หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
อภิชญาและกองสัมภาระกำลังรอคอยให้คุณสิงห์มารับที่หน้าบ้าน โดยที่มีพ่อและแม่ออกมาส่งเธอด้วยเช่นกัน ไม่นานนักรถเบนซ์คันสีดำดูหรูหราก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พร้อมกับคุณสิงห์ที่ลงมาทักทายพ่อและแม่ของอภิชญา
"เดี๋ยวรถสำหรับขนสัมภาระจะตามมาเร็ว ๆ นี้ครับ ผมแค่มุ่งหน้ามารับคุณอภิชญาก่อนเพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญมากและคุณที่เป็นเลขาจะต้องไปเข้าร่วมด้วยครับ"
"ค่ะดิฉันทราบดีค่ะ" อภิชญาตอบกลับเสียงเรียบ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน ว่าที่บริษัทจะจัดวันเกิดให้กับท่านประธานใหญ่ และเธอที่เป็นเลขาของบอส ก็จะต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกัน
งานแรกที่เธอจะต้องทำก็คือไปเป็นคู่ควงให้บอส เพราะว่าบอสยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น และแน่นอนว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายให้กับตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ตอนแรกเธอคาดหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพี่สาวสุดเท่ห์และความหวังก็พังลงอย่างไม่เป็นท่า
เอาเถอะ ขอแค่ไม่เป็นตาเฒ่าหัวงู หรือไอ้หนุ่มโรคจิตก็พอ!
"เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่าง ๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ" สุพิญญาโอบกอดลูกสาวด้วยความรู้สึกใจหาย นับสองเพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านได้แค่สองปี ก็มีเรื่องให้ต้องออกไปอยู่ข้างนอกอีกแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่ได้ห้ามลูกแต่ภายในใจก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
"ถ้าหากว่าไม่สบายใจก็กลับบ้านเราได้เสมอนะลูก"ภาสกรพูดต่อ
"ค่ะพ่อ" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สามคนพ่อแม่ลูกยืนกอดกันกลม ขาดแต่เฮียนับหนึ่งที่ตอนนี้อยู่กรุงเทพ..
เมื่อบอกลาที่บ้านเสร็จเรียบร้อย รถเบนซ์สีดำคันหรูก็แล่นออกมาจากซอยบ้านเธอไปอย่างช้า ๆ โดยที่บรรยากาศภายในรถไม่ได้มีความอึดอัดแต่อย่างใด เพราะเท่าที่เธอสังเกตดูแล้ว คุณสิงห์มีความเป็นมืออาชีพและมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาไม่เคยมองเธอด้วยสายตาเจ้าชู้ หรือพูดจาไร้มารยาทกับเธอเลยสักครั้ง
"เรากำลังจะไปไหนกันเหรอคะคุณสิงห์"
"ก่อนอื่นต้องพาคุณอภิชญาไปแปลงโฉมก่อนครับ บอสได้จองซาลอนไว้ให้คุณแล้ว"
"อ่อ..แล้วชุดล่ะคะ"
"บอสเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วครับ"
"บอสนี่..ใส่ใจจังเลยนะคะ ถึงขนาดรู้ไซซ์ชุดของฉันด้วย" คำพูดของอภิชญานั้นเป็นคำชมที่แฝงไว้ด้วยความเหน็บแนม ถึงกระนั้นคุณสิงห์กลับไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ กลับกันแล้วเขาทำเพียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก็เท่านั้น
คุณสิงห์ขับรถมาจอดที่หน้าซาลอนสุดหรูแห่งหนึ่ง เมื่อเธอเดินเข้าไปข้างในก็มีพนักงานประมาณสามถึงสี่คนออกมาต้อนรับ
"สวัสดีค่ะ คุณอะไรคะ"
"อภิชญาครับ" คุณสิงห์ตอบแทน
"อ๋อ..คุณอภิชญาเชิญทางนี้เลยค่าาา" บรรดาพนักงานต่างพากันกระดี๊กระด๊า พร้อมจูงมืออภิชญาให้เดินเข้าไปภายในห้อง ที่มีคำว่า VVIP อยู่ด้านหน้าประตู
อภิชญาถูกจับแปลงโฉมอยู่ที่นั้นนานหลายชั่วโมง ทั้งโปรแกรมนวดหน้าสปาหรือขัดผิวครบถ้วนทุกกระบวนการ เธอถูกจับแต่งหน้าทำผมทำเล็บเสียจนเหมือนกลายร่างไปเป็นอีกคนหนึ่ง
นี่สินะพลังแห่งเงินตรา พลังแห่งเมคอัพ..
รถเบนซ์สีดำคันหรูขับเข้ามาจอด บริเวณลานจอดรถของโรงแรมระดับห้าดาว อภิชญาก็ค่อย ๆ ก้าวขาลงจากรถด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับนางพญา เธอสวมใส่ชุดราตรีเกาะอกรัดรูปสีเงินปักเลื่อมแวววาว กระโปรงด้านหน้าผ่าสูงขึ้นมาจนเผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนละเอียด จี้เพชรที่เธอสวมใส่ยามต้องแสงไฟ ก็ส่องประกายระยิบระยับยิ่งขับให้เธอโดดเด่นเป็นสง่า
"คุณสิงห์แล้วบอสล่ะคะ สองจะไปพบท่านได้ที่ไหน" เสียงหวานเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ งานใหญ่อย่างนี้เธอจะไปตามหาบอสจากที่ไหน แล้วอีกอย่างเธอก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคนที่จะมาเป็นเจ้านายเลยสักครั้งเดียว
"พวกเรารออยู่ตรงนี้นี่แหละ เดี๋ยวบอสก็มาครับ" ขณะที่สิงห์พูดอยูนั้นลัมโบร์กีนีคันหรูก็แล่นเข้ามาจอดบริเวณด้านข้าง เมื่อเจ้าของรถคันดังกล่าวเปิดประตูลงมา อภิชญาก็ยืนแข็งเป็นก้อนหินไปซะแล้ว
"บอส" สิงห์เอ่ยเรียกชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสูทสีดำ เขาพยักหน้ากลับมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงปรี่เข้ามาหยุดอยู่ด้านหน้าของเธอ
"ขะ..คุณสิงห์คะ ผู้ชายคนนี้คือ.."
"อ๋อครับ คนนี้คือบอสของพวกเราไงครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน" สิงห์ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในงานตามลำพัง ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงแค่วายุและอภิชญาที่ยืนอยู่ด้วยกัน
"เราเจอกันอีกแล้วนะครับ..นับสอง" ถ้อยคำของเขาทำเอาเธอถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
"คุณตั้งใจใช่มั้ยคะ" อภิชญาตอบกลับเสียงแข็ง นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนเธอมั่นใจ ว่าละทำไมถึงมีสัญญาพรรค์นั้นมาให้เซ็น เธอเองก็รู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่เงินแสนตรงหน้ามันหอมหวานนี่หว่า ใครจะไปรู้ว่าเธอจะตกหลุมพรางของผู้ชายคนนี้เสียเต็มเปา
"จะว่าตั้งใจเลยก็ไม่ถูก อย่าลืมสิว่าสองเป็นคนมายื่นใบสมัครด้วยตัวเอง"
"อ๋อค่ะ..ก็จริง" เธอเอ่ยตอบอย่างหมดทางหนี
แม่งเอ้ย ถ้ารู้ว่าต้องมาทำงานกับผู้ชายเส็งเคร็งพรรค์นี้นะ ต่อให้เงินเดือนเป็นแสนกูก็ไม่เอาหรอกโว้ย!
"ระหว่างเราคงไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวกันหรอกใช่มั้ย เพราะงั้นเข้าไปข้างในกันได้แล้ว" วายุพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้านพลางยื่นเรียวแขนแกร่งมาให้เธอควงเข้างาน อภิชญาที่เห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงคล้องแขนของเขาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้คือเวลางาน เธอพยายามท่องคำนี้อยู่ในใจ
ท่ามกลางแสงระยิบระยับของแชนเดอเลียร์คริสตัลและเสียงดนตรีอันไพเราะ ภายในห้องโถงอันโอ่อ่าของโรงแรมระดับห้าดาวถูกตกแต่งด้วยดอกไม้สีสันสดใสและผ้าม่านกำมะหยี่ที่หรูหรา โต๊ะอาหารที่จัดวางอย่างประณีตมีอาหารเลิศรสและเครื่องดื่มราคาแพงให้เลือกมากมาย
บรรดาแขกผู้มีเกียรติต่างพากันเดินทางเข้ามาร่วมงานกันอย่างไม่ขาดสาย เพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดอายุครบ63ปีของคุณ ปิติภัทร รัตนกิจโกศล ผู้เป็นประธานใหญ่ของบริษัท R.s กรุ๊ป
คุณปิติภัทรเป็นชายวัยกลางคนที่ยังคงแข็งแรงรูปร่างและหน้าตาไม่ต่างจากชายที่อายุประมาณสี่สิบ วันนี้ท่านใส่ชุดสูทที่ถูกตัดเย็บขึ้นอย่างประณีตและเนคไทผ้าไหมที่ผูกอย่างสมบูรณ์แบบดูภูมิฐานในแบบฉบับของนักธุระกิจ
ด้านข้างกายมีภรรยาอันเป็นที่รักยืนยิ้มต้อนรับแขกเหรื่อที่เดินทางมาร่วมงาน คุณหญิงทอฝัน หญิงวัยกลางคนในชุดราตรีสีชมพูดูเด่นและสง่างามแม้นจะไม่ใช่สาววัยรุ่น แต่วันเวลาไม่สามารถพรากความงามไปจากใบหน้าของเธอได้
วายุและอภิชญาเดินเข้ามาภายในงาน ก็ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง มือเล็กที่ควงแขนเขามาเริ่มเย็นเฉียบ เธอหันมามองหน้าคนด้านข้างด้วยท่าทางประหม่า ก่อนที่มือหนาจะตบลงที่หลังมือของเธอเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ
"ไม่ต้องกลัว" วายุยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ทำเอาบรรดาลูกสาวของคุณนายที่มาร่วมงานถึงกับอิจฉาตาร้อน อภิชญาพยักหน้า แม้เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากจะยอมรับ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นเป็นอย่างมาก
"อื้ม"
ทั้งสองเดินควงแขนกันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคุณปิติภัทรและคุณหญิงทอฝัน พ่อและแม่ของวายุ ด้านข้างของพวกท่านมีคนที่อภิชญาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
คนแรกคือเฮียลมหนาว รุ่นพี่ที่คณะของเธอและเป็นฝาแฝดของบอสที่เธอกำลังทำงานด้วยอยู่ตอนนี้ ส่วนผู้หญิงที่ใส่ชุดราตรีสีน้ำเงินที่กำลังยืนจ้องเธอตาเขม็งก็คือคุณม่านฟ้าดาราสาวชื่อดังหรือที่เธอรู้จักก็คือแฟนเก่าของบอส
"คนนี้หรือเปล่าว่าที่ลูกสะใภ้ของพ่อ" ชายวัยกลางคนกระซิบกระซาบกับลูกชายคนโตด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีหรือเปล่านะ ที่เจ้าเหนือมันควงสาวมาร่วมงานวันเกิดของเขา
วายุไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงยักคิ้วให้ผู้เป็นพ่อเท่านั้น ระหว่างลูกผู้ชายด้วยกันแล้วก็เป็นอันรู้กันว่า ใช่
"พ่อครับแม่ครับ นี่คือนับสอง เธอเป็นเลขาของผม" วายุหันไปมองคนตัวเล็กด้วยแววตาอ่อนโยน พลางแนะนำเธอให้พ่อแม่ของตนได้รู้จัก ตอนนี้เธออาจเป็นแค่เลขา ใครจะรู้อนาคตข้างหน้าเธออาจมาเป็นภรรยาของเขาก็ได้"สวัสดีค่ะ" อภิชญายกมือขึ้นไหว้อย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนหวาน"ไหว้พระเถอะลูก" ปิติภัทรรับไหว้สาวน้อยที่มาพร้อมกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ส่วนทอฝันเองก็รับไหว้และมองเธอด้วยความเอ็นดู"ตายแล้วตาเหนือ ลูกไปหาเลขาหน้าตาน่ารักแบบนี้มาจากไหนกันล่ะเนี่ย สวัสดีจ่ะหนูนับสอง จากนี้ไปฉันฝากลูกชายของฉันด้วยนะจ๊ะ" ทอฝันทักทายหญิงสาวที่ลูกชายของเธอแนะนำว่าเป็นเลขาแต่จากสายตาของเจ้าลูกชายตัวดี เธอสามารถรู้ได้เลยว่าตาเหนือไม่ได้มองเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเลขาธรรมดาอย่างแน่นอนยิ่งได้เห็นภาพในวันนี้ คำพูดของเจ้าลูกชายคนโตในวันนั้นยิ่งชัดเจน ตอนแรกเธอคิดว่าลมเหนือคงจะพูดไปเรื่อย เพราะไม่อยากไปดูตัวตามคำขอของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีคนที่มองไว้แล้วจริง ๆ"จากนี้ไปพ่อกับแม่ไม่ต้องพยายามหาคนมาให้ผมดูตัวนะครับ เพราะผมมีคนที่มองไว้แล้ว""หนูจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ" อภิชญาตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย เธอไม
อภิชญานั่งกะพริบตาปริบ ๆ เธอรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่าเธอซัดแชมเปญไปตั้งสองแก้วทั้งที่ท้องยังว่างอยู่ ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะมาหาอะไรกินที่งานเลี้ยงนี่แหละ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แยกตัวออกมาจากเจ้ากรรมนายเวรเลยแม้แต่ครึ่งก้าว รู้ตัวอีกทีเท้าเธอก็ถลอกจนแสบไปหมดแล้วหญิงสาวในชุดราตรีสีเงินนั่งน้ำตาคลอเบ้า หิวก็หิว เท้าก็เจ็บ แถมตอนนี้เริ่มเวียนหัวเพราะเมาด้วย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแชมเปญเพียงแค่สองแก้วจะทำให้เธอเมาได้ ปกติดื่มเหล้าก็ไม่เห็นเมาไวขนาดนี้ หรืออันที่จริงแล้วคอเธอไม่เหมาะกับของแพง..กลับไปแดกเหล้าผสมโซดาเหมือนเดิมดีกว่ามั้งกูขณะที่อภิชญานั่งทำหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านข้าง เมื่อเธอหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเขาคนนั้นคือเฮียลมหนาว รุ่นพี่ในคณะสมัยที่เธอเรียนอยู่มหาลัย"ไม่คิดเลยว่าเฮียจะได้เจอสองที่นี่" เหมันต์เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เขาถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ"อันที่จริงสองเองก็กำลังงงอยู่เหมือนกันค่ะ" เสียงหวานตอบกลับอย่างติดตลก ก่อนจะเล่าความเป็นมาของตำแหน่งเลขาคุณลมเหนือให้กับรุ่นพี่ฟัง ไม่รู้ว่าเป็น
วายุที่ได้ยินดังนั้นประกายประหลาดก็ฉายวาบในแววตา เมื่อครู่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ เขาได้ยินจริง ๆ ว่านับสองเรียกแทนตัวเองว่า หนูและเรียกเขาว่าเฮีย เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้หญิงที่ชื่อว่านับสองอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีโอกาสอยู่ ใช่ไหม..ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากมนของคนตัวเล็กอย่างเบามือ ปรากฏว่าอภิชญาตัวร้อนรุม ๆ คล้ายคนจะเป็นไข้ อีกทั้งหน้าตาก็ยังซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจขับรถออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทางที่กลับบ้าน วายุก็ตบไฟเลี้ยวและไปจอดอยู่หน้าร้านอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเขาจอดรถที่ไหน และลงไปทำอะไรบ้าง เพราะเธอเองก็มีสติอยู่ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถยุโรปคันหรูของวายุก็แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถของวิลล่าหลังใหญ่ อันเป็นบ้านพักส่วนตัวของเขา ร่างกำยำเดินอ้อมไปฝั่งคนนั่ง จากนั้นก็ทำการปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากเอวคนตัวเล็กที่กำลังหลับอยู่บนรถ เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในบ้าน"เอ่อ..ฉันเดินเองได้ค่ะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
หกปีก่อน (หลังจากที่นับสองเจอกับลมเหนือครั้งแรก)อภิชญากลับมาถึงคอนโดด้วยสภาพเปียกปอนเหมือนกับลูกหมาตกน้ำ ยิ่งตอนนั่งตากแอร์อยู่บนรถ ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเสียจนปากสั่น เธออยู่ในสภาพที่หนาวตัวสั่นหงึก ๆ จนกระทั่งถึงห้องเมื่อจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างมีความสุข นิ้วมือเรียวไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเป็นไปไม่ได้ที่คนจะหน้าเหมือนกันได้ขนาดนั้น เว้นเสียจากจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดกัน.. ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการสืบเรื่องของชาวบ้าน!หญิงสาวกดเข้าไปส่องดูหน้าโปรไฟล์ของเฮียลมหนาวรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกัน ซึ่งปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ติดโซเชี่ยลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมีไว้ดูคลิปหมาคลิปแมวเท่านั้นอภิชญาเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับรูปหนึ่ง ซึ่งในรูปก็คือเฮียหนาวที่เธอรู้จักและอีกคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนเฮียหนาวอย่างกับแกะซึ่งในรูปภาพน่าจะเป็น งานปัจฉิมนิเทศตอนจบ ม.ปลาย และชื่อบุคคลที่ถูกแท็กอยู่ในภาพก็คือ@วายุ รัตนกิจโกศล @เหมันต์ รัตนกิจโกศลทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันจริง
อภิชญาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน โดยที่มีวายุมาเฝ้าไข้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เขาว่างหรือเลิกเรียนเขาก็จะมุ่งหน้ามาเยี่ยมเธอในทันที สิ่งที่เขามักซื้อติดมือมาให้อยู่เสมอก็คือโจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิง เพราะเธอเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ชอบกินขิง และดูเหมือนว่าเขาจะจำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดีนอกจากวายุแล้วเพื่อนสนิททั้งสองของเธอก็มาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ วันแรกที่พวกมันรับรู้ว่าเธอป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องไห้งอแงออกมาด้วยความเป็นห่วง นับว่าเป็นภาพที่แปลกพิลึกที่ได้เห็นเจนนี่ร้องไห้ แต่ทว่ามันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตลอดเวลาที่นับสองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ทุกคืนเฮียลมเหนือจะเป็นคนมานอนเฝ้าไข้เธอตลอด เขามักจะโผล่หน้ามาตอนที่เพื่อน ๆ ของเธอกลับไปแล้ว และมักจะออกไปตอนหกโมงเช้า และกลับมาอีกครั้งในตอนเที่ยงอภิชญาไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ ดีเสียอีก อย่างน้อยก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ว่าเขาจะมาเยี่ยมเธอทุกวันด้วยสาเหตุอะไร แต่จะแบบไหนเธอก็รู้สึกขอบคุณทั้งนั้นเพราะความจริงแล้วเฮียเหนือไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรก็ได้ เรื่องในวันนั้นเป็นเธอที่ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออ
"อีสองมึงแกล้งโง่หรือเปล่า มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ" เจนนี่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง ที่ผ่านมาการกระทำรวมถึงสายตาที่เฮียหนาวมองอีสองมันชัดเจนมากเลยว่าเขาชอบมัน มีแค่อีเพื่อนตัวดีนี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกอย่างตอนนี้มันก็คบกับเฮียเหนือไปแล้วด้วย แบบนี้ฝาแฝดจะไม่ผิดใจกันเหรอวะ.."กูไม่รู้จริง ๆ ปกติเฮียหนาวก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า อีกอย่างเขาก็ไม่เคยมาบอกชอบกูนะ""โอ๊ยชะนี กูอยากจะกรี๊ด กูสงสารเฮียหนาว""สงสารอะไรเฮียเหรอเจนนี่" เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเฮียหนาวที่กำลังเดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเธอ เขานั่งลงตรงที่ว่างข้างเจนนี่ พลางโปรยยิ้มให้กับทุกคนมีเพียงอภิชญาที่มองหน้าเฮียหนาวตาปริบ ๆ คำพูดของเจนนี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว คนอย่างเฮียหนาวน่ะเหรอจะชอบเธอ เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย"เอ่อ.." เจนนี่ได้แต่อึกอักทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี ครั้นจะถามไปเลยว่าเฮียหนาวชอบอีสองใช่มั้ย มันก็ใช่เรื่อง"อีสองคบกับเฮียเหนือแล้ว เฮียรู้เรื่องนี้มั้ย" จู่ ๆ แก้มบุ๋มที่นั่งกินขนมอยู่ก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาคนที่มาใหม่ถึงกับนิ่งเป็นหินไป
อภิชญาเลือกที่จะนั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องครัว บ้านหลังนี้นับว่าใหญ่เกินไปสำหรับการอยู่คนเดียว โต๊ะกินข้าวในโถงรับประทานอาหารนั้นมีเก้าอี้เพียงพอสำหรับสิบคน แต่กลับมีเพียงวายุที่ต้องนั่งอยู่ตามลำพังในทุกวันห้องนอนขนาดใหญ่สี่ห้อง ที่ผ่านก็มีเพียงห้องของเขาเองที่ถูกใช้งาน ส่วนที่เหลือถูกจัดเตรียมไว้สำหรับรับแขกเฉย ๆ คงมีเพียงลานจอดรถสำหรับสี่คันที่มันไม่ว่าง..อภิชญาก้มหน้าตักข้าวต้มกุ้งใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อลองคิดดูแล้วนี่ก็นับว่าเป็นเมนูโปรดที่เขาชอบกิน และเป็นเมนูที่เธอทำให้เขากินอยู่บ่อย ๆ ในตอนที่ยังคบกันอยู่ใบหน้าหวานที่ก่อนหน้านี้เปี่ยมด้วยความสุขพลันหุบยิ้มลงทันที เพราะเธอเผลอคิดถึงอดีตที่เคยมีร่วมกันกับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยลืมเขาก็จริง แต่ความรู้สึกมันก็ไม่ได้รุนแรงเท่าช่วงนี้ อาจเป็นเพราะว่าเธอได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง ความทรงจำต่าง ๆ ก็พลันหวนกลับมามันเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า บางคนอาจหายไปจากการมองเห็น.. แต่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำเขามักจะโผล่มาในบางครั้ง..โผล่มาในอาหารบางเมนู..โผล่มาในเพลงบางเพลง..โผล่มาในคำบางคำ..โผล่มาในตอนที่เมา.."คิดว่าแมวขโมยที่ไหนมาทำตัวลับ
หลังจากที่นับสองกินโจ๊กจนหมดถ้วย วายุก็พยุงคนตัวเล็กกลับมานอนที่เตียง ด้วยฤทธิ์ของความเหนื่อยล้าทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่านับสองหลับไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นและเดินมาออกจากห้องของเธออย่างเงียบ ๆสำหรับคนอย่างเขาคงมีสิทธิ์ทำได้แค่เท่านี้..ร่างกำยำคว้ากุญแจลัมโบร์กินีคู่ใจขับออกไปจากบ้านในยามวิกาล จุดมุ่งหมายที่เขาตั้งใจจะไปคือร้านเหล้าของเพื่อนสนิทอย่างเอกภพ ทุกครั้งที่สุขหรือเศร้าเขาก็มักจะดื่มเหล้าอยู่เสมอครั้งนี้เองก็เช่นกัน.. มีทั้งเรื่องสุขและเศร้าปนกันไป หวังเพียงเพื่อนรักทั้งสองช่วยปลอบโยนEverything's rushed, I know I just lost A piece of mine Why can't we turn back time? เสียงเพลงจากเครื่องเสียงราคาแพงดังขึ้นกระแทกใจคนที่กำลังฟังเข้าอย่างจัง ไม่รู้ว่าเพลงนี้มาอยู่ในเพลย์ลิสต์ของเขาได้ยังไง แต่ฟังไปฟังมามันก็เพราะดีเหมือนกันวายุขับรถด้วยความเร็วที่ช้ากว่าที่ขับตอนปกติ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในยามค่ำคืน ไฟแสงสีส้มสองข้างทางทอดยาวไปกับถนนจนสุดลูกหูลูกตา ถนนเส้นนี้กลางวันคับแน่นไปด้วยรถรา ต่างจากตอนกลางคืนราวกับไม่ใช่ถนนเส้นเดียวกัน ระหว่างทางที่เขาขับรถมานั้น มีรถสว
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ
"มึงเล่าความจริงทั้งหมดมาให้กูฟังก่อน แล้วกูจะยอมบอกมึง" สิ้นคำพูดของเหมันต์ วายุก็พยักหน้าเล็กน้อย เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้แฝดผู้น้องฟัง รวมถึงเรื่องของน้ำหวานด้วยเช่นกันลมหนาวที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากพี่ชาย ก็ได้แต่กุมขมับด้วยความเครียด เพราะสิ่งที่ไอ้เหนือเล่ากับสิ่งที่นับสองเล่าเหมือนหนังคนละม้วน "มึงคิดว่าเด็กในท้องของผู้หญิงที่ชื่อน้ำหวานเป็นลูกมึงจริงมั้ยวะ""เอาตรง ๆ มั้ยไอ้หนาว กูคิดว่าไม่ใช่ลูกกูแน่นอน แต่กูยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่ะ ตอนแรกกูตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหากับสอง พอนับสองมาหนีไปแบบนี้กูแม่งทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย""เหนือมึงฟังกูนะ วันที่มึงไปนอนค้างกับผู้หญิงคนนั้น มันเป็นคนกดรับสายและคุยกับสอง อีกทั้งยังส่งผลตรวจครรภ์มาให้สองด้วย ผู้หญิงของมึงด่าสองว่าหน้าด้าน เป็นแค่เมียน้อย ทีนี้มึงเข้าใจหรือยังทำไมสองถึงได้หนีมึงไป" วายุได้แต่นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาแน่ใจว่านับสองไม่ได้โทรหาเขาเลยสักสาย หรือว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นตอนที่เขาอาบน้ำ.. เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ
อภิชญาพักฟื้นสภาพจิตใจและร่างกายอยู่ที่ไร่องุ่นรัตนกิจโกศลราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่ที่นี่ หญิงสาวกล่าวขอบคุณและบอกลาทุกคนในไร่ที่คอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่"รักษาตัวนะคะพี่" เพียงดาวสาวน้อยผู้ร่าเริงวัยยี่สิบต้น ๆ ลูกสาวของคุณลุงคุณป้าในไร่เดินมาโอบกอดเธอด้วยแววตาละห้อย ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เธออาศัยอยู่ที่นี่ เพียงดาวนับว่าเป็นคนที่เธอสนิทด้วยที่สุด "สู้ ๆ เรื่องเฮียหนาวนะดาว พี่เป็นกำลังใจให้" อภิชญากระซิบข้างหูสาวน้อยเบา ๆ ทำเอาเพียงดาวถึงกับหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู บอกตามตรงว่าเธอดูออกตั้งแต่ช่วงสองสามวันแรกที่มาอยู่แล้วล่ะว่าสาวน้อยคนนี้แอบรักเฮียหนาว เพราะเพียงดาวเก็บสีหน้าและแววตาไม่เก่งเอาเสียเลย แต่มองดูแล้วเธอก็เป็นเด็กที่น่ารักดี ทั้งสดใส และร่าเริง.."ขอบคุณค่ะ ถ้ามีโอกาสดาวจะไปเยี่ยมพี่นะคะ"...เหมันต์เป็นคนขับรถมาส่งอภิชญาถึงหน้าบ้าน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปทำธุระต่อ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่นานนักร่างของหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้
เมื่อเสียงรถของวายุไกลออกไปแล้ว อภิชญาจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว บอกตามตรงว่าเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาก ผู้ชายที่เข้ามาดุจวายุเมื่อกี้ คือเฮียเหนือที่เธอเคยรู้จักจริง ๆ น่ะเหรอ"เฮียหนาว..สองขอโทษนะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่สั่นไหว เธอรู้สึกขอบคุณเฮียหนาวจากใจจริงที่เขาช่วยปิดบังเรื่องที่เธออยู่ที่นี่เอาไว้จนวินาทีสุดท้าย และรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเจ็บตัว"ขอโทษอะไรกัน เฮียไม่เป็นไรเลย ไอ้เหนือมันสันดานเสียโดนสักทีก็ดีเหมือนกัน" เหมันต์พูดขึ้นอย่างติดตลก ไม่อยากให้นับสองต้องคิดมาก เพราะเมื่อคืนหลังจากที่เขาพานับสองกลับมาที่ไร่ เขาก็ให้เธอไปนอนพักอยู่ในห้องสำหรับรับรองแขก แต่ทว่าไฟในห้องนอนของหญิงสาวก็ยังถูกเปิดไว้จนเกือบเช้า ถ้าให้เดาละก็เธอคงยังไม่ได้นอนอย่างแน่นอนอภิชญาทำได้เพียงนิ่งเงียบ เพราะประโยคสนทนาระหว่างพี่น้องเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกอย่าง "เออใครมันจะไปดีเหมือนมึง ดีขนาดนี้สองยังไม่เอาเลย" เฮียเหนือพูดเอาไว้อย่างนั้น.. มันยิ่งตอกย้ำว่าเธอช่างเป็นคนตาบอดที่โง่งม หากผู้ชายที่เธอรักคือเฮียหนาวก็คงจะดี อย่างน้อยเธอก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดท