ห้องพักที่หรูหราในโรงแรมเต็มไปด้วยความเงียบงัน ราวกับเสียงทุกเสียงถูกกลืนหายไปในความมืด หญิงสาวในชุดขาวนั่งอยู่บนโซฟา มองไปรอบ ๆ ด้วยความกังวลแฝงอยู่ในดวงตา แต่สายตาของเธอกลับสะกดจ้องที่เซบาสเตียน ผู้ชายที่ยืนอยู่ในเงามืด สายตาของเขามืดลึกและเยือกเย็น ราวกับว่ากำลังสังเกตเธอจากมุมหนึ่งของห้อง ดวงตาของเขาดูนิ่งสนิทแต่มีประกายที่เธออ่านไม่ออก
เซบาสเตียนเดินเข้ามาใกล้ช้า ๆ ราวกับนักล่าที่กำลังจ้องเหยื่อ เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์อีกใบ ยื่นให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเงียบ ๆ น้ำเสียงนุ่มนวลของเขากลับทำให้เธอรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่เล็ดลอดออกมาจากทุกคำ “คุณเคยรู้สึกไหมว่า…คุณถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา?” หญิงสาวรับแก้วไวน์มาอย่างลังเล หัวใจเต้นแรงจนเธอแทบได้ยินเสียงของตัวเอง เธอจิบไวน์เล็กน้อย พยายามคุมสติ แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากทุกมุมรอบตัว “ทำไมคุณถึงถามแบบนั้นคะ?” เธอกล่าวออกมาเบา ๆ เซบาสเตียนยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่เย็นเยียบแต่ทรงพลัง “เพราะบางครั้ง…การที่เรารู้ว่าใครบางคนจับตาดูเราอยู่ มันก็ทำให้เราเริ่มสงสัยว่า...เราอยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยจริงหรือไม่” หญิงสาวรู้สึกถึงความหนาวเหน็บที่ไหลเวียนทั่วทั้งร่างกาย ราวกับว่าเธอกำลังถูกจับตามองอย่างไม่อาจหลบหนีได้ เซบาสเตียนโน้มตัวลงใกล้ กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงที่ลุ่มลึก “คุณอยากรู้ไหมว่าความกลัวที่แท้จริงเป็นอย่างไร?” เธอกลืนน้ำลาย ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจ ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน เซบาสเตียนยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาเอื้อมมือไปสัมผัสปลายคางของเธอเบา ๆ นิ้วมือไล้ตามแนวกรอบหน้าของเธออย่างแผ่วเบา แต่กลับทิ้งรอยสัมผัสเย็นเยียบที่ทำให้เธอรู้สึกไม่อาจขยับตัวได้ “บางที...ผมอาจจะทำให้คุณเข้าใจความหมายของความกลัวได้อย่างแท้จริง” เซบาสเตียนกล่าวเสียงแผ่วเบาและนิ่งเฉียบ ราวกับเป็นคำสัญญาอันน่าขนลุก เขาจับแก้วไวน์ของเธอออกจากมือ แล้ววางมันลงบนโต๊ะเบา ๆ ก่อนจะหันหลังเดินไปยังหน้าต่างใหญ่ มองออกไปยังเมืองที่ส่องแสงระยิบระยับ ความเงียบงันที่ปกคลุมรอบ ๆ ทำให้บรรยากาศเยือกเย็นยิ่งขึ้น และหญิงสาวรู้สึกว่าลมหายใจของเธอกำลังช้าลง จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง เซบาสเตียนหันกลับมา มองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความลึกลับ แล้วกระซิบว่า “คืนนี้ คุณจะได้รู้จักกับความกลัวในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัสมาก่อน…และผมจะเป็นคนพาคุณไปสำรวจมันเอง” ในขณะนั้น แสงไฟในห้องค่อย ๆ หรี่ลง เสียงเพลงคลาสสิกที่เบา ๆ เปลี่ยนไปเป็นท่วงทำนองที่เยือกเย็นและน่าขนลุก หญิงสาวรู้สึกถึงความกดดันที่ถาโถมเข้ามา เธอตกอยู่ในกับดักที่ไม่อาจหลบหนีไปได้ ความกลัวที่เขาพูดถึง…มันกำลังจะกลายเป็นความจริงขณะที่แสงไฟหรี่ลงจนห้องเหลือเพียงแสงสลัว ความเงียบในห้องสวีทหรูหรากลับถูกทำลายด้วยเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเพลง แต่เป็นเสียงกรีดร้องแหลมสูงที่ดังมาจากโถงด้านนอก
