"หื้มม เฮียเหนือเหรอ.." อภิชญาหลับตาพูดออกมาเสียงแผ่ว เธอยังคงจำกลิ่นน้ำหอมของเขาได้ดี ยังคงจำเสียงนุ่มทุ้มของเขาได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เธออยากลืมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่เคยลืมมันได้อยู่ดี
"ครับ..เฮียเอง สองเป็นยังไงบ้าง" คำถามของวายุนั้นช่างกว้างขวาง เป็นยังไงบ้าง ในหลาย ๆ ความหมาย อาการของเธอตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ที่ผ่านมาเธอเป็นยังไงบ้าง สบายดีใช่ไหม..
เขายังคงกุมมือบอบบางของหญิงสาวไว้แน่น ราวกับว่ากลัวเธอจะหายไปจากเขาอีก ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง มีคนรักใหม่แล้วหรือยัง แต่งงานมีลูก มีชีวิตใหม่ไปหรือยัง..
"หนูคิดถึง..คนใจร้าย" ริมฝีปากบางบ่นงึมงำว่าคำพูดของเธอนั้น วายุกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน ดวงตาคมเข้มจ้องมองคนตัวเล็กอย่างซับซ้อน บนใบหน้าหล่อเหลาคล้ายมีความคิดอะไรบางอย่าง
เขาเองก็คิดถึงเธอมาตลอดเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีความกล้าพอที่จะไปตามง้อเธอกลับมา จึงทำได้เพียงหลับหูหลับตาใช้ชีวิตต่อไป และได้แต่ภาวนาขอให้เธอได้ไปพบเจอกับคนที่ดี
แต่ตอนนี้ เธอกลับพูดออกมาว่าคิดถึงเขา ถึงแม้จะเป็นเพียงตอนที่เธอกำลังเมาอยู่ก็ตาม แต่มันก็ทำให้ความโลภภายในใจก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
"สองครับ..เฮียขอจูบหน่อยได้มั้ย"วายุเอ่ยถามออกไปเสียงแผ่ว เขาไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องเธอถ้าหากว่าตัวเธอนั้นไม่ต้องการ แต่ทว่าคนตัวเล็กกลับพยักหน้าเล็กน้อยให้เขาแทนคำตอบ
สิ่งนั้นทำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ร่างกำยำโน้มตัวไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางของเธออย่างนุ่มนวล อภิชญารู้สึกถึงสัมผัสอ่อนละมุนของเขาบวกกับกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่เจืออยู่ในลมหายใจ เธอหลับตาลงอย่างช้า ๆ และเคลิบเคลิ้มกับรสจูบนั้นซึ่งมันทั้งหอมหวานและเร่าร้อน
วายุผละจูบออกมาครู่หนึ่ง สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้านวลด้วยความลังเล เขาเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ถึงตอนนี้เขาจะมีอารมณ์มากแค่ไหนก็ตาม แต่เขาก็ไม่อยากฝืนใจเธอ
"เฮียทำได้จริง ๆ ใช่มั้ย" น้ำเสียงของเขาแหบพร่าลงเล็กน้อย ความรู้สึกชาหนึบที่ส่วนล่างยิ่งทำให้ทรมาน เขาต้องการเธอ และต้องการมากเสียด้วย..
เจ้าของเรียวแขนเล็กโอบรอบลำคอวายุไว้อย่างหลวม ๆ ภายในดวงตาหยาดเยิ้มมีรอยยิ้มอ่อนโยนแฝงอยู่ เธอกำลังฝันอยู่ใช่มั้ยนะ เธอกำลังเมาอยู่ที่ร้านเหล้านี่นา
แต่ถ้าเป็นเขา.. ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง..
อภิชญางับริมฝีปากของคนด้านบนที่มองลงมาด้วยสายตาเปี่ยมอารมณ์ สติสุดท้ายที่วายุมีอยู่จึงขาดสะบั้นลงทันที ใบหน้าคมคายก้มลงจูบริมฝีปากอ่อนนุ่มอย่างดูดดื่ม เรียวลิ้นตวัดชิมความหวานจากเธออย่างเร่าร้อนและหนักหน่วง จนริมฝีปากที่ถูกบดขยี้เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
มือหนาซุกซนลูบไล้ส่วนเว้าโค้งอย่างหลงใหล ทว่าเหมือนเขาจะยังไม่หนำใจ จึงค่อย ๆ ถอดมินิเดรสของเธอออก รู้ตัวอีกทีชุดเดรสและชุดชั้นในของเธอก็ถูกถอดออกจนหมดเสียแล้ว วายุเคล้นคลึงอกอิ่มด้วยความหลงใหล เรียวนิ้วเขี่ยวนอยู่ที่ยอดเต่งตึงจนกระทั่งมันแข็งขืนสู้นิ้วมือ
"อื้อ.." คนตัวเล็กได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ วายุที่ได้ยินเช่นนั้นยิ่งรู้สึกมีอารมณ์มากกว่าเก่า เขาก้มหน้าโลมเลียอกอิ่มอย่างหิวกระหาย และประทับรอยความเป็นเจ้าของเอาไว้จนเนินอกของเธอมีแต่รอยแดงเป็นจ้ำ ร่างระหงร้องครางออกมาด้วยความหวามไหว ราวกับมีผีเสื้อมากมายมาโบยบินอยู่ในท้อง
วายุจัดการถอดชุดของตัวเองออก ก่อนจะโน้มตัวลงไปประกบริมฝีปากของเธออีกครั้ง พลางใช้เรียวนิ้วไล้วนจุดอ่อนไหวของเธอจนเกิดเป็นเสียงน้ำเฉอะแฉะ เรียวนิ้วยาวสอดเข้าไปในช่องรักอันคับแคบของคนตัวเล็กก่อนจะชักเข้าชักออกอย่างช้า ๆ จนเกิดเป็นเสียงลามก
"อ๊ะ..ฮะ..เฮีย ยะ..อย่าแกล้ง" เสียงหวานพูดขึ้นอย่างติดขัด ลมหายใจก็หอบถี่ ขนาดใส่มาแค่นิ้วเธอยังรู้สึกดีขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าเขาสอดใส่อันนั้นเข้ามาจริง ๆ มันจะเสียวขนาดไหน
"หืม..ทนไม่ไหวแล้วเหรอคะ" เขารู้สึกได้เลยว่าตอนนี้คนตัวเล็กกำลังมีอารมณ์ขนาดไหน เพราะเรียวนิ้วของเขารู้สึกได้ถึงการตอดรัดอย่างรุนแรง อีกทั้งน้ำหวานของเธอก็ไหลเยิ้มออกมาเสียจนเปียกแฉะ
เขาไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งหรือหยอกล้อเธอเล่นในเวลาแบบนี้ เพราะตัวเขาเองก็ทนแทบไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แต่ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพื่อนับสองจะได้ไม่รู้สึกเจ็บในตอนที่เขาสอดใส่เข้าไปจริง ๆ
"มะ..ไม่ไหวแล้วค่ะ" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เธอเริ่มแยกไม่ออกแล้วว่าตอนนี้มันคือความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ แต่ที่รู้ ๆ คือเธอต้องการเขา.. ผู้ชายที่กำลังจูบเธออยู่ในตอนนี้
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา เขาเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ สิ่งนั้นมันไม่เคยเปลี่ยนไป เขาอยากได้เธอกลับมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาจะต้องเอานับสองกลับมาอยู่เคียงข้างเขาให้ได้!
วายุเอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงก่อนจะหยิบกล่องสี่เหลี่ยมอันเล็กออกมา เขาแกะมันด้วยท่าทีเร่งรีบ พลางหยิบซองสีทองออกมาจากกล่องและฉีกมันออกอย่างรวดเร็ว เขาจับท่อนเนื้อที่ขยายตัวอย่างเต็มที่รูดขึ้นลงสองสามครั้ง ก่อนจะสวมใส่ถุงยางไซซ์พิเศษอย่างชำนาญ
"หนูอย่ามาร้องไห้ขอให้เฮียหยุดก็แล้วกัน"เสียงแหบพร่ากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู ทำเอาคนฟังรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว วายุจับเรียวขาทั้งสองข้างของเธออ้าออกอย่างช้า ๆ พลางใช้ท่อนเนื้อที่ร้อนระอุลากไล้วนจนทั่วปากทางก่อนจะค่อย ๆ ดันแก่นกายเข้ามาในที่สุด
"อ๊ะ" อภิชญาถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความรู้สึกเจ็บ มันเหมือนกับว่าส่วนนั้นของเธอกำลังจะฉีกยังไงอย่างนั้น ฝ่ามือเล็กจิกกำท่อนแขนแกร่งของเขาเอาไว้เพื่อระบายความรู้สึกเจ็บที่ได้รับ มันเป็นความเจ็บที่ทำเอาเกือบสร่างเมาเลยทีเดียว
แต่โชคดีที่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้กระแทกเข้ามาเสียจนมิดลำภายในทีเดียว ไม่อย่างนั้นเธอคงได้ถีบเขาออกอย่างแน่นอน
"เจ็บเหรอครับ" น้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยถามขึ้นอย่างอ่อนโยน "เฮียจะพยายามทำเบา ๆ นะครับ" อภิชญาทำได้เพียงพยักหน้าหงึก ๆ ตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้คือใคร ทำไมเขาถึงได้อ่อนโยนกับเธอขนาดนี้ ทั้งที่เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกของเธอก็ได้ แต่เขากลับค่อย ๆ ทำ และทะนุถนอมเธออย่างดี มันช่างเหมือนกับ..
ไม่หรอก ไม่มีทางที่จะเป็นเขาคนนั้นอย่างแน่นอน
วายุขยับเอวเข้าออกอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กมีสีหน้าผ่อนคลายต่างจากก่อนหน้านี้ เขาจึงจับข้อพับเข่าของเธอยกขึ้นและดันให้สูงถึงหน้าอก ก่อนจะกระแทกแก่นกายเข้าไปข้างในจนมิดลำ
"อ๊าา" อภิชญาร้องครางออกมาเสียงหลง แต่ทว่าคราวนี้เขาไม่ถามเธออีกแล้วว่าเจ็บหรือเปล่า เขาทำเพียงสาวเอวเข้าออกอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ ให้แก่นกายครูดผ่านจุดอ่อนไหวของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
มือเล็กปัดป่ายจิกกำหมอนและที่นอนเพื่อระบายความหน่วง ความเจ็บปวดที่เคยได้รับก่อนหน้านี้ ตอนนี้ได้มลายหายไปจนสิ้น เหลือเพียงความซ่านเสียวและความจุกหน่วงที่ท้องน้อย
จังหวะของเขาเร่งเร้าเกินที่จะรับพาให้เธอต้องผลักยันต้นขาของเขาเอาไว้ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ มือใหญ่รวบเรียวขาขาวทั้งสองข้างมาพาดไว้ที่บ่าก่อนจะกระทุ้งแก่นกายเข้ามาอย่างไม่บันยะบันยัง คราบเทพพระบุตรของเขาในตอนแรกได้เลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงปีศาจราคะที่หื่นกระหายเท่านั้น
"อ๊า..ชะ..ช้าหน่อยค่ะ" เธอเอ่ยปากร้องขอทั้งที่ด้านในตอดรัดไม่หยุด เสียงครางหวานของเธอทำเอาเขาขาดสติ
เขาอยากตักตวงให้มากกว่านี้ มากกว่านี้อีก.. เมื่อคิดเช่นนั้นร่างกำยำก็กระแทกเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งราวกับเครื่องจักร เมื่อไต่จนถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ เขาก็กดแช่ร่างคาไว้อย่างนั้นปล่อยให้น้ำสีขาวขุ่นก็หลั่งไหลออกมาจนด้านในถุงยางเต็มไปด้วยน้ำกาม
วายุดึงแก่นกายออกมาร่องรัก พลางมองคนตัวเล็กที่นอนหายใจเหนื่อยหอบด้วยความรู้สึกเอ็นดู เขาจัดการดึงเครื่องป้องกันออกและโยนมันลงถังขยะที่ตั้งอยู่ข้างเตียง ก่อนจะฉีกซองถุงยางอันใหม่ขึ้นมาสวม
"อย่าเพิ่งหลับนะครับ คืนนี้เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวเลย" เมื่อพูดจบเขาก็จับคนตัวเล็กพลิกให้อยู่ในท่านอนคว่ำ แยกเรียวขาทั้งสองข้างออกจากกันและยกสะโพกของเธอขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะจับแท่งร้อนที่สั่นหงึก ๆ แทงอัดเข้าไปในส่วนลึกของเธออีกรอบ
"อ๊าาาา" อภิชญาร้องครางออกมาเสียงหลง คราวนี้เธอรู้สึกได้เลยว่ามันเข้ามาลึกมาก ลึกจนสุดใจจริง ๆ เธอจิกกำผ้าปูที่นอน แทบจะฉีกทึ้งผ้าห่มที่นอนระบายความเสียวซ่านที่เกินรับนี้
วายุไม่รอช้าจับสะโพกผายไว้อย่างถนัดมือ ก่อนจะสอบเอวเข้าออกถี่ ๆ อย่างเอาแต่ใจ ทำเอาคนที่ถูกกระแทกร้องครางจนไม่เป็นภาษา ทำได้เพียงกดหน้าซบลงบนหมอน
"ชอบมั้ยครับ" เสียงแหบพร่าเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่ามือที่ตีลงบนก้นของเธออย่างมันเขี้ยว
"ชะ..ชอบค่ะ" สิ้นคำตอบของเธอ รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย วายุโน้มตัวลงมาพรมจูบซอกคอ บ่า หัวไหล่ แผ่นหลังของคนตัวเล็กด้วยความลุ่มหลงพร้อมกับทิ้งรอยรักจาง ๆ เอาไว้
อภิชญาไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้มันจะไปจบลงที่ตรงไหน เธอไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนี้คือใคร และไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แท้จริงแล้วมันคือเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่
ทั้งที่ผ่านมาเธอยึดมั่นมาโดยตลอดว่าจะไม่หลับนอนกับคนที่เธอไม่ได้รัก แต่ผู้ชายคนนี้มีหลายอย่างเหมือนกับเขาคนนั้นเหลือเกิน
ทั้งสัมผัสและน้ำเสียง รวมถึงกลิ่น มันเหมือนกับแฟนเก่าของเธอไม่มีผิด
แต่มันไม่มีทางเป็นเขาไปได้หรอก..
แสงแดดยามเช้า สาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในห้องทำงาน กระทบลงบนเส้นผมสีดำสนิทซึ่งตอนนี้มันยังไม่ทันแห้งดี เจ้าของนัยน์ตาสีเดียวกันนั้น กำลังกวาดสายตาอ่านเอกสารที่วางกองอยู่บนโต๊ะทำงานด้วยท่าทางสุขุม"คุณเหนือคะ..กาแฟมาแล้วค่ะ" เสียงหวานของสาวรับใช้วัยยี่สิบหกดังขึ้นจากด้านหน้าห้อง เธอมีชื่อว่าชะเอม เป็นคนที่ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก และเป็นหลานสาวของป้าลำดวน แม่บ้านคนเก่าแก่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาทำงานให้วายุได้เพียงสามปีชะเอมแอบมีใจให้เขา ชายหนุ่มนั้นรู้ดี แต่ทว่าสมภารไม่กินไก่วัดนั่นคือคติประจำใจของวายุ เขาไม่คิดที่จะทำเรื่องพรรค์นั้นในบ้านของตัวเอง และไม่คิดพาใครมาทำเรื่องอย่างว่าภายในบ้านของเขายกเว้นเรื่องเมื่อคืนไว้ก็แล้วกัน"เข้ามาได้" น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารต่อไปชะเอมเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เธอพยายามเอาใจคุณเหนือมาตลอดแต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลเธอเลยสักครั้ง ไม่แม้แต่จะแตะต้องเธอเลยสักนิด แต่เมื่อคืนเขากลับพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มานอนค้างที่บ้านเป็นครั้งแรก.."เสร็จธุระก็ออกไปได้แล้ว ผมจะทำงาน""ค่ะ
ภาพที่อภิชญาเห็นอยู่เบื้องหน้าคือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีเทาขาวสไตล์โมเดิร์น โถงกลางห้องมีโซฟาหนังสีเทาพร้อมโต๊ะกระจกสีดำสำหรับรองรับแขก ถัดไปก็เป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และเก้าอี้หนังสีดำที่หันหลังให้เธออยู่ตอนนี้ ก็มีผู้ชายคนนั้น คนที่เธอคาดว่าเป็นผู้ชายคนเมื่อคืนนั่งอยู่"เอ่อ..ฉันไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไรจากคุณนะคะ เพราะเราเองต่างก็เมากันทั้งคู่" คนตัวเล็กชิงเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน ถึงเขาจะรวยหรือมีตังค์ยังไง แต่เธอก็ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอตั้งใจมาจับหรือจะมาเกาะเขากินพลาดแล้วก็ให้พลาดไป คิดเสียว่า วินวินกันทั้งคู่"ครับ แล้วยังไงต่อ" เขาตอบกลับเสียงเรียบ โดยที่ไม่ยอมหันเก้าอี้กลับมาคุยให้เธอเห็นหน้าค่าตาเลยสักนิด อภิชญาขมวดคิ้วเสียจนมันจะผูกกันเป็นโบ จากความทรงจำอันเลือนรางของเธอ เมื่อคืนผู้ชายคนนี้ขย้ำเธออย่างกับหมาป่าหิวโซที่บังเอิญเจอเข้ากับลูกแกะ แต่ดูซิ ตื่นเช้ามาแม้แต่หน้าของเธอเขาก็ไม่หันมามองเสียเซลฟ์ฉิบหายเลยโว้ย"อย่างที่บอกไปค่ะ ฉันไม่ได้จะมาเรียกร้องอะไรจากคุณ ฉันเพียงแค่กังวลเลยอยากมาถามเพื่อความสบายใจ""ครับแล้วคุณกังวลเรื่องอะไร" เขายังคงไม่หันกลับมา อีกทั้
สปอร์ตคาร์คันหรูแล่นผ่านเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดตัวไปตามแนวภูเขาและต้นไม้เขียวขจี แต่ทว่าบรรยากาศภายในรถกลับเงียบสงัด จนได้ยินเพียงแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ วายุเหลือบไปมองคนตัวเล็กที่นั่งหลับพิงกระจกอยู่เป็นระยะ ภาพสมัยที่เขาและเธอยังรักกันอยู่ก็ฉายกลับมาให้เห็นอีกครั้งเพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีเสียงหวาน ๆ ของเธอที่เรียกเขาว่าเฮียเหนืออีกแล้ว รอยยิ้มที่แสนสดใสนั่นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีก"เฮียคิดถึงสองนะ..คิดถึงมาโดยตลอด" เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับถนนข้างหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจะยังมีสติอยู่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเธอก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดก่อนหน้านี้อภิชญาเลือกที่จะแกล้งหลับเพื่อหนีความอึดอัดที่เกิดขึ้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ แต่เธอไม่หลงเชื่อคำพูดของคนหลอกลวงเป็นครั้งที่สองหรอกถ้าเชื่ออีกครั้งเธอก็กินหญ้าแทนข้าวแล้ว!แกล้งหลับไปแกล้งหลับมา เธอก็เดินทางข้ามเวลาเสียอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีรถที่เธอนั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าร้านเหล้าเมื่อคืนเป็นที่เรียบร้อย อภิชญาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด
แสงไฟสลัวส่องกระทบผิวน้ำในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยฟองสบู่ ร่างเปลือยเปล่าของอภิชญาเอนกายลงในอ่างน้ำอุ่น เธอปิดเปลือกตาลงอย่างช้า ๆ และนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน วนเวียนอยู่ในหัวอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมาเธอควรจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นดีล่ะ มันไม่ใช่ความเศร้า แต่ในทางเดียวกันมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก ถ้าหากว่ากันตามตรงเธอกลับรู้สึกโล่งใจเสียด้วยซ้ำ ที่ผู้ขายคนนั้นคือเขา ไม่ใช่คนอื่น.. แต่นั่นก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธตัวเอง และตอกย้ำความจริงว่าเธอยังคงไม่ลืมเขาแม่งเอ๊ย!เรียวแขนเล็กออกแรงฟาดลงบนผิวน้ำด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโมโหตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาอภิชญาพยายามที่จะเปิดใจมีรักครั้งใหม่ แต่สุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะลืมคนเก่าไม่ได้ หรือเพราะเข็ดขยาดกับความรักก็ไม่รู้ จนเพื่อนสนิทของเธอก็มักจะถามอยู่เสมอว่า ผู้ชายพรรค์นั้นมันมีดีอะไร ทำไมถึงไม่ลืมมันไปสักทีก็นั่นน่ะสิ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันอภิชญาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำและตบตีอยู่กับตัวเองราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินออกมานั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งด้วยชุดคลุมอาบน้ำ ดวงตากลมโตจ้องมองรอยแดงที่ปรากฏอย
"ที่ทำงานคือที่ไหนเหรอลูก แล้วหนูสมัครงานอะไรไป" ภาสกรผู้เป็นพ่อที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น อันที่จริงเขาก็อยากให้ลูกสาวอันเป็นที่รักของเขานั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านแม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้ร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่ก็มั่นใจว่าสามารถเลี้ยงให้ลูกสาวอยู่อย่างสุขสบายได้โดยที่ยัยสองไม่ต้องไปทำงานแต่ก็นั่นแหละ.. ลูกน่ะเลี้ยงได้แค่ตัว พอโตมาพวกเขาก็คงอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อีกอย่างนับสองก็เรียนจบมาสองปีตามกำหนดแล้วด้วย เขาคงห้ามนั่นห้ามนี่ลูกตลอดไปไม่ได้"หนูสมัครตำแหน่งผู้จัดการรีสอร์ตไปค่ะ เป็นรีสอร์ตที่กำลังจะเปิดใหม่ หนูคิดว่าเขาอาจจะต้องการคนเลยลองยื่นใบสมัครไป""เฮียเลี้ยงหนูได้นะ ไม่เห็นต้องลำบากไปหางานทำเลย ถ้าหนูอยากทำงานจริง ๆ มาทำตำแหน่งบัญชีอยู่กับเฮียที่กรุงเทพก็ได้ หรือหนูจะนอนตีพุงอยู่คอนโดอย่างเดียวเฮียก็ไม่ว่า คอนโดเก่าของหนูก็ยังไม่ได้ขายนี่นา"อภิชญาได้แต่หันมองหน้าพ่อและพี่ชายสลับไปมาด้วยความไม่เข้าใจ ปกติแล้วทางครอบครัวควรเร่งให้เธอไปทำงานตั้งแต่เรียนจบมาแล้วด้วยซ้ำแต่นี่เธอนอนตีพุงอยู่บ้านมาเป็นเวลาสองปีแล้ว เพราะพ่อเป็นคนขอไว้ว่าอยากให้ลูกสาวพักผ่อนสักหน่อย ไม่อยากให้เธอต้องมา
เป็นดาราแล้วยังไง สวยแล้วยังไง สุดท้ายก็เป็นแค่ผู้หญิงโลภมากเห็นแก่ตัวเท่านั้นแหละ"นั่นสิ..จะรีบกลับไปไหน แฟนเก่าสุดที่รักมากินข้าวด้วยทั้งที" เหมันต์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวายุก็ไม่ต่างจากน้ำมันกับไฟ เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องมีปากเสียงกันเสียทุกที"มึงจะกระแนะกระแหนกูไปถึงไหนวะไอ้หนาว" วายุหันกลับมาพูดกับน้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ชัดว่าไม่พอใจ แปลกที่ใครต่อใครก็มองว่ามันเป็นคนดี มีแต่เขาคนเดียวที่รู้ว่ามันกวนส้นตีน"ตาเหนือ!! พูดจาไม่น่ารักเลย ลมหนาวก็ด้วยอย่าไปหาเรื่องพี่เขาสิลูก" คุณหญิงทอฝันพยายามเอ่ยปราม ก่อนที่ลูกชายทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้"สวัสดีค่ะคุณพ่อ..คุณแม่" เสียงหวานของดาราสาวพูดขึ้น เธอยกมือไหว้ผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างของวายุอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย"ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะคะเหนือ อ้อ..หนาวด้วย" เธอเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร สมัยก่อนตอนที่ยังคบอยู่กับลมเหนือ เธอเคยมาบ้านหลังนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะเขาชอบพาเธอกลับมาเที่ยวบ้านในทุกครั้งที่ปิดเทอม"อือไม่ได้เจอกันนานเลย" เหมันต์ตอบกลับอย่าง
เรือนร่างระหงก้าวขาลงมาจากรถเบนซ์สีขาวคันโปรด เธอตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองผ่านเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาว สีขาวพับแขน ถูกสวมใส่ทับด้วยกระโปรงสั้นทรงเอสีดำ ทรงผมที่ถูกมัดขึ้นอย่างเรียบร้อยและรองเท้าส้นสูงสีดำยิ่งเสริมให้เธอดูสง่าอภิชญาจับกระเป๋าแบรนด์เนมใบเล็กขึ้นมาสะพายบนไหล่ ก่อนจะกระชับซองเอกสารที่จำเป็นต่อการสมัครงานไว้แนบอก เธอระบายลมหายใจออกเพื่อลดความตื่นเต้น ก่อนจะมุ่งหน้าเดินเข้าไปด้านในของรีสอร์ตหลังจากพูดคุยกับพนักงานที่เคาท์เตอร์แผนกต้อนรับเรียบร้อยแล้ว ก็มีพนักสาวสวยคนหนึ่งเดินนำเธอไปยังห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับสัมภาษณ์งานอภิชญานั่งลงบนโซฟาหนังสีเทาที่ตั้งอยู่กลางห้อง โดยที่ด้านหน้าของเธอเป็นโต๊ะกระจกสีดำ ถัดออกไปเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ และบรรดาตู้หนังสือ บรรยากาศภายในห้องนั้นคับคล้ายคับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าที่นี่มันคือห้องรับรองแขกหรือว่าห้องทำงานกันแน่ แต่ก็เอาเถอะ จะอย่างไรก็ช่างจุดมุ่งหมายเดียวที่ทำให้เธอมานั่งอยู่ในห้องที่แอร์เย็นเฉียบแห่งนี้ ก็เพื่องานและเงิน!อภิชญานั่งรออย่างเรียบร้อยภายในห้องด้วยความรู้สึกประหม่า เรียวแข
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาอภิชญาและกองสัมภาระกำลังรอคอยให้คุณสิงห์มารับที่หน้าบ้าน โดยที่มีพ่อและแม่ออกมาส่งเธอด้วยเช่นกัน ไม่นานนักรถเบนซ์คันสีดำดูหรูหราก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พร้อมกับคุณสิงห์ที่ลงมาทักทายพ่อและแม่ของอภิชญา"เดี๋ยวรถสำหรับขนสัมภาระจะตามมาเร็ว ๆ นี้ครับ ผมแค่มุ่งหน้ามารับคุณอภิชญาก่อนเพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญมากและคุณที่เป็นเลขาจะต้องไปเข้าร่วมด้วยครับ""ค่ะดิฉันทราบดีค่ะ" อภิชญาตอบกลับเสียงเรียบ เธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อสองสามวันก่อน ว่าที่บริษัทจะจัดวันเกิดให้กับท่านประธานใหญ่ และเธอที่เป็นเลขาของบอส ก็จะต้องเข้าร่วมงานนี้ด้วยเช่นกันงานแรกที่เธอจะต้องทำก็คือไปเป็นคู่ควงให้บอส เพราะว่าบอสยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่มีคู่หมั้น และแน่นอนว่าเธอเองก็เพิ่งรู้ว่าคนที่จะมาเป็นเจ้านายให้กับตนเองนั้นเป็นผู้ชาย ตอนแรกเธอคาดหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพี่สาวสุดเท่ห์และความหวังก็พังลงอย่างไม่เป็นท่าเอาเถอะ ขอแค่ไม่เป็นตาเฒ่าหัวงู หรือไอ้หนุ่มโรคจิตก็พอ!"เดินทางปลอดภัยนะลูก ว่าง ๆ ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างนะ" สุพิญญาโอบกอดลูกสาวด้วยความรู้สึกใจหาย นับสองเพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านได้
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ
"มึงเล่าความจริงทั้งหมดมาให้กูฟังก่อน แล้วกูจะยอมบอกมึง" สิ้นคำพูดของเหมันต์ วายุก็พยักหน้าเล็กน้อย เขาตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้แฝดผู้น้องฟัง รวมถึงเรื่องของน้ำหวานด้วยเช่นกันลมหนาวที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากพี่ชาย ก็ได้แต่กุมขมับด้วยความเครียด เพราะสิ่งที่ไอ้เหนือเล่ากับสิ่งที่นับสองเล่าเหมือนหนังคนละม้วน "มึงคิดว่าเด็กในท้องของผู้หญิงที่ชื่อน้ำหวานเป็นลูกมึงจริงมั้ยวะ""เอาตรง ๆ มั้ยไอ้หนาว กูคิดว่าไม่ใช่ลูกกูแน่นอน แต่กูยังไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่ะ ตอนแรกกูตั้งใจว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากมีปัญหากับสอง พอนับสองมาหนีไปแบบนี้กูแม่งทำเหี้ยอะไรไม่ถูกเลย""เหนือมึงฟังกูนะ วันที่มึงไปนอนค้างกับผู้หญิงคนนั้น มันเป็นคนกดรับสายและคุยกับสอง อีกทั้งยังส่งผลตรวจครรภ์มาให้สองด้วย ผู้หญิงของมึงด่าสองว่าหน้าด้าน เป็นแค่เมียน้อย ทีนี้มึงเข้าใจหรือยังทำไมสองถึงได้หนีมึงไป" วายุได้แต่นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาแน่ใจว่านับสองไม่ได้โทรหาเขาเลยสักสาย หรือว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นตอนที่เขาอาบน้ำ.. เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าการที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ
อภิชญาพักฟื้นสภาพจิตใจและร่างกายอยู่ที่ไร่องุ่นรัตนกิจโกศลราว ๆ หนึ่งอาทิตย์ และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอจะอยู่ที่นี่ หญิงสาวกล่าวขอบคุณและบอกลาทุกคนในไร่ที่คอยดูแลเธอตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่"รักษาตัวนะคะพี่" เพียงดาวสาวน้อยผู้ร่าเริงวัยยี่สิบต้น ๆ ลูกสาวของคุณลุงคุณป้าในไร่เดินมาโอบกอดเธอด้วยแววตาละห้อย ตลอดเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่เธออาศัยอยู่ที่นี่ เพียงดาวนับว่าเป็นคนที่เธอสนิทด้วยที่สุด "สู้ ๆ เรื่องเฮียหนาวนะดาว พี่เป็นกำลังใจให้" อภิชญากระซิบข้างหูสาวน้อยเบา ๆ ทำเอาเพียงดาวถึงกับหน้าแดงลามไปจนถึงใบหู บอกตามตรงว่าเธอดูออกตั้งแต่ช่วงสองสามวันแรกที่มาอยู่แล้วล่ะว่าสาวน้อยคนนี้แอบรักเฮียหนาว เพราะเพียงดาวเก็บสีหน้าและแววตาไม่เก่งเอาเสียเลย แต่มองดูแล้วเธอก็เป็นเด็กที่น่ารักดี ทั้งสดใส และร่าเริง.."ขอบคุณค่ะ ถ้ามีโอกาสดาวจะไปเยี่ยมพี่นะคะ"...เหมันต์เป็นคนขับรถมาส่งอภิชญาถึงหน้าบ้าน จากนั้นเขาก็ขอตัวไปทำธุระต่อ หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง เธอรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะตัดสินใจเอื้อมมือไปกดกริ่ง ไม่นานนักร่างของหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้
เมื่อเสียงรถของวายุไกลออกไปแล้ว อภิชญาจึงออกมาจากที่ซ่อนตัว บอกตามตรงว่าเธอตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาก ผู้ชายที่เข้ามาดุจวายุเมื่อกี้ คือเฮียเหนือที่เธอเคยรู้จักจริง ๆ น่ะเหรอ"เฮียหนาว..สองขอโทษนะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่สั่นไหว เธอรู้สึกขอบคุณเฮียหนาวจากใจจริงที่เขาช่วยปิดบังเรื่องที่เธออยู่ที่นี่เอาไว้จนวินาทีสุดท้าย และรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้เขาต้องเจ็บตัว"ขอโทษอะไรกัน เฮียไม่เป็นไรเลย ไอ้เหนือมันสันดานเสียโดนสักทีก็ดีเหมือนกัน" เหมันต์พูดขึ้นอย่างติดตลก ไม่อยากให้นับสองต้องคิดมาก เพราะเมื่อคืนหลังจากที่เขาพานับสองกลับมาที่ไร่ เขาก็ให้เธอไปนอนพักอยู่ในห้องสำหรับรับรองแขก แต่ทว่าไฟในห้องนอนของหญิงสาวก็ยังถูกเปิดไว้จนเกือบเช้า ถ้าให้เดาละก็เธอคงยังไม่ได้นอนอย่างแน่นอนอภิชญาทำได้เพียงนิ่งเงียบ เพราะประโยคสนทนาระหว่างพี่น้องเมื่อสักครู่นี้ เธอได้ยินอย่างชัดเจนทุกอย่าง "เออใครมันจะไปดีเหมือนมึง ดีขนาดนี้สองยังไม่เอาเลย" เฮียเหนือพูดเอาไว้อย่างนั้น.. มันยิ่งตอกย้ำว่าเธอช่างเป็นคนตาบอดที่โง่งม หากผู้ชายที่เธอรักคือเฮียหนาวก็คงจะดี อย่างน้อยเธอก็คงไม่ต้องมาเจ็บปวดท