เป็นไปได้หรือไม่ที่การคาดเดาของพี่ชายจะถูกต้อง นี่เป็นฝีมือของฮองเฮาจริงหรือ?เมื่อเงยหน้ามองฮองเฮาอีกครั้ง กลับพบว่าสีหน้าของนางกลายเป็นสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง ราวกับว่าสีหน้าท่าทางที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางตาฝาดไปเองขณะนี้ ในใจฮองเฮาไม่ได้มีความมั่นใจมากนักนางกังวลว่าหมอหลวงจะรู้ว่านางวางยาพิษฝ่าบาท หากการกระทำที่เสี่ยงนี้ผิดพลาด นางจะต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่!แต่สิ่งที่หมอหลวงพูดต่อจากนั้น ก็ทำให้ความกังวลใจและความกระวนกระวายของนางหายไป!หมอหลวงจางถอนมือออก ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ก้มหัวให้ฮองเฮา แล้วกล่าวว่า “ฮองเฮา ไม่ต้องกังวลพระทัย ฝ่าบาทเพียงหมดสติไปเนื่องจากการทำงานหนักในช่วงนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“พักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้เช้าอาการพระองค์ก็จะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น ความเครียดและความไม่สบายใจบนใบหน้าก็คลายไปในที่สุดนางสนมหลายคนที่กำลังร้องไห้ ต่างก็หยุดร้องไห้ทีละคนโชคดีที่ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร!หลังจากพบหมอหลวงแล้ว ฮองเฮาก็โบกมือให้พวกนางสนมทันที พร้อมตรัสเบา ๆ ว่า “เอาล่ะ ในเมื่อฝ่าบาทสบายดี ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด พวกเจ้าทุกคนก็กลับไปได้แล้ว”ฮองเฮาโบก
ความเคร่งขรึมปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสียนกุ้ยเฟย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเบา ๆ “ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าฮองเฮาเป็นคนทำเจ้าค่ะ …”“แต่มีหมอหลวงหลายคนมารักษาฮ่องเต้ การวินิจฉัยไม่อาจผิดพลาดได้ แต่ว่าท่านพี่เจ้าคะ มีบางอย่างน่าสงสัยมาก ขณะที่หมอหลวงกำลังรักษาฮ่องเต้ สีหน้าของฮองเฮาดูมีความกังวลเล็กน้อย!”“หากนางไม่ได้วางยาพิษฝ่าบาท เหตุใดถึงกังวลนักเล่า?”ใบหน้าของเซิ่งฟางสี่ยิ่งเคร่งขรึม เขาพยักหน้าและพูดเบา ๆ “มีความเป็นไปได้เพียงสองประการ”“ประการแรก ตระกูลไป๋ไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร มันก็บังเอิญเกินไป ความบังเอิญนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”“ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ปล่อยให้ฝ่าบาทมีชีวิตต่อไปอีกสักหน่อย ยังไม่ต้องทำอะไร”เซิ่งฟางสี่นิ่งไปชั่วขณะ จึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้เป็นฝีมือของตระกูลไป๋”“พวกเขาโง่มากที่ลงมือตอนนี้ ทำตัวเองแท้ ๆ นอกจากจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ แล้ว ยังเป็นการช่วยเราอีกต่างหาก!”เซิ่งฟางสี่ยิ้มเล็กน้อย พ่นลมหายใจออกมาอย่างภาคภูมิ“หลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ เหล่าขุนนางจะต้องเป็นกังวลเป
ฮ่องเต้ซิงหลงรู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง อดพูดไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับข้าหรือ?”ดวงตาของไป๋เหยียนเฟยแดงก่ำ นางเริ่มพูด “ฝ่าบาท พระองค์ทรงกังวลเรื่องกิจการบ้านเมืองมากเกินไป หมอหลวงบอกว่าพระองค์ชี่และเลือดเสียสมดุล ไม่ใช่อาการป่วยร้ายแรง พระองค์แค่ต้องดูแลพระวรกายให้ดีเพคะ”“สาวใช้ของข้าปรุงยาบำรุงให้พระองค์แล้ว ดื่มให้รู้สึกดีขึ้นเถิดนะเพคะ”ฮ่องเต้ซิงหลงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยังคงรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยแท้จริงแล้ว เขามีความสงสัยในใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้“เรียกหมอหลวงมา ข้าอยากถามเรื่องอาการของข้า”ไป๋เหยียนเฟยย่อมไม่ใส่ใจ นางได้เชิญหมอหลวงทุกคนในราชสำนักมามากถึงเจ็ดหรือแปดคนพวกเขาทั้งหมดมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ซิงหลง หลังจากตรวจชีพจรของเขาแล้ว ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ!เป็นเพียงชี่และเลือดเสียสมดุลเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากความเหนื่อยล้า“ฝ่าบาท การสูญเสียพละกำลังของพระองค์ อาจเกิดจากความเหนื่อยล้าหรือโหมงานมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แค่ต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวังเท่านั้น พระองค์ก็จะหายดีพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงทั้งหลายพูดอย่างเร่งรีบ พูดจบ ฮ่องเต้ซิงหลงก็พยักหน้า“เหตุใดอากา
เมื่อเสียนกุ้ยเฟยได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางก็ขมวดคิ้วทันที!นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?“ท่านหมอหลวงทั้งสอง ข้าอยากรู้จริง ๆ พระวรกายของฝ่าบาทแข็งแรงมาโดยตลอด เหตุใดจู่ ๆ ถึง…”หลังจากที่เสียนกุ้ยเฟยพูดจบ หมอหลวงทั้งสองก็ตอบด้วยรอยยิ้ม“กุ้ยเฟยอย่าได้กังวลเลย อาการเครียดก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ใส่ใจ อาการก็จะกำเริบขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”“แม้ว่าพระวรกายของพระองค์จะอ่อนแอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โปรดอย่ากังวล กระหม่อมจะรักษาให้ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงทั้งสองคิดจริง ๆ ว่าเสียนกุ้ยเฟยกังวลเพราะอาการของฮ่องเต้ทั้งที่ความจริงแล้ว นางอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่างหาก!“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านหมอทั้งสอง”เสียนกุ้ยเฟยไม่สามารถหาสาเหตุได้ นางคิดได้เพียงว่ามันมีสาเหตุมาจากการทำงานหนักเกินไปของฝ่าบาท!ในเวลาเดียวกัน ฮ่องเต้ซิงหลงเพิ่งผล็อยหลับไป แต่มีความกังวลบางอย่างเกิดขึ้นในราชสำนักเนื่องจากหมานอี๋ต่างจับตามองด้วยสายตากระตือรือร้น และเรื่องเหล่านี้ยังไม่ได้รับการจัดการอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา หรือเหล่าเจ้ากรมต่างก็กังวลอย่างยิ่ง!ไป๋เหยียนเฟยหรี่ตาลง หลังจากคิดอยู่ครู่หน
ไป๋เหยียนเฟยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ท่านใต้เท้ามีอะไรจะรายงานหรือไม่?”“ถ้ามีก็ว่าไป ถ้าไม่มีก็แยกย้ายกันออกไปเถิด”หลังจากพูดจบแล้ว หยางเฟิ่งกั๋วก็หายใจเข้าลึก ๆ และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฮองเฮา ตอนนี้ทุกอย่างจัดการได้ง่ายแล้ว แต่เรื่องหมานอี๋นี้ ...”“ฝ่าบาททรงกำลังคิดว่าใครควรรับผิดชอบภารกิจนี้ แต่ฝ่าพระบาทไม่มีกำลังในขณะนี้ หากภารกิจนี้ยังไม่อาจแน่ใจได้ ก็กังวลว่าหมานอี๋จะใช้โอกาสนี้โจมตีต้าเย่ ด้วยการบุกรุกชายแดน!”หลังจากพูดเช่นนี้ ไป๋เหยียนเฟยก็หัวเราะในใจ นั่นคือสิ่งที่ไป๋เฟยเฟยพูดจริง ๆ!แม้ว่าจะไม่พูดถึงมันด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะลุกขึ้นมาพูดเช่นนี้อยู่ดี!“ท่านขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้ว เนื่องจากฝ่าบาทยังไม่ได้เลือก และนี่คือสถานการณ์ตอนนี้ ข้าจึงจะตัดสินใจ ให้เราหารือร่วมกันเพื่อเลือกทูตไปเจรจากับหมานอี๋!”“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อต้าเย่ ท่านทั้งหลาย ขอพูดตามตรง หลังจากเหตุการณ์นี้ หากฝ่าบาทจะตำหนิ ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง”หลังจากที่ไป๋เหยียนเฟยกล่าวคำเหล่านี้ เสนาบดีฝ่ายขวา เป้าชิงสื่อก็พูดทันที “ฮองเฮา ครั
หลังจากที่เรื่องนี้คลี่คลายแล้ว หยางเฟิ่งกั๋วก็ถอนหายใจ รู้สึกหดหู่มากมีการออกพระราชกฤษฎีกาทันที เพื่อให้สามารถส่งหวังหยวนไปเป็นทูตเจรจากับหมานอี๋ได้!ทันทีที่เสียนกุ้ยเฟยรู้เรื่องนี้ ก็รีบติดต่อเซิ่งฟางสี่ให้เข้าไปในวังหลวง!“หวังหยวนถูกส่งไปเป็นทูตเจรจากับหมานอี๋หรือ?”เซิ่งฟางสี่ขมวดคิ้ว แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินเรื่องหวังหยวนคนนี้!แต่เขาไม่คาดคิดว่าฮองเฮาจะให้เขาไปทำภารกิจกับหมานอี๋!เป็นไปได้หรือไม่ว่าหวังหยวนคนนี้มาจากตระกูลไป๋?“เจ้าค่ะ ท่านพี่ เรื่องนี้...”เสียนกุ้ยเฟยพยักหน้า นางยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลก“นี่อาจเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้ตระกูลไป๋ลงทุนทำมากถึงเพียงนี้หรือเปล่า!”“พวกเขาต้องการตัดไฟต้นลม ตัดอำนาจของเราในหมู่หมานอี๋หรือเปล่า?”เซิ่งฟางสี่พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา หากเป็นกรณีนี้จริง ก็ไร้สาระจริง ๆ!แม้ว่าตระกูลเซิ่งจะไม่ได้มีสิทธิ์ตัดสินใจในแดนคนเถื่อน แต่ก็มีสิทธิ์พูดอย่างแน่นอน!ก็รู้อยู่ว่าอ๋องหมานอี๋ที่เพิ่งสถาปนานี้ ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซิ่งของพวกเขา!“ท่านพี่ ข้ากังวลเรื่องหวังหยวนคนนั้น ไม่เช่นนั้น…”เสียนกุ้ยเฟยรีบพูด หากหวังหยวนรู้เก
หวังหยวนได้วางแผนไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาจะยอมไปหาหมานอี๋อย่างง่ายดายได้อย่างไร?“พวกเราหรือ?”หลี่ซื่อหานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าหวังหยวนจะสื่ออะไร“ครั้งนี้เราจะผ่านเมืองหยางและเมืองสู่ สถานที่ทั้งสองนี้อุดมสมบูรณ์มาก ธุรกิจของเราก็สามารถก่อร่างสร้างตัวที่นั่นได้”หวังหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม ทำให้สตรีทั้งสามตกตะลึง!“สามี สถานการณ์เช่นนี้ ท่านยังคิดทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”หลี่ซื่อหานพูดด้วยความหงุดหงิด“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าตกลงกับตระกูลไป๋เพราะว่าอยากทำธุรกิจ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้คงไม่เกิดประโยชน์กับข้า แล้วเหตุใดข้าต้องไปด้วยล่ะ?”หลังจากที่หวังหยวนพูดเช่นนี้ หูเมิ่งอิ๋งก็อุทานออกมาทันที“คุณชาย ท่านกำลังบอกว่า... นี่คือแผนการของท่านตั้งแต่แรกหรือ?”“แต่ว่า... ระหว่างทางก็ต้องเผชิญกับอันตรายมามากมาย พวกเราจะทำธุรกิจดี ๆ ได้อย่างไร?”คนธรรมดาย่อมเข้าใจว่าต้องเป็นเช่นนี้เพราะตระกูลเซิ่งจะไม่ยอมให้หวังหยวนไปเป็นทูต!เกรงว่าตระกูลเซิ่งต้องลงมือเป็นแน่!ตราบใดที่หมานอี๋กดดันต้าเย่ ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขาก็จะยิ่งเพิ่มมมากขึ้นหลังจากนั้น...องค์ชายใหญ่แห่งตระกูลเซิ่งฉลาดที่ส
หวังหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากได้ยินดังนั้น สตรีทั้งสามก็หัวเราะกันหมดตราบใดที่พวกนางสามารถอยู่กับหวังหยวนได้ ย่อมไม่รู้สึกว่าตนต้องลำบากเลย!ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางยังต้องการติดตามหวังหยวนไปอยู่แล้วด้วย!แทนที่จะเฝ้ารอเขาทั้งวันทั้งคืนอยู่ในหมู่บ้านต้าหวัง พวกนางอยากไปกับเขามากกว่า ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกนางก็ไม่หวั่น!เนื่องจากเขากำลังจะเป็นทูตไปหาหมานอี๋ หวังหยวนจึงต้องเตรียมการล่วงหน้าระหว่างทาง เขาแค่อยากหาเงิน ดังนั้นแทนที่จะเอาสินค้าราคาถูกไป เขากลับนำรถเข็นที่เต็มไปด้วยแก้วคริสตัลมา!สิ่งนี้มีราคาแพง และเป็นที่ชื่นชอบคนรวย!ส่วนสินค้าอื่น หวังหยวนก็เอาบางส่วนไปด้วย เขาไม่จำเป็นต้องเปิดร้านทำธุรกิจที่นี่เพียงที่เดียว เขาสามารถหาพ่อค้าที่สนใจได้สองสามคนที่นี่ หากพวกเขาถูกใจ ก็สามารถซื้อตุนไปชายที่เมืองหลิงได้แนวคิดปัจจุบันของหวังหยวน คือการสร้างตลาดค้าส่งเหมือนยุคสมัยใหม่!ในเวลาเดียวกัน แก้วคริสตัลนี้มีไว้ใช้สร้างรายได้อยู่แล้ว อย่างไรเสีย ก็ต้องได้ทองหลายหมื่นตำลึงแน่!นอกจากนี้ยังมีหมานอี๋ด้วย!ที่นั่นมีผลิตภัณฑ์ที่ทำจากคริสตัลน้อย ดังนั้นราคาจึงอาจสูงกว่าเดิม!
ทันใดนั้นซูหนานอันก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ร่างกายเสียหลักทรุดลงคุกเข่ากับพื้น...“ท่าน...”“ท่านคือหวังหยวน!”ชื่อเสียงของหวังหยวนเลื่องลือไปทั่วหล้า!แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าหวังหยวน แต่ก็รู้จักอาวุธลับที่หวังหยวนใช้!เพราะทั่วทั้งใต้หล้านี้ไม่มีอาวุธเช่นนี้อีกแล้ว!ซูหนานอันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดคนของตระกูลเฉินจึงรีบรุดมาช่วยเหลือราวกับสุนัขรับใช้!ที่แท้ก็เพื่อเอาใจหวังหยวนนี่เอง...บัดนี้เฉินเจิ้นหนานแทบอยากจะตบหน้าตนเอง เหตุใดเขาจึงโง่งมถึงเพียงนี้!“เจ้าหนุ่ม สิ่งนั้นมันอะไรกัน?”“ประทัดหรือ?”ซูอวิ่นอู่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของพ่อ กลับชี้หน้าหวังหยวนแล้วพูดขึ้นคนของตระกูลซูหลายคนต่างหัวเราะเยาะหัวเราะไปเถิด ให้เจ้าหัวเราะให้เต็มที่!“อีกสักพักเจ้าจะร้องไห้กันไม่ทัน!”เฉินเทียนสบถในใจ“บังอาจ!”“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้!”“เจ้ามันช่างไร้ประโยชน์ รีบคุกเข่าขอขมาท่านหวังเดี๋ยวนี้!”ซูหนานอันตวาดซูอวิ่นอู่ เหตุใดเขาจึงมีลูกชายโง่เขลาเช่นนี้?ไม่เห็นหรือว่าเขากำลังคุกเข่าอยู่!ยังกล้าพูดจาอวดดีกับหวังหยวน ช่างไม่รู้จักกลัวตายเอาเสียเลย!“ท่านพ่อ ท
ทว่าเฉินเจิ้นหนานไม่ได้สนใจซูหนานอัน กลับรีบวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางประจบสอพลอนี่เป็นโอกาสอันดี!หากสามารถสร้างความสัมพันธ์กับหวังหยวนได้ ประกอบกับการกระทำอันอุกอาจของตระกูลซู ต่อไปในเมืองอู่เจียง เขาย่อมเหนือกว่าตระกูลซู!เปรียบได้กับปลากระโดดลงน้ำเลยทีเดียว!เฉินเจิ้นหนานจะไม่รู้จักฉวยโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร?“เฉินเจิ้นหนาน!”“ท่านไม่ได้ยินที่พ่อข้าพูดหรือไร?”“เหตุใดต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด!”ซูอวิ่นอู่เห็นเฉินเจิ้นหนานเมินเฉยต่อพ่อของตนจึงตะโกนด้วยความโกรธแม้แต่ตงฟางฮั่นที่ยืนอยู่ข้างหวังหยวนก็เกือบหลุดหัวเราะ ทั้งเฉินเจิ้นหนานและซูหนานอันล้วนเป็นวีรบุรุษแห่งยุค!เขารู้จักทั้งสองคนเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งคนทั้งสองต่างสร้างฐานะของตระกูลขึ้นมาด้วยสองมือของตนเอง ทั้งยังไต่เต้าขึ้นมาจนมีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!น่าเสียดาย...แม้สุภาษิตจะกล่าวว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่ทายาทของพวกเขากลับเทียบไม่ได้กับบรรพบุรุษ!ไม่สิ!ต้องบอกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว!“ซูอวิ่นอู่!”“ที่ผ่านมาข้าอดทนกับเจ้าก็มากพอแล้ว วันนี้เจ้ายังกล้าด่าทอพ่อข้าต่อหน้าข้าอีกหรือ?”“เจ้าคนสารเลว!”
ซูหนานอันผ่านพบผู้คนมากมาย ย่อมมีวิจารณญาณที่แตกต่างจากคนทั่วไปขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวังหยวนก็เอื้อมมือไปตบบ่าเขา กิริยาเช่นนี้ทำให้พี่น้องตระกูลซูต่างไม่พอใจ“ช่างบังอาจ!”“รีบเอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”ซูอวิ่นอู่ขึ้นชื่อเรื่องความบุ่มบ่ามอยู่แล้ว ผู้คนในเมืองอู่เจียงต่างรู้ถึงนิสัยใจร้อนของเขา แม้แต่บุตรหลานของอีกสามตระกูลใหญ่ก็ยังไม่กล้าต่อกรกับเขาซึ่งหน้าด้วยซ้ำไม่เพียงแต่มีนิสัยใจร้อนเท่านั้น เขายังมีพละกำลังมหาศาล มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายธรรมดาที่จะเข้าใกล้เขาได้ แม้แต่คนสี่ห้าคนก็ยังเข้าใกล้ได้ยาก!ช่างเป็นตัวปัญหายิ่งนัก!“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ?”หวังหยวนจ้องมองซูหนานอัน แม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็แผ่รังสีความกดดันที่มองไม่เห็นออกมา!ซูหนานอันส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่สมองกลับครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามนึกถึงใบหน้าของหวังหยวน...แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเจอหวังหยวนที่ใดมาก่อน!“ตระกูลซูของเจ้านี่ช่างน่าเกรงขามนัก”“คนที่ไม่รู้คงนึกว่าเมืองอู่เจียงนี้ตกเป็นของตระกูลซูเข้าแล้ว”หวังหยวนพึมพำกับตนเองซูหนานอันยิ่งงุนงง
“หากไม่อยากตายก็หลีกทางให้ข้า”หวังหยวนเป่าควันดำที่ลอยขึ้นจากปืนคาบศิลา ทอดสายตามองคนทั้งสองอย่างเย็นชาองครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองสบตากัน ก่อนจะรีบหลีกทางให้หวังหยวนด้วยความหวาดหวั่น จะกล้าขวางทางต่อไปได้อย่างไร?เพราะพวกเขาไม่เคยพบเห็นอาวุธลับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน!หากถูกอาวุธนี้เล่นงานคงต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน...หวังหยวนและตงฟางฮั่นเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซูอย่างองอาจ ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็มาถึงลานกว้างภายในคฤหาสน์เสียงดังจากหน้าประตูทำให้ผู้คนในตระกูลซูแตกตื่น ทุกคนต่างกรูกันออกมา ขณะนี้พวกเขากำลังยืนล้อมรอบลานบ้าน ใบหน้าบึ้งตึงหวังหยวนและตงฟางฮั่นถูกล้อมไว้ทุกทิศทาง“ให้หัวหน้าตระกูลของพวกเจ้าออกมาพบข้า”หวังหยวนกล่าวเสียงเรียบครู่ต่อมาฝูงชนก็แยกออกเพื่อเปิดทาง เผยให้เห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมหรูหราเดินออกมาจากด้านหลังแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีสง่าราศีน่าเกรงขามชายผู้นั้นกวาดสายตามองหวังหยวน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบังอาจบุกรุกคฤหาสน์ตระกูลซู”“หรือเจ้าอยากรนหาที่ตาย?”ข้างกายซูหนานอันมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ บุตรชายทั้งสองของเขาต
สายตาของหวังหยวนจับจ้องไปยังตงฟางฮั่นพลางเอ่ยถามขึ้นแม้เขาจะได้รับฟังเรื่องราวของเมืองอู่เจียงจากเกาเล่อมาบ้าง แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้นในเมืองอู่เจียงมีสี่ตระกูลใหญ่ ทั้งตระกูลเฉินและตระกูลซูล้วนรวมอยู่ในนั้น!แม้ทั้งสองตระกูลไม่ใช่ตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ก็มีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!“ท่านหวังทราบหรือไม่ว่าตระกูลซูทำธุรกิจด้านใด?”ตงฟางฮั่นเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า“ข้าได้ยินเกาเล่อรายงานว่าตระกูลซูทำธุรกิจขนส่งทางบก”“ว่ากันว่าในอดีต ซูหนานอัน หัวหน้าตระกูลซู เริ่มต้นจากการใช้รถเข็นสามล้อ แล้วค่อย ๆ สร้างฐานะขึ้นมา”“ต่อมาตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนมีอำนาจดังเช่นทุกวันนี้”ทันใดนั้นหวังหยวนก็ตบหน้าผากตนเองอย่างแรง ราวกับนึกอะไรบางอย่างออกธุรกิจขนส่งทางบก!หากมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ผลประโยชน์ของตระกูลซูย่อมเสียหาย พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ต้องการขัดขวางโครงการนี้มากที่สุด!“ท่านตงฟางช่างเฉียบแหลมนัก!”หวังหยวนเอ่ยชมตงฟางฮั่นส่ายหน้ากล่าวว่า “บัดนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นถูกต้องหรือไม่”“แต่ก็ควรไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง”“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงเจ้า
“ข้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราควรพิจารณาว่าการสร้างเขื่อนกั้นน้ำไปขัดผลประโยชน์ของผู้ใด”“หากไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ อีกฝ่ายคงไม่ลงมือเช่นนี้”“เช่นนั้นพวกเราก็จะพบเป้าหมายได้โดยเร็ว”สมแล้วที่ตงฟางฮั่นเป็นบุคลากรที่ใคร ๆ ก็ต้องการ คำพูดของเขาทำให้หวังหยวนรู้สึกกระจ่าง!“เช่นนั้นเอง”“ตอนนี้พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม!”“กลุ่มแรกให้ฉุนอวี๋อันไปสืบหาตัวคนที่แอบเข้าใกล้บ่อน้ำเมื่อคืน!”“เพื่อตามหาตัวคนวางยา แล้วเค้นถามข้อมูลจากมันให้ได้!”“อีกกลุ่มหนึ่งต้องไปสืบในเมือง ดูว่าใครได้รับผลกระทบ ก็จะทำให้เรามุ่งเป้าหมายได้ถูกต้อง!”“ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องปลอบขวัญชาวบ้าน หากไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะอ้างเรื่องศาลเจ้ามังกรแล้วหยุดการทำงาน!”“เช่นนั้นจะทำให้การก่อสร้างล่าช้า!”ความคิดของหวังหยวนตรงกับคนอื่น ๆเพราะแท้จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างเส้นทางคมนาคมทางน้ำเพื่อให้เมืองอู่เจียงพัฒนาจากนั้นก็จะสามารถพัฒนาเมืองหลิงได้!“ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก!”“ที่จริงข้าพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นใคร”“ไม่ทราบว่าท่านหวังจะไปกับข้าหรือไม่?”ตงฟางฮั่นมองหวั
ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล!สิ่งที่เรียกว่าศรัทธาและเทพเจ้าก็เป็นเพียงที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มีสรรพสิ่งล้วนมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไป หากมีเทพเจ้าและศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นจริง เหตุใดจึงมีผู้คนอดอยากยากไร้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง?“ไร้สาระ!”หวังหยวนตำหนิ ฉุนอวี๋อันจึงไม่กล้าพูดต่อ“เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่”“หรือไม่ทุกคนติดโรคระบาดจึงเป็นเช่นนี้!”“รอข้าไปถึงแล้วค่อยว่ากัน!”หวังหยวนหลับตา ไม่พูดกับฉุนอวี๋อันอีกเพื่อไม่ให้ตนเองโมโหฉุนอวี๋อันงุนงง เขาเคยได้ยินชื่อโรคมากมาย แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องโรคระบาดมาก่อน!หรือจะเป็นโรคประหลาด?เมื่อเห็นหวังหยวนไม่สนใจ เขาก็เช็ดเหงื่อ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบไม่นานพวกหวังหยวนก็มาถึงเขตก่อสร้าง ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวต่างมามุงดู สถานที่แห่งนี้ช่างคึกคักทางด้านตงฟางฮั่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างตงฟางฮั่นเห็นหวังหยวนเดินเข้ามาจึงลุกขึ้นเดินไปหาหวังหยวน“ท่านตงฟาง ข้าได้ยินเรื่องที่นี่แล้วจึงรีบมา”“ท่านมาก่อน พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”ตงฟางฮั่นส่ายหน้า พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าให้
ยามตะวันโด่งฟ้า หวังหยวนกับภรรยายังคงนอนหลับอยู่บนเตียง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ“ท่าน!”“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”“ท่านรีบออกมาเถิดขอรับ!”เสียงของฉุนอวี๋อันเต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเคาะประตูไม่หยุดปกติฉุนอวี๋อันเป็นคนรอบคอบ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนเสมอด้วยเหตุนี้ฉุนอวี๋อันจึงถูกมองว่าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ เมืองอู่เจียงไม่เคยได้รับการจัดการอย่างดี และสี่ตระกูลใหญ่ก็มีอำนาจอยู่เหนือเขา!วันนี้เขากลับกล้ามาหาหวังหยวนถึงห้อง ทั้งยังมารบกวนการนอนของพวกเขา แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริง ๆ!หวังหยวนค่อย ๆ ยืดตัวบิดขี้เกียจ จากนั้นสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูมองไปที่ฉุนอวี๋อันเมื่อเห็นเขามีสีหน้าร้อนรนก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ฟ้าถล่มหรืออย่างไร?”อย่างไรเสียฉุนอวี๋อันก็เคยเป็นผู้ว่าราชการเมือง จึงจำเป็นต้องสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว แม้ภูผาจะถล่มก็ตามไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ฉุนอวี๋อันจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้!แต่น่าเสียดายที่ฉุนอวี๋อันไม่ได้รับการฝึกฝน!โชคดีที่เขาเห็นข้อนี้ จึงให้ฉุนอวี๋อันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้า
“ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว”เกาเล่อรีบพยักหน้า“อีกอย่าง”“เจ้าไปเมืองผีครั้งนี้ต้องระวังตัวด้วย”“คำพูดของหลิ่วหรูเยียนเชื่อได้ แต่ก็ไม่ควรเชื่อทั้งหมด”“เมืองผีอาจไม่ใช่สถานที่ที่เราจะอยู่ได้ง่าย ๆ...”“หากพบเจอเรื่องยุ่งยากก็ปรึกษาข้าได้ตลอด อย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม!”หวังหยวนกำชับอีกสองสามประโยคเกาเล่อเป็นมือขวาของเขา เขาย่อมไม่อยากให้เกาเล่อเป็นอันตราย ไม่เช่นนั้นหวังหยวนจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากบ่ายวันนั้น เกาเล่อเดินทางไปเมืองผีด้วยตัวเองส่วนหวังหยวนก็กลับไปที่พักหลี่ซื่อหานรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหวังหยวนเดินเข้ามา นางก็ยิ้มหวานเดินเข้ามาหา แล้วควงแขนหวังหยวนขณะกล่าวว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านกำลังทำอยู่ในช่วงนี้”“จะรับอนุภรรยาอีกแล้วหรือ?”หวังหยวนถึงกับหน้าเสียใครปากมาก เอาเรื่องนี้ไปบอกหลี่ซื่อหาน?ที่เขาไปหอนางโลมนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสถานการณ์บ้านเมืองต่างหาก!“ในสายตาเจ้า ข้าเป็นผู้ชายที่เห็นผู้หญิงแล้วอดใจไม่ได้หรือ?”หวังหยวนจิบชา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์หลี่ซื่อหานยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน แต่คนอื่นไม่รู้จักนิสัยของท่าน อาจทำให้เกิด