างเลย!!" วายุเอ่ยปากโพล่งออกไปอย่างขาดสติ เขารักม่านฟ้ามากและหึงหวงมากเช่นกัน
ม่านฟ้าถอนหายใจเบา ๆ "มันไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละ เหนือหัดโทษตัวเองบ้างเถอะ ม่านทนกับความเอาแต่ใจของเหนือมามากแล้วนะ เหนือก็รู้ว่าม่านอยากเป็นดาราขนาดไหน มันคือความฝันสูงสุดในชีวิตของม่าน ถ้าเรื่องแค่นี้เหนือยังไม่เข้าใจเราก็เลิกกันเหอะ เพราะถ้าต้องเลือกระหว่างความรักกับความฝัน ม่านก็เลือกความฝัน"
คำพูดของเธอราวกับมีดที่แทงเข้าไปในหัวใจของเขา ความฝันและความหวังทั้งหมดของเขาล่มสลายในพริบตาเดียว เขาไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตของเขาโดยปราศจากเธอได้
เธอมีความฝันที่อยากจะเป็นดารา แต่ความฝันของเขาก็คือการมีเธออยู่ในชีวิต
"ม่าน..เวลาที่เราคบกันมามันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงตัดเราออกจากชีวิตได้อย่างง่ายดายขนาดนี้"
"อือ ม่านไม่ดีเอง ม่านขอโทษนะ" ม่านฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่ครั้งเดียว วายุรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบของเขากำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความฝัน ความหวัง และความรักของเขาล้วนหายไปในพริบตาเดียว เหลือเพียงความเจ็บปวดและความว่างเปล่าที่คอยกัดกินหัวใจของเขาเท่านั้น
เรือนร่างระหงก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์สีขาวคันโปรด เธอตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองผ่านเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาว สีขาวพับแขน ถูกสวมใส่ทับด้วยกระโปรงสั้นทรงเอสีดำ ทรงผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อยและรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเสริมให้เธอดูสง่าอภิชญาจับกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนจะกระชับซองเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครงานไว้แนบอก เธอระบายลมหายใจออกเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของรีสอร์ตหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แผนกต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักสาวสวยคนหนึ่งเดินนำเธอไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์งานอภิชญานั่งลงบนโซฟาหนังสีเทาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่ด้านหน้าของเธอเป็นโต๊ะกระจกสีดำ ถัดออกไปเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และบรรดาตู้หนังสือ บรรยากาศภายในห้องนั้นคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าที่นี่มันคือห้องรับรองแขกหรือว่าห้องทำงานกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ จะอย่างไรก็ช่างจุดมุ่งหมายเดียวที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบแห่งนี้ ก็เพื่องานและเงิน!อภิชญานั่งรออย่างเรียบร้อยภายในห้องด้วยความรู้สึกประหม่า เรียวแข
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาอภิชญาและกองสัมภาระกำลังรอคอยให้คุณสิงห์มารับที่หน้าบ้าน โดยที่มีพ่อและแม่ออกมาส่งเธอด้วยเช่นกัน ไม่นานนักรถเบนซ์คันสีดำดูหรูหราก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พร้อมกับคุณสิงห์ที่ลงมาทักทายพ่อและแม่ของอภิชญา"เดี๋ยวรถสำหรับขนสัมภาระจะตามมาเร็ว ๆ นี้ครับ ผมแค่มุ่งหน้ามารับคุณอภิชญาก่อนเพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญมากและคุณที่เป็นเลขาจะต้องไปเข้าร่วมด้วยครับ""ค่ะดิฉันทราบดีค่ะ" อภิชญาตอบกลับเสียงเรียบ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน ว่าที่บริษัทจะจัดวันเกิดให้กับท่านประธานใหญ่ และเธอที่เป็นเลขาของบอส ก็จะต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกันงานแรกที่เธอจะต้องทำก็คือไปเป็นคู่ควงให้บอส เพราะว่าบอสยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น และแน่นอนว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายให้กับตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ตอนแรกเธอคาดหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพี่สาวสุดเท่ห์และความหวังก็พังลงอย่างไม่เป็นท่าเอาเถอะ ขอแค่ไม่เป็นตาเฒ่าหัวงู หรือไอ้หนุ่มโรคจิตก็พอ!"เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่าง ๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ" สุพิญญาโอบกอดลูกสาวด้วยความรู้สึกใจหาย นับสองเพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านได้
"พ่อครับแม่ครับ นี่คือนับสอง เธอเป็นเลขาของผม" วายุหันไปมองคนตัวเล็กด้วยแววตาอ่อนโยน พลางแนะนำเธอให้พ่อแม่ของตนได้รู้จัก ตอนนี้เธออาจเป็นแค่เลขา ใครจะรู้อนาคตข้างหน้าเธออาจมาเป็นภรรยาของเขาก็ได้"สวัสดีค่ะ" อภิชญายกมือขึ้นไหว้อย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนหวาน"ไหว้พระเถอะลูก" ปิติภัทรรับไหว้สาวน้อยที่มาพร้อมกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ส่วนทอฝันเองก็รับไหว้และมองเธอด้วยความเอ็นดู"ตายแล้วตาเหนือ ลูกไปหาเลขาหน้าตาน่ารักแบบนี้มาจากไหนกันล่ะเนี่ย สวัสดีจ่ะหนูนับสอง จากนี้ไปฉันฝากลูกชายของฉันด้วยนะจ๊ะ" ทอฝันทักทายหญิงสาวที่ลูกชายของเธอแนะนำว่าเป็นเลขาแต่จากสายตาของเจ้าลูกชายตัวดี เธอสามารถรู้ได้เลยว่าตาเหนือไม่ได้มองเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเลขาธรรมดาอย่างแน่นอนยิ่งได้เห็นภาพในวันนี้ คำพูดของเจ้าลูกชายคนโตในวันนั้นยิ่งชัดเจน ตอนแรกเธอคิดว่าลมเหนือคงจะพูดไปเรื่อย เพราะไม่อยากไปดูตัวตามคำขอของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีคนที่มองไว้แล้วจริง ๆ"จากนี้ไปพ่อกับแม่ไม่ต้องพยายามหาคนมาให้ผมดูตัวนะครับ เพราะผมมีคนที่มองไว้แล้ว""หนูจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ" อภิชญาตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย เธอไม
อภิชญานั่งกะพริบตาปริบ ๆ เธอรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่าเธอซัดแชมเปญไปตั้งสองแก้วทั้งที่ท้องยังว่างอยู่ ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะมาหาอะไรกินที่งานเลี้ยงนี่แหละ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แยกตัวออกมาจากเจ้ากรรมนายเวรเลยแม้แต่ครึ่งก้าว รู้ตัวอีกทีเท้าเธอก็ถลอกจนแสบไปหมดแล้วหญิงสาวในชุดราตรีสีเงินนั่งน้ำตาคลอเบ้า หิวก็หิว เท้าก็เจ็บ แถมตอนนี้เริ่มเวียนหัวเพราะเมาด้วย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแชมเปญเพียงแค่สองแก้วจะทำให้เธอเมาได้ ปกติดื่มเหล้าก็ไม่เห็นเมาไวขนาดนี้ หรืออันที่จริงแล้วคอเธอไม่เหมาะกับของแพง..กลับไปแดกเหล้าผสมโซดาเหมือนเดิมดีกว่ามั้งกูขณะที่อภิชญานั่งทำหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านข้าง เมื่อเธอหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเขาคนนั้นคือเฮียลมหนาว รุ่นพี่ในคณะสมัยที่เธอเรียนอยู่มหาลัย"ไม่คิดเลยว่าเฮียจะได้เจอสองที่นี่" เหมันต์เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เขาถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ"อันที่จริงสองเองก็กำลังงงอยู่เหมือนกันค่ะ" เสียงหวานตอบกลับอย่างติดตลก ก่อนจะเล่าความเป็นมาของตำแหน่งเลขาคุณลมเหนือให้กับรุ่นพี่ฟัง ไม่รู้ว่าเป็น
วายุที่ได้ยินดังนั้นประกายประหลาดก็ฉายวาบในแววตา เมื่อครู่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ เขาได้ยินจริง ๆ ว่านับสองเรียกแทนตัวเองว่า หนูและเรียกเขาว่าเฮีย เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้หญิงที่ชื่อว่านับสองอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีโอกาสอยู่ ใช่ไหม..ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากมนของคนตัวเล็กอย่างเบามือ ปรากฏว่าอภิชญาตัวร้อนรุม ๆ คล้ายคนจะเป็นไข้ อีกทั้งหน้าตาก็ยังซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจขับรถออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทางที่กลับบ้าน วายุก็ตบไฟเลี้ยวและไปจอดอยู่หน้าร้านอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเขาจอดรถที่ไหน และลงไปทำอะไรบ้าง เพราะเธอเองก็มีสติอยู่ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถยุโรปคันหรูของวายุก็แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถของวิลล่าหลังใหญ่ อันเป็นบ้านพักส่วนตัวของเขา ร่างกำยำเดินอ้อมไปฝั่งคนนั่ง จากนั้นก็ทำการปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากเอวคนตัวเล็กที่กำลังหลับอยู่บนรถ เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในบ้าน"เอ่อ..ฉันเดินเองได้ค่ะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
หกปีก่อน (หลังจากที่นับสองเจอกับลมเหนือครั้งแรก)อภิชญากลับมาถึงคอนโดด้วยสภาพเปียกปอนเหมือนกับลูกหมาตกน้ำ ยิ่งตอนนั่งตากแอร์อยู่บนรถ ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเสียจนปากสั่น เธออยู่ในสภาพที่หนาวตัวสั่นหงึก ๆ จนกระทั่งถึงห้องเมื่อจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างมีความสุข นิ้วมือเรียวไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเป็นไปไม่ได้ที่คนจะหน้าเหมือนกันได้ขนาดนั้น เว้นเสียจากจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดกัน.. ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการสืบเรื่องของชาวบ้าน!หญิงสาวกดเข้าไปส่องดูหน้าโปรไฟล์ของเฮียลมหนาวรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกัน ซึ่งปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ติดโซเชี่ยลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมีไว้ดูคลิปหมาคลิปแมวเท่านั้นอภิชญาเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับรูปหนึ่ง ซึ่งในรูปก็คือเฮียหนาวที่เธอรู้จักและอีกคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนเฮียหนาวอย่างกับแกะซึ่งในรูปภาพน่าจะเป็น งานปัจฉิมนิเทศตอนจบ ม.ปลาย และชื่อบุคคลที่ถูกแท็กอยู่ในภาพก็คือ@วายุ รัตนกิจโกศล @เหมันต์ รัตนกิจโกศลทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันจริง
อภิชญาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน โดยที่มีวายุมาเฝ้าไข้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เขาว่างหรือเลิกเรียนเขาก็จะมุ่งหน้ามาเยี่ยมเธอในทันที สิ่งที่เขามักซื้อติดมือมาให้อยู่เสมอก็คือโจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิง เพราะเธอเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ชอบกินขิง และดูเหมือนว่าเขาจะจำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดีนอกจากวายุแล้วเพื่อนสนิททั้งสองของเธอก็มาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ วันแรกที่พวกมันรับรู้ว่าเธอป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องไห้งอแงออกมาด้วยความเป็นห่วง นับว่าเป็นภาพที่แปลกพิลึกที่ได้เห็นเจนนี่ร้องไห้ แต่ทว่ามันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตลอดเวลาที่นับสองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ทุกคืนเฮียลมเหนือจะเป็นคนมานอนเฝ้าไข้เธอตลอด เขามักจะโผล่หน้ามาตอนที่เพื่อน ๆ ของเธอกลับไปแล้ว และมักจะออกไปตอนหกโมงเช้า และกลับมาอีกครั้งในตอนเที่ยงอภิชญาไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ ดีเสียอีก อย่างน้อยก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ว่าเขาจะมาเยี่ยมเธอทุกวันด้วยสาเหตุอะไร แต่จะแบบไหนเธอก็รู้สึกขอบคุณทั้งนั้นเพราะความจริงแล้วเฮียเหนือไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรก็ได้ เรื่องในวันนั้นเป็นเธอที่ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออ
"อีสองมึงแกล้งโง่หรือเปล่า มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ" เจนนี่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง ที่ผ่านมาการกระทำรวมถึงสายตาที่เฮียหนาวมองอีสองมันชัดเจนมากเลยว่าเขาชอบมัน มีแค่อีเพื่อนตัวดีนี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกอย่างตอนนี้มันก็คบกับเฮียเหนือไปแล้วด้วย แบบนี้ฝาแฝดจะไม่ผิดใจกันเหรอวะ.."กูไม่รู้จริง ๆ ปกติเฮียหนาวก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า อีกอย่างเขาก็ไม่เคยมาบอกชอบกูนะ""โอ๊ยชะนี กูอยากจะกรี๊ด กูสงสารเฮียหนาว""สงสารอะไรเฮียเหรอเจนนี่" เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเฮียหนาวที่กำลังเดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเธอ เขานั่งลงตรงที่ว่างข้างเจนนี่ พลางโปรยยิ้มให้กับทุกคนมีเพียงอภิชญาที่มองหน้าเฮียหนาวตาปริบ ๆ คำพูดของเจนนี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว คนอย่างเฮียหนาวน่ะเหรอจะชอบเธอ เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย"เอ่อ.." เจนนี่ได้แต่อึกอักทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี ครั้นจะถามไปเลยว่าเฮียหนาวชอบอีสองใช่มั้ย มันก็ใช่เรื่อง"อีสองคบกับเฮียเหนือแล้ว เฮียรู้เรื่องนี้มั้ย" จู่ ๆ แก้มบุ๋มที่นั่งกินขนมอยู่ก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาคนที่มาใหม่ถึงกับนิ่งเป็นหินไป
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ
"มึงเล่าความจริงทั้งหมดมาให้กูฟังก่อน แล้วกูจะยอมบอกมึง" สิ้นคำพูดของเหมันต์ วายุก็พยักหน้าเล็กน้อย เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้แฝดผู้น้องฟัง รวมถึงเรื่องของน้ำหวานด้วยเช่นกันลมหนาวที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากพี่ชาย ก็ได้แต่กุมขมับด้วยความเครียด เพราะสิ่งที่ไอ้เหนือเล่ากับสิ่งที่นับสองเล่าเหมือนหนังคนละม้วน "มึงคิดว่าเด็กในท้องของผู้หญิงที่ชื่อน้ำหวานเป็นลูกมึงจริงมั้ยวะ""เอาตรง ๆ มั้ยไอ้หนาว กูคิดว่าไม่ใช่ลูกกูแน่นอน แต่กูยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่ะ ตอนแรกกูตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหากับสอง พอนับสองมาหนีไปแบบนี้กูแม่งทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย""เหนือมึงฟังกูนะ วันที่มึงไปนอนค้างกับผู้หญิงคนนั้น มันเป็นคนกดรับสายและคุยกับสอง อีกทั้งยังส่งผลตรวจครรภ์มาให้สองด้วย ผู้หญิงของมึงด่าสองว่าหน้าด้าน เป็นแค่เมียน้อย ทีนี้มึงเข้าใจหรือยังทำไมสองถึงได้หนีมึงไป" วายุได้แต่นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาแน่ใจว่านับสองไม่ได้โทรหาเขาเลยสักสาย หรือว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นตอนที่เขาอาบน้ำ.. เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ
อภิชญาพักฟื้นสภาพจิตใจและร่างกายอยู่ที่ไร่องุ่นรัตนกิจโกศลราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่ที่นี่ หญิงสาวกล่าวขอบคุณและบอกลาทุกคนในไร่ที่คอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่"รักษาตัวนะคะพี่" เพียงดาวสาวน้อยผู้ร่าเริงวัยยี่สิบต้น ๆ ลูกสาวของคุณลุงคุณป้าในไร่เดินมาโอบกอดเธอด้วยแววตาละห้อย ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เธออาศัยอยู่ที่นี่ เพียงดาวนับว่าเป็นคนที่เธอสนิทด้วยที่สุด "สู้ ๆ เรื่องเฮียหนาวนะดาว พี่เป็นกำลังใจให้" อภิชญากระซิบข้างหูสาวน้อยเบา ๆ ทำเอาเพียงดาวถึงกับหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู บอกตามตรงว่าเธอดูออกตั้งแต่ช่วงสองสามวันแรกที่มาอยู่แล้วล่ะว่าสาวน้อยคนนี้แอบรักเฮียหนาว เพราะเพียงดาวเก็บสีหน้าและแววตาไม่เก่งเอาเสียเลย แต่มองดูแล้วเธอก็เป็นเด็กที่น่ารักดี ทั้งสดใส และร่าเริง.."ขอบคุณค่ะ ถ้ามีโอกาสดาวจะไปเยี่ยมพี่นะคะ"...เหมันต์เป็นคนขับรถมาส่งอภิชญาถึงหน้าบ้าน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปทำธุระต่อ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่นานนักร่างของหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้
เมื่อเสียงรถของวายุไกลออกไปแล้ว อภิชญาจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว บอกตามตรงว่าเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาก ผู้ชายที่เข้ามาดุจวายุเมื่อกี้ คือเฮียเหนือที่เธอเคยรู้จักจริง ๆ น่ะเหรอ"เฮียหนาว..สองขอโทษนะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่สั่นไหว เธอรู้สึกขอบคุณเฮียหนาวจากใจจริงที่เขาช่วยปิดบังเรื่องที่เธออยู่ที่นี่เอาไว้จนวินาทีสุดท้าย และรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเจ็บตัว"ขอโทษอะไรกัน เฮียไม่เป็นไรเลย ไอ้เหนือมันสันดานเสียโดนสักทีก็ดีเหมือนกัน" เหมันต์พูดขึ้นอย่างติดตลก ไม่อยากให้นับสองต้องคิดมาก เพราะเมื่อคืนหลังจากที่เขาพานับสองกลับมาที่ไร่ เขาก็ให้เธอไปนอนพักอยู่ในห้องสำหรับรับรองแขก แต่ทว่าไฟในห้องนอนของหญิงสาวก็ยังถูกเปิดไว้จนเกือบเช้า ถ้าให้เดาละก็เธอคงยังไม่ได้นอนอย่างแน่นอนอภิชญาทำได้เพียงนิ่งเงียบ เพราะประโยคสนทนาระหว่างพี่น้องเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกอย่าง "เออใครมันจะไปดีเหมือนมึง ดีขนาดนี้สองยังไม่เอาเลย" เฮียเหนือพูดเอาไว้อย่างนั้น.. มันยิ่งตอกย้ำว่าเธอช่างเป็นคนตาบอดที่โง่งม หากผู้ชายที่เธอรักคือเฮียหนาวก็คงจะดี อย่างน้อยเธอก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดท