เหวินเหยียนโจวก้มต่ำมองโหลวฉางเยว่ ก่อนจะยื่นมือให้เธอ “ลุกขึ้น”โหลวฉางเยว่ไม่จับมือเขา เธอคว้าขอบโต๊ะพยายามใช้กำลัง แต่เธอกลับออกแรงไม่ได้เลยเหวินเหยียนโจวจับข้อมือของเธอแล้วดึงเธอขึ้นอย่างแรง หลังจากที่โหลวฉางเยว่ยืนได้อย่างมั่นคง เธอก็ผลักเขาออกไปทันที “เหวินเหยียนโจว คุณน่ารังเกียจมากกว่าที่ฉันคิดเสียอีก!” เธอพูดด้วยเสียงแหบห้าวว่าเหวินเหยียนโจวเข้าใจในทันที เธอคิดว่าเขาเป็นคนสั่งให้ลู่ไจ่เย่ทำเรื่องนี้ เขาจึงพูดขึ้นเสียงเข้ม “คุณอย่าคิดจินตนาการให้มากเกินไป”“สิ่งของกองไว้รวมกัน คนอยู่กันเป็นกลุ่ม เมื่อก่อนฉันตาบอดเลยมองคุณไม่ชัด ฉันตาบอดเอง” ตอนนี้เธอตาสว่างแล้ว“นี่คุณยังเลวไม่พออีกหรือไง? ให้พวกบริษัทใหญ่ปิดกั้นฉัน ให้บริษัทเล็กทิ้งฉัน คุณกับไป๋โหยวคืนดีกันแล้วยังไม่ปล่อยฉันไปอีก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณบีบฉันจนเป็นแบบนี้ ฉันจะมาถึงตรงนี้ได้ยังไง!”เหวินเหยียนโจวจ้องมองเธอก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “แต่คุณลืมกำพืดก่อน”โหลวฉางเยว่พูด “ฉันลืมอะไร!”“ลืมอะไร?” เหวินเหยียนโจวยิ้มเย้ย ร่างที่สูงถึง 188 เซนติเมตรเดิมทีก็น่าเกรงขามอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ที่กำลังค่อย ๆ เข้าใกลเธอราวกับภูเขาท
โหลวฉางเยว่ทำได้เพียงโทรหาหลินอิง และบอกที่อยู่ของพวกเธอให้เขา หลินอิงบอกว่าเขาอยู่ใกล้ ๆ นี้พอดีและจะมาในอีก 5 นาทีไม่นานนัก รถของหลินอิงก็มาจอดอยู่ตรงหน้าพวกเธอ เฉียวซีซีโถมตัวเข้าในอ้อมกอดของเขาก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด จากนั้นเธอก็ถูกเขาพาตัวไปสภาพของโหลวฉางเยว่เองก็ไม่สู้ดีนัก เธอรู้สึกเบลอจนไม่สามารถกลับไปถึงบ้านได้ จึงเดินไปโรงแรมตรงฝั่งตรงข้ามเวสเทิร์นพาเลซ เธอทำเรื่องเช็คอินที่หน้าโอเปอเรเตอร์ และในอีกมุมหนึ่งมีกล้องกำลังจับโฟกัสเธออยู่ เสียงแชะดังขึ้นพร้อมกับรูปภาพที่บันทึกได้เพิ่มอีกหนึ่งรูปโหลวฉางเยว่ล้มตัวลงบนที่นอนทันทีทั้งที่ยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางและอาบน้ำหางานไม่สำเร็จ คุณแม่ป่วยหนัก ละหกละเหินไปทั่วทุกสารทิศ แล้วยังมีคำกล่าวโทษของเหวินเหยียนโจวอีก เธอเหนื่อยมาก ร่างกายก็เหนื่อย หัวใจก็เหนื่อยมากเช่นกันเธออยากนอน แต่เธอนอนไม่หลับ หัวใจของเธอรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับคาดการณ์ได้ว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น มันเต้นไม่เป็นจังหวะอย่างไม่สงบเลยเธอพยายามปรับสภาพ พรุ่งนี้เป็นวันผ่าตัดของแม่และเธอเองก็จะต้องพักผ่อนในที่สุดโหลวฉางเยว่ก็นอนหลับลงสักที เธอรู้สึ
โหลวฉางเยว่กำมือแน่น แน่นจนเล็บของเธอจิกเข้าไปในเนื้อ เธอพูดตะโกนอย่างใจเย็นว่า “พ่อคะ วางมีดปอกผลไม้ลงก่อน วางมีดก่อนนะ”คุณพ่อตระกูลโหลวเห็นตำรวจมากมายขนาดนี้ สีซีดขาวและหวาดกลัว “พ่อ พ่อ พ่อก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป ฉางเยว่ พ่อไม่ได้ตั้งใจนะ พ่อก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงหลายเป็นแบบนี้......”“เอามีดมาจากไหนคะ?” โหลวฉางเยว่กลืนน้ำลาย“เรา...เรารอกันอยู่ตรงทางเดินนานมาก หมอก็ไม่มาเลย พ่ออยากปอกผลไม้ให้แม่กินจากนั้นพยาบาลก็เดินมา บอกว่าทำการผ่าตัดไม่ได้แล้วและให้เรากลับไป เพราะว่าไม่มีหัวใจแล้ว พวกเขาเองก็ไม่อธิบายให้ชัดเจน พอพ่อหุนหันพลัยแล่นมันก็...”โหลวฉางเยว่ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น “วางมีดลงเถอะนะคะ ปล่อยเธอไป เรื่องที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่หนูเอง”คุณพ่อโหลวพยักหน้าเขาหมดหนทาง เขาไม่รู้ว่าควระจะทำยังไงดี มือที่สั่นเทาของเขาปล่อยออกจากคอของพยาบาลจากนั้นพยาบาลก็วิ่งหนีไปทันที ก่อนที่ตำรวจจะเข้าชาร์จตัวโดยกดตัวพ่อตระกูลโหลวลงบนพื้น โหลวฉางเยว่หลับตาลงและเบือนหน้าหนีเพราะทนดูฉากตรงหน้าไม่ได้ตำรวจดึงตัวพ่อโหลวขึ้นมาและพาตัวออกไปอย่างรวดเร็ว โหลวฉางเยว่จะตามไปแต่ก็ถูกตำรวจอีกน
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงการประชุมก็สิ้นสุดลง เหวินเหยียนโจวกลับไปยังห้องทำงานของตัวเองเลขาจ้าวเตี้ยนเข้าไปรายงานทันที "ประธานเหวิน การผ่าตัดของพ่อคุณไป๋อยู่ในระหว่างดำเนินการและตอนนี้ยังไม่เสร็จสิ้น หากมีอะไรเกิดขึ้น โรงพยาบาลจะติดต่อฉันทุกเมื่อค่ะ"เหวินเหยียนโจวขมวดคิ้ว แต่คำตอบของเขากลับเป็น “ไปตรวจสอบว่าโหลวฉางเยว่เกิดอะไรขึ้น”จ้าวเตี้ยนอึ้งไปเล็กน้อย “ได้ค่ะ”……โหลวฉางเยว่ออกจากสถานีตำรวจ และกลับไปยังตำบลเฟิงเสียนตอนที่เกิดเรื่อง พี่เขยคนโตตัดสินใจทันที โดยพาคุณแม่โหลวออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เธอเห็นเหตุการณ์นั้น ถ้าหากเธอมีอารมณ์อะไรขึ้นมาแล้วอาการของเธอแย่ลงคงไม่ดีโหลวฉางเยว่กลับบ้าน จากนั้นพี่สาวคนโตก็รีบถามทันที “ฉางเยว่ พ่อเป็นยังไง?”“ถูกกักตัวไว้”พี่สาวคนโตทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาทันที “งั้น งั้นก็ต้อง….ติดคุกใช่ไหม?”โหลวฉางเยว่พยักหน้า “อาจจะใช่”พี่สาวคนโตกัดปากก่อนจะทุบหัวเข่าของตัวเองอย่างแรง และกล่าวโทษตัวเอง “โทษพี่เอง! โทษพี่! ทั้งที่รู้ว่าพ่อเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นขนาดนั้นพี่ยังไม่ดูพ่อให้ดี!”“จะยังไงก็โทษพี่ไม่ได้หรอก อย่าคิดมากเลยค่ะ เรื่องพ่อฉันจะหาทนาย
