“ไม่อร่อยเลยสักนิด”เมื่อได้เคี้ยวข้าวสาลีผสมถั่ว หวังหยวนวางชามดินเผาลง รู้สึกเหมือนกินแกลบไม่มีผิด ตอนนี้ใครมาบอกว่าการข้ามกาลเวลามันดี เขาก็พร้อมที่จะบอกความในใจให้พวกเขา ข้ามกาลเวลามาถึงช่วงราชวงศ์ต้าเย่ คล้ายช่วงยุคสมัยโบราณของจีน เจ้าของร่างเดิมเป็นเป็นเจ้าของที่ดินเล็ก ๆ ตอนที่พ่อแม่ยังอยู่ ตอนเช้าได้กินข้าวต้มข้าวฟ่าง เที่ยงได้กินข้าวผสมข้าวฟ่าง ตอนเย็นได้กินเซาปิ่งพร้อมธัญพืชผสม ทุก ๆ สิบวันหลังจากกลับมาจากโรงเรียนในเมือง ถึงจะได้กลับมากินให้หายอยากได้สำหรับคนทั่วไป แต่ละวันกินข้าวต้มข้าวฟ่าง หรือข้าวสาลีผสมถั่ว ส่วนเนื้อนั้นในช่วงปกติอย่าไปคิดถึงมันเลย คงมีแค่ช่วงฉลองตรุษจีนเท่านั้นถึงจะได้กินเนื้อบ้าง ส่วนแป้งและข้าวสารนั้นเป็นที่นิยมของเจ้าของที่ดิน คหบดีและขุนนาง นึกถึงพวกไข่ เนื้อหมู ไก่ ปลา บนโลกที่ถูกทิ้ง หวังหยวนอดที่จะตีตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงที่ฟังดูขลาดกลัวของคน ๆ หนึ่งดังขึ้น “ท่านพี่ ขอโทษนะ ในบ้านไม่มีข้าวฟ่างแล้ว ให้ท่านที่เป็นบัณฑิตเพิ่งหายป่วยกินข้าวสาลีผสมถั่วเช่นนี้?” แววตาของหวังหยวนมีประกายขึ้นมา สาวน้อยคนสวยที่ท่าทางขี้ขลาดยืนอยู่หน้าห้องโ
หวังหยวนเลิกคิ้ว "ถ้าข้าทำได้ล่ะ?" หลิวโย่วไฉเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ "ถ้าเจ้าทำได้ ข้าจะไม่คิดดอกเบี้ย! แต่ถ้าทำไม่ได้ เจ้าจะต้องขายตัวเองเป็นคนรับใช้นายของข้า ว่าอย่างไรบ้าง?" หลี่ซื่อหานหน้าถอดสี “ท่านพี่ อย่ารับปากนะ!” เจ้าของที่ใจดำคนนี้ต้องการให้เขาขายตัวเองเป็นทาส หวังหยวนโกรธมาก แต่เขาเดินไปเขียนสัญญาสองฉบับและหยิบแผ่นหมึกสีแดงออกมา "เขียนชื่อและประทับนิ้วซะ!" “ได้!” หลังจากเขียนชื่อด้วยลายมือน่าเกลียด และประทับลายนิ้วมือสีแดงแล้ว หลิวโย่วไฉก็เดินจากไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ คนเสเพลเช่นนี้ เขาไม่มีหาเงินสี่สิบกว้านได้ภายในสามวันอย่างแน่นอน แม้ว่าครอบครัวของสาวน้อยจะร่ำรวย แต่พวกเขาก็อยากให้นางทิ้งคนเสเพลพรรค์นี้อยู่เสมอ ดังนั้นการยืมเงินคงจะเป็นไปไม่ได้แน่ การเดิมพันครั้งนี้ จะได้ทาสมาฟรี ๆ และสามารถขายได้ต่อในราคาหลายสิบกว้านด้วย! เข้าใกล้เป้าหมายที่ตระกูลหลิวจะครอบครองที่ดินพันหมู่ไปอีกหนึ่งเก้า 'สามีภรรยา' ยืนอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้าน “ซื่อหาน” หวังหยวนอยากจะปลอบนาง หลี่ซื่อหานเช็ดน้ำตา และรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอน หวังหยวนเข้าใจว่านี่เป็นทำร้าย
งานที่เหลือใช้แรงออกน้อยกว่ามาก แค่ล้างรากหญ้าแล้วบดในครกหิน หลังจากทำงานยุ่งมานาน หวังหยวนรู้สึกเหนื่อยมากจนปวดหลังไปหมด เขาจึงเอารากหญ้าที่ตำใส่ถังน้ำ จึงค่อย ๆ เดินทอดน่องไปที่ริมแม่น้ำ หวังหยวนเห็นพวกปลาแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ เขาจึงโรยแป้งหมี่ถั่วเหลืองและน้ำลงไป ด้วยเหยื่อที่วางลงไป จำนวนปลาที่รุมเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ หวังหยวนค่อย ๆ เทของเหลวที่ได้จากการตำรากหญ้าลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อน้ำที่ได้จากการตำรากหญ้านั้นกระจายตัว ปลาที่ค่อย ๆ ลอยหงายท้องขึ้นมาจากน้ำ หนึ่งตัว! สองตัว! ... หลังจากนั้นสักพัก หวังหยวนก็จับปลาตัวใหญ่ได้แปดตัว และตัวเล็กอีกสิบห้าตัว ปลาตัวใหญ่หนักประมาณสองกิโลครึ่ง ตัวเล็กหนักประมาณสองร้อยห้าสิบกรัม ปลาที่เล็กกว่านี้ก็ปล่อยมันไป เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หวังหยวนก็กลับบ้านด้วยของที่เต็มตะกร้า ผ่านกระท่อมมุงหลังคาจากสี่หลัง คอกวัวและลานเล็ก ๆ ที่ล้อมรั้วทางด้านตะวันออกของหมู่บ้าน “ลุงหานซาน!” หวังหยวนตะโกนเรียกเขา เด็กน้อยน่ารักที่เหมือนตุ๊กตาตัวน้อยสวมเสื้อคลุมยัดนุ่นวิ่งออกมาจากเรือน ไปมองดูหวังหยวนในชุดคลุมตัวอย่างสงสัยและเขินอาย "หวั
ในโลกนี้มีการตกปลา ตกเบ็ด จับปลา แต่ยังไม่มีใครวางยาปลา หวังหยวนยิ้มและพูดว่า "ข้าค้นพบเคล็ดลับการตกปลาและก็จับปลากลับมาได้ตั้งเยอะ รีบกินเร็วเข้า ระวังถูกก้างทิ่มเอาล่ะ!" “เคล็ดลับการตกปลา!” หลี่ซื่อหานที่สงสัยอยู่แล้วนั้น ยิ่งเจอความเป็นห่วงเอาใจใส่ของหวังหยวน ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับกวางที่ตกใจอีกครั้ง ทั้งสองคนก็กินปลาต่อไป ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยได้กินปลาหรือเปล่า หรือเป็นเพราะปลาสดใหม่ หวังหยวนพบว่าปลาที่ทอดในน้ำมันหมูสักพัก และใส่เกลืออบรอสักสิบห้านาที และโรยด้วยผักป่า มันจะอร่อยมากซะกินจนหมดเกลี้ยง มาดูทางหลี่ซื่อหาน นางกินเหมือนแมวดมไม่มีผิด กินไปเพียงแค่ครึ่งชิ้นเท่านั้น “ท่านพี่ ข้าอิ่มแล้ว อีกครึ่งตัวนี้ข้ายังไม่ได้แตะมัน!” เห็นหวังหยวนมองมาที่นาง หลี่ซื่อหานก็วางตะเกียบลงแล้วผลักจานปลานั้นมา “ข้ากินอิ่มแล้ว แค่มองเจ้ากินปลาแบบนี้ก็น่ามองแล้ว รีบกินเถอะ!” หวังหยวนลุกขึ้นและออกจากห้องโถง เมื่อใดก็ตามที่มีเนื้ออยู่ในบ้าน หลี่ซื่อหานลังเลไม่กล้ากินมัน ปล่อยให้เจ้าของร่างเดิมกินก่อนเสมอ นี่จึงทำให้นางผอมลงจนผอมซูบ จนความงามแต่เดิมของนางก็หายไ
หวังซื่อไห่เอามือจับชายแขนเสื้อตัวเองยืนน้ำลายไหลอยู่หน้าประตูบ้านหวังหยวน หวังหยวนถามว่า "เจ้าทำอะไรน่ะ?" ต้าหู่และเอ้อหู่ก้าวออกมาล้อมขนาบหวังซื่อไห่ทั้งซ้ายและขวา มายืนน้ำลายไหลบ้านพี่หยวนแต่เช้า เจ้าอันธพาลนี่ต้องคิดเรื่องไม่ดีอยู่แน่ ๆ หวังซื่อไห่ตกใจจนสะดุ้ง แล้วจึงรีบถอยออกไปจากประตู “ข้า ข้าอยากกินปลา!" ช่างหน้าด้านได้อย่างตรงไปตรงมา หวังหยวนส่ายหน้า “เจ้ามาช้าไป ปลาถูกกินหมดแล้ว!” “เช้ากินหมดแล้ว ยังมีตอนเย็นอีก แค่อยากกินปลาเอง ให้ข้าไปขุดรากหญ้ากับเจ้าก็ได้นะ ไม่มีปัญหา” เมื่อวานที่เดินเตร็ดเตร่อยู่นั้น พบว่าที่บ้านหวังหยวนนั้นกินปลา และบ้านหวังหานซานก็ได้กินปลาเช่นกัน เดินมาแต่เช้าก็พบว่าบ้านหวังหยวนก็กินปลา และพ่อลูกหวังหานซานด้วย เมื่อนึกถึงที่หวังหยวนพูดถึงประโยชน์ เขาเข้าใจแล้วว่าเขาพลาดอะไรไป ปลาสองมื้อ! หวังหยวนกระพริบตา "งั้นไปเอาไข่สองฟองก่อน" ในชนบทแม้ว่าจะมีผู้เลี้ยงไก่อยู่ไม่กี่ราย แต่ไข่ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้และขายเป็นเงิน กว่าจะได้ไข่สองฟองไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ "...ตกลง!" หวังซื่อไห่กัดฟันและหันกลับมา หวังหานซานเตือนว่า "หวังหยว
หวังหยวนยิ้มและพูดว่า "ท่านหัวหน้า ข้าแบ่งปลาให้ท่านได้ไม่มีปัญหา และข้านั้นจะแบ่งหนี้สี่สิบกว้านของข้าให้ท่านด้วย! ถ้าหากท่านไม่อยากใช้หนี้ ก็แบ่งที่ดินสองร้อยแปดสิบหมู่ของบ้านท่านให้ข้าสักสิบหมู่ ที่ดินของบ้านข้าติดจำนองอยู่" “ไอเด็กเจ้าเล่ห์!” หวังปี่จงเดินจากไปอย่างหงุดหงิด ข้าแค่อยากได้ปลาเจ้าตัวเดียว เจ้าจะให้ข้าแบกหนี้ไปด้วย และยังให้ข้าแบ่งที่ให้อีกหลายสิบหมู่อีก ไอคนเสเพลพรรค์นั้น ยังมีหน้าพูดออกมาได้อีก “ท่านหัวหน้า อย่างเพิ่งไปสิ ข้าแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น อย่าโมโหไปเลย!” หวังหยวนตะโกนไล่หลังมา จับปลาได้มากมาย หากมีใครขอแค่สักตัวสองตัว เขาย่อมให้ได้อยู่แล้ว แต่นี่มาใช้ศีลธรรมบีบบังคับเขาให้แบ่งปลาให้คนทั้งหมู่บ้าน แล้วตัวเองได้ความดีความชอบไป แบบนี้มันไม่ได้ หวังปี่จงโมโหกระฟัดกระเฟียดไม่หันกลับมา เมื่อเห็นแผนการของหวังหยวนแล้ว ชาวบ้านต่างโห่ร้องและหัวเราะออกมา เจ้าอยากได้ของของข้า ข้าก็อยากได้ของของเจ้า เจ้าไม่ให้ข้า ข้าจะให้เจ้าไปทำไม หวังหยวนยกมือแสดงความคารวะ "พ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้า น้าอาทุกท่าน ตอนนี้ทุกคนต่างรู้เรื่องของข้า ปลาเหล่านี้ต้องนำไปขายเ
“อืม ท่านพี่!” “อย่าเรียกท่านพี่สิ เรียกเหล่ากง!” “...ไม่ได้!” “ทำไม?” “ท่านพี่ เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที ท่านแค่ป่วย หาหมอดูอาการก็ดีขึ้นแล้ว ทำไมต้องดูถูกตัวเองแบบนี้ด้วย!” "...เหล่ากงคือคำใช้เรียกขันที???” "คำใช้เรียกขันทีถูกเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละราชวงศ์ที่ผ่านมา พวกเขาเรียกขันทีอย่างเป็นทางการว่าหวางเหมินและเตียวตัง บางคนได้รับเกียรติยกย่องเป็นเน่ยกว้าน เน่ยเฉิง จงกว้าน และจงกุ้ย นอกจากนี้ยังมีชื่อที่เสื่อมเสียเช่น เน่ยซู่ เหยียนเฉิน ไท่เจี้ยน เหยียนเหริน และเหล่ากง ขันทีก็เรียกว่าเหล่ากงเจ้าค่ะ" “...ทำไมเจ้าถึงรู้เยอะนัก?” “...ตอนเด็ก ๆ มีหมอดูผ่านบ้านข้า บอกว่าข้ามีดวงชะตานางหงส์ ท่านพ่อจึงอบรมให้ข้าเป็นกุลสตรี สอนมารยาทและธรรมเนียมในวังให้ด้วย” “ดวงชะตานางหงส์?” “ท่านพี่อย่าโกรธไปเลย หมอดูคนนั้นเป็นนักต้มตุ๋น ข้าจะไปมีดวงชะตานางหงส์ได้อย่างไร! หลังจากแต่งงานกับท่านแล้ว ตราบใดที่สามียังต้องการข้า ข้าก็จะรับใช้ท่านตลอดไป” ...ในวันรุ่งขึ้น หวังหานซานขับเกวียนล่อขนปลาลงในถังไม้ขนาดใหญ่พวกเขาทั้งห้าก็เตรียมตัวออกเดินทาง หลี่ซื่อหานหยิบถุงผ้าสีแดงยัดใส่มื
“เคารพเจ้าถิ่น?” เห็นท่าทางของคนกลุ่มนี้ หวังหยวนก็นึกขึ้นมาได้ "พวกเจ้ามาที่นี่เอาค่าคุ้มครองใช่ไหม?" ต้าหู่ เอ้อหู่กำหมัดแน่น และมายืนหลังหวังหยวน หวังหานซานขมวดคิ้วแน่น หวังซื่อไห่พูดเสียงทุ้มต่ำ “หวังหยวน ยุ่ง ๆ เลยไม่ได้บอกเจ้า นี่เป็นลูกพี่ใหญ่ค้าปลาของตลาดตะวันตก ‘น่าวซานเจียง’ มีลูกน้องตั้งสิบยี่สิบคน ไม่ว่าใครมาขายปลาต้องจ่ายส่วยให้เขาสองส่วนด้วยย” “สองส่วน?” หวังหยวนโกรธมาก “พวกเจ้าเก็บแพงกว่าทางการตั้งมากโข?” ลำบากลำบนทำงานอย่างหนักอยู่สองวันเพื่อจับปลา ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อเข้าเมือง ทางการเก็บภาษีค้าขายแค่หนึ่งในสิบ แต่พวกอันธพาลเหล่านี้กล้าที่จะเก็บตั้งสองในสิบได้ เอ้อหู่จ้องเขม็งแม้แต่ต้าหู่ที่ใจเย็นและนิ่งอยู่เสมอยังกำมือแน่น จนเส้นเลือดปูดโปนไปหมด แท้จริงแล้วพวกอันธพาลเหล่านี้มีเอาเปรียบขูดเลือดขูดเนื้อได้โหดเหี้ยมมากกว่าทางการเสียอีก หวังหานซานจ้องไปที่ลูกชายทั้งสองแล้วส่ายหน้า “อยากขายปลาที่ตลาดนี้ก็ต้องจ่ายมาสองในสิบ นี่เป็นกฎของตระกูลซาที่นี่ ไม่งั้นก็ทิ้งปลาไว้ แล้วไสหัวไปซะ” น่าวซานเจียงยกมือขึ้นข่ม ทั้งแปดขึ้นที่ก้าวเข้ามา มีทั้งก
“ในเมื่อคุณหนูเอ่ยปากแล้วก็เชิญนำทางเถิด”หวังหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้มไป๋ลั่วหลีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ที่บอกว่าพักผ่อนทำกิจกรรมในห้องทั้งวันหมายความว่าอย่างไร?หรือว่า...นางไม่กล้าคิดต่อเพราะนางยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้...ส่วนหลิ่วหรูเยียนถึงกับหน้าแดงก่ำ แอบด่าหวังหยวนอยู่ในใจ “พูดโดยไม่คิด ช่างน่าอายจริง ๆ!”แม้ว่านางกับเขาจะทำเรื่องลับ ๆ ในห้องจริง แต่ก็ไม่ควรพูดออกมาเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?ไม่รักษาหน้าตาของนางบ้างหรือไร?“อะแฮ่ม”ไป๋ลั่วหลีกระแอมสองครั้ง แล้วตั้งสติกล่าว “เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”ใต้แสงจันทร์ เงาร่างสามร่างเดินไปตามถนน ไม่นานก็มาถึงตำหนักหลังหนึ่ง“ที่นี่คือ...”หวังหยวนมองตำหนักที่อยู่ตรงหน้า แล้วเอ่ยถาม“ที่นี่คือตำหนักขององค์ชายใหญ่ไป๋อวิ๋นเฟย ตอนกลางวันข้าออกจากวังหลวงมาพบกับองค์ชายใหญ่ที่นี่”“องค์ชายใหญ่เป็นห่วงบ้านเมือง เมื่อรู้ว่าท่านยังอยู่ในเมืองหลวงจึงอยากให้ข้าพาท่านมาพบ”“หวังว่าท่านจะช่วยเหลือองค์ชายใหญ่กอบกู้ราชวงศ์ต้าเย่ คืนความสงบสุขให้บ้านเมืองอีกครั้ง!”ไป๋ลั่วหลีประสานมือกล่าวที่แท้
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก...”เสียงเคาะประตูดังขึ้น ปลุกให้หวังหยวนและหลิ่วหรูเยียนตื่นจากฝัน“ใคร?”หวังหยวนคว้าปืนคาบศิลาที่ซ่อนไว้ใต้หมอน มองไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยถามเสียงเย็น“ข้าเองเจ้าค่ะ!”เสียงของไป๋ลั่วหลีดังมาจากข้างนอก“คุณหนูไป๋เองหรือ”หวังหยวนเก็บปืน ก่อนจะสวมเสื้อผ้าเดินไปเปิดประตู สายตามองไป๋ลั่วหลีใต้แสงจันทร์ เห็นได้ชัดว่าไป๋ลั่วหลีดูเหนื่อยล้า มีเหงื่อเกาะบนหน้าผาก“ดึกดื่นป่านนี้ไม่ยอมพักผ่อน มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”“หรือว่า...”“ฝ่าบาท...”หวังหยวนเลียริมฝีปากแห้งผาก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น“ท่านหวังอย่ากังวล ฝ่าบาทยังปลอดภัยดี เพียงแต่สถานการณ์ในเมืองหลวงดูเหมือนจะเปลี่ยนไป”ไป๋ลั่วหลีเข้ามาในห้อง ดื่มชาสองถ้วย แล้วกล่าวต่อ “ตอนที่พวกเราไปปราบกบฏ ไม่คิดว่าซือฟางกับเจี๋ยงโฉ่วอีจะใช้วิธีใดไม่ทราบ ทำให้ไป๋หมิงได้เป็นไท่จื่อ!”“ตอนนี้องค์ชายใหญ่ถูกลดอำนาจ ราชกิจสำคัญต่าง ๆ ตกอยู่ในมือของซือฟางกับเจี๋ยงโฉ่วอี ไป๋หมิงอายุแค่สิบกว่าปี ตอนนี้เปรียบเสมือนฮ่องเต้หุ่นเชิด...”“หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ ไป๋หมิงก็จะขึ้นครองราชย์ เมื่อถึงตอนนั้น ซือฟางกับเจี๋ยงโฉ่วอ
เหล่าทหารองครักษ์ต่างเข้าใจ พากันชักดาบเล็งไปที่ไป๋ลั่วหลีเห็นได้ชัดว่าหากไป๋ลั่วหลีบุกเข้าไปในวังหลวง ก็จะถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี!ไป๋ลั่วหลีลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ เพียงแค่ถามว่า “แล้วองค์ชายใหญ่อยู่ที่ใด?”“ในเมื่อข้าเข้าเฝ้าฝ่าบาทไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่?”องค์ชายใหญ่ไป๋อวิ๋นเฟยเป็นคนอ่อนโยนและสง่างาม หากเขาขึ้นครองราชย์ ราชวงศ์ต้าเย่จึงจะสงบสุข!มีเพียงไป๋อวิ๋นเฟยเท่านั้นที่สามารถควบคุมซือฟางกับเจี๋ยงโฉ่วอี เพื่อไม่ให้พวกเขาใช้อำนาจโดยไม่ชอบ!“องค์ชายใหญ่อยู่ที่ตำหนัก ท่านไปพบเมื่อไหร่ก็ได้!”“ส่วนวังหลวง...”“ท่านเข้าไม่ได้!”ซือฟางเตือนอีกครั้งไป๋ลั่วหลีไม่ได้อยู่ต่อให้ตนเองต้องเดือดร้อน นางต้องเปลี่ยนแผน!ในพริบตาเดียว นางก็ออกจากวังหลวงไปซือฟางมองตามแผ่นหลังนางไปด้วยความเย้ยหยัน แล้วเดินจากไปไม่นานเจี๋ยงโฉ่วอีเดินออกมาจากที่ซ่อนไปหาซือฟาง“ฆ่าผู้หญิงคนนั้นเลยดีหรือไม่?”“แม้ว่านางจะเป็นหญิงงามผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเย่ และมีพรสวรรค์จริง แต่ดูจากท่าทางแล้ว นางจงรักภักดีต่อไป๋อวิ๋นเฟย วันข้างหน้าคงเป็นศัตรูก
“ท่านขุนพล! ท่านให้พวกเขามาขวางข้าไว้เช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร?”ไป๋ลั่วหลีเดินไปหาซือฟาง พลางขมวดคิ้วกล่าว ไม่ได้ให้ความเคารพซือฟางแม้แต่น้อย!หากเทียบกันแล้ว ฐานะของนางย่อมสูงกว่าซือฟาง!ปกตินางอยู่เคียงข้างฝ่าบาท แค่นางเอ่ยปากก็สามารถควบคุมขุนพลใหญ่ซือฟางได้แล้ว!แต่ไม่คิดว่า...วันนี้ซือฟางกลับกล้าพูดกับนางเช่นนี้เลยหรือ?ช่างน่าเจ็บใจ!“แม่นางไป๋ ท่านอย่าโทษข้าเลย นี่เป็นคำสั่งของไท่จื่อ!”“ฝ่าบาททรงหมดสติ พักผ่อนอยู่ในตำหนัก แต่ก่อนหน้านั้น พระองค์ได้มอบราชกิจสำคัญให้ไท่จื่อแล้ว”“ไท่จื่อเพิ่งจะขึ้นครองตำแหน่ง ย่อมต้องระมัดระวัง วังหลวงจึงเป็นเขตหวงห้าม หากไม่มีข้านำทาง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้า!”ซือฟางกล่าวอย่างชอบธรรม“ไท่จื่อหรือ?”“ฝ่าบาทแต่งตั้งไท่จื่อตั้งแต่เมื่อไหร่?”ไป๋ลั่วหลีสงสัย ตอนที่หวังหยวนมาที่ราชวงศ์ต้าเย่ แม้ว่าไป๋เหยียนเฟยจะป่วยหนักและอ่อนแอ แต่ก็ยังถามถึงเรื่องไท่จื่อเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนนางไม่ได้ยินข่าวใด ๆ เลย แล้วเหตุใดถึงมีไท่จื่อองค์ใหม่แล้ว?“ใครเป็นไท่จื่อ!”ทันใดนั้น ไป๋ลั่วหลีก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงรีบถาม“ไท่จื่อองค์ปัจ
ไป๋ลั่วหลีกำชับ แล้วเดินออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังวังหลวงในห้อง หวังหยวนและหลิ่วหรูเยียนนั่งอยู่ที่โต๊ะหวังหยวนส่ายหน้ากล่าว “ไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้”“ไม่นานมานี้ ข้าเพิ่งพบกับไป๋เหยียนเฟย แต่ผ่านไปไม่นาน นางก็ใกล้จะจากโลกนี้ไปแล้ว...”“ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา...”หลิ่วหรูเยียนไม่ได้เอ่ยคำใดน่าเสียดาย ไป๋เหยียนเฟยเพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่ถึงห้าปี จักรพรรดินีผู้ยิ่งใหญ่ก็ต้องจากไปแล้ว...น่าเศร้าใจยิ่งนัก!“หลายวันมานี้ เจ้าติดตามข้าไปทุกที่ คงจะเหนื่อยมากแล้วใช่หรือไม่?”“ตอนนี้ว่างแล้ว พวกเราก็มาพักผ่อนกันเถิด”“ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน รอดูสถานการณ์...”ไป๋เหยียนเฟยยังไม่สิ้นพระชนม์ พวกเขาจึงไม่อาจผลีผลามได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ราชวงศ์ต้าเย่เกลียดชังแต่ก็ไม่อาจจากไปได้ เพราะประเดี๋ยวสถานการณ์จะควบคุมไม่ได้!ช่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!โชคดีที่หวังหยวนสังเกตเห็นว่าไป๋เหยียนเฟยคงอยู่ได้อีกไม่นาน คงไม่เกินวันสองวันนี้...เมื่อถึงตอนนั้น ราชวงศ์ต้าเย่คงจะเปลี่ยนแปลงเขาจะพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของเ
“อืม!”ไฉปิ่งอี้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม แล้วดื่มยาจนหมดน่าเสียดาย เขารู้ดีว่าตอนนี้เขาป่วยหนัก แม้เห็ดหลินจือพันปีจะเป็นยาชั้นดีก็คงช่วยอะไรไม่ได้...ผลลัพธ์ย่อมเดาได้อยู่แล้ว“เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน”หวังหยวนเห็นไฉปิ่งอี้นอนลงบนเตียงจึงบอกลา แล้วพาหญิงสาวทั้งสองกลับเมืองหลวงไฉจวิ้นส่งพวกเขาออกจากบ้าน แล้วกลับเข้าไปดูแลปู่ระหว่างทาง ไป๋ลั่วหลีมองหวังหยวน แล้วถามด้วยความสงสัย “ท่านหวังมาที่นี่ก็เพื่อรับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นศิษย์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”“ถือว่าเป็นกำลังเสริมให้ท่านได้”“เด็กหนุ่มคนนั้นมีพละกำลังมาก หากเข้าร่วมกองทัพก็จะเป็นกำลังสำคัญ”“แต่โอกาสอยู่ตรงหน้า เหตุใดท่านจึงเลือกที่จะจากไป?”หลิ่วหรูเยียนก็สงสัยเช่นกันหวังหยวนลังเลครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้ากล่าว “บอกตามตรง ข้าตกลงกับไฉปิ่งอี้แล้ว คาดว่าคืนนี้ไฉปิ่งอี้คงจะปลิดชีพตัวเอง...”“เขาจะจัดการทุกอย่าง พรุ่งนี้เช้า ข้าแค่มารับไฉจวิ้นก็พอ”“ต่อไปไฉจวิ้นจะเป็นเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของข้า”หลิ่วหรูเยียนและไป๋ลั่วหลีเข้าใจทันทีที่แท้เป็นเช่นนี้!ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากหวังหยวนคุยกับไฉปิ่งอี้ สีหน้าของหวังหยวนกลับดูเศร้าหมอ
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะสดใส!ยิ่งกว่านั้น ไฉจวิ้นยังเป็นคนรักษาคำพูด!ไม่เช่นนั้นหวังหยวนจะยอมเสียเงินซื้อเห็ดหลินจือพันปีให้เขาได้อย่างไร?ไฉปิ่งอี้กุมอกหัวเราะ อาจเป็นเพราะเสียงหัวเราะทำให้แผลกำเริบ เขาจึงไออย่างรุนแรงหวังหยวนรีบเข้าไปลูบหลังให้จนไฉปิ่งอี้รู้สึกดีขึ้นครู่ต่อมา ไฉปิ่งอี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นอะไร ข้าอยู่มานานพอแล้ว แม้ว่าข้าจะดูเหมือนคนป่วย แต่ความทุกข์ทรมานของข้าหนักมากกว่าที่ท่านคิด...”“เนื่องจากบาดแผลยังไม่หายดี หลายปีมานี้ ข้าต้องทนทุกข์ทรมาน ทุกครั้งที่อาการกำเริบ ข้าเจ็บปวดมาก แค่ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติก็ยังไม่ได้ แม้แต่การนอนหลับยังนับว่าเป็นเรื่องยาก...”“เพราะฉะนั้น ข้าอยู่มานานเกินพอแล้ว!”“ที่ข้ายังไม่ฆ่าตัวตายก็เพราะเป็นห่วงไฉจวิ้น!”“ตอนนี้ได้พบกับท่านแล้ว ข้าก็หมดห่วง คืนนี้ข้าจะบอกความจริงกับไฉจวิ้น...”นี่...หวังหยวนเป็นคนฉลาด จะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อได้อย่างไร?ทันใดนั้น หวังหยวนก็เบิกตากว้าง รีบคว้าแขนไฉปิ่งอี้ไว้แล้วกล่าว “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”“หากท่านเชื่อใจข้า ก็ไปกับพวกเราเถิด ข้าจะจัดหาที่อยู่ให้ท่าน!”“ข้ามีคนเก่งกาจ
“ท่านโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ขอบคุณท่าน เพียงแต่อยากพูดคุยเรื่องของจวิ้นเอ๋อร์!”ชายชรารีบกล่าวหวังหยวนไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแต่รอฟังครู่ต่อมา ชายชราก็กล่าว “ข้าชื่อไฉปิ่งอี้ อายุห้าสิบกว่าปี แต่เมื่อหลายปีก่อน ข้าได้สร้างความแค้นให้ศัตรูไว้จึงถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้ต้องหลบหนีมาอยู่ที่นี่!”“แม้ว่าข้าจะอายุเพียงห้าสิบกว่าปี แต่เนื่องจากบาดแผลยังไม่หายดี แถมยังทรุดหนักขึ้น ทำให้รูปร่างหน้าตาของข้าเปลี่ยนไปจนดูแก่ชรา...”หวังหยวนพยักหน้า ชายชราผู้นี้ช่างน่าสงสารตอนแรกเขาคิดว่าชายชรามีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บภายใน!น่าเศร้าใจยิ่งนัก!“ท่าน ข้าตายก็ไม่สำคัญ เพราะเป็นการตายที่สมควรแล้ว!”“หากตอนหนุ่ม ๆ ข้าไม่ทะเยอทะยานเกินไป แล้วจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร?”“แต่จวิ้นเอ๋อร์เป็นเด็กดี ข้ากลัวว่าหลังจากข้าตาย เขาจะรักษาคุณธรรมไว้ไม่ได้ กลัวว่าจิตใจจะเปลี่ยนแปลง แล้วค่อย ๆ หลงผิดไป”“เขาอายุแค่สิบห้าปี ยังเป็นแค่เด็ก...”“ข้าหวังว่าหลังจากข้าตาย ท่านจะพาเขาไปด้วย ข้าเห็นว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา หากจวิ้นเอ๋อร์ได้ติดตามท่านคงสร้างผลงานได้ ไม
เมื่อเห็นชายชราล้มป่วยจนต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา จะให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีได้อย่างไร?น่าเสียดาย...เขาทำอะไรได้น้อยมาก ไม่สามารถช่วยให้ชายชราหายป่วยได้แต่เขาก็ไม่สามารถทนดูผู้มีพระคุณตายไปต่อหน้าต่อตาได้!“เห็ดหลินจือพันปีหรือ?”“ของล้ำค่าเช่นนั้น เจ้าได้มาอย่างไร?”“เจ้าขโมยมาหรือ?”สีหน้าของชายชราเปลี่ยนไป น้ำเสียงแข็งกระด้างขณะขมวดคิ้วกล่าว “ปู่สอนเจ้าเสมอว่าคนเราจนได้ แต่อย่าไร้ศักดิ์ศรี!”“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องไม่ขโมยหรือปล้น! ลูกผู้ชายต้องยืนหยัดในแผ่นดิน หากต้องการมีที่ยืนในโลกต้องรักษาคุณธรรม!”ช่างเป็นยอดคนอย่างแท้จริง!หวังหยวนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินคำพูดของชายชรา แล้วพยักหน้าเห็นด้วยแม้ว่าทุกคนจะเข้าใจหลักการนี้ แต่การรักษาคุณธรรมไว้ให้ได้นั้นยากยิ่ง!เด็กหนุ่มได้รับการสั่งสอนจากชายชรามาตั้งแต่เด็กจึงดูไร้เดียงสา!คงได้รับอิทธิพลมาจากชายชรา“ท่านปู่! ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ!”“ข้าไม่ได้ขโมยเห็ดหลินจือพันปีมา แต่พี่ชายกับพี่สาวที่อยู่นอกประตูเป็นคนซื้อให้ต่างหาก!”“พวกเขามอบเห็ดหลินจือพันปีให้ข้า! ข้าจะจดจำบุญคุณนี้ไว้ วันข้างหน้าจะตอบแทนพวกเขาแน่นอน