ผู้หญิงสามคนที่ได้ฟังก็พยักหน้าแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามว่า “แต่... ตระกูลเซิงเตรียมการมานานแล้ว ถ้ามันประสบความสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ?”หวังหยวนกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงพูดว่า "มาดูกันว่าใครจะลงมือก่อนกัน ระหว่างตระกูลไป๋และตระกูลเซิง"“ตระกูลเซิงจะลงมือกับจักรพรรดิอย่างไร”ในเวลานี้ หลี่ซื่อหานพูดขึ้นมาอีกครั้งเช่นเดียวกับหูเมิ่งอิ๋ง “เป็นไปได้หรือไม่ที่จะบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชสมบัติ? เกรงว่าตระกูลเซิงจะไม่กล้าใช่หรือไม่”หวังหยวนส่ายหัว “บีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชสมบัติเหรอ? แม้ว่าจักรพรรดิต้าเย่จะโง่เง่าไร้ศีลธรรม แต่ข้าก็รู้จักในวังหลวง มันแข็งแกร่งมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชสมบัติ!”“แล้ว...ถ้าบีบบังคับให้ฝ่าบาทสละราชสมบัติไม่ได้ จะทำเรื่องนี้สำเร็จได้อย่างไร?”ผู้หญิงทั้งสามคนยังคงไม่เข้าใจ จะโทษพวกนางที่ไม่เข้าใจก็ไม่ได้ อย่างไรซะ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของราชสำนัก ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าผู้หญิงทั้งสามจะฉลาด แต่พวกนางก็ไม่ได้รู้ว่าโลกใบนี้มีอันตรายมากมายขนาดไหน!เขาไม่รู้เลยว่าคนในราชสำนักคราวนี้จะบาดเจ็บหรือล้มตาย!“เกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่าต้องลงมือจัดการฝ่
เกรงว่าถ้ากุ้ยเฟยของตระกูลเซิ่งเป็นฮองเฮา นางคงเริ่มดำเนินการไปนานแล้ว!สตรีทั้งสามพยักหน้าเข้าใจเพียงแต่...ยังมีบางอย่างที่พวกนางไม่เข้าใจ!แล้วเหตุใดตระกูลเซิ่งจึงต้องลงมือในเวลานี้?เป็นเพราะฮองเฮามีโอรสจริงหรือ? หากพร้อมที่จะลงมือจริง ๆ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็กคนนี้เลย น่าจะลงมือไปตั้งนานแล้ว!“สามี เหตุใดตระกูลเซิ่งไม่ดำเนินการตั้งแต่ก่อนหน้านี้?”หลี่ซื่อหานถาม หวังหยวนจึงยกยิ้ม“ใครเล่าจะทนความผิดฐานปลงพระชนม์ได้ล่ะ? ถ้าไม่สำเร็จ ตระกูลเซิ่งก็จะถูกกวาดล้างจนหมด! พวกเขาคงกำลังรอการประสูติของโอรสฮองเฮาแห่งตระกูลไป๋ ถ้าเป็นธิดา เกรงว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาอีกสักสองสามปี ขอบคุณสำหรับแผนการ!”“ในความเป็นจริง ฮ่องเต้มักจะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ โดยไม่มีการวางแผนใด ๆ แต่ด้วยเด็กคนนี้ พวกเขาจึงเริ่มกังวล ดังนั้นจึงเริ่มดำเนินการทันที!”หลังจากที่หวังหยวนอธิบาย สตรีทั้งสามก็เข้าใจทุกอย่าง“ราชสำนักนั้นอันตรายยิ่งนัก...”สตรีทั้งสามมองหน้ากัน รู้สึกหนาวสั่นไปตามกระดูกสันหลังและขนหัวลุก!นั่นคือนิสัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน!หากบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่า!เหลือเชื่อจริง ๆ!หวังหยวนถอนหาย
ไป๋เฟยเฟยพยักหน้าทันที อดไม่ได้ที่จะพูด“ตระกูลเซิ่งต้องคิดลงมือแน่ เวลานั้นพวกป่าเถื่อนจะถูกใช้เป็นฉากบังหน้า เพื่อก่อให้เกิดความขัดแย้งในราชสำนัก พวกเขาต้องการแต่งตั้งฮ่องเต้โดยเร็ว ซึ่งนอกจากองค์ชายใหญ่หย่งเอ๋อร์แล้ว จะมีใครสามารถรับหน้าที่นี้ได้อีก?”ไป๋เฟยเฟยรีบพูด เมื่อไป๋เจิ้นถังได้ยินก็ตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าบูดบึ้งอย่างมาก!“ควรทำอย่างไรดี ควรบอกให้อาของเจ้าไปทูลฮ่องเต้ดีหรือไม่? หากข่าวรั่วไหลออกไป ฮ่องเต้ซิงหลงจะต้องสงสัยอาของเจ้าเป็นแน่!”“ขณะนี้ฮ่องเต้ซิงหลงเริ่มสงสัยตระกูลใหญ่ของเราแล้ว! ถึงขนาดเตรียมพร้อมที่จะจัดการรับมือพวกเรา!”ไป๋เจิ้นถังสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกล่าวไป๋เฟยเฟยรีบพูดว่า “ไม่... เราชิงโจมตีก่อนได้เจ้าค่ะ!”ทันทีที่นางพูดจบ ก็ยิ่งทำให้ไป๋เจิ้นถังตกใจมากขึ้น!“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร! โจมตีก่อนหรือ? แม้ว่าเราจะสังหารฮ่องเต้ ลูกของอาเจ้าก็ยังเด็กนัก อายุน้อยเกินไป!”ไป๋เจิ้นถังรีบพูด!การลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ความยากอยู่ที่การทำให้องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น!ตระกูลเซิ่งมีหย่งเอ๋อร์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ แต่ตระกูล
ไป๋เฟยเฟยกะพริบตา แล้วรีบพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่คิดว่าหวังหยวนจะเป็นคนเช่นนั้น เขาชอบความสนุกสนานและรักสงบ หากต้องช่วงชิงอำนาจเพื่อปกครองแผ่นดิน เขาก็จะไม่ร่วมมือกับตระกูลไป๋ของเราหรอกเจ้าค่ะ!”หลังจากพูดจบ ไป๋เจิ้นถังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงหัวเราะ“ฮ่าฮ่าฮ่า เฟยเอ๋อร์ เจ้าต้องมองการณ์ไกลมากขึ้น หากเขาต้องการช่วงชิงอำนาจ เราก็ต้องไม่ร่วมมือกับเขา เพราะเมื่อร่วมมือกัน ก็จะยิ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมากขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่ตระกูลไป๋ของเราจะเดือดร้อนไปด้วย”เมื่อไป๋เจิ้นถังเข้าใจแล้ว ก็พูดอีกครั้ง“แต่ตอนนี้... อยากทำให้ฝ่าบาทประชวร แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบ!”ไป๋เจิ้นถังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดความคิดขึ้นมา“เฟยเอ๋อร์ ไปอธิบายเรื่องนี้ให้อาของเจ้าฟัง ส่วนอย่างอื่น... จะมีคนนำไปส่งมอบให้เจ้า!”ไป๋เจิ้นถังพูดจบ ไป๋เฟยเฟยก็ยอมรับคำสั่ง และจากไปทันทีหลังจากรับของแล้ว นางก็แอบเข้าไปในวังหลวงวังหลวง ณ ขณะนี้ ในห้องนอนของฮองเฮาไป๋เหยียนเฟย มีสตรีในชุดสาวใช้ เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ส่วนตัวของนางไป๋เหยียนเฟยเพิ่งคลอด นางยังคงนอนอยู่บนเตียง สาวใช้คนนี
พูดจบ ไป๋เหยียนเฟยก็เข้าใจในที่สุด“เอาล่ะ! เช่นนั้นข้าก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร!”ไป๋เหยียนเฟยสูดหายใจเข้าลึก ๆ แววตาฉายความกังวล“ท่านอา ถ้าตระกูลเซิ่งลงมือ ท่านต้องระวังคนรอบข้างด้วยนะเจ้าคะ!”ไป๋เฟยเฟยเตือนนางอีกครั้ง เมื่อได้ยิน ไป๋เหยียนเฟยก็ยกยิ้ม แล้วมองไปทางสาวใช้ส่วนตัวที่นางเชื่อใจมากที่สุดฝ่ายหลังพยักหน้าทันที “น้องสาว ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ข้าอยู่ที่นี่ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น”“ข้ารู้จักสาวใช้ในวังดี โดยเฉพาะคนที่ตระกูลเซิ่งติดสินบน ล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของข้าทั้งสิ้น!”หลังจากสาวใช้กล่าวจบ ไป๋เฟยเฟยก็ยกยิ้มแล้วพูดว่า “มีพี่สาวอยู่ที่นี่ด้วย ข้าย่อมโล่งใจ!”นางผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางเป็นคนของตระกูลไป๋ที่ฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถไม่ธรรมดา จึงถูกวางตัวไว้ข้างกายไป๋เหยียนเฟย เพื่อคอยปกป้องนาง!“เฟยเอ๋อร์ สถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้ที่นี่ ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำตามที่พี่ใหญ่บอก”ไป๋เหยียนเฟยยกยิ้ม ย่อมเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้“ท่านอา เช่นนั้นเฟยเอ๋อร์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ไป๋เฟยเฟยยกยิ้มอ่อน จากนั้นหันหลังเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้หลั
แม้นางจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะตระกูลไป๋ก็ต้องการแย่งชิงอำนาจเช่นกัน!แต่นางก็ยังชอบวีรบุรุษผู้กล้าหาญเช่นนี้!หวังหยวน...ถือว่าเป็นวีรบุรุษได้หรือไม่?แต่ว่าเขาไม่ใช่วีรบุรุษผู้อาจหาญเช่นนั้น...“ช่างเถอะ...”นางส่ายหน้า อย่าคิดเรื่องนี้อีกเลย!หลังจากที่ไป๋เฟยเฟยจากไป ฮองเฮาไป๋เหยียนเฟยก็เริ่มทำหน้าที่ทันที“เตรียมอาหารและสุราดี ๆ ถวายแก่ฝ่าบาท เมื่อเสด็จมายังตำหนักคุนหนิง”ไป๋เหยียนเฟยพูดพร้อมยื่นของให้สาวใช้สาวใช้พยักหน้า แล้วออกไปทันทีในขณะนี้ ฮ่องเต้ซิงหลงยังคงกังวลว่าจะส่งใครเป็นทูตไปหาพวกป่าเถื่อนเขาไม่รู้เลย ว่าอีกไม่นานกำลังจะได้ไปเดินเล่นหน้าประตูนรกหากไม่ใช่เพราะการเสียสละของหวังหยวน เขาคงตายในเวลาไม่ถึงสองวัน!“ฝ่าบาท ฮองเฮาตรัสว่าอยากเชิญท่านไปยังตำหนักคุนหนิงในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”ขันทีจากไป อดที่จะยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยิน ฮ่องเต้ซิงหลงก็คลายกังวลเขารักไป๋เหยียนเฟยมาก ยิ่งมีพระโอรสด้วยแล้ว ก็ย่อมอยากไปเยี่ยมนางบ่อยขึ้นคิดเช่นนั้น เมื่อเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว จึงเสด็จไปยังตำหนักคุนหนิงเมื่อไป๋เหยียนเฟยเห็นฮ่องเต้ซิงหลงเสด็จมาที่ตำหนักของนาง นางก็คำนั
ณ ส่วนลึกของวังหลวง เสียนกุ้ยเฟยกำลังจัดดอกไม้และดื่มชาอยู่ที่ลานตำหนักทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของเสียนกุ้ยเฟยเดินเข้ามาอย่างระมัดระวังนางยืนอยู่ด้านหน้าเสียนกุ้ยเฟย โค้งคำนับด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า “เสียนกุ้ยเฟย มีคนมาขอพบท่านอยู่ด้านนอกประตูเพคะ”เสียนกุ้ยเฟยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ส่วนตัว แล้วถามด้วยความสงสัย “ใครมาขอพบข้า?”นี่ก็ดึกมากแล้ว ใครจะมาหาในเวลานี้?สาวใช้ส่วนตัวรีบตอบ “มาจากตระกูลเซิ่งเจ้าค่ะ”“ตระกูลเซิ่งหรือ?”เมื่อได้ยิน เสียนกุ้ยเฟยก็ยิ้มร่า นางโบกมือให้สาวใช้ส่วนตัวด้วยความตื่นเต้น แล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “รีบให้เข้ามาเถิด!”นางไม่ได้เจอคนในครอบครัวมานานแล้ว ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง เมื่อได้ยินว่าคนที่มาขอพบเป็นคนของตระกูลเซิ่ง ก็ไม่อาจซ่อนสีหน้าที่มีความสุขได้!นางรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู เตรียมทักทายไม่นานสาวใช้ก็เข้ามาพร้อมกับคนผู้หนึ่ง ชายร่างสูงสวมเสื้อคลุมสีดำดั่งความมืดมิดยามราตรีเขาเดินไปหาเสียนกุ้ยเฟย ค่อย ๆ ถอดหมวกออก เผยให้เห็นใบหน้าตัวเอง“น้องรอง”“ท่านพี่หรือ?”เสียนกุ้ยเฟยดีใจมาก นางก้าวเข้าไปหาด้วย
“ดังนั้นเราจึงต้องฉวยโอกาสจากสถานการณ์ตอนนี้ ชิงกำจัดฮ่องเต้ก่อน!”เมื่อเห็นสีหน้าอันเกรี้ยวกราดของพี่ชาย สีหน้าของเสียนกุ้ยเฟยก็เปลี่ยนไปทันทีนางยังมีความรู้สึกต่อฮ่องเต้อยู่ ไม่อาจกลั้นใจลงมือทำได้เสียนกุ้ยเฟยกัดริมฝีปากสีแดงของตน แล้วกระซิบอย่างลังเล “แต่เด็กคนนั้นอายุเพียงสองหรือสามวันเท่านั้น ยังเด็กนัก หากจะลงมือตอนนี้ ไม่เร็วเกินไปหรือเจ้าคะ?”“เร็วเกินไปหรือ?”เซิ่งฟางสี่พ่นลมหายใจแรง แล้วยืนเอามือไพล่หลัง ดูไม่พอใจนัก“หากฮองเฮาให้กำเนิดธิดา เราคงจะรอดูอีกสองสามปีก่อนที่จะลงมือ แต่นางกลับให้กำเนิดโอรส ชะตาของนางจึงต้องย่ำแย่!”“ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการลงมือ เจ้าวางยาพิษฝ่าบาท ส่วนข้าจะส่งคนไปสังหารฮองเฮา หากไม่มีผู้ใดปกครองแผ่นดิน ก็จะเกิดความวุ่นวาย!”“พวกเขาคงไม่อาจให้เด็กทารกแรกเกิดขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ใช่หรือไม่?”เซิ่งฟางสี่เดินไปหาเสียนกุ้ยเฟย แล้วพูดอย่างจริงจัง “บุตรของเจ้าเป็นโอรสองค์โต ซึ่งฉลาดที่สุดในบรรดาองค์ชาย เมื่อเวลานั้นมาถึง เหล่าขุนนางจะต้องเลือกเขาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แน่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าฝันถึงหรอกหรือ?”หัวใจของเสียนกุ้ยเฟยเต้นระรัว นาง
ทันใดนั้นซูหนานอันก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ร่างกายเสียหลักทรุดลงคุกเข่ากับพื้น...“ท่าน...”“ท่านคือหวังหยวน!”ชื่อเสียงของหวังหยวนเลื่องลือไปทั่วหล้า!แม้เขาจะไม่เคยพบหน้าหวังหยวน แต่ก็รู้จักอาวุธลับที่หวังหยวนใช้!เพราะทั่วทั้งใต้หล้านี้ไม่มีอาวุธเช่นนี้อีกแล้ว!ซูหนานอันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดคนของตระกูลเฉินจึงรีบรุดมาช่วยเหลือราวกับสุนัขรับใช้!ที่แท้ก็เพื่อเอาใจหวังหยวนนี่เอง...บัดนี้เฉินเจิ้นหนานแทบอยากจะตบหน้าตนเอง เหตุใดเขาจึงโง่งมถึงเพียงนี้!“เจ้าหนุ่ม สิ่งนั้นมันอะไรกัน?”“ประทัดหรือ?”ซูอวิ่นอู่ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีของพ่อ กลับชี้หน้าหวังหยวนแล้วพูดขึ้นคนของตระกูลซูหลายคนต่างหัวเราะเยาะหัวเราะไปเถิด ให้เจ้าหัวเราะให้เต็มที่!“อีกสักพักเจ้าจะร้องไห้กันไม่ทัน!”เฉินเทียนสบถในใจ“บังอาจ!”“หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าเดี๋ยวนี้!”“เจ้ามันช่างไร้ประโยชน์ รีบคุกเข่าขอขมาท่านหวังเดี๋ยวนี้!”ซูหนานอันตวาดซูอวิ่นอู่ เหตุใดเขาจึงมีลูกชายโง่เขลาเช่นนี้?ไม่เห็นหรือว่าเขากำลังคุกเข่าอยู่!ยังกล้าพูดจาอวดดีกับหวังหยวน ช่างไม่รู้จักกลัวตายเอาเสียเลย!“ท่านพ่อ ท
ทว่าเฉินเจิ้นหนานไม่ได้สนใจซูหนานอัน กลับรีบวิ่งเข้าไปหาหวังหยวนด้วยท่าทางประจบสอพลอนี่เป็นโอกาสอันดี!หากสามารถสร้างความสัมพันธ์กับหวังหยวนได้ ประกอบกับการกระทำอันอุกอาจของตระกูลซู ต่อไปในเมืองอู่เจียง เขาย่อมเหนือกว่าตระกูลซู!เปรียบได้กับปลากระโดดลงน้ำเลยทีเดียว!เฉินเจิ้นหนานจะไม่รู้จักฉวยโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร?“เฉินเจิ้นหนาน!”“ท่านไม่ได้ยินที่พ่อข้าพูดหรือไร?”“เหตุใดต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด!”ซูอวิ่นอู่เห็นเฉินเจิ้นหนานเมินเฉยต่อพ่อของตนจึงตะโกนด้วยความโกรธแม้แต่ตงฟางฮั่นที่ยืนอยู่ข้างหวังหยวนก็เกือบหลุดหัวเราะ ทั้งเฉินเจิ้นหนานและซูหนานอันล้วนเป็นวีรบุรุษแห่งยุค!เขารู้จักทั้งสองคนเป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งคนทั้งสองต่างสร้างฐานะของตระกูลขึ้นมาด้วยสองมือของตนเอง ทั้งยังไต่เต้าขึ้นมาจนมีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!น่าเสียดาย...แม้สุภาษิตจะกล่าวว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่ทายาทของพวกเขากลับเทียบไม่ได้กับบรรพบุรุษ!ไม่สิ!ต้องบอกว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว!“ซูอวิ่นอู่!”“ที่ผ่านมาข้าอดทนกับเจ้าก็มากพอแล้ว วันนี้เจ้ายังกล้าด่าทอพ่อข้าต่อหน้าข้าอีกหรือ?”“เจ้าคนสารเลว!”
ซูหนานอันผ่านพบผู้คนมากมาย ย่อมมีวิจารณญาณที่แตกต่างจากคนทั่วไปขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวังหยวนก็เอื้อมมือไปตบบ่าเขา กิริยาเช่นนี้ทำให้พี่น้องตระกูลซูต่างไม่พอใจ“ช่างบังอาจ!”“รีบเอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”ซูอวิ่นอู่ขึ้นชื่อเรื่องความบุ่มบ่ามอยู่แล้ว ผู้คนในเมืองอู่เจียงต่างรู้ถึงนิสัยใจร้อนของเขา แม้แต่บุตรหลานของอีกสามตระกูลใหญ่ก็ยังไม่กล้าต่อกรกับเขาซึ่งหน้าด้วยซ้ำไม่เพียงแต่มีนิสัยใจร้อนเท่านั้น เขายังมีพละกำลังมหาศาล มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายธรรมดาที่จะเข้าใกล้เขาได้ แม้แต่คนสี่ห้าคนก็ยังเข้าใกล้ได้ยาก!ช่างเป็นตัวปัญหายิ่งนัก!“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ?”หวังหยวนจ้องมองซูหนานอัน แม้จะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่ก็แผ่รังสีความกดดันที่มองไม่เห็นออกมา!ซูหนานอันส่ายหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่สมองกลับครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามนึกถึงใบหน้าของหวังหยวน...แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเจอหวังหยวนที่ใดมาก่อน!“ตระกูลซูของเจ้านี่ช่างน่าเกรงขามนัก”“คนที่ไม่รู้คงนึกว่าเมืองอู่เจียงนี้ตกเป็นของตระกูลซูเข้าแล้ว”หวังหยวนพึมพำกับตนเองซูหนานอันยิ่งงุนงง
“หากไม่อยากตายก็หลีกทางให้ข้า”หวังหยวนเป่าควันดำที่ลอยขึ้นจากปืนคาบศิลา ทอดสายตามองคนทั้งสองอย่างเย็นชาองครักษ์เฝ้าประตูทั้งสองสบตากัน ก่อนจะรีบหลีกทางให้หวังหยวนด้วยความหวาดหวั่น จะกล้าขวางทางต่อไปได้อย่างไร?เพราะพวกเขาไม่เคยพบเห็นอาวุธลับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้มาก่อน!หากถูกอาวุธนี้เล่นงานคงต้องสิ้นชีพอย่างแน่นอน...หวังหยวนและตงฟางฮั่นเดินเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลซูอย่างองอาจ ในชั่วพริบตา ทั้งสองก็มาถึงลานกว้างภายในคฤหาสน์เสียงดังจากหน้าประตูทำให้ผู้คนในตระกูลซูแตกตื่น ทุกคนต่างกรูกันออกมา ขณะนี้พวกเขากำลังยืนล้อมรอบลานบ้าน ใบหน้าบึ้งตึงหวังหยวนและตงฟางฮั่นถูกล้อมไว้ทุกทิศทาง“ให้หัวหน้าตระกูลของพวกเจ้าออกมาพบข้า”หวังหยวนกล่าวเสียงเรียบครู่ต่อมาฝูงชนก็แยกออกเพื่อเปิดทาง เผยให้เห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมหรูหราเดินออกมาจากด้านหลังแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังคงมีสง่าราศีน่าเกรงขามชายผู้นั้นกวาดสายตามองหวังหยวน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงบังอาจบุกรุกคฤหาสน์ตระกูลซู”“หรือเจ้าอยากรนหาที่ตาย?”ข้างกายซูหนานอันมีชายหนุ่มสองคนยืนอยู่ บุตรชายทั้งสองของเขาต
สายตาของหวังหยวนจับจ้องไปยังตงฟางฮั่นพลางเอ่ยถามขึ้นแม้เขาจะได้รับฟังเรื่องราวของเมืองอู่เจียงจากเกาเล่อมาบ้าง แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้นในเมืองอู่เจียงมีสี่ตระกูลใหญ่ ทั้งตระกูลเฉินและตระกูลซูล้วนรวมอยู่ในนั้น!แม้ทั้งสองตระกูลไม่ใช่ตระกูลที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ก็มีบทบาทสำคัญในเมืองอู่เจียง!“ท่านหวังทราบหรือไม่ว่าตระกูลซูทำธุรกิจด้านใด?”ตงฟางฮั่นเอ่ยถามอย่างเชื่องช้า“ข้าได้ยินเกาเล่อรายงานว่าตระกูลซูทำธุรกิจขนส่งทางบก”“ว่ากันว่าในอดีต ซูหนานอัน หัวหน้าตระกูลซู เริ่มต้นจากการใช้รถเข็นสามล้อ แล้วค่อย ๆ สร้างฐานะขึ้นมา”“ต่อมาตระกูลซูก็เจริญรุ่งเรืองจนมีอำนาจดังเช่นทุกวันนี้”ทันใดนั้นหวังหยวนก็ตบหน้าผากตนเองอย่างแรง ราวกับนึกอะไรบางอย่างออกธุรกิจขนส่งทางบก!หากมีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำ ผลประโยชน์ของตระกูลซูย่อมเสียหาย พวกเขาจึงเป็นผู้ที่ต้องการขัดขวางโครงการนี้มากที่สุด!“ท่านตงฟางช่างเฉียบแหลมนัก!”หวังหยวนเอ่ยชมตงฟางฮั่นส่ายหน้ากล่าวว่า “บัดนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าสิ่งที่ข้าคิดนั้นถูกต้องหรือไม่”“แต่ก็ควรไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง”“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงเจ้า
“ข้าคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เราควรพิจารณาว่าการสร้างเขื่อนกั้นน้ำไปขัดผลประโยชน์ของผู้ใด”“หากไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ อีกฝ่ายคงไม่ลงมือเช่นนี้”“เช่นนั้นพวกเราก็จะพบเป้าหมายได้โดยเร็ว”สมแล้วที่ตงฟางฮั่นเป็นบุคลากรที่ใคร ๆ ก็ต้องการ คำพูดของเขาทำให้หวังหยวนรู้สึกกระจ่าง!“เช่นนั้นเอง”“ตอนนี้พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม!”“กลุ่มแรกให้ฉุนอวี๋อันไปสืบหาตัวคนที่แอบเข้าใกล้บ่อน้ำเมื่อคืน!”“เพื่อตามหาตัวคนวางยา แล้วเค้นถามข้อมูลจากมันให้ได้!”“อีกกลุ่มหนึ่งต้องไปสืบในเมือง ดูว่าใครได้รับผลกระทบ ก็จะทำให้เรามุ่งเป้าหมายได้ถูกต้อง!”“ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องปลอบขวัญชาวบ้าน หากไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะอ้างเรื่องศาลเจ้ามังกรแล้วหยุดการทำงาน!”“เช่นนั้นจะทำให้การก่อสร้างล่าช้า!”ความคิดของหวังหยวนตรงกับคนอื่น ๆเพราะแท้จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างเส้นทางคมนาคมทางน้ำเพื่อให้เมืองอู่เจียงพัฒนาจากนั้นก็จะสามารถพัฒนาเมืองหลิงได้!“ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นหรอก!”“ที่จริงข้าพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นใคร”“ไม่ทราบว่าท่านหวังจะไปกับข้าหรือไม่?”ตงฟางฮั่นมองหวั
ช่างเป็นเรื่องเหลวไหล!สิ่งที่เรียกว่าศรัทธาและเทพเจ้าก็เป็นเพียงที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มีสรรพสิ่งล้วนมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มีที่มาที่ไป หากมีเทพเจ้าและศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นจริง เหตุใดจึงมีผู้คนอดอยากยากไร้อยู่ทั่วทุกหนแห่ง?“ไร้สาระ!”หวังหยวนตำหนิ ฉุนอวี๋อันจึงไม่กล้าพูดต่อ“เรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่”“หรือไม่ทุกคนติดโรคระบาดจึงเป็นเช่นนี้!”“รอข้าไปถึงแล้วค่อยว่ากัน!”หวังหยวนหลับตา ไม่พูดกับฉุนอวี๋อันอีกเพื่อไม่ให้ตนเองโมโหฉุนอวี๋อันงุนงง เขาเคยได้ยินชื่อโรคมากมาย แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องโรคระบาดมาก่อน!หรือจะเป็นโรคประหลาด?เมื่อเห็นหวังหยวนไม่สนใจ เขาก็เช็ดเหงื่อ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบไม่นานพวกหวังหยวนก็มาถึงเขตก่อสร้าง ชาวบ้านที่ได้ยินข่าวต่างมามุงดู สถานที่แห่งนี้ช่างคึกคักทางด้านตงฟางฮั่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างตงฟางฮั่นเห็นหวังหยวนเดินเข้ามาจึงลุกขึ้นเดินไปหาหวังหยวน“ท่านตงฟาง ข้าได้ยินเรื่องที่นี่แล้วจึงรีบมา”“ท่านมาก่อน พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”ตงฟางฮั่นส่ายหน้า พลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าให้
ยามตะวันโด่งฟ้า หวังหยวนกับภรรยายังคงนอนหลับอยู่บนเตียง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบ“ท่าน!”“เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”“ท่านรีบออกมาเถิดขอรับ!”เสียงของฉุนอวี๋อันเต็มไปด้วยความร้อนใจ เขาเคาะประตูไม่หยุดปกติฉุนอวี๋อันเป็นคนรอบคอบ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก่อนเสมอด้วยเหตุนี้ฉุนอวี๋อันจึงถูกมองว่าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ เมืองอู่เจียงไม่เคยได้รับการจัดการอย่างดี และสี่ตระกูลใหญ่ก็มีอำนาจอยู่เหนือเขา!วันนี้เขากลับกล้ามาหาหวังหยวนถึงห้อง ทั้งยังมารบกวนการนอนของพวกเขา แสดงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริง ๆ!หวังหยวนค่อย ๆ ยืดตัวบิดขี้เกียจ จากนั้นสวมเสื้อผ้าแล้วเปิดประตูมองไปที่ฉุนอวี๋อันเมื่อเห็นเขามีสีหน้าร้อนรนก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ฟ้าถล่มหรืออย่างไร?”อย่างไรเสียฉุนอวี๋อันก็เคยเป็นผู้ว่าราชการเมือง จึงจำเป็นต้องสงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว แม้ภูผาจะถล่มก็ตามไม่เช่นนั้นหากเกิดเรื่องใดขึ้นมา ฉุนอวี๋อันจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้!แต่น่าเสียดายที่ฉุนอวี๋อันไม่ได้รับการฝึกฝน!โชคดีที่เขาเห็นข้อนี้ จึงให้ฉุนอวี๋อันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เป็นการทำร้า
“ต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว”เกาเล่อรีบพยักหน้า“อีกอย่าง”“เจ้าไปเมืองผีครั้งนี้ต้องระวังตัวด้วย”“คำพูดของหลิ่วหรูเยียนเชื่อได้ แต่ก็ไม่ควรเชื่อทั้งหมด”“เมืองผีอาจไม่ใช่สถานที่ที่เราจะอยู่ได้ง่าย ๆ...”“หากพบเจอเรื่องยุ่งยากก็ปรึกษาข้าได้ตลอด อย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม!”หวังหยวนกำชับอีกสองสามประโยคเกาเล่อเป็นมือขวาของเขา เขาย่อมไม่อยากให้เกาเล่อเป็นอันตราย ไม่เช่นนั้นหวังหยวนจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากบ่ายวันนั้น เกาเล่อเดินทางไปเมืองผีด้วยตัวเองส่วนหวังหยวนก็กลับไปที่พักหลี่ซื่อหานรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหวังหยวนเดินเข้ามา นางก็ยิ้มหวานเดินเข้ามาหา แล้วควงแขนหวังหยวนขณะกล่าวว่า “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านกำลังทำอยู่ในช่วงนี้”“จะรับอนุภรรยาอีกแล้วหรือ?”หวังหยวนถึงกับหน้าเสียใครปากมาก เอาเรื่องนี้ไปบอกหลี่ซื่อหาน?ที่เขาไปหอนางโลมนั้นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อสถานการณ์บ้านเมืองต่างหาก!“ในสายตาเจ้า ข้าเป็นผู้ชายที่เห็นผู้หญิงแล้วอดใจไม่ได้หรือ?”หวังหยวนจิบชา และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์หลี่ซื่อหานยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน แต่คนอื่นไม่รู้จักนิสัยของท่าน อาจทำให้เกิด