หญิงสาวสะดุ้ง หันไปมองประตูด้วยความตระหนก ใบหน้าของเธอซีดเผือด ขณะที่เซบาสเตียนยิ้มบาง ๆ และขยับเข้าไปใกล้เธอ ชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง ราวกับเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจหรือกังวลแม้แต่น้อย เสียงนั้นเป็นเสียงของพนักงานทำความสะอาด หญิงสาวคนนั้นอาจจะพบเห็นบางสิ่ง—บางสิ่งที่เธอไม่ควรจะเห็น เซบาสเตียนโน้มตัวกระซิบข้างหูของหญิงสาวในชุดขาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ชวนให้ขนลุก “เสียงกรีดร้องแบบนี้...มันสะท้อนถึงความกลัวที่แท้จริง คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวรู้สึกถึงความเย็นเยียบในน้ำเสียงของเขาและสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะท้านในร่างกาย ความหวาดกลัวที่เคยอยู่ในใจเริ่มคืบคลานเข้าไปทุกส่วนของร่างกายเธอ เสียงกรีดร้องด้านนอกยังคงดังก้องเป็นระลอก เหมือนจะสะท้อนเข้ามาในหัวของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มืดมิด ไร้หนทางหลบหนี เซบาสเตียนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ ใบหน้าเขายังคงสงบและมั่นคง “นั่นคือสิ่งที่คุณจะต้องเจอ…หากคุณยังเลือกที่จะอยู่ต่อ” เขากล่าวพลางยิ้ม ราวกับพึงพอใจในความกลัวที่เขาสามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ เซบาสเตียนยืนอยู่ในความเงียบงันที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา คืนนี้เริ่มผิดแผกจากแผนที่เขาวางไว้แต่แรก ปกติแล้ว “หนึ่ง” ก็มากพอแล้วสำหรับเขา ความสนุกในเกมจิตวิทยา การสะกดและควบคุมเหยื่อเพียงหนึ่งเดียวถือว่าเพียงพอ แต่ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นนี้…มันให้ความรู้สึกที่แปลกใหม่ และเขาไม่รังเกียจหากจะต้องเพิ่ม “สอง” เขามองหญิงสาวในชุดขาวที่ยังนั่งอยู่ในห้อง ใบหน้าซีดเผือดของเธอสะท้อนกับแสงไฟที่ริบหรี่ เขากำลังจะเดินเข้าไปหาหล่อน แต่แล้วสายตากลับหันไปทางประตูอีกครั้ง เสียงฝีเท้าดังมาจากโถงทางเดินด้านนอก—ใครบางคนที่ไม่ควรอยู่ที่นั่นในเวลานี้ เขาเอียงคอเล็กน้อย พลางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “บางครั้ง…คนสองคนก็ทำให้เกมน่าสนใจยิ่งขึ้น คุณคิดอย่างนั้นไหม?” หญิงสาวสั่นสะท้าน รู้สึกถึงความผิดปกติของบรรยากาศในห้อง และเธอก็เริ่มจับสังเกตถึงบางอย่างในตัวเซบาสเตียนที่เริ่มเผยออกมา นั่นคือความตื่นเต้นที่แฝงไปด้วยความกระหายซึ่งยากจะปิดบังได้ เซบาสเตียนรู้สึกถึงความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นอย่างช้า ๆ เขาตัดสินใจแล้ว—คืนนี้เขาจะปล่อยให้มันเป็นมากกว่าค่ำคืนธรรมดา เขาหันไปหยิบถุงมือหนังสีดำมาสวมช้า ๆ ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่เยือกเย็น “คืนนี้…เราจะลองเล่นเกมที่มีผู้เล่นเพิ่มมาอีกคน คุณไม่ต้องกังวล ผมจะควบคุมทุกอย่างไว้เอง” แววตาของเขายิ่งเยือกเย็นและน่ากลัวกว่าเดิม ท่ามกลางความตื่นเต้นที่เขารู้สึก หญิงสาวได้แต่มองตามเซบาสเตียนที่เริ่มเดินไปยังประตู เธอไม่รู้เลยว่าผู้เล่น “สอง” ที่เขากล่าวถึงนั้นจะต้องพบเจอกับชะตากรรมใดเสียงชัตเตอร์ของกล้องดังขึ้นถี่ ๆ ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพหลักฐาน แต่ละภาพบันทึกภาพเหตุการณ์สยองที่อยู่ตรงหน้าไว้อย่างละเอียด ภายในห้องสวีทหรูแห่งนี้ ตำรวจทุกนายต่างตกตะลึงกับสภาพของเหยื่อ การจัดวางศพเป็นไปอย่างพิถีพิถันราวกับเป็นการแสดงศิลปะชิ้นเอก การแสดงความโหดเหี้ยมของฆาตกรถูกบรรจงวางไว้อย่างประณีต ขัดแย้งกับบรรยากาศหรูหราของห้องพัก ราวกับผู้ตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานนี้
เกเบรียล รอสส์ เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มที่ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบคดี เดินเข้ามาด้วยความรู้สึกผสมปนเปทั้งความขยะแขยงและความสงสัย เขาจ้องมองไปยังศพที่ถูกจัดวางอย่างเยือกเย็น ร่างนั้นถูกวางในลักษณะของรูปปั้น มีเลือดหยดไหลลงมาจากบาดแผลบนร่างกาย เหมือนจงใจให้เลือดไหลเป็นลวดลายและสัดส่วนที่แปลกตา "พระเจ้า..." เกเบรียลพึมพำกับตัวเอง พลางกลืนน้ำลายด้วยความระแวง เขามองไปรอบ ๆ ห้องที่ยังคงเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก ความน่ากลัวนั้นไม่ใช่แค่จากภาพของศพ แต่จากการรู้สึกว่าฆาตกรวางแผนอย่างละเอียดและแฝงเจตนาเยือกเย็นไว้ในผลงานที่เรียกว่าการฆาตกรรม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนัก ๆ “นี่มันเหมือน...เหมือนกับงานศิลปะเลย” เกเบรียลพยักหน้าเบา ๆ ดวงตาจ้องภาพตรงหน้าไม่กระพริบ “ไม่ใช่แค่งานศิลปะ แต่มันเป็นคำท้าทาย...มันบ่งบอกว่าเรากำลังเผชิญกับใครบางคนที่ไม่ใช่แค่ฆาตกรธรรมดา” เขาสูดหายใจลึก ความกดดันเพิ่มขึ้นในใจ ขณะที่เขาตระหนักถึงความอันตรายที่แฝงอยู่ในเงามืด ความเยือกเย็นและความบิดเบี้ยวของเหตุการณ์ครั้งนี้บอกชัดว่าคดีนี้จะไม่ง่าย การตามล่าตัวฆาตกรผู้บงการเหตุการณ์นี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว เกเบรียลยืนค้างอยู่ตรงนั้น ดวงตาจ้องมองรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ่งบอกถึงเจตนาของฆาตกร ทุกบาดแผลถูกลงมืออย่างพิถีพิถัน ราวกับการใช้แปรงวาดรูป เขาก้าวเข้าไปใกล้ศพมากขึ้น จ้องดูเลือดที่หยดลงมาอย่างจงใจจากปลายบาดแผล ซึ่งไหลเป็นสายเล็ก ๆ ลงมาสู่พื้น หยดเลือดเหล่านั้นก่อตัวเป็นรูปทรงบางอย่างที่ดูบิดเบี้ยว…หรือมันอาจจะเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง เกเบรