สาวใช้พยักหน้าอย่างรุนแรง หวังให้หวังหยวนไว้ชีวิตนางหวังหยวนก็ไม่ได้อยากปลิดชีวิตนางอยู่แล้ว ในเมื่อคนผู้นี้สารภาพทุกอย่างแล้ว เขาก็จะเมตตาสาวใช้จึงพาหวังหยวนออกจากจวนเสวี่ยไปยังจวนตระกูลเจิ้ง นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ก้าวเข้าสู่ประตูจวนของแปดตระกูลใหญ่หลังจากที่หวังหยวนออกจากจวนเสวี่ย เสวี่ยเชียนหลงก็ได้รับข่าวทันทีนางรีบแต่งตัวแล้วไปที่ห้องของบิดา หวังให้บิดาออกมาจัดการเรื่องนี้เพราะหากหวังหยวนได้รับอันตราย นางเกรงว่าตนจะไม่มีทางรอดชีวิตอีกต่อไป“ท่านพ่อ ลูกเข้าใจว่าท่านไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูก ลูกจึงหวังให้ท่านช่วยด้วยเจ้าค่ะ”หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเสวี่ยเชียนหลง สีหน้าของเสวี่ยโส่วจุนก็เปลี่ยนไป ก่อนจะรีบส่งคนของตนไปสืบหาความจริงหากเป็นตระกูลเจิ้งที่ตั้งใจหาเรื่อง เขาจะไม่เข้าข้างปกป้องอย่างแน่นอน และจะต้องลงโทษผู้กระทำผิดอย่างสาสม“ก่อนที่พ่อจะสืบหาความจริงได้ เจ้าจงอยู่แต่ในเรือน เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเอง วางใจเถิด พ่อจะไม่ปล่อยให้เขาเป็นอันตรายอย่างแน่นอน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ ไม่ว่าอย
“เจ้าหนูสกปรกกล้ามาอาละวาดที่จวนเจิ้งของพวกข้าหรือ เจ้าไม่รู้หรือว่าตระกูลเจิ้งของพวกข้าเป็นหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่?”“พ่อบ้าน ท่านคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี? ข้าควรจะพูดพล่ามกับมันต่อไปหรือไม่? หากไม่ควรก็คงต้องรุมกระทืบเจ้าหนูสกปรกตัวนี้ แล้วโยนมันออกไป”“ตั้งแต่เกิดมาข้าเพิ่งเคยพบคนโอหังเช่นนี้ เป็นเพียงหนูสกปรกไร้ชื่อเสียง กลับกล้ามาอาละวาดที่จวนเจิ้ง”เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เกรงกลัวสถานะของเขาเลย กลับเอ่ยวาจาหยาบคายและเย่อหยิ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นสมุนที่อยู่ในตระกูลใหญ่มาช้านาน จนหลงคิดว่าตนเองก็เป็นสมาชิกตระกูลใหญ่เช่นกันหลังจากที่พ่อบ้านเห็นว่าตนมีพวกหนุนหลังแล้วก็กลายเป็นคนเย่อหยิ่งขึ้นมาทันทีเขาไม่ดูกล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่เดินอย่างองอาจไปตรงหน้าหวังหยวน“เห็นหรือไม่ พวกนี้ล้วนมีฝีมือสูงส่งกว่าเจ้าทั้งสิ้น หากเจ้ายังกล้าบังอาจอีกก็จะไม่เกรงใจเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะพวกข้าเป็นคนของตระกูลใหญ่ที่ต้องรักษาหน้าตา ก็คงจัดการเจ้าไปนานแล้ว!”พ่อบ้านรู้สึกว่าตนเองเมตตาพูดจาเตือนสติหวังหยวนอย่างดีที่สุดแล้ว หากหวังหยวนไม่ฟังก็คงช่วยอะไรไม่ได้หวังหยวนมองพวกเ
หวังหยวนกำลังคิดอะไรอยู่?ที่นี่คือจวนเจิ้งซึ่งเป็นอาณาเขตของเขา หากเขาสั่งเพียงคำเดียว บิดาของเขาก็จะนำกองทัพมามากมายเพื่อฆ่าหวังหยวน!หวังหยวนยืนอยู่ตรงหน้านายน้อยตระกูลเจิ้งก่อนจะต่อยเข้าที่ใบหน้า นายน้อยตระกูลเจิ้งทรงตัวไม่อยู่จึงล้มลงไปในแอ่งโคลนด้านข้าง“หมัดนี้ต่อยแทนเสวี่ยเชียนหลง เพราะการที่คนอย่างเจ้าชอบนางถือว่าเป็นการดูหมิ่นนางอย่างแท้จริง”จากนั้นหวังหยวนก็คว้าคอเสื้อของนายน้อยตระกูลเจิ้งขึ้นมาต่อยอีกหมัดแต่หมัดนี้ต่อยไปอีกด้านหนึ่ง ทำให้เขายังยืนได้อย่างสมดุลกัน“หมัดนี้สำหรับข้าเอง การที่ได้รู้จักคนอย่างเจ้าถือว่าเป็นมลทินในชีวิตของข้า ขอให้หลังจากนี้เราต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องกันอีก!”หลังจากที่หวังหยวนต่อยสองหมัดแล้ว เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ ราวกับว่านายน้อยตระกูลเจิ้งเป็นสิ่งสกปรกที่ทำให้ร่างกายของเขาแปดเปื้อนนายน้อยตระกูลเจิ้งทรุดตัวลงไปที่พื้น แววตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกชายคนโปรดมาโดยตลอด ไม่เคยถูกดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน แต่หวังหยวนกลับมอบความอัปยศอดสูเช่นนี้ให้แก่เขาเขาตะโกนดังลั่นก่อนลุกขึ้นจากพื้น แล้วหยิบดาบประจำตัวออ
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่อาจละเลยลูกชายของตนเองได้“ดูเหมือนว่าลูกชายคนเล็กของข้าจะดื้อรั้นเกินไป ข้าขอโทษแทนเขาด้วย ตระกูลเจิ้งของข้าถือว่าติดหนี้เจ้า เจ้าไว้ชีวิตเขาด้วยเถิด วันหน้าข้าจะชดใช้ให้”กล่าวจบแล้ว หัวหน้าตระกูลเจิ้งก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วโค้งคำนับตรงหน้าหวังหยวนอย่างสุภาพลูกชายคนเล็กของตระกูลเจิ้งไม่เคยเห็นบิดาตนเองก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนี้ จึงลืมแม้กระทั่งจะเอ่ยคำใดออกไปหวังหยวนก็ไม่ได้คาดคิดว่าหัวหน้าตระกูลเจิ้งจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขากล่าวคำขอโทษโดยไม่ลังเลบุคคลเช่นนี้เองที่ทำให้ทั้งโลกต้องหวาดกลัว เพราะเขาไร้ซึ่งความละอายมีคำกล่าวโบราณว่าคนไร้ซึ่งความละอาย ทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้าน คงจะเป็นเช่นนี้กระมังที่ทำให้หัวหน้าตระกูลเจิ้งก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้“ท่านพ่อ ท่านกำลังอะไรอยู่ขอรับ? เขาเป็นเพียงคนต่ำช้า ท่านจะก้มหัวให้เขาได้อย่างไร?”ลูกชายคนเล็กของตระกูลเจิ้งเพิ่งจะตั้งสติได้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดบิดาจึงก้มหัวให้คนต่ำช้าที่รังแกตนเองเช่นนี้หวังหยวนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ส่วนหัวหน้าตระกูลเจิ้งตวาดเขาเสียงดัง“พอแล้ว เจ้ายังคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำมานั้นย
“ฮึ่ม ท่านหัวหน้าตระกูลเจิ้ง บางสิ่งที่ท่านทำลงไป จงอย่าได้คิดว่าผู้อื่นจะไม่รู้ และอีกอย่าง เหตุใดจวนของข้าจึงมีสาวใช้ตระกูลเจิ้งของท่านเข้ามา? นางมาถึงหน้าประตูห้องของหวังหยวน แล้วอ้างตนเป็นสาวใช้ของสตรีสูงศักดิ์หญิงได้อย่างไร?”คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเสวี่ยโส่วจุน ก็ทำให้หัวหน้าตระกูลเจิ้งเหงื่อตกลูกชายคนเล็กที่อยู่ข้าง ๆ รู้ดีว่าตนเองเป็นผู้ก่อเรื่องนี้ขึ้นมา จึงไม่อยากให้บิดาต้องรับผิดแทนตน“เสวี่ยโส่วจุน! เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของข้าเพียงผู้เดียวขอรับ บิดาของข้าไม่รู้เรื่องใด ๆ ขอเสวี่ยโส่วจุนอย่าได้ลงโทษบิดาของข้า หากจะลงโทษ ข้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวขอรับ”ขณะที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลเจิ้งกล่าวถ้อยคำนี้ หวังหยวนก็หันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าเด็กคนนี้แม้จะไม่ฉลาดนัก แต่ก็รักบิดาของตนเองอย่างแท้จริงแท้จริงแล้วเขาไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรงใด ๆ หวังหยวนจึงไม่คิดจะเอาเรื่องเขาอยู่แล้ววันนี้มาที่นี่ก็เพื่อตักเตือนเขา หากหลังจากนี้ยังกระทำเช่นนี้อีก หวังหยวนจะไม่ละเว้นเขาเป็นแน่“เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นร้ายแรงเช่นนี้ แม้แต่
นายน้อยแห่งตระกูลเจิ้งไม่ได้หันกลับมามอง เขาเพียงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่คาดคิดเลยว่าศัตรูในอดีตจะกลายมาเป็นมิตรได้เขายกยิ้มแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับหวังหยวน“นับว่าเราได้รู้จักกันโดยไม่ได้ตั้งใจ เรารู้จักกันมานานแล้ว แต่ข้ายังไม่ได้บอกชื่อของข้าเลย ข้าชื่อเจิ้งอู๋หมิ่น หวังหยวน เจ้าจงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถเป็นสหายกันได้ในเร็ววันนี้ แต่ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราคงได้พบกันอีก”หลังจากที่เจิ้งอู๋หมิ่นพูดจบ เขาก็หันหลังโบกมือลาแล้วเดินจากไปหวังหยวนมองตามหลังเขา มุมปากปรากฏรอยยิ้มจาง“เอ๊ะ พวกท่านลืมข้าไปแล้วหรือไร? หากไม่มีอะไรแล้ว เราก็กลับกันเถิด ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีอยู่เสมอเมื่ออยู่ในจวนตระกูลเจิ้ง การแข่งขันรอบที่สามจะประกาศในเร็ว ๆ นี้แล้ว จึงควรกลับไปเตรียมตัวเจ้าค่ะ”เสวี่ยเชียนหลงก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกได้ถึงความวังเวงน่ากลัว ราวกับมีกลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ไปทั่ว เมื่อนางอยู่ในจวนตระกูลเจิ้ง ทั้งที่มีแสงแดดส่องสว่างสดใส เสียงนกร้องไพเราะ และมีดอกไม้ป่างามตาขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่งเมื่อหวังหยวนหันไปมองเสวี่ยเชียนหลง เขาก็เห็นว่าคิ้วของนางขมวดเข้า
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หวังหยวนก็รู้สึกแปลกใจก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? หรือว่าเสียงนินทาเหล่านั้นเคยทำให้เชียนหลงรู้สึกแย่ จึงทำให้นางรู้สึกไวต่อคำติฉินนินทามากถึงเพียงนี้?พี่ชิงอีเดินไปยืนข้างหวังหยวนพลางมองตามหลังเสวี่ยเชียนหลงที่เดินจากไป แล้วก็เดินกลับไปพร้อมกับหวังหยวนอย่างตลอดทางทั้งสองพูดคุยกันมากมายเกี่ยวกับอดีตของเชียนหลง รวมถึงเรื่องที่นางป่วยเป็นโรคหนาวสั่นหวังหยวนไม่รู้ พี่ชิงอีก็เล่าให้ฟังหมดทุกเรื่องเมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลเสวี่ย หวังหยวนก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วมาก แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยเขาเข้าใจว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการบาดเจ็บภายในคงเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงเสวี่ยเชียนหลงมากเกินไปเขาเดินไปที่หน้าห้องของเสวี่ยเชียนหลงและต้องการจะเคาะประตู แต่สุดท้ายก็เดินจากไป เขาคิดว่าตอนนี้ยังเร็วเกินไปเมื่อเขาได้เป็นผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์เพื่อสู่ขอแล้ว เขาจะมาสู่ขอเสวี่ยเชียนหลงอย่างเปิดเผย และบอกกับนางว่าโรคหนาวสั่นนั้นไม่ได้น่ากลัว เขาจะช่วยนางเอง!เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามวันก็มาถึงและการแข่งขันรอบสุดท้ายก็มาถึ
เมื่อรับของเหล่านั้นแล้ว หวังหยวนก็หันหลังเตรียมจะเริ่มออกเดินทางจะมีคนรับใช้พาเขาไปยังป่ามรณะแต่ก่อนจะก้าวออกจากประตู หวังหยวนก็หันกลับไปมองเสวี่ยเชียนหลงราวกับมีกระแสจิต เขาจึงรู้สึกว่าเสวี่ยเชียนหลงเป็นห่วงเขา เขายิ้มเพื่อบอกให้เสวี่ยเชียนหลงไม่ต้องกังวล เพียงแค่รอให้เขากลับมาอย่างสบายใจก็พอเมื่อส่งยิ้มให้แล้ว หวังหยวนก็หันหลังจากไปเขาขี่ม้าติดตามคนรับใช้ไปนานเพียงใดก็ไม่อาจทราบได้ ในที่สุดก็มาถึงป่ามรณะ“เห็นป้ายนี้หรือไม่ ข้างหน้าคือป่ามรณะ เมื่อก้าวเข้าไปที่นั่นจะมีสัตว์ป่ามากมายมาโจมตีท่าน ข้าจะบอกเพียงเท่านี้ ขอให้โชคดีขอรับ”คนรับใช้ได้เห็นการแข่งขันสองครั้งก่อนหน้าของหวังหยวนแล้ว จึงรู้สึกว่าหวังหยวนก็เป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากด้วยความเสียดายคนที่มีความสามารถ เขาจึงเตือนด้วยความหวังดีเมื่อคนรับใช้จากไปแล้ว หวังหยวนก็ไม่ลังเลที่จะถือข้าวของเดินเข้าไปยังป่ามรณะเมื่อก้าวข้ามป้ายนั้นไปแล้ว เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไป ปรากฏว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในเทียนไว่เทียนหลังจากการประชุมเล็ก ๆ สิ้นสุดลง เสวี่ยเชียนหลงและนักพรตช