โหลวฉางเยว่เคยคิดว่า เธอก็เหวินเหยียนโจวจะได้จบกันด้วยดี แต่ไม่นึกว่าจะทะเลาะกันมาถึงจุดนี้เขาคิดแม้กระทั่งจะส่งเธอออกไป ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหน ในสถานการณ์ไหน โดยสรุปแล้ว ให้แล้วก็คือให้ในที่สุดหนอมหยอกอกของโหลวฉางเยว่ก็แทงทะลุเธอแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเธอเป็นคนที่เห็นแก่ความรู้สึกจริง ๆ แต่เหวินเหยียนโจวกลับทำลายมันลงด้วยตัวเองโหลวฉางเยว่วางกิ๊บไว้บนโต๊ะข้างเตียงของสิ่งนี้แพงเกินไป พรุ่งนี้เธอจะคืนมันให้เขา กันไม่ให้เขาใช้เป็นข้ออ้างมาทำให้เธอลำบากใจโหลวฉางเยว่ลุกขึ้นพร้อมร่างกายที่เจ็บปวดเพื่อเปิดไฟเหนือหัว จากนั้นกับวางคลี่เสื้อคลุมของเสิ่นซู่ซิน แล้วพับมันไปวางบนโซฟาจากนั้นเธอก็กลับขึ้นไปที่เตียง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวและขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเธอเหนื่อยมากทั้งกายและใจจึงหลับไปอย่างรวดเร็วแต่เธอนอนหลับไม่สนิทไม่เพียงแต่อารมณ์ของเธอไม่ดีเท่านั้น ร่างกายของเธอก็ไม่ดีเช่นกัน——ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่อ้วกใส่เสิ่นซู่ซินหรอกเธอกินยาแก้หวัดที่บริกรนำมาให้ในห้องจัดเลี้ยง เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะและสายตาของเธอพร่ามัว เธอเข้าผิดห้องไปที่ห้องของเสิ่นซู่ซินเสิ่นซู่ซินพบว่าเธอเป็นไข้
“……”โหลวฉางเยว่หลับตาลง เธอคิดไม่ตกว่าทำไมตัวเองเพียงแค่ป่วยแต่กลับทำความผิดพลาดเรื่องเล็กแบบนี้เธอคิดอยู่สักพักก่อนจะถามพนักงานสาว “คุณมีเสื้อให้ฉันยืมใส่สักหน่อยไหมคะ? เสื้ออะไรก็ได้ค่ะ”สรุปง่าย ๆ คือเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะ ‘ไม่ใส่เสื้อผ้า’ ต่อหน้าเสิ่นซู่ซินพนักงานสาวงงอยู่สักพัก “เสื้อพนักงานแบบที่ฉันสวมอยู่นี่ได้ไหมคะ?”“ได้ค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นท่านรอฉันสิบนาทีนะคะ ฉันจะไปเอามาเดี๋ยวนี้ค่ะ”“ขอบคุณค่ะ”พนักงานสาวออกจากห้องอาบน้ำไป โหลวฉางเยว่ไม่ได้อาบน้ำ เธอแค่ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเช็ดตัวแล้วสวมชุดอาบน้ำเดินออกไปเธอยังคงรู้สึกมึน ๆ อยู่จึงสะดุดพรมปูพื้นหน้าประตูห้องน้ำ ก่อนจะเดินโซเซไปสองสามก้าวแล้วล้มลงบนเตียงตรงหน้าไม่รอให้เธอลุกขึ้น เหวินเหยียนโจวก็บุกเข้า……การป่วยครั้งนี้ ช่างเละเทะจริง ๆ……แน่นอนว่าโหลวฉางเยว่ไม่ได้อธิบายอะไรให้เหวินเหยียนโจวฟัง ปล่อยให้เขาเข้าใจไปแบบนั้น การที่เขาเกลียดเธอถึงจะเป็นเรื่องดี แบบนี้เธอถึงจะออกจากเขาได้อย่างราบรื่นโหลวฉางเยว่ตกอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นตลอดคืน วันรุ่งขึ้น เธอยังมีอาการมึนหัวอยู่ แต่ไม่ได้หนักแบบเมื่อคืนวานเ
โหลวฉางเยว่เข้าใจความหวังดีของเขา เธอเห็นเข้าเป็นเพื่อนเลยไม่ได้ปิดบังเขา และพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา “ศาสตราจารย์เสิ่นวางใจเถอะค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายหรอกนะคะ”“ฉันรับปากศาสตราจารย์เสิ่น ถ้าเขาช่วยฉันได้ ฉันสามารถเซ็นต์สัญญาห้าปีกับเสิ่นซื่อกรุ๊ปได้ค่ะ ด้วยความสามารถในการทำงานของฉัน ผลประโยชน์ที่ฉันสามารถนำกลับมาให้เขาได้ จะต้องไม่ต่ำกว่าโครงการเขตเมืองเก่าแน่นอนค่ะ”และเสิ่นซื่อกรุ๊ปเองก็ยื่นผลประโยชน์ให้เธอบริษัทต่างชาติสองแห่งที่โหลวฉางเยว่เคยพิจารณามาก่อนนั้น แห่งหนึ่งคือเฉิงซื่อกรุ๊ป และอีกแห่งหนึ่งเป็นของเสิ่นซื่อกรุ๊ปหลังจากเปรียบเทียบแล้ว เธอรู้สึกว่าเฉิงซื่อกรุ๊ปเหมาะสมกับเธอมากกว่า ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ติดต่อกับเสิ่นซื่อกรุ๊ปเมื่อวานเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ตัวเองเป็นเบี้ยต่อรองเพื่อเจรจากับเสิ่นไหชินหลังจากที่เสิ่นไหชินพิจารณาโดยรวมแล้ว ก็ยอมรับการแลกเปลี่ยนของเธอเพียงแต่ มีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมา คือเธออยู่ในเสิ่นซื่อกรุ๊ปห้าปี จะได้รับแค่เงินเดือนพื้นฐาน จะไม่ได้ค่าคอมมิชชั่นหรือโบนัสใด ๆนักธุรกิจก็ยังเป็นนักธุรกิจ คงไม่ยอมให้ตัวเองขาดทุนแน่ในการแลกเปลี่
โหลวฉางเยว่มีความสงสัยในใจตอนแรกที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เดิมทีเสิ่นไหชินดีใจเรื่องที่เธอจะมาทำงานมากแท้ ๆ หรือต่อให้เป็นเมื่อคืน เขาก็ยังเตือนเธอว่าอย่าลืมเงื่อนไขที่คุยกันไว้ทำไมวันนี้ถึงปฏิเสธเธออ้อม ๆ กันนะ?แต่ที่เธอไม่รู้ คือความลำบากของเธอตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นโหลวฉางเยว่ลากกระเป๋าสัมภาระและเรียกรถไปที่คอนโดเพิ่งจะใช้กุญแจเปิดประตู ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ทำเอาเธอตกใจวิญญาณแทบหลุดวินาทีต่อมากระดาษหลากสีร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เฉียวซีซีพูดเชียร์ “ยินดีกับสาวสวยโหลวฉางเยว่พ้นความทุกข์ยาก!”โหลวฉางเยว่ยิ้มออกมาทันที “เธอจะพูดเกินไปแล้ว ทำไมยังซื้อดอกไม้ไฟมาด้วยล่ะ? ฉันนึกว่าอะไรระเบิดซะอีก”เฉียวซีซีเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข “ฉันคำนวณไว้แล้วไง พรุ่งนี้วันเสาร์เพราะงั้นสัญญาของเธอจะจบวันนี้ งั้นฉันก็ต้องฉลองให้เธอหน่อยสิ?”เธอยื่นมือไปรับกระเป๋าสมัภาระของโหลวฉางเยว่ “เป็นยังไงบ้าง? คุยกับเหวินเหยียนโจวเรียบร้อยไหม? ก้าวต่อไปคือต้องแยกทางกันแล้วใช่ไหม?”“ก็ถือว่าเรียบร้อยนะ” โหลวฉางเยว่ไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดบนเรือ เธอพูดแค่ว่า “ลงเรือมีของฝากเป็นชุดคลุมอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัว
โหลวฉางเยว่หยุดไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่าไม่เป็นไร ไว้เรานัดกันครั้งต่อไปเมื่อเราว่างงานชั่วคราวจะต้องทำงานล่วงเวลาถือว่าเป็นเรื่องปกติ โหลวฉางเยว่ไม่ได้คิดอะไรมากในตอนแรก เธอไปตักน้ำจากห้องน้ำมารดน้ำต้นไม้สีเขียวริมหน้าต่างเป็นกลิ่นมิ้นต์ซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เย็นสบายตามธรรมชาติจู่ ๆ เธอก็หัวใจเต้นแรง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง และส่งข้อความไปที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลอีกครั้ง “จริงสิพี่เว่ยเว่ย ฉันขอไปหาคุณที่เฉิงซื่อกรุ๊ปเพื่อสมัครงานวันจันทร์ได้ไหมคะ?”ผ่านไปครึ่งชั่วโมง แผนกบุคคลไม่มีการตอบกลับโหลวฉางเยว่ดมกลิ่นหอมเย็นของใบมิ้นต์พร้อมความรู้สึกหนักใจตอนเที่ยง เฉียวซีซีเห็นว่าโหลวฉางเยว่ยังไม่ออกไปข้างนอก จึงถามด้วยความสงสัยว่า “เธอนัดกับแผนกบุคคลของเฉิงซื่อกรุ๊ปไปทานอาหารเย็นไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอยังไม่ออกไปอีก”โหลวฉางเยว่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แต่แผนกบุคคลยังไม่ตอบ เธอกดไปที่ฟีดข่าวและเห็นว่าเธอโพสต์รูปอาหารไว้ ไม่มีที่ตั้ง แต่ตรงมุมภาพถ่ายติดเชื่อร้านอาการเธอซูมเข้าและเห็นว่าเป็นร้านอาหารตะวันตกในเมืองเซินเฉิงเธอบอกว่าจะกลับเมืองฮูเฉิงทันทีไม่ใช่เหรอ?โหลวฉางเยว่กดไลก์ด้ว
โหลวฉางเยว่ทักทายอย่างสุภาพ “คุณนาย คุณอยู่คนเดียวเหรอคะ?”คุณนายเหวินจับมือเธออย่างอบอุ่นจากนั้นก็มองเธออย่างละเอียด แล้วพูดด้วยความโกรธ “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่ได้กลับไปกินข้าวมานานกหนึ่งเดือนแล้ว ทำไมถึงได้ผอมลงอีกแล้วนะ?”โหลวฉางเยว่พูดอย่างรู้สึดผิด “ช่วงนี้งานเยอะมากเลยน่ะค่ะ”ใบหน้าของคุณนายเหวินมืดมน: "เฮ้อ แต่ถ้าหนูมาช่วงนี้ บ้านเราอาจจะไม่ได้ต้อนรับหนูเป็นอย่างดีหรอกนะจ๊ะ""มีเรื่องอะไรกันเหรอคะ?"“จะอะไรอีกถ้าไม่ใช่เหยียนโจวกับพ่อเขาน่ะ” คุณนายเหวิน “ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายแย่มาก เพราะเลขาตัวน้อยชื่อไป่โหยว ช่วงนี้เหยียนโจวไม่กลับไปเลย โทรไปก็ไม่รับไลน์ไปก็ไม่อ่าน"เหวินเหยียนโจวไม่กลับบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก ครั้งก่อนเขาไม่กลับไปตั้งครึ่งปี แต่ไลน์ก็ไม่ตอบนั่นเป็นครั้งแรกจริง ๆแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกแย่แค่ไหนโหลวฉางเยว่ เหวินเหยียนโจวโหลวฉางเยว่เหลือบคุณนายเหวิน เธอคงรู้ว่าหนึ่งในเหตุผลที่เหวินเหยียนโจวมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับพ่อของเขาก็คือ ตัวคุณนายเหวินเองแต่ในสายตาของเธอ คุณนายเหวินผู้เป็นแม่เลี้ยงคนนี้ ทำได้ดีในทุกด้านได้ยินมาว่าหลังจา
บ้านเกิดโหลวฉางเยว่ ชื่อว่าตำบลเฟิ่งเสียนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถานที่ต่างๆ ได้พัฒนาการท่องเที่ยวอย่างจริงจัง และตำบลเฟิ่งเสียนก็ถูกสร้างขึ้นเป็น "เมืองโบราณทางวัฒนธรรม" ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมาก โดยรวมแล้วก็ถือว่าไม่ได้ล้าหลังบ้านที่อยู่ในตรอกและรถก็เข้าไม่ได้โหลวฉางเยว่ถือถุงสองใบแล้วมาถึงประตูบ้านที่เธอไม่ได้กลับมาสามปีแล้วประตูเปิดอยู่ สำหรับบ้านในซอยนี้ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ยกเว้นตอนกลางคืน ประตูจะเปิดแค่ในเวลากลางวันตลอดโหลวฉางเยว่ลังเลว่าจะไปที่นั่นอย่างไร จากนั้นก็มีคนเดินออกจากห้อง เธอซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงโดยไม่รู้ตัวเธอเงยหน้าเข้าไปเงียบ ๆ และเห็นว่าเป็นแม่ของเธอแม่หยิบหญ้ามาล้างใต้ก๊อกน้ำหน้าประตู เธอจำได้ ว่าหญ้านั้นเป็นหญ้าเยลลี่ต้มหญ้าเยลลี่ในน้ำ ใส่แป้ง เย็นแล้วมันจะแข็งตัว สามารถทำเป็นเยลลี่สีดำ โรยด้วยน้ำตาลทรายแดง 1 กำมือ แล้วรับประทานในฤดูร้อนเพื่อดับกระหายและคลายความร้อนเธอเคยชอบกินเยลลี่มากที่สุด และแม่ของเธอมักจะเลือกหญ้าเยลลี่มาปรุง แต่ว่าตั้งแต่ที่เธอออกจากบ้านไป เธอก็ไม่เคยกินเยลลี่เลยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโหลวจางเยว่
โหลวฉางเยว่ทำซีพีอาร์ให้แม่เธอต่อเป็นเวลาห้าถึงหกนาที และในที่สุดก็เห็นเธอขมวดคิ้วแล้วโหลวจางเยว่ล้มตัวลงนอนทันทีและฟังเสียงหัวใจเต้นของเธอ เธอฟื้นตัวและหายใจได้ปกติ เธอร้องไห้ด้วยความดีใจและตะโกนอย่างกระตือรือร้น: "แม่! แม่!"แม่ของโหลวฉางเยว่ยังไม่ตื่น โหลวฉางเยว่จึงช่วยเธอทำซีพีอาร์ต่อไป ไม่นานหลังจากนั้น รถพยาบาลก็มาถึงหน้าซอยแล้วเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้อุ้มแม่ของโหลวฉางเยว่ขึ้นรถโดยใช้เปลหาม เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ก็ตรงเข้าห้องฉุกเฉินทันที โหลวจางเยว่และพ่อของโหลวฉางเยว่ต่างก็ถูกขวางไว้ที่ประตูเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ขาของพ่อโหลวฉางเยว่เริ่มอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับเขาแล้ว โหลวฉางเยว่ก็สงบกว่ามาก เธอเดินไปหาคุณพ่อเธอ หยุดอยู่ตรงนั้นแล้วช่วยเขาให้นั่งเก้าอี้ลงเธอไปที่ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ซื้อน้ำสองขวด แล้วยื่นให้เขาหนึ่งขวดพ่อโหลวฉางเยว่ไม่ได้ดื่ม เขาแค่กำมันไว้ในมือแน่น แต่ดูเหมือนเขาจะสงบลงแล้วโหลวจางเยว่ถามไปตรงๆว่า "แม่ของฉันเป็นอย่างไรบ้าง หัวใจมีปัญหาอะไรหรือเปล่า"พ่อโหลวฉางเยว่หลับตาแล้วถอนหายใจห
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