โหลวฉางเยว่จัดการกับความรู้สึก เธอถามเพื่อนในไลน์หลายคนว่าที่เมืองเซินเฉิงมีทนายบ้างไหมโชคดีที่เธอจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอยังมีเพื่อนบางคนที่ยินดีช่วยเหลือเธอตามความสามารถของพวกเขามีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำสำนักงานกฎหมายชิงหาง “ทนายความหญิง หลี่ซิงรั่ว เธอเก่งมาก ๆ เลยล่ะ เธอแทบจะไม่เคยแพ้คดีไม่ว่าจะเป็นทางอาญาหรือทางแพ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเธอยังเพิ่งจัดการกับเหตุการณ์อาลวาดและทำร้ายร่างกายคนในโรงพยาบาลไปด้วยนะ สุดท้ายเธอก็ช่วยให้ผู้ต้องหาได้รับโทษขั้นต่ำสุดไปล่ะ”โหลวฉางเยว่เอ่ยขอบคุณ “พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอ”ตอนดึกคืนนั้นเธอนอนค้างที่บ้าน นอนบนเตียงที่เมื่อก่อนเธอเคยนอน โดยที่กรอบรูปข้างเตียงเป็นรูปถ่ายครอบครัวที่มีสมาชิก 5 คนของพวกเขาแต่ตอนนี้ ในบ้านเหลือแค่เธอกับแม่ที่ป่วยหนักโหลวฉางเยว่แทบไม่ได้นอนทั้งคืน วันรุ่งขึ้นพี่สาวคนโดตจึงมาดูแลคุณแม่โหลวแทนโหลวฉางเยว่บอกเธอก่อนที่จะออกไป ว่าต้องดูคุณแม่โหลวอย่างระมัดระวัง เพราะเมื่อวานเธอพูดถึงการฆ่าตัวตาย และเธอกลัวว่าตอนนี้แม่จะกำลังสับสนพี่สาวคนโตรับปากว่าจะดูไว้ไม่ให้ห่างสายตาเลยโหลวฉางเยว่เร
“โหลวฉางเยว่?” เย่เหอหรานเลิกคิ้วขึ้น ปฏิกิริยาแรกของเขาคือ โหลวฉางเยว่ถูกเหวินเหยียนโจวกีดกันงาน ก็เลยมาหาทนายฟ้องเขา ตอนนั้นเขาก็เลยเย่เหอหรานก็เลยหัวเราะออกมา“เรื่องแค่นี้เอง เป็นสามีภรรยาก็มีกระทบกันบ้างตอนท้ายก็คืนดีกัน คุณกลับไปยอมรับผิดกับเหยียนเอ๋อร์หน่อยก็พอแล้ว ยอมอ่อนข้อสักหน่อย จะมีอะไรผ่านไปไม่ได้ล่ะครับ มันต้องทำกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”โหลวฉางเยว่ไม่อยากได้ยินเรื่องอะไรก็ตามเกี่ยวกับเหวินเหยียนโจว หลังจากบอกลาหลี่ซิงรั่วเสร็จเธอก็ออกไปทันทีหลี่ซิงรั่วเองก็หันหลังกลับออกไปโดยไม่มองแม้แต่น้อยเย่เหอหรานจับตัวหลี่ซิงรั่วไว้ทันที ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “สามีคุณมาทั้งที คุณจะไม่ทักทายหน่อยเลยเหรอ?”เพราะคำเรียกนั่นทำเอาหลี่ซิงรั่วถึงกับตะลึงไปเล็กน้อย “ฉันยังมีงานอีก ยังมีโจทก์อีกคนรอพบฉันอยู่” เธอพูดเย่เหอหรานปล่อยมือออกจากเธอ ก่อนจะลากเสียงยาวด้วยท่าทางไม่แยแส “ได้สิครับ~ รอคุณทำงานเสร็จแล้วเราค่อยคุยกัน”แต่เมื่อหลี่ซิงรั่วพบโจทก์เสร็จแล้วและส่งเขากลับออกไป เธอก็เห็นเย่เหอหรานพิงตัวอยู่กับโต๊ะพร้อมกับเสวนากับสาว ๆ หน้าแผนกต้อนรับอย่างเร่าร้อน ไม่รู้ว่าเขาพูดอะ
หลังออกมาจากสำหนักงานทนายซิงหาง เย่เหอหรานนั่งอยู่บนรถและโทรหาเหวินเหยียนโจว “เหยียนเอ๋อร์ นายทายดูสิว่าผมเจอใครที่สำนักงานทนายซิงหาง?”“หืม?”“เลขาโหลว” แค่คิด เย่เหอหรานก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกมาก “ไม่รู้ว่าเธอถามหลี่ซิงรั่วเรื่องอะไร คงไม่ใช่เรื่องที่นายไปกีดขวางงานเธอหรอกคะ พอกระต่ายน้อยตื่นตระหนกก็กัดคน เธอคงไม่ได้เตรียมจะฟ้องนายอยู่หรอกนะ?”เหวินเหยียนโจวเอนหลังพิงเก้าอี้ ใช้มือข้างหนึ่งจับหน้าผากพร้อมกับค่อย ๆ ปิดตา ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบไหวเย่เหอหรานพูดต่อ “ถ้าเธอไปหาทนายคนอื่นก็คงไม่เป็นปัญหา แต่ไปหาหลี่ซิงรั่ว ผู้หญิงคนนี้จัดการยากชะมัดเลยล่ะ”เหวินเหยียนโจวตอบเขาเพียงแค่ “อ่อ”เย่เหอหรานหัวเราะขึ้นมาพร้อมพูดว่า “แต่ใครใช้ให้นายเป็นเพื่อนผมกันล่ะ จะยากยังไง ผมก็ช่วยนายจัดการ”เหวินเหยียนโจวเปลี่ยนไปถามคำถาม “งานแต่งนายจะจัดเมื่อไร?”“แม่ผมกลัวว่าเวลาจะนานเกินไปเลยจะจัดไปเป็นขึ้นห้าค่ำเดินหน้า ตอนแรกผมจะให้นายไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว แต่แม่บอกว่านายโสดมาหลายปีแล้วมันไม่มงคลเลยให้ผมไปหาซิ่วอวี้แทน”เย่เหอหรานพูดอย่างปลง ๆ “ทุกคนรู้กันดีว่าซิ่วอวี้กับแฟนคบกันมาตั้งแต่มัธย
เสิ่นซู่ชินถอดแว่นตาออก ก่อนจะก้มตัวลงเก็บผลไม้บนพื้นหลับเข้าในตระกร้าโหลวฉางเยว่เองก็ไปเก็บและจัดเรียงตะกร้าผลไม้ใหม่ด้วยกันกับเขา เธอทิ้งไว้ที่ประตูวอร์ดและบอกพยาบาลว่าของพวกเหล่านี้มีไว้สำหรับพยาบาลเสี่ยวเจียงจะรับหรือไม่เป็นเรื่องของพวกเขา ได้แสดงความจริงใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องเธอเช่นกันโหลวฉางเยว่ออกจากโรงพยาบาลไปพร้อมกับเสิ่นซู่ชิน ภายในลิฟต์ เสิ่นซู่ชินก้มมองดูเธอ “อย่าโกรธไปเลยครับ”โหลวฉางเยว่ยิ้ม “ฉันไม่โกรธหรอกค่ะ เธอลงไม้ลงมือกับฉันก็เพราะพ่อของฉันทำร้ายลูกสาวเธอ เธอก็แค่สงสารลูก ฉันเข้าใจได้ค่ะ ถ้าฉันเป็นคนโดนทำร้าย พ่อกับแม่ของฉันก็จะออกหน้าแทนฉันเหมือนกันค่ะ”เพราะงั้นเอาใจเขามาใส่ใจเรา เธอจึงจำเป็นต้องสนใจเรื่องของพ่อเสิ่นซู่ชินรู้แน่อยู่แล้ว “ผมแนะนำให้คุณอย่าไปเจอพวกเธออีกเลยดีกว่านะครับตอนนี้”“ต้องเจอสิ ฉันจะพยายามให้พวกเขายอมความ พ่อฉันถึงจะพ้นคดีเพ่ง” ลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่งและทั้งสองคนก็เดินออกมาจากลิฟต์โหลวฉางเยว่พูดเสียงเรียบ “ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น มนุษย์เรามีหัวใจนะคะ ฉันมาบ่อย ๆ จะดูซื่อสัตย์กว่า น่าจะทำให้พวกเขาหายโกรธได้ ขอแค่พวกเขาหายโกรธแล้
พอแม่โหลวก็ได้ยินเสียงพ่อโหลวกลับมา จากนั้นเธอก็นำอาหารจานสุดท้ายมาเสิร์ฟที่โต๊ะ“งั้นก็มากินข้าวกันเถอะ วันนี้เย่ว่เยว่พาเหยียนโจวกลับมาด้วย เธอไม่ได้บอกเราล่วงหน้า พวกเราเลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เลยมีแค่อาหารทำเองที่บ้าน ไม่รู้ว่าเหยียนโจวจะทานได้หรือเปล่า? ”เหวินเหยียนโจวลุกขึ้นยืน เหลือบมองใบหน้าซีดเซียวของพ่อโหลว และกระซิบเบา ๆ “เป็นผมที่ไม่ได้บอกเย่ว่เยว่ล่วงหน้าว่าผมจะอยู่ต่อ เธอถึงไม่ได้บอกกับทุกคน ไม่โทษเธอหรอกครับ”แม่ยายมองดูลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งชอบเขามากขึ้น แม่โหลวไม่ได้มีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอแสร้งดุออกไป “เหยียนโจว เธอก็อย่าให้ท้ายเยว่เยว่มากเกินไปสิ”แต่หลังจากที่พูดจบ เขาก็ปกป้องเธอ “แต่เยว่เยว่ของเราเป็นคนที่มีเหตุผลที่สุด ต่อให้ตามใจก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”มุมปากของโหลวฉางเยว่โค้งงอขึ้นทุกคนมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน แม่โหลวตักซุปเสิร์ฟให้เหวินเหยียนโจวก่อน จากนั้นจึงใช้ตะเกียบคีบผักใส่ในชามของเขา“เหยียนโจว ลองซุปปลาหน่อไม้เหลืองฤดูหนาวดูสิ หน่อไม้นั่นปลูกเองเชียวนะ ปลาก็เป็นของเพื่อนบ้านที่ไปจับมาจากทะเล”“แล้วก็ยังมีหมูเปรี้ยวหวานสั
จนถึงตอนนี้โหลวฉางเยว่ก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับเขาอย่างถ่องแท้ เธอเหลือบมองเขา และอดไม่ได้ที่จะเริ่มคิดผู้ชายน่ะนะ ไม่ได้ “ไร้เดียงสา” ขนาดนั้น โดยเฉพาะผู้ชายอย่างเหวินเหยียนโจว ผู้หญิงสนใจเขาหรือเปล่า เขาก็สามารถมองออกได้ง่าย ๆเหวินเหยียนโจวรู้อยู่แล้วว่าไป๋โหยวชอบเขา แล้วเขาก็ยังตกลงที่จะให้เธอมาอยู่เคียงข้างเขาอีก นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบรับโดยปริยายว่าเขายอมรับความรู้สึกของเธอแล้วไม่ใช่หรือไง?พอมาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันส่งท้ายปีเก่าปีที่แล้ว ก็มีความคิดเห็นที่เกี่ยวกับเธอขึ้นมา เขาเย็นชาใส่เธอตลอด ดังนั้นที่เขาเก็บไป๋โหยวไว้ ไม่ใช่แค่เพราะว่าอยากจะทำให้เธอโกรธ แต่วางแผนที่จะทำให้ “เปลี่ยนใจ” ด้วยสินะ?โหลวฉางเยว่พูดด้วยความรำคาญ “แม่ของคุณชอบไป๋โหยวมากเลยเหรอคะ? เธอยังอยากให้คุณแต่งงานกับไป๋โหยวด้วยใช่ไหม? เนี่ยเหลียนอี้เคยบอกฉันว่าท่านประธานใหญ่เหวินยอมรับไป๋โหยวแล้วด้วย แต่เพราะด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาก็ปฏิเสธกะทันหัน เป็นเพราะว่าท่านประธานใหญ่เหวินรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างไป๋โหยวกับแม่ของคุณรึเปล่าคะ? ”แม้ว่าโหลวฉางเยว่จะไม่ค่อยรู้เรื่องคร
ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่พ่อโหลวก็ยังไม่กลับมา พี่เลี้ยงจึงออกไปตามหาเขาเดิมทีโหลวฉางเยว่ต้องการช่วยแม่โหลววางจานและตะเกียบ แต่แม่โหลวก็ให้เธอไปอยู่เป็นเพื่อนเหวินเหยียนโจว เพราะเธอกลัวว่าลูกเขยคนจะอึดอัดถ้าต้องนั่งอยู่คนเดียว......จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ประธานเหวินก็ยังคงมั่นคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีแต่ยังไงโหลวฉางเยว่ยังคงเดินไปหาเขาเหวินเหยียนโจวอยู่บนโซฟาสำหรับสองคน เดิมทีเธอต้องการนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่อยู่ข้าง ๆ แต่ประธานเหวินดึงเธอเข้ามานั่งกับเขาเขากระซิบข้างหูเธอ “คุณพูดอะไรกับแม่ของคุณบ้าง? ”หูของโหลวฉางเยว่ไวต่อความรู้สึกมาก เธอก็กระตุกตัวหลบอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ได้พูดอะไรหนิคะ”“ไม่พูดงั้นเหรอ แล้ววทำไมท่าทีที่เธอมีต่อผมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ” เหวินเหยียนโจวบีบนิ้วของเธอ “คุณคิดว่าผมดูไม่ออกเหรอ? เมื่อกี้เธอไม่ค่อยพอใจผมเท่าไหร่ แล้วผมมีอะไรที่ทำให้แม่ยายไม่พอใจเหรอ? ”ความมั่นใจของประธานเหวินก็มาจากสภาพที่เหนือกว่าของเขา แต่ตราบใดที่พ่อแม่ไม่ขายลูกกิน สิ่งแรกที่พวกเขาจะพิจารณาเมื่อลูกจะแต่งงานก็คืออุปนิสัยของอีกฝ่ายการแสดงออกของโหลวฉางเยว่ยังคง
แม่โหลวไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าเหวินเหยียนโจวจะตอบด้วยท่าทีนอบน้อม แต่เธอก็มองออก ด้วยลักษณะท่าทางและนิสัยของเหวินเหยียนโจว คงไม่ใช่แค่มี “เงินเล็กน้อย” ถึงสามารถเลี้ยงเขามาได้แน่ ๆ “งั้นก็ดีมาก ดีแล้วล่ะ พวกลูกคบกันมาสามปี สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ก็น่าจะเรียนรู้กันมาหมดแล้ว แม่เองก็ไม่มีอะไรที่จะต้องถามอีกแล้วล่ะ”เหวินเหยียนโจวไม่ชอบพูดอ้อมค้อม จู่ ๆ เขาก็จับมือโหลวฉางเยว่ “เมื่อกี้ผมเพิ่งขอเยว่เยว่แต่งงานครับ และเธอก็ตอบตกลงแล้วด้วย”โหลวฉางเยว่มองไปที่แม่ของโหลวโดยไม่รู้ตัวใบหน้าของแม่โหลวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอไม่ได้มีความสุขมากนัก เธอฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จะเร่งรีบขนาดนี้ได้ยังไง พวกเรายังไม่ได้รู้จักเธอมากขนาดนั้นเลย เราเองก็ไม่เคยพบพ่อแม่ของเธอด้วย อย่างน้อยก็ควรจะหาเวลา ให้พวกเราทั้งสองตระกูลได้พูดคุยกันและปรึกษาหารือกันหน่อย”เหวินเหยียนโจวหยิบถ้วยชาขึ้นมา แต่เขาแค่เอามันมาใกล้จมูกแล้วดมกลิ่น เขาไม่ได้ดื่มมัน จากนั้นก็วางมันกลับไปที่เดิม สีหน้าเขาดูไม่ใส่ใจโหลวฉางเยว่รู้จักเขาดี เขารู้สึกว่าชาราคาถูกเกินไป เกินกว่าที่เขาจะเอาเข้าปากได้ และคำพูดเหล่า
ระยะทางจากห้างสรรพสินค้าถึงบ้าน ก็ใช้เวลาประมาณสิบกว่านาที โหลวฉางเยว่ก็ครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรดีอยู่ในใจ จะบอกพ่อโหลวแม่โหลวยังไงดี เกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงาน?จะให้อธิบายยังไง ว่าลูกสาวของพวกเขา ตอนเพิ่งออกจากบ้านก็เป็นแค่คนโสด แต่ผ่านไปได้แค่ครึ่งชั่วโมง กลับบ้านมาก็กลายเป็นคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างงั้นเหรอ?เธอคิดไม่ตกเลยจริง ๆ เลยได้แต่พาเหวินเหยียนโจวเดินไปรอบ ๆ ตรอกเท่านั้น จนกระทั่งประธานเหวินเริ่มหมดความอดทน เขาคว้าหลังคอของเธอแล้วลากกลับบ้าน“ผมเคยได้ยินประโยคหนึ่งที่ว่า ‘แม้ลูกสะใภ้จะขี้เหร่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเจอหน้าพ่อแม่สามีอยู่ดี’ ผมคงไม่ได้ไร้ความสามารถถึงขั้นทำให้คุณอายจนไม่กล้าพาผมไปเจอหน้าพวกท่านหรอกมั้ง? ”โหลวฉางเยว่คิดว่าเขามีความสามารถมากเกินไปต่างหาก เธอถึงไม่รู้ว่าจะบอกพ่อแม่ของเธอยังไงดีคิ้วของเหวินเหยียนโจวขยายออก และยกขึ้นเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดด้วยหางเสียงว่า “หืม” โหลวฉางเยว่ทำได้แค่กัดฟัน แล้วพาเขาเข้าไปพ่อโหลวออกไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้ยังไม่กลับมาแม่โหลวเพิ่งเห็นว่าเธอพาเพื่อนกลับบ้านมาด้วย แถมยังเป็นเพื่อนผู้ชายอีกต่างหาก รู้สึกประหลาดใจและตกใจม
ผนังซีเมนต์สีเทาที่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ขณะที่เธอกำลังจัดเสื้อผ้าตัวเองอยู่ โหลวฉางเยว่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอย่างอื่น “......ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรเลยนะคะ คุณเลิกคิดเองเออเองได้แล้วค่ะ”เหวินเหยียนโจวก็ยังคงจัดการวางแผนเองอยู่ “ยังไงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าบ้านจริง ๆ คงดูไม่ดีถ้าเข้าไปมือเปล่า คุณช่วยพาผมไปที่ห้างสรรพสินค้าในตำบลของคุณหน่อยสิ แล้วคุณก็ช่วยเลือกของขวัญที่เหมาะกับพ่อแม่ของคุณด้วย”“......”“เด็กดี นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับพ่อแม่คุณ คุณต้องช่วยผมด้วยนะ”“......”โหลวฉางเยว่ลูบแหวน เธอไม่รู้ว่าเธอตัวชาเพราะการที่เขาเรียกเธอว่าเด็กดี หรือเป็นเพราะสับสนกับท่าทางที่เขายอมก้มหัวให้กันแน่ เธอค่อนข้างสับสนอย่างมาก แต่เธอก็ยังพาเขาไปที่ห้างสรรพสินค้าอยู่ดีโชคดีที่ชุมชนนี้เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เลยยังพอจะมีห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าแบรนด์ระดับไฮเอนด์อยู่บ้างแต่ก่อนที่จะเข้าประตู เหวินเหยียนโจวก็ได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง เขามองไปที่ชื่อผู้โทร ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ผ่อนคลายเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับเธอเมื่อกี้โหลวฉางเยว่มองไปที
ทันทีที่คำพูดจบลงไม่ถึงวินาที เหวินเหยียนโจวก็ก้มศีรษะลงและจูบเธออย่างเร่าร้อนต่อให้มีการแย่งชิง การปล้นชิงทรัพย์ในเวลากลางวันแสก ๆ หรือแม้แต่ผู้คนรอบข้าง เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เขาจับหลังศีรษะของเธอและใช้ลิ้นของเขารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของเธอ โหลวฉางเยว่กลัวว่าจะถูกคนรู้จักเห็นเข้า เธอจึงได้แต่จับชุดสูทของเขาไว้แน่น “เหวิน เหวินเหยียนโจว...... ”เหวินเหยียนโจวค่อนข้างเฉยเมยกับเรื่องพวกนั้น เขาจูบเธอสักพักก่อนที่จะปล่อยริมฝีปากของเธอ เขาหอบเบา ๆ ต่อหน้าเธอ ทั้งเซ็กซี่และเย้ายวน “ไม่ใช่แค่การลอง แต่เป็นการตัดสินใจแล้ว เราจะคบกัน”เขาจับมือของโหลวฉางเยว่ขึ้นมา โดยไม่ให้โอกาสโหลวฉางเยว่ได้เห็นชัดเจนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แล้วเขาก็สวมแหวนไว้บนนิ้วนางของเธอม่านตาของโหลวฉางเยว่หดตัวลง!เสียงของเหวินเหยียนโจวแหบแห้ง “เด็กดี ตอนนี้สำนักงานกิจการพลเรือนก็หยุดกันหมดแล้ว รอถึงเดือนหน้าวันที่เก้า ในเวลาราชการ เราค่อยไปจดทะเบียนกันนะ”อะ อะไรนะ?ว่ายังไงนะ ! ?เดี๋ยวนะ!พอโหลวฉางเยว่รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ประสาทของเธอก็แทบจะระเบิด!เธอปิดปากเหวินเหยียนโจวอย่างรวดเร็ว เพื่อหยุดไม่ให้เขาพูดเ
เช้าวันรุ่งขึ้น โหลวฉางเยว่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือตีสี่ตีห้าเธอเพิ่งจะหลับตาลงได้ แต่ยังไม่ทันจะได้นอน เธอง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความพยายามอย่างมาก เมื่อเธอเห็นว่าผู้โทรคือเหวินเหยียนโจว อาการง่วงนอนของเธอก็แทบจะถูกขับออกไปในทันทีเธอลุกขึ้นนั่ง มองดูซองจดหมายสีเหลืองอ่อนบนโต๊ะข้างเตียง พอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองหลังจากถอนหายใจและระงับอารมณ์ได้แล้ว เธอก็รับสาย “ฮัลโหล”เสียงเย็นชาของเหวินเหยียนโจว ก็ได้ลอยผ่านเคลื่อนโทรศัพท์ ส่งตรงไปถึงหูของเธอ และยังคงสามารถทำให้เธอขนลุกได้โดยไม่ทันตั้งตัว“คุณกำลังทำอะไรอยู่? ”“......นอนค่ะ”“คุณนอนที่ไหน? ” น้ำเสียงของชายคนนั้นเข้มขึ้นทันที “ผมอยู่ในห้องของคุณ แต่ก็ไม่เห็นคุณ คุณไปนอนที่ไหนเหรอ? ”สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนกำลังจับคนทำผิด......โหลวฉางเยว่ตกตะลึง “คุณอยู่ในห้องของฉันเหรอคะ? คุณไปหาฉันที่ซีเฉิงเหรอคะ? ”“ไม่ใช่ว่าเมื่อวานคุณทำงานเป็นวันสุดท้ายหรอกเหรอ? ผมเลยมารับคุณกลับเซินเฉิง” เหวินเหยียนโจวถามต่อว่า “ตอนนี้คุณอยู่ที่
รักข้างเดียว......ลมพัดโดนผิวของโหลวฉางเยว่จนเกิดเป็นชั้นอนุภาคเล็ก ๆ เธอยังคงคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออยู่เลย แต่จะให้เธอตรวจสอบยังไงกันล่ะว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเท็จกันแน่?โหลวฉางเยว่จำได้อีกว่า ในวันที่เธอเลี้ยงข้าวเขาที่ร้านอาหารส่วนตัว เขายังเคยถามเธอเกี่ยวกับลิ้นชักจดหมายรักอีกด้วยตอนนั้นเธอก็รู้สึกว่าทำไมเขาต้องใส่ใจเรื่องนี้มากขนาดนั้นด้วย พอลองมองดูตอนนี้แล้ว คงไม่ใช่ว่าปีนั้นเอง เขาก็เขียนจดหมายรักให้เธอด้วยหรอกนะ?จู่ ๆ โหลวฉางเยว่ก็ลุกขึ้นยืน ตาของเธอเป็นก็ประกาย จดหมายรักพวกนั้นเธอน่าจะยังเก็บไว้ที่บ้าน บ้านที่ตำบลเฟิงเสียน เธอโทรหาหลี่ซิงรั่วทันที“ซิงรั่ว เธอออกเดินทางรึยัง? ”“กำลังจะออกเดินทางแล้ว เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ”“ฉันอยากกลับเซินเฉิงกับเธอด้วย สะดวกไหม? ”หลี่ซิงรั่วหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สะดวกสิ เธอยังอยู่ที่ประตูร้านอาหารเดิมรึเปล่า? ฉันจะไปรับเธอ”ในไม่ช้า รถของหลี่ซิงรั่วก็ขับมาถึง โหลวฉางเยว่ก็เปิดประตูและเข้าไปจากนั้นหลี่ชิงรั่วจึงถามว่า “เป็นเพราะประธานเหวินหรือเปล่า? ”หัวใจของโหลวฉางเยว่เต้นเร็วขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ เธอรีบร้อ