เอ้อหู่สามารถล้มวัวที่แข็งแกร่งได้ด้วยหมัดเดียว แต่มันกลับตกไปอยู่ในมือของนักพรตเฒ่าโดยไม่ขยับเลย!ไม่เลย!มันไม่ขยับเลย!แต่นักพรตเฒ่าชุดเขียวยังคงรักษาท่าทางเดิมได้ขณะเหยียดฝ่ามือรับหมัดของเอ้อหู่! ในสายตาของพวกเขา หมัดของเอ้อหู่ที่สามารถล้มวัวที่แข็งแกร่งได้ถูกสกัดไว้เช่นนี้จริง ๆ!เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ!เอ้อหู่ก็คิดเช่นนั้น นักพรตเฒ่าชุดเขียวมีแขนขาผอมบาง เอ้อหู่จึงกลัวว่าตนจะพลั้งมือทำร้ายเขาจนตาย!เขารู้สึกว่าหมัดนี้ก็เพียงพอที่จะหักแขนของนักพรตเฒ่าชุดเขียวได้แล้ว แต่หลังจากได้สัมผัสแล้วก็พบว่าฝ่ามือของนักพรตเฒ่าชุดเขียวเป็นดั่งภูเขาลูกใหญ่! ที่ไม่อาจทำให้ขยับเขยื้อนได้เลย! “เห็นแล้วหรือยัง?” นักพรตเฒ่าชุดเขียวหัวเราะด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างยิ่ง ราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ในมือของเขา!หวังหยวนก็ตกใจ เอ้อหู่ก็ตกใจ ต้าหู่และคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นเดียวกัน!เอ้อหู่สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วสัมผัสถึงความรู้สึกชาที่ส่งมาจากกำปั้นของตน จึงรู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง!“เป็นไปได้อย่างไร... แข็งแกร่ง!”เอ้อหู่เบิกตากว้าง ขณะนี้เขายิ่งอยากจะต่อสู้มากขึ้น“ท่านนักพรต ไม่คาดคิดเ
ในสายตาของคนที่มายืนดูจะเห็นเหมือนว่าต้าหู่และเอ้อหู่เปรียบเสมือนหมีตาบอดที่กำลังถูกหลอกล่อให้เต้นไปมา!หวังหยวนตกใจเมื่อเห็นภาพนี้!หากนักพรตเฒ่าชุดเขียวมีเจตนาจะลงมือจริง คงไม่พ้นที่ต้าหู่และเอ้อหู่จะต้องจบชีวิตลงในพริบตา!หวังหยวนมองออกและต้าหู่กับเอ้อหู่ก็คงมองออกเช่นกัน!พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบีบให้นักพรตเฒ่าชุดเขียวใช้ทักษะที่แท้จริง แต่ไม่ว่าจะใช้กลวิธีใดก็ไม่สามารถทำได้!ในท้ายที่สุดนักพรตเฒ่าชุดเขียวก็จับทั้งสองคนได้ แล้วโยนออกไปไกลหลายเมตร จากนั้นจึงหัวเราะ“ไม่ต้องสู้แล้ว พวกเจ้าต่อสู้กันทั้งชีวิตก็ไม่คู่ควรกับการเป็นคู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี เป็นอย่างไรล่ะ? ตอนนี้เชื่อคำพูดของข้าแล้วหรือยัง?”นักพรตเฒ่าชุดเขียวระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เอ้อหู่และต้าหู่ต่างก็เชื่อแล้ว รวมทั้งหวังหยวนด้วย“ท่านผู้เฒ่า ท่านซ่อนเร้นความลับได้แนบเนียนยิ่งนัก!”หวังหยวนรีบกล่าวชม เมื่อนักพรตเฒ่าชุดเขียวได้ยินคำนี้ก็โบกมือทันที “ข้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนักหรอก”เมื่อหวังหยวนได้ยินคำนี้ก็ยิ่งตกใจ ไม่ได้เก่งกาจอะไรงั้นหรือ?ต้าหู่และเอ้อหู่ต่างก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือแห่งยุค แต่กลับถูกนักพรต
หลังจากที่นักพรตเฒ่าชุดเขียวพูดจบ หวังหยวนก็ส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร!เขามองนักพรตเฒ่าชุดเขียวด้วยสีหน้างุนงงเป็นไปได้หรือไม่ว่าในโลกนี้มีผู้ควบคุมกฎของโลกอยู่?ไม่น่าจะเป็นไปได้!จะมีคนเช่นนี้ในโลกได้อย่างไร?นักพรตเฒ่าชุดเขียวหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้นว่า “หวังหยวน ความจริงข้าสังเกตท่านมานานแล้ว เรื่องราวที่ท่านประสบส่วนใหญ่ข้ารู้ดี แต่แน่นอนว่าข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย”“เพียงแค่รู้สึกว่าท่านไม่ธรรมดา สามารถทำสิ่งต่าง ๆ มากมายเพื่ออาณาจักรและประชาชนได้ ทำให้ข้ารู้สึกชื่นชมยิ่ง”หลังจากที่นักพรตเฒ่าชุดเขียวพูดจบ หวังหยวนก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วรีบกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า หรือว่า... ในโลกนี้มีคนหลุดพ้นทางโลกเช่นท่านอยู่อีกมากมาย?”“พวกเขา... จะไม่พิชิตโลกนี้หรือ?”แม้ว่าหวังหยวนจะไม่อยากเข้าใจเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นนักพรตเฒ่าชุดเขียวแล้วก็อดคิดไม่ได้!เขาเก่งมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำนายหรือวิทยายุทธ์ล้วนอยู่ในระดับยอดเยี่ยม!หากจะบอกว่าเขาเป็นคนธรรมดา หวังหยวนไม่มีทางเชื่อ!และยังเห็นได้ชัดว่าคำพูดของเขาที่พูดออกมาให้หวังหยวนฟังนั้นมาจากมุมมองของผู้เหนือกว่า!
“ดินแดนทั้งเก้าในเวลานั้นจึงตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายนานหลายปี มีการรบราฆ่าฟันกันทั้งวันทั้งคืนโดนไม่หยุดยั้ง!”“เรื่องเช่นนี้ทำให้กองกำลังหลักทั้งหมดรู้สึกเศร้าในใจและตัดสินใจต่อสู้จนตาย!”“ขณะนั้นในดินแดนทั้งเก้า การต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างผู้คนมีวิทยายุทธ์เลิศล้ำได้เกิดขึ้น! พวกเขาต่อสู้อย่างสุดกำลังเสียจนทำให้ฟ้าดินมีแต่ความมืดมิด แสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ถึงกับหายไป!"“แต่สุดท้ายทุกฝ่ายก็ประสบกับการสูญเสียอย่างหนัก!”“ในตอนนั้นมียอดฝีมือหลายหมื่นคน แต่หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นก็เหลือเพียงไม่ถึงหมื่นคน!”เมื่อหวังหยวนได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเช่นกัน!การต่อสู้ของผู้คนหลายหมื่นคนที่สุดท้ายเหลือไม่ถึงหมื่นคนนั้นโหดเหี้ยมจริงๆ!ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรอีกด้วย!ขณะที่หวังหยวนตกใจ นักพรตเฒ่าชุดเขียวก็พูดต่อ “ผู้ที่เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคนสุดท้ายต่างก็โศกเศร้าเสียใจ!”“พวกเขาสูญเสียทั้งครอบครัวและเพื่อนฝูงไป แต่กลับไม่ได้อะไรเลย สิ่งที่เรียกว่าอำนาจเป็นยาพิษร้ายแรงที่สุดที่ทำให้พวกเขาหลงทาง!”“ดังนั้น...ยอดฝีมือที่เหลืออยู่เหล่านี้จึงตกลงกันในเรื่องหนึ่ง!”“นั่นก็คือการจัดตั้งกอง
หวังหยวนมองนักพรตเฒ่าชุดเขียวแล้วรีบถาม“ท่านผู้เฒ่า หากเป็นเช่นนั้นท่านคิดว่าหากซานไว่ซานได้ปกครองโลก ข้าจะ... ตายหรือไม่?”หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ นักพรตเฒ่าชุดเขียวก็ถอนหายใจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“ผู้สืบทอดของเทียนไว่เทียนและซานไว่ซานในครั้งนี้แตกต่างจากในอดีต สิ่งที่เรียกว่าผู้สืบทอดนั้นจะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกเกิด และผู้สืบทอดของเทียนไว่เทียนของพวกข้ามีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ยากที่จะหายขาด จึงย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซานไว่ซาน”“หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าก็คงไม่มาพบท่านและบอกเรื่องเหล่านี้ให้ท่านฟัง แต่เป็นเพราะว่าเทียนไว่เทียนของพวกข้าต้องพ่ายแพ้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน ข้าจึงจะบอกเรื่องเหล่านี้ให้ท่านฟัง”“วิธีการของซานไว่ซานนั้นง่ายมาก พวกเขาจะสนับสนุนกองกำลังที่สามารถพิชิตแผ่นดินได้ง่ายที่สุด หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ฝ่ายที่สามารถพิชิตง่ายที่สุดในปัจจุบันก็คืออาณาจักรต้าเป่ย”“บางที...ในช่วงเวลาแรกที่พวกเขาปกครองโลกก็อาจจะฆ่าท่านและฮองเฮาผู้นั้นก่อน เพราะหากไม่มีท่าน หมู่บ้านต้าหวังก็จะไร้ผู้นำ แม้ว่าอาณาจักรต้าเป่ยจะไม่ปราบปรามก็คงอยู่ได้ไม่นาน”“ส่วนอาณาจั
ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าในโลกนี้จะมีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย!เดิมทีคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกหลายปี แต่กลับมีสิ่งที่เรียกว่าเทียนไว่เทียนและซานไว่ซาน!ที่สำคัญคือเทียนไว่เทียนจะไม่ได้ปกครองแผ่นดินอีกต่อไป กลายเป็นว่าซานไว่ซานจะเข้ามาปกครองแทน!หวังหยวนรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก!เขาไม่อยากเป็นใหญ่ในแผ่นดิน แต่ก็ไม่อยากถูกผู้อื่นรังแก ดังนั้นหากซานไว่ซานไม่คิดจะฆ่าเขาจริง ๆ ก็คงจะดี!เขาจึงเข้าใจสาเหตุที่นักพรตชุดเขียวมอบตำราเล่มนี้ให้แก่เขา!โดยสาเหตุแรกคือเพื่อให้เขาต่อสู้แย่งชิงแผ่นดิน ปราบปรามดินแดนอื่นให้จงได้ เพื่อให้แผ่นดินนี้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ซานไว่ซานก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกส่วนสาเหตุที่สองคือหากเขาไม่ต้องการแย่งชิงแผ่นดินก็ช่วยให้เขามีพลังที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อปกป้องตนเอง!ดูเหมือนว่านักพรตชุดเขียวจะมองทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง!หวังหยวนรู้สึกสิ้นหวังในใจ เหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากทำตามที่เขาคาดไว้!ดังนั้นสิ่งแรกที่หวังหยวนทำก็คือฝึกฝนวิทยายุทธ์ตามวิธีการในตำราเล่มนี้
หญิงสาวในศาลากลางทะเลสาบพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เหยียบน้ำในทะเลสาบราวกับแมลงปอเหยียบผิวน้ำ เพียงไม่กี่วินาทีก็มาปรากฏตัวตรงหน้านักพรตชุดเขียวนักพรตชุดเขียวหัวเราะแล้วอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หว่านเอ๋อร์ ทนอยู่แต่ในบ้านไม่ไหวจนออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้างแล้วหรือ?”เมื่อหญิงสาวที่ชื่อหว่านเอ๋อร์ได้ฟังเช่นนั้นก็ยังคงสวมผ้าคลุมหน้าสีขาวอยู่ แล้วพูดพลางหัวเราะว่า “ท่านอาจารย์ ท่านก็รู้สถานการณ์ของข้าอยู่แล้ว จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ดังนั้น... จึงต้องรีบดื่มด่ำกับความงามของโลกใบนี้เสียก่อนเจ้าค่ะ”เมื่อนักพรตชุดเขียวได้ฟังคำพูดนี้ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้าฉายแววโศกเศร้า“ท่านอาจารย์ ท่านอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก นี่คือโชคชะตาของข้า...”“น่าเสียดายที่ทำให้เทียนไว่เทียนเสื่อมเสียชื่อเสียง...”เมื่อนักพรตชุดเขียวได้ฟังแล้วจึงรีบพูดว่า “หว่านเอ๋อร์ อย่าพูดเช่นนั้นเลย เทียนไว่เทียนติดหนี้เจ้าต่างหาก”“หากไม่ใช่เพราะสงครามหกสิบปี เจ้าก็คงไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับเป็นเช่นนี้...”เมื่อพูดถึงตรงนี้ นักพรตชุดเขียวก็รู้สึกเศร้าใจมากสวรรค์ช่างโหดร้าย ทำให
ตัวนางเองก็ย่อมอยากไปเจอเช่นกันนางจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น“ได้เจ้าค่ะ ไปพบเลยดีกว่า อย่าให้ตนเองต้องเสียใจภายหลัง...”สตรีผู้นั้นยิ้มแย้ม ทว่านัยน์ตากลับฉายแววจริงจังสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้หวังหยวนย่อมไม่ล่วงรู้ ในเวลานี้นอกจากธุรกิจและการฝึกฝนวิชาตามคัมภีร์แล้ว เขาก็ไม่มีสิ่งใดทำแล้วและในวันหนึ่งวังไห่เทียนก็มาพบหวังหยวน“คุณชาย งานประชุมกวีติ้งหลงไถกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้จัดที่นี่ แต่ก็ถือเป็นงานประชุมกวีระดับโลก ในเวลานี้แผ่นดินวุ่นวาย แต่เหล่ากวีแห่งเมืองหลิงก็ยังคงมีความกระตือรือร้นอย่างสูงต่องานประชุมอันยิ่งใหญ่ ดังนั้น... คุณชายคิดจะจัดงานประชุมกวีสักงานหรือไม่?”หลังจากที่วังไห่เทียนพูดจบ หวังหยวนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที!ถูกต้องแล้ว!จัดงานประชุมกวีสักงาน!แม้ว่าเมืองหลิงจะเสื่อมโทรมลง แต่หวังหยวนก็ยังคงหวังว่าเมืองหลิงจะเป็นผู้นำด้านวัฒนธรรมไปทั่วทั้งโลก!ดังนั้นจึงต้องจัดงานประชุมกวีนี้ขึ้น! “พี่วัง ท่านช่างเตือนสติข้าได้ดีนัก ในเวลานี้ทุกสถานการณ์ในเมืองหลิงสงบลงแล้ว แต่กิจกรรมของบัณฑิตกลับมีน้อยนัก ในเวลานี้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมือง
“พวกเจ้าออกไปก่อน”เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นหน้าดำคร่ำเครียด ซือหม่าอันจึงโบกมือให้พวกเขาออกไปในชั่วพริบตา คนเหล่านั้นก็จากไปด้วยความโล่งอกพวกเขาถึงกับกังวลว่าหานเทาจะสังหารพวกเขาเพราะความโกรธด้วยซ้ำ...“ท่านขุนพลหานไม่ต้องโมโห”“อันที่จริง เรื่องเหล่านี้ล้วนสมเหตุสมผล”“แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว แต่ชื่อเสียงของพวกเราก็ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาจะเดินทางมาได้อย่างไร?”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็สร้างหอไร้เทียมทานขึ้นมาเอง ท่านคิดเห็นเช่นไร?”ซือหม่าอันหรี่ตาลง ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาจับจ้องไปที่หานเทาหานเทากลืนน้ำลาย เอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านมีความคิดดี ๆ แล้วหรือ?”ซือหม่าอันกล่าวว่า “หลายปีมานี้ ผู้คนต่างก็เกลียดชังอาณาจักรต้าเป่ย ถึงกับคิดว่าต้นตอของสงครามในดินแดนทั้งเก้าก็คืออาณาจักรต้าเป่ยของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเข้าร่วมกับพวกเรา”“เช่นนั้นพวกเราก็นำยอดฝีมือจำนวนมากจากภายนอกเข้ามาเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเองสิ!”“ตามที่ข้ารู้ หวังหยวนมีน้องชายคนหนึ่งชื่อว่าไฉจวิ้น ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ว่ากันว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบาน”“ไฉ
“เมื่อคืนข้าไม่ได้บอกเจ้าแล้วหรือ ว่าอีกสองวันพวกเราจะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง?”“ท่านถงและคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ที่หมู่บ้านต้าหวัง พวกเราไม่ต้องเป็นกังวลกับเรื่องราวที่นั่น”“เมื่อพวกเรากลับไปแล้ว ก็เพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข”หวังหยวนไม่ใช่คนไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีความรักชาติอันยิ่งใหญ่และคำนึงถึงปวงประชาเป็นหลัก!เขาเพียงต้องการดูแลครอบครัวของตนเอง รวมถึงสหายและพี่น้องที่อยู่เคียงข้าง!หากสามารถช่วยเหลือปวงประชาได้ ย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากต้องเสียสละสิ่งใดจริง ๆ เกรงว่าเขาคงจะไม่ทำเช่นนั้น...แม้แต่การประชุมที่หอหลิวหลีในตอนนั้น ก็เป็นเพียงเพราะหวังหยวนต้องการความสงบสุข“ไม่ได้ ไม่ได้!”“ข้าไม่อยากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง!”“ข้าอยากจะติดตามท่านไปยังสถานที่ที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน เมื่อข้าให้กำเนิดลูกแล้ว พวกเราค่อยกลับไปก็ได้ไม่ใช่หรือ?”หลิ่วหรูเยียนฉลาดยิ่งนักเมื่อกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง นางจะสามารถติดตามหวังหยวนได้ทุกวันได้อย่างไร?อย่าว่าแต่ต้องการจะมีลูกเป็นของตนเองเลย เกรงว่าแม้แต่พื้นที่ส่วนตัวของเขากับนางก็ยังแทบจะไม่มี!ในบ้านยังมีพี่สาวอีกหลายคน
หวังหยวนได้ตัดสินใจแล้ว เรื่องราวในเมืองอู่เจียงใกล้จะสิ้นสุด เขาเตรียมที่จะกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังในอีกสองวันครั้งนี้เขาออกมานานกว่าครึ่งปี แม้ว่าพวกหลี่ซื่อหานจะไม่ได้เร่งรัดให้เขากลับบ้าน แต่ด้วยนิสัยของพวกนาง เกรงว่าคงจะอยากมาตามหาเขาแล้วกระมัง?มีปัญหาน้อยดีกว่ามีปัญหามาก รีบกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวังย่อมดีกว่าอีกอย่างคือเมื่อมีคนรักใหม่แล้วจะลืมคนรักเก่าได้อย่างไร!ฝนตกทั่วฟ้าถึงจะถูกต้อง!“ท่านผู้นำ มีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงานท่านขอรับ!”“ข้าเพิ่งได้รับข่าว หานเทาและซือหม่าอันได้ก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน ตอนนี้กำลังรวบรวมยอดฝีมือทั่วหล้า!”“นี่มันจงใจเป็นศัตรูกับพวกเราชัด ๆ”“ข้าจึงอยากจะถามว่า ต่อไปพวกเราต้องทำการตอบโต้หรือไม่ขอรับ?”หากเป็นเมื่อก่อน เกาเล่อย่อมต้องการความมั่นคง ไม่เคยทำเรื่องหุนหันพลันแล่นในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่เลือกที่จะปะทะกับหานเทาโดยตรงแต่ยามนี้แตกต่างออกไป เมื่อก่อนหวังหยวนมีเพียงแคว้นเดียวเท่านั้น ตอนนี้แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เผ่าทางเหนือทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การบัญชาของหวังหยวนแล้ว และท่านไท่สื่อก็เป็นคนของพวกเขาด้วย!ประกอบก
กองทัพทั่วหล้าตกอยู่ในมือของเขาแล้ว!หากเกิดสงครามกับหวังหยวน เขาก็ต้องเป็นแนวหน้า!ซือหม่าอันหรี่ตา จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “เรื่องที่ท่านขุนพลหานกังวล มีหรือที่ข้าจะไม่กังวล?”“ข้าได้กราบทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ท่านโปรดปรานการใช้ดินปืน ซ้ำยังให้คนไปคิดค้นอาวุธร้อนเพิ่มด้วย!”“เพียงแต่ว่าการจะพัฒนาอาวุธร้อนให้สมบูรณ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ในชั่วข้ามคืน!”หานเทาถอนหายใจยาว มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจหลักการนี้?น่าเสียดายที่ไม่สามารถพูดคุยกับฝ่าบาทให้เข้าใจได้!“เช่นนั้นตามความคิดเห็นของท่านซือหม่า ต่อไปพวกเราต้องทำอย่างไร?”หานเทาเอ่ยถามเขาเป็นเพียงขุนศึก ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องการความช่วยเหลือจากซือหม่าอันเมื่อทั้งสองปรึกษาหารือกัน อาจจะสามารถหาผลลัพธ์ที่ดีได้!ซือหม่าอันหรี่ตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา ๆ จากนั้นกล่าวว่า “หรือว่าพวกเราจะก่อตั้งสถานที่ที่คล้ายกับหอไร้เทียมทาน จากนั้นก็ป่าวประกาศเรื่องนี้ให้ทั่ว ให้ผู้คนทั่วหล้าเดินทางมา เช่นนี้แล้ว ต่อให้พวกเราไม่สามารถรวบรวมยอดฝีมือได้มากมาย อย่างน้อยก็ไม่ปล่อยให้
“เจ้านี่นะ! ถึงกับหึงหวงเพราะผู้ชายเลยหรือ? หากกลับไปยังหมู่บ้านต้าหวัง เช่นนั้นข้าจะมีความสุขได้อย่างไร?”หวังหยวนส่ายหน้าอย่างจนใจ ที่บ้านเขายังมีภรรยาสาวสวยอีกหลายคน ท่าทางของหลิ่วหรูเยียนเช่นนี้ ช่างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นที่สำคัญที่สุดก็คือ ภรรยาในบ้านแต่ละคนล้วนไม่ใช่คนธรรมดา!โดยเฉพาะหวงเจียวเจียว นิสัยของนางร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ นอกจากหลี่ซื่อหานและคนอื่น ๆ แล้ว ก็เกรงว่าจะไม่ยอมรับใครอีกหากสตรีทั้งสองนี้มาพบกัน ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ในเมื่อรับพวกนางมาเป็นภรรยาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมดเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงสามวันนี้ หวังหยวนอยู่ในหอไร้เทียมทานต้องยอมรับว่าการก่อตั้งหอไร้เทียมทานได้ดึงดูดผู้มีความสามารถมากมายมาให้หวังหยวนที่สำคัญที่สุดก็คือหวังหยวนเป็นเพียงผู้ดูแล เรื่องราวทั้งหมดมอบให้เกาเล่อจัดการ โดยเพียงแค่ใช้ชื่อเสียงของหวังหยวนเท่านั้น!ต้องรู้ว่าหวังหยวนมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งดินแดนทั้งเก้า เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด แม้แต่ปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าก็เคารพหวังหยวน แล้วใครเล่าจะไม่อยากมาอยู่ใต้บัญชาของหวังหยวน?ยิ่งไป
การประลองย่อมต้องดำเนินต่อไปเพียงแต่ว่าตำแหน่งอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านั้นมีมากมาย หวังหยวนจึงไม่ได้อยู่ดูการแข่งขันต่อคาดว่าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า หอไร้เทียมทานคงจะคึกคักเป็นอย่างมากในไม่ช้า หวังหยวน ไฉจวิ้น และหลิ่วหรูเยียนทั้งสามก็กลับมาถึงห้อง ส่วนเรื่องภายนอกมอบให้เกาเล่อจัดการทันทีที่เดินเข้าห้อง หวังหยวนจึงรีบจับมือไฉจวิ้นมาตรวจดูอย่างละเอียด“พี่ใหญ่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ข้าสบายดี!”“ต่อให้ต้องประลองต่อ ข้าก็ยังไหว!”“เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะยอมแพ้...”“เช่นนี้ก็ดี ทำให้ข้าไม่ต้องเปลืองแรง!”“อีกอย่าง หากต้องประลองกันต่อ เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่...”นี่เป็นความจริงทุกคนรู้ว่าไฉจวิ้นมีพละกำลังมหาศาล ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่ขีดจำกัดของตนอยู่ที่ใด เกรงว่าแม้แต่เขาเองก็คงจะไม่รู้“เห็นว่าเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าก็โล่งใจ”“แต่ต่อไปเมื่อทำสิ่งใด ต้องใช้ความคิดให้มาก”“แม้ว่าเจ้าจะมีพละกำลังมหาศาล แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เจ้าไม่มีทางรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด”“ดังนั้นเมื่อทำสิ่งใด อย่าได้อวดดี เข้าใจหรือไม่?”
“ช่างมีพละกำลังมหาศาลจริง ๆ!”ขณะที่หวังหยวนกับพวกกำลังสนทนากัน สายตาของพวกเขาก็จับจ้องไปที่ดาร์เนล ซึ่งในตอนนี้ได้ยกติ่งหนักถึงเจ็ดร้อยชั่งขึ้นเหนือศีรษะบนเวทีเหลือเพียงไฉจวิ้นและดาร์เนลเมื่อดาร์เนลยกติ่งขึ้นได้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ไฉจวิ้น ตอนนี้เขาคือความหวังของปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้า ตำแหน่งจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจะไปตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติได้อย่างไร?เช่นนี้แล้ว ภายภาคหน้าปวงประชาแห่งดินแดนทั้งเก้าจะเชิดหน้าชูตาได้อย่างไร?ทางด้านสายตาของหวังหยวนนั้นจับจ้องไปที่ดาร์เนล ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่“ดูท่าแล้วไฉจวิ้นยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดาร์เนลมีความสามารถจริง ๆ ข้าเห็นว่าตอนที่เขายกติ่งขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อย ช่างมีพละกำลังมหาศาลนัก หากบอกว่าคนผู้นี้คือจอมพลังอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า นั่นไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า”หลิ่วหรูเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างช้า ๆการกระทำทั้งหมดของดาร์เนลล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขา นี่คือผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าจะไม่มีใครทำได้อย่างเข้าไม่ใช่หรือ?
แต่ทั้งหมดนี้นั้น นับว่าเป็นความดีความชอบของปู่ของไฉจวิ้นด้วย หากไม่ใช่เพราะมีปู่ช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ และใช้ชีวิตอยู่ในป่ามาหลายปี แล้วเขาจะมีพละกำลังแข็งแกร่งเพียงนี้ได้อย่างไร?เมื่อไฉจวิ้นยกติ่งใหญ่ขึ้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ทยอยแสดงความสามารถของตนน่าเสียดาย ในท้ายที่สุดผู้ที่สามารถยกติ่งใหญ่ขึ้นได้ นอกจากไฉจวิ้นแล้วมีเพียงชาวต่างชาติที่มาจากต่างแดนเท่านั้นเสียงปรบมือดังกึกก้องจากข้างล่างเวที “คนผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก”หวังหยวนกอดอกมองชาวต่างชาติผู้นั้น พลางกวักมือเรียกเกาเล่อในชั่วพริบตา เกาเล่อก็มาอยู่ข้างกายหวังหยวน แต่สีหน้ากลับดูตึงเครียด“คนผู้นั้นคือชาวต่างชาติที่เจ้าเพิ่งพูดถึงหรือ?”หวังหยวนชี้ไปที่อีกคนบนเวที แล้วเอ่ยถามเกาเล่อพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ข้าได้บอกข้อมูลของเขาให้ท่านทราบแล้ว คนผู้นี้มีชื่อว่าดาร์เนล ว่ากันว่ามีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่เด็ก และเคยต่อยเสือร้ายตายด้วยหมัดเดียว!”“เดิมทีคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องเล่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องโกหก...”สามารถยกติ่งใหญ่หนักห้าร้อยชั่งได้ นั่นก็
เขามีความมั่นใจในตัวน้องชายคนนี้ก่อนหน้านี้ หวังหยวนเคยเห็นความสามารถของไฉจวิ้นมาก่อน อย่าว่าแต่จะหาผู้ที่เทียบเทียมเขาในบรรดาคนรุ่นเดียวกันได้ยากเลย แม้แต่คนที่อายุมากกว่าเขาก็ยังไม่มีใครมีพละกำลังเท่าเขา!ยิ่งไปกว่านั้น หวังหยวนเองก็ยังไม่รู้ขีดจำกัดของไฉจวิ้น!ดูท่าแล้ววันนี้คงมีเรื่องสนุกให้ชมกันเกาเล่อกลับเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น คนที่อยู่ข้างกายไฉจวิ้นล้วนไม่ใช่คนธรรมดา! หนึ่งในนั้นมาจากต่างแดน คนผู้นี้มีชื่อเสียงมานาน ว่ากันว่าสามารถยกหินใหญ่หนักสองร้อยจินได้ด้วยมือเดียว!”“หากใช้สองมือ คาดว่าของหนักห้าร้อยจินก็คงไม่คณนามือขอรับ!”นี่...หวังหยวนกลืนน้ำลาย คนเหล่านี้กินหินเป็นอาหารกันหรืออย่างไร?ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ?อย่าว่าแต่ยกของหนักห้าร้อยจินเลย แม้แต่สองร้อยห้าสิบจิน เขาก็ยังยกไม่ขึ้น!“รอดูไปก่อน ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าศักยภาพของไฉจวิ้นมีขีดจำกัดอยู่ที่ใด”“เจ้าจำไว้ว่าต้องไปเตือนเขาด้วยว่าอย่าได้มุทะลุดุดัน!”“เขายังเด็กนัก ภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกมากที่จะพิสูจน์ตนเอง หากได้รับบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้แล้วนั้น ย่อมไม่คุ้มค่า”ห