"ที่ทำงานคือที่ไหนเหรอลูก แล้วหนูสมัครงานอะไรไป" ภาสกรผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงเขาก็อยากให้ลูกสาวอันเป็นที่รักของเขานั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้าน
แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าสามารถเลี้ยงให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบายได้โดยที่ยัยสองไม่ต้องไปทำงาน
แต่ก็นั่นแหละ.. ลูกน่ะเลี้ยงได้แค่ตัว พอโตมาพวกเขาก็คงอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อีกอย่างนับสองก็เรียนจบมาสองปีตามกำหนดแล้วด้วย เขาคงห้ามนั่นห้ามนี่ลูกตลอดไปไม่ได้
"หนูสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ตไปค่ะ เป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดใหม่ หนูคิดว่าเขาอาจจะต้องการคนเลยลองยื่นใบสมัครไป"
"เฮียเลี้ยงหนูได้นะ ไม่เห็นต้องลำบากไปหางานทำเลย ถ้าหนูอยากทำงานจริง ๆ มาทำตำแหน่งบัญชีอยู่กับเฮียที่กรุงเทพก็ได้ หรือหนูจะนอนตีพุงอยู่คอนโดอย่างเดียวเฮียก็ไม่ว่า คอนโดเก่าของหนูก็ยังไม่ได้ขายนี่นา"
อภิชญาได้แต่หันมองหน้าพ่อและพี่ชายสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติแล้วทางครอบครัวควรเร่งให้เธอไปทำงานตั้งแต่เรียนจบมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่นี่เธอนอนตีพุงอยู่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว เพราะพ่อเป็นคนขอไว้ว่าอยากให้ลูกสาวพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้เธอต้องมากดดันหรือลำบาก ถ้าจะให้เรียนจบสูงมาแล้วไม่ทำงานทำการ จะให้เธอไปเรียนให้ปวดหัวทำไมตั้งแต่แรก!
อภิชญานั่งกินนอนกินอยู่บ้าน เวลาก็ล่วงเลยมาปีที่สองแล้ว เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นดูไร้ค่าเพราะไม่มีงานการทำ ไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเองเลยสักอย่าง ทั้งที่อายุก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว
หากว่ากันตามตรงผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอคงจะแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว หรือไม่ก็คงมีหน้าที่การงานมั่นคงมีอนาคตที่ดีรออยู่ พอตัดภาพมามองที่ตัวเอง เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นบุคคลที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย
"สองอยากลองใช้ชีวิตของตัวเองดูค่ะ อยากลองลำบากหาเงินเองดูบ้าง ถึงมันจะเหนื่อยแต่สองก็ภูมิใจที่เงินนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง.. บอกตามตรง ตอนนี้สองสงสัยมากเลยว่าบ้านเราทำงานอะไรกันแน่ ทำไมดูไม่เดือดร้อนเรื่องเงินเลย"
"อะแฮ่ม เฮียก็เปิดอู่ซ่อมรถไง" เฮียหนึ่งกระแอมออกมาเบา ๆ อันที่จริงคนในครอบครัวก็รู้เพียงแค่ว่าเขานั้นเปิดอู่ซ่อมรถ แต่แท้จริงแล้วเป็นอู่สำหรับแต่งรถนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็เป็นสปอร์ตคาร์ ไม่ก็รถแข่งโดยเฉพาะ
รายได้อีกอย่างที่เขาหาได้เป็นกอบเป็นกำก็คือลงแข่งที่สนาม ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือเถื่อนเขาก็ไม่เกี่ยง บ้างก็วางเดิมพันด้วยเงินสดหลักหลายล้าน บ้างก็เดิมพันด้วยทะเบียนรถของตัวเอง อีกทั้งยังมีธุรกิจที่เขาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับเพื่อน ไม่อย่างนั้นมีเหรอที่เขาจะมีเงินเหลือใช้มากขนาดนี้
"มันได้เงินเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ รู้อย่างนี้สองเรียนช่างแบบเฮียดีกว่า"
"พอเลย ถ้าสองมาเรียนช่างอยู่กับเฮีย มีหวังเฮียได้ไล่กระทืบไอ้คนที่มันมาตามจีบสองจนตัวเองโดนไล่ออกแน่นอน" เฮียหนึ่งพูดขึ้นอย่างติดตลก ทำเอาพ่อและแม่ต่างก็หัวเราะไปตาม ๆ กัน
บ้านรัตนกิจโกศล
สปอร์ตคาร์สีดำคันหรูดูน่าเกรงขามแล่นเข้ามาจอดในโรงรถ วายุเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นอยู่สองสามที ก่อนจะก้าวขาลงมาจากรถยุโรปราคาราวแปดหลัก ทำเอาคนสวนและแม่บ้านถึงกับสะดุ้งตกใจไปตาม ๆ กัน
ร่างสูงโปร่งเดินเข้าไปภายในบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงจะมีธุรกิจหรืองานยุ่งยังไงก็ต้องหาเวลามากินข้าวกับครอบครัวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง อันที่จริงการกลับมากินข้าวกับพ่อแม่นั้นเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่เขากลับมาพ่อและแม่ก็มักจะพูดเรื่องดูตัวกับแต่งงานอยู่เสมอ
บรรยากาศภายในห้องอาหารเต็มไปด้วยความอึมครึม มีเพียงคุณหญิงทอฝันเท่านั้นที่นั่งยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะลูกชายฝาแฝดทั้งสองกลับมานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
"อีกสองปีพวกแกก็จะอายุสามสิบกันแล้ว คิดจะมีหลานให้พ่ออุ้มตอนอายุเท่าไหร่กัน" ปิติภัทร ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อของสองแฝดเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ตอนนี้ วายุและเหมันต์ ลูกชายทั้งสองของเขาก็เรียนจบมาตั้งนานแล้ว
แต่ยังไม่มีใครเลยสักคนที่จะพาแฟนหรือผู้หญิงเข้ามาแนะนำให้เขารู้จัก ในเมื่อลูกชายทั้งสองมันไม่ยอมหาเมียสักที พ่อคนนี้แหละที่จะเป็นคนหาให้
"ผมยังไม่พร้อมครับพ่อ ตอนนี้ธุรกิจไวน์ก็กำลังไปได้ดี ผมยังอยากโฟกัสกับงานก่อน" ลมหนาว หรือ เหมันต์ รัตนกิจโกศล น้องชายฝาแฝดของวายุเอ่ยตอบผู้เป็นบิดาอย่างฉะฉาน เขาเป็นคนจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำ รวมถึงความสามารถในการเข้าสังคมเป็นเลิศ ทำให้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา ก็ล้วนแต่น่าฟัง และสามารถโน้มน้าวใจคนฟังได้อีกด้วย
"แล้วแกล่ะเจ้าเหนือ" ปิติภัทรหันกลับไปถามลูกชายอีกคนที่นั่งกินข้าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"ผมก็เหมือนกัน ยังไม่พร้อมครับ" วายุตอบกลับเพียงสั้น ๆ ทำเอาผู้เป็นพ่อถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
เขามีลูกชายเพียงแค่สองคนเท่านั้น หลังจากสองแฝดอายุสิบสองขวบ เขาก็ไม่เคยถูกอ้อนอีกเลย อีกทั้งเมื่อโตมาพวกมันยังไม่คิดหาเมียทั้งคู่ รู้อย่างนี้เขาน่าจะมีลูกสาวอีกสักคน แล้วยกมรดกทั้งหมดให้กับลูกสาวซะเลย!
"หนูม่านฟ้าไง ที่ลูกเคยคบกับเธอเมื่อตอนเรียนมัธยม ตอนนี้เธอเป็นดาราดังแล้ว แถมสวยกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อหลายวันก่อนเธอก็มาหาแม่ที่บ้านแต่เสียดายที่วันนั้นไม่ใช่วันที่ลูกจะกลับมากินข้าว วันนี้แม่เลยนัดเธอมากินข้าวพร้อมกับเรา เผื่อลูกจะได้คืนดีกับเธอ" คุณหญิงทอฝันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอรู้เพียงแค่ว่าม่านฟ้าเป็นผู้หญิงที่ลมเหนือลูกชายของเธอรักมาก และคบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมยันมหาลัย
แต่ว่าทั้งคู่เลิกรากันไปด้วยเหตุผลอะไรนั้นเธอเองก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อเวลามันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว บางทีถ่านไฟเก่าอาจจะติดง่ายกว่าการบังคับให้ลูกไปดูตัวก็ได้ เธอคิดอย่างนั้น
"อ้าวนั่นไงมาพอดีเลย หนูม่านฟ้าจ๊ะ มาเร็วลูก ลมเหนือกับลมหนาวก็เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง" คุณหญิงทอฝันกวักไม้กวักมือเรียกว่าที่ลูกสะใภ้คนโตของตนให้มานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
"ผมกลับล่ะ" วายุพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางดันเก้าอี้ลุกขึ้นในทันที แต่ทว่ากลับต้องชะงักเพราะคำพูดของผู้เป็นพ่อ
"นั่งลง อย่าทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าแขกของแม่"
วายุจำใจต้องนั่งลงอีกครั้งแม้จะรู้สึกอารมณ์เสียก็ตาม บอกตามตรงว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้แม้แต่วินาทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าแม่ของเขาจะชอบเธอเสียเหลือเกินปกติท่านอาจจะเปรยถึงอยู่บ่อย ๆ แต่นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่ชวนเธอมาร่วมทานอาหารพร้อมกับเขาแบบนี้
เป็นดาราแล้วยังไง สวยแล้วยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ผู้หญิงโลภมากเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ"นั่นสิ..จะรีบกลับไปไหน แฟนเก่าสุดที่รักมากินข้าวด้วยทั้งที" เหมันต์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวายุก็ไม่ต่างจากน้ำมันกับไฟ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีปากเสียงกันเสียทุกที"มึงจะกระแนะกระแหนกูไปถึงไหนวะไอ้หนาว" วายุหันกลับมาพูดกับน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดว่าไม่พอใจ แปลกที่ใครต่อใครก็มองว่ามันเป็นคนดี มีแต่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามันกวนส้นตีน"ตาเหนือ!! พูดจาไม่น่ารักเลย ลมหนาวก็ด้วยอย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิลูก" คุณหญิงทอฝันพยายามเอ่ยปราม ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้"สวัสดีค่ะคุณพ่อ..คุณแม่" เสียงหวานของดาราสาวพูดขึ้น เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของวายุอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะเหนือ อ้อ..หนาวด้วย" เธอเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร สมัยก่อนตอนที่ยังคบอยู่กับลมเหนือ เธอเคยมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาชอบพาเธอกลับมาเที่ยวบ้านในทุกครั้งที่ปิดเทอม"อือไม่ได้เจอกันนานเลย" เหมันต์ตอบกลับอย่าง
เรือนร่างระหงก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์สีขาวคันโปรด เธอตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองผ่านเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาว สีขาวพับแขน ถูกสวมใส่ทับด้วยกระโปรงสั้นทรงเอสีดำ ทรงผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อยและรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเสริมให้เธอดูสง่าอภิชญาจับกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนจะกระชับซองเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครงานไว้แนบอก เธอระบายลมหายใจออกเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของรีสอร์ตหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แผนกต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักสาวสวยคนหนึ่งเดินนำเธอไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์งานอภิชญานั่งลงบนโซฟาหนังสีเทาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่ด้านหน้าของเธอเป็นโต๊ะกระจกสีดำ ถัดออกไปเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และบรรดาตู้หนังสือ บรรยากาศภายในห้องนั้นคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าที่นี่มันคือห้องรับรองแขกหรือว่าห้องทำงานกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ จะอย่างไรก็ช่างจุดมุ่งหมายเดียวที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบแห่งนี้ ก็เพื่องานและเงิน!อภิชญานั่งรออย่างเรียบร้อยภายในห้องด้วยความรู้สึกประหม่า เรียวแข
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาอภิชญาและกองสัมภาระกำลังรอคอยให้คุณสิงห์มารับที่หน้าบ้าน โดยที่มีพ่อและแม่ออกมาส่งเธอด้วยเช่นกัน ไม่นานนักรถเบนซ์คันสีดำดูหรูหราก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พร้อมกับคุณสิงห์ที่ลงมาทักทายพ่อและแม่ของอภิชญา"เดี๋ยวรถสำหรับขนสัมภาระจะตามมาเร็ว ๆ นี้ครับ ผมแค่มุ่งหน้ามารับคุณอภิชญาก่อนเพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญมากและคุณที่เป็นเลขาจะต้องไปเข้าร่วมด้วยครับ""ค่ะดิฉันทราบดีค่ะ" อภิชญาตอบกลับเสียงเรียบ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน ว่าที่บริษัทจะจัดวันเกิดให้กับท่านประธานใหญ่ และเธอที่เป็นเลขาของบอส ก็จะต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกันงานแรกที่เธอจะต้องทำก็คือไปเป็นคู่ควงให้บอส เพราะว่าบอสยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น และแน่นอนว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายให้กับตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ตอนแรกเธอคาดหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพี่สาวสุดเท่ห์และความหวังก็พังลงอย่างไม่เป็นท่าเอาเถอะ ขอแค่ไม่เป็นตาเฒ่าหัวงู หรือไอ้หนุ่มโรคจิตก็พอ!"เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่าง ๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ" สุพิญญาโอบกอดลูกสาวด้วยความรู้สึกใจหาย นับสองเพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านได้
"พ่อครับแม่ครับ นี่คือนับสอง เธอเป็นเลขาของผม" วายุหันไปมองคนตัวเล็กด้วยแววตาอ่อนโยน พลางแนะนำเธอให้พ่อแม่ของตนได้รู้จัก ตอนนี้เธออาจเป็นแค่เลขา ใครจะรู้อนาคตข้างหน้าเธออาจมาเป็นภรรยาของเขาก็ได้"สวัสดีค่ะ" อภิชญายกมือขึ้นไหว้อย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนหวาน"ไหว้พระเถอะลูก" ปิติภัทรรับไหว้สาวน้อยที่มาพร้อมกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตน ส่วนทอฝันเองก็รับไหว้และมองเธอด้วยความเอ็นดู"ตายแล้วตาเหนือ ลูกไปหาเลขาหน้าตาน่ารักแบบนี้มาจากไหนกันล่ะเนี่ย สวัสดีจ่ะหนูนับสอง จากนี้ไปฉันฝากลูกชายของฉันด้วยนะจ๊ะ" ทอฝันทักทายหญิงสาวที่ลูกชายของเธอแนะนำว่าเป็นเลขาแต่จากสายตาของเจ้าลูกชายตัวดี เธอสามารถรู้ได้เลยว่าตาเหนือไม่ได้มองเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเลขาธรรมดาอย่างแน่นอนยิ่งได้เห็นภาพในวันนี้ คำพูดของเจ้าลูกชายคนโตในวันนั้นยิ่งชัดเจน ตอนแรกเธอคิดว่าลมเหนือคงจะพูดไปเรื่อย เพราะไม่อยากไปดูตัวตามคำขอของเธอ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีคนที่มองไว้แล้วจริง ๆ"จากนี้ไปพ่อกับแม่ไม่ต้องพยายามหาคนมาให้ผมดูตัวนะครับ เพราะผมมีคนที่มองไว้แล้ว""หนูจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ" อภิชญาตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย เธอไม
อภิชญานั่งกะพริบตาปริบ ๆ เธอรู้สึกมึนหัวอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่าเธอซัดแชมเปญไปตั้งสองแก้วทั้งที่ท้องยังว่างอยู่ ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะมาหาอะไรกินที่งานเลี้ยงนี่แหละ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้แยกตัวออกมาจากเจ้ากรรมนายเวรเลยแม้แต่ครึ่งก้าว รู้ตัวอีกทีเท้าเธอก็ถลอกจนแสบไปหมดแล้วหญิงสาวในชุดราตรีสีเงินนั่งน้ำตาคลอเบ้า หิวก็หิว เท้าก็เจ็บ แถมตอนนี้เริ่มเวียนหัวเพราะเมาด้วย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแชมเปญเพียงแค่สองแก้วจะทำให้เธอเมาได้ ปกติดื่มเหล้าก็ไม่เห็นเมาไวขนาดนี้ หรืออันที่จริงแล้วคอเธอไม่เหมาะกับของแพง..กลับไปแดกเหล้าผสมโซดาเหมือนเดิมดีกว่ามั้งกูขณะที่อภิชญานั่งทำหน้ามุ่ยอยู่คนเดียว ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านข้าง เมื่อเธอหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเขาคนนั้นคือเฮียลมหนาว รุ่นพี่ในคณะสมัยที่เธอเรียนอยู่มหาลัย"ไม่คิดเลยว่าเฮียจะได้เจอสองที่นี่" เหมันต์เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง เขาถือโอกาสนั่งลงข้าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ"อันที่จริงสองเองก็กำลังงงอยู่เหมือนกันค่ะ" เสียงหวานตอบกลับอย่างติดตลก ก่อนจะเล่าความเป็นมาของตำแหน่งเลขาคุณลมเหนือให้กับรุ่นพี่ฟัง ไม่รู้ว่าเป็น
วายุที่ได้ยินดังนั้นประกายประหลาดก็ฉายวาบในแววตา เมื่อครู่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ เขาได้ยินจริง ๆ ว่านับสองเรียกแทนตัวเองว่า หนูและเรียกเขาว่าเฮีย เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้หญิงที่ชื่อว่านับสองอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีโอกาสอยู่ ใช่ไหม..ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากมนของคนตัวเล็กอย่างเบามือ ปรากฏว่าอภิชญาตัวร้อนรุม ๆ คล้ายคนจะเป็นไข้ อีกทั้งหน้าตาก็ยังซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจขับรถออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทางที่กลับบ้าน วายุก็ตบไฟเลี้ยวและไปจอดอยู่หน้าร้านอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเขาจอดรถที่ไหน และลงไปทำอะไรบ้าง เพราะเธอเองก็มีสติอยู่ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถยุโรปคันหรูของวายุก็แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถของวิลล่าหลังใหญ่ อันเป็นบ้านพักส่วนตัวของเขา ร่างกำยำเดินอ้อมไปฝั่งคนนั่ง จากนั้นก็ทำการปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากเอวคนตัวเล็กที่กำลังหลับอยู่บนรถ เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในบ้าน"เอ่อ..ฉันเดินเองได้ค่ะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
หกปีก่อน (หลังจากที่นับสองเจอกับลมเหนือครั้งแรก)อภิชญากลับมาถึงคอนโดด้วยสภาพเปียกปอนเหมือนกับลูกหมาตกน้ำ ยิ่งตอนนั่งตากแอร์อยู่บนรถ ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเสียจนปากสั่น เธออยู่ในสภาพที่หนาวตัวสั่นหงึก ๆ จนกระทั่งถึงห้องเมื่อจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างมีความสุข นิ้วมือเรียวไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเป็นไปไม่ได้ที่คนจะหน้าเหมือนกันได้ขนาดนั้น เว้นเสียจากจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดกัน.. ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการสืบเรื่องของชาวบ้าน!หญิงสาวกดเข้าไปส่องดูหน้าโปรไฟล์ของเฮียลมหนาวรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกัน ซึ่งปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ติดโซเชี่ยลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมีไว้ดูคลิปหมาคลิปแมวเท่านั้นอภิชญาเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับรูปหนึ่ง ซึ่งในรูปก็คือเฮียหนาวที่เธอรู้จักและอีกคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนเฮียหนาวอย่างกับแกะซึ่งในรูปภาพน่าจะเป็น งานปัจฉิมนิเทศตอนจบ ม.ปลาย และชื่อบุคคลที่ถูกแท็กอยู่ในภาพก็คือ@วายุ รัตนกิจโกศล @เหมันต์ รัตนกิจโกศลทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันจริง
อภิชญาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน โดยที่มีวายุมาเฝ้าไข้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เขาว่างหรือเลิกเรียนเขาก็จะมุ่งหน้ามาเยี่ยมเธอในทันที สิ่งที่เขามักซื้อติดมือมาให้อยู่เสมอก็คือโจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิง เพราะเธอเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ชอบกินขิง และดูเหมือนว่าเขาจะจำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดีนอกจากวายุแล้วเพื่อนสนิททั้งสองของเธอก็มาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ วันแรกที่พวกมันรับรู้ว่าเธอป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องไห้งอแงออกมาด้วยความเป็นห่วง นับว่าเป็นภาพที่แปลกพิลึกที่ได้เห็นเจนนี่ร้องไห้ แต่ทว่ามันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตลอดเวลาที่นับสองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ทุกคืนเฮียลมเหนือจะเป็นคนมานอนเฝ้าไข้เธอตลอด เขามักจะโผล่หน้ามาตอนที่เพื่อน ๆ ของเธอกลับไปแล้ว และมักจะออกไปตอนหกโมงเช้า และกลับมาอีกครั้งในตอนเที่ยงอภิชญาไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ ดีเสียอีก อย่างน้อยก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ว่าเขาจะมาเยี่ยมเธอทุกวันด้วยสาเหตุอะไร แต่จะแบบไหนเธอก็รู้สึกขอบคุณทั้งนั้นเพราะความจริงแล้วเฮียเหนือไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรก็ได้ เรื่องในวันนั้นเป็นเธอที่ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออ
เขามองหน้าคนตัวเล็กที่กำลังหลับใหลอยู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามาราวกับพายุ บีบรัดหัวใจที่เคยด้านชาเสียจนรู้สึกเจ็บปวด ภาพที่เธอร้องไห้และเดินจากเขาไปในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ ความทรงจำที่คอยตอกย้ำว่าเขานั้นเลวและโง่ขนาดไหนมันจะดีแค่ไหนกันหากคนเราสามารถย้อนเวลาได้ เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน เขาจะไม่ทำร้ายเธออย่างที่ผ่านมา"เฮียขอโทษ.." วายุเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แม้จะรู้ดีว่าแค่คำขอโทษของเขา มันคงไม่เพียงพอที่จะลบล้างความผิดที่เคยทำไว้กับเธอเสียงของเขาทำให้เปลือกตาของอภิชญากะพริบเปิดขึ้นช้า ๆ เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่จ้องมองมาที่เขา ความรู้สึกที่ซับซ้อนฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น นับสองได้ยินทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ยออกมา เพราะเธอรู้สึกตัวตั้งแต่ถูกถึงรูปภาพออกไปจากมือแล้วบอกตามตรงว่าเธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ที่เห็นว่าเขายังคงเก็บรูปภาพเหล่านี้เอาไว้ มิหนำซ้ำยังนำมาล้างเก็บใส่อัลบั้มเป็นอย่างดี เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเขายังเก็บรูปคู่ของเราเอาไว้ ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยว่า 'เฮียไม่เคยรักเธอเลยสักครั้ง'"เ
วายุลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเที่ยงด้วยอาการปวดหัว สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบห้องก็พบว่าที่นี่คือห้องนอนของน้ำหวาน ฝ่ามือหนานวดคลึงขมับตัวเองด้วยความกลัดกลุ้ม เขาจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลยสักนิดแต่ถ้าดูจากร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาในตอนนี้ นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าระหว่างเขากับน้ำหวานเกิดอะไรขึ้นฉิบหายแล้วไงกู วายุรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกาก็พบว่า นับสองโทรมาหาเขาหนึ่งสายเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว โชคดีที่มันขึ้นว่าสายที่ไม่ได้รับ.. เพราะถ้าน้ำหวานเป็นคนเดินมารับสายแทนเขาแล้วล่ะก็ ชีวิตของเขาคงจบสิ้นอย่างแน่นอนเขาโทรให้สิงห์มารับในทันทีที่ตื่น จากนั้นจึงลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ เพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้าน ขณะที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เจอเข้ากับน้ำหวานพอดี วายุเว้นระยะห่างจากเธอประมาณสามก้าว ซึ่งสำหรับน้ำหวานแล้ว มันช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน"ตื่นแล้วเหรอคะ หวานทำโจ๊กร้อน ๆ ไว้ให้เฮียทานแก้เมาค้างด้วยค่ะ" เธอพยายามทำตัวให้สดใสเหมือนที่เคยเป็น ทว่าวายุไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาตั้งใจแล้วว่าจะมาที่นี่วันนี
วายุปัดสัมผัสของน้ำหวานออก ตอนนี้ยอมรับเลยว่า เขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสเธอเลยสักนิด ฝ่ามือหนาคว้าแก้วเหล้าขึ้นมากระดกรวดเดียวจนหมดหลายต่อหลายรอบ จนในที่สุดก็เป็นเอกภพที่เข้ามาแย่งแก้วออกไปจากมือของเขา"พอเลยไอ้เหนือ มึงเล่นแดกเหล้าเป็นน้ำเปล่าขนาดนี้ เดี๋ยวก็ตายห่ากันพอดี""กูควรทำยังไง.. กูต้องทำยังไง.." วายุที่เมาเริ่มพูดจาไม่รู้เรื่อง สร้างความประหลาดใจให้กับน้ำหวานเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยเห็นเฮียเหนือเมาจนเสียสติขนาดนี้มาก่อน ดวงหน้างามขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วงปนความสงสัย เพราะอะไรเฮียเหนือผู้เคร่งขรึมของเธอถึงได้เมามายเพ้อพกขนาดนี้"ตอนนี้มึงควรกลับบ้านไปนอน" เอกภพตอบกลับเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเอือมระอา เมาเหมือนหมาขนาดนี้มึงจะไปทำอะไรได้ เผลอ ๆ ถ้ากลับบ้านไปด้วยสภาพแบบนี้ นับสองจะได้หักคะแนนมึงน่ะสิ!จากที่มันติดลบอยู่แล้ว มันจะได้ติดลบเข้าไปอีก"ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ให้เฮียเหนือมานอนห้องหวานมั้ยคะ หวานเอารถมาค่ะ เดี๋ยวหวานเป็นคนขับรถเอง"เอกภพหันไปสำรวจเพื่อนรักของตน ซึ่งตอนนี้เขาก็พบว่ามันนั่งหลับซบอยู่บนไหล่สาวน้อยไปแล้ว เขาพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าสาวน้อ
หลังจากที่นับสองกินโจ๊กจนหมดถ้วย วายุก็พยุงคนตัวเล็กกลับมานอนที่เตียง ด้วยฤทธิ์ของความเหนื่อยล้าทำให้เธอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่านับสองหลับไปแล้ว เขาจึงลุกขึ้นและเดินมาออกจากห้องของเธออย่างเงียบ ๆสำหรับคนอย่างเขาคงมีสิทธิ์ทำได้แค่เท่านี้..ร่างกำยำคว้ากุญแจลัมโบร์กินีคู่ใจขับออกไปจากบ้านในยามวิกาล จุดมุ่งหมายที่เขาตั้งใจจะไปคือร้านเหล้าของเพื่อนสนิทอย่างเอกภพ ทุกครั้งที่สุขหรือเศร้าเขาก็มักจะดื่มเหล้าอยู่เสมอครั้งนี้เองก็เช่นกัน.. มีทั้งเรื่องสุขและเศร้าปนกันไป หวังเพียงเพื่อนรักทั้งสองช่วยปลอบโยนEverything's rushed, I know I just lost A piece of mine Why can't we turn back time? เสียงเพลงจากเครื่องเสียงราคาแพงดังขึ้นกระแทกใจคนที่กำลังฟังเข้าอย่างจัง ไม่รู้ว่าเพลงนี้มาอยู่ในเพลย์ลิสต์ของเขาได้ยังไง แต่ฟังไปฟังมามันก็เพราะดีเหมือนกันวายุขับรถด้วยความเร็วที่ช้ากว่าที่ขับตอนปกติ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในยามค่ำคืน ไฟแสงสีส้มสองข้างทางทอดยาวไปกับถนนจนสุดลูกหูลูกตา ถนนเส้นนี้กลางวันคับแน่นไปด้วยรถรา ต่างจากตอนกลางคืนราวกับไม่ใช่ถนนเส้นเดียวกัน ระหว่างทางที่เขาขับรถมานั้น มีรถสว
อภิชญาเลือกที่จะนั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องครัว บ้านหลังนี้นับว่าใหญ่เกินไปสำหรับการอยู่คนเดียว โต๊ะกินข้าวในโถงรับประทานอาหารนั้นมีเก้าอี้เพียงพอสำหรับสิบคน แต่กลับมีเพียงวายุที่ต้องนั่งอยู่ตามลำพังในทุกวันห้องนอนขนาดใหญ่สี่ห้อง ที่ผ่านก็มีเพียงห้องของเขาเองที่ถูกใช้งาน ส่วนที่เหลือถูกจัดเตรียมไว้สำหรับรับแขกเฉย ๆ คงมีเพียงลานจอดรถสำหรับสี่คันที่มันไม่ว่าง..อภิชญาก้มหน้าตักข้าวต้มกุ้งใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อลองคิดดูแล้วนี่ก็นับว่าเป็นเมนูโปรดที่เขาชอบกิน และเป็นเมนูที่เธอทำให้เขากินอยู่บ่อย ๆ ในตอนที่ยังคบกันอยู่ใบหน้าหวานที่ก่อนหน้านี้เปี่ยมด้วยความสุขพลันหุบยิ้มลงทันที เพราะเธอเผลอคิดถึงอดีตที่เคยมีร่วมกันกับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยลืมเขาก็จริง แต่ความรู้สึกมันก็ไม่ได้รุนแรงเท่าช่วงนี้ อาจเป็นเพราะว่าเธอได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง ความทรงจำต่าง ๆ ก็พลันหวนกลับมามันเหมือนเป็นการตอกย้ำว่า บางคนอาจหายไปจากการมองเห็น.. แต่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำเขามักจะโผล่มาในบางครั้ง..โผล่มาในอาหารบางเมนู..โผล่มาในเพลงบางเพลง..โผล่มาในคำบางคำ..โผล่มาในตอนที่เมา.."คิดว่าแมวขโมยที่ไหนมาทำตัวลับ
"อีสองมึงแกล้งโง่หรือเปล่า มึงไม่รู้จริง ๆ เหรอ" เจนนี่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง ที่ผ่านมาการกระทำรวมถึงสายตาที่เฮียหนาวมองอีสองมันชัดเจนมากเลยว่าเขาชอบมัน มีแค่อีเพื่อนตัวดีนี่แหละที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอีกอย่างตอนนี้มันก็คบกับเฮียเหนือไปแล้วด้วย แบบนี้ฝาแฝดจะไม่ผิดใจกันเหรอวะ.."กูไม่รู้จริง ๆ ปกติเฮียหนาวก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า อีกอย่างเขาก็ไม่เคยมาบอกชอบกูนะ""โอ๊ยชะนี กูอยากจะกรี๊ด กูสงสารเฮียหนาว""สงสารอะไรเฮียเหรอเจนนี่" เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเฮียหนาวที่กำลังเดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเธอ เขานั่งลงตรงที่ว่างข้างเจนนี่ พลางโปรยยิ้มให้กับทุกคนมีเพียงอภิชญาที่มองหน้าเฮียหนาวตาปริบ ๆ คำพูดของเจนนี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว คนอย่างเฮียหนาวน่ะเหรอจะชอบเธอ เป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดเลย"เอ่อ.." เจนนี่ได้แต่อึกอักทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปดี ครั้นจะถามไปเลยว่าเฮียหนาวชอบอีสองใช่มั้ย มันก็ใช่เรื่อง"อีสองคบกับเฮียเหนือแล้ว เฮียรู้เรื่องนี้มั้ย" จู่ ๆ แก้มบุ๋มที่นั่งกินขนมอยู่ก็โพล่งขึ้นมา ทำเอาคนที่มาใหม่ถึงกับนิ่งเป็นหินไป
อภิชญาต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานถึงสามวัน โดยที่มีวายุมาเฝ้าไข้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่เขาว่างหรือเลิกเรียนเขาก็จะมุ่งหน้ามาเยี่ยมเธอในทันที สิ่งที่เขามักซื้อติดมือมาให้อยู่เสมอก็คือโจ๊กพิเศษใส่ไข่ไม่ใส่ขิง เพราะเธอเป็นคนบอกเขาเองว่าไม่ชอบกินขิง และดูเหมือนว่าเขาจะจำเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดีนอกจากวายุแล้วเพื่อนสนิททั้งสองของเธอก็มาเยี่ยมอยู่เป็นประจำ วันแรกที่พวกมันรับรู้ว่าเธอป่วยจนเข้าโรงพยาบาล ก็ร้องไห้งอแงออกมาด้วยความเป็นห่วง นับว่าเป็นภาพที่แปลกพิลึกที่ได้เห็นเจนนี่ร้องไห้ แต่ทว่ามันก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูกตลอดเวลาที่นับสองนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ทุกคืนเฮียลมเหนือจะเป็นคนมานอนเฝ้าไข้เธอตลอด เขามักจะโผล่หน้ามาตอนที่เพื่อน ๆ ของเธอกลับไปแล้ว และมักจะออกไปตอนหกโมงเช้า และกลับมาอีกครั้งในตอนเที่ยงอภิชญาไม่ได้รู้สึกติดขัดอะไรกับเรื่องนี้ ดีเสียอีก อย่างน้อยก็มีคนมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ว่าเขาจะมาเยี่ยมเธอทุกวันด้วยสาเหตุอะไร แต่จะแบบไหนเธอก็รู้สึกขอบคุณทั้งนั้นเพราะความจริงแล้วเฮียเหนือไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรก็ได้ เรื่องในวันนั้นเป็นเธอที่ตัดสินใจวิ่งฝ่าฝนออ
หกปีก่อน (หลังจากที่นับสองเจอกับลมเหนือครั้งแรก)อภิชญากลับมาถึงคอนโดด้วยสภาพเปียกปอนเหมือนกับลูกหมาตกน้ำ ยิ่งตอนนั่งตากแอร์อยู่บนรถ ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวเสียจนปากสั่น เธออยู่ในสภาพที่หนาวตัวสั่นหงึก ๆ จนกระทั่งถึงห้องเมื่อจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เรียบร้อยแล้ว เธอก็ขึ้นไปนอนบนเตียงขนาดคิงไซส์อย่างมีความสุข นิ้วมือเรียวไถหน้าจอโทรศัพท์ไปมา จนกระทั่งมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเป็นไปไม่ได้ที่คนจะหน้าเหมือนกันได้ขนาดนั้น เว้นเสียจากจะเป็นพี่น้องหรือฝาแฝดกัน.. ใบหน้าหวานยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการสืบเรื่องของชาวบ้าน!หญิงสาวกดเข้าไปส่องดูหน้าโปรไฟล์ของเฮียลมหนาวรุ่นพี่ในคณะที่สนิทกัน ซึ่งปกติแล้วเธอไม่ใช่คนที่ติดโซเชี่ยลเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมีไว้ดูคลิปหมาคลิปแมวเท่านั้นอภิชญาเลื่อนดูอัลบั้มรูปภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่กับรูปหนึ่ง ซึ่งในรูปก็คือเฮียหนาวที่เธอรู้จักและอีกคนหนึ่งก็มีหน้าตาเหมือนเฮียหนาวอย่างกับแกะซึ่งในรูปภาพน่าจะเป็น งานปัจฉิมนิเทศตอนจบ ม.ปลาย และชื่อบุคคลที่ถูกแท็กอยู่ในภาพก็คือ@วายุ รัตนกิจโกศล @เหมันต์ รัตนกิจโกศลทั้งสองคนเป็นฝาแฝดกันจริง
วายุที่ได้ยินดังนั้นประกายประหลาดก็ฉายวาบในแววตา เมื่อครู่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่ เขาได้ยินจริง ๆ ว่านับสองเรียกแทนตัวเองว่า หนูและเรียกเขาว่าเฮีย เขาคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ยินคำพูดนี้จากปากของผู้หญิงที่ชื่อว่านับสองอีกแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีโอกาสอยู่ ใช่ไหม..ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากมนของคนตัวเล็กอย่างเบามือ ปรากฏว่าอภิชญาตัวร้อนรุม ๆ คล้ายคนจะเป็นไข้ อีกทั้งหน้าตาก็ยังซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ ก่อนจะตัดสินใจขับรถออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทางที่กลับบ้าน วายุก็ตบไฟเลี้ยวและไปจอดอยู่หน้าร้านอะไรสักอย่าง ซึ่งตอนนั้นหญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าเขาจอดรถที่ไหน และลงไปทำอะไรบ้าง เพราะเธอเองก็มีสติอยู่ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง รถยุโรปคันหรูของวายุก็แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถของวิลล่าหลังใหญ่ อันเป็นบ้านพักส่วนตัวของเขา ร่างกำยำเดินอ้อมไปฝั่งคนนั่ง จากนั้นก็ทำการปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากเอวคนตัวเล็กที่กำลังหลับอยู่บนรถ เขาอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปภายในบ้าน"เอ่อ..ฉันเดินเองได้ค่ะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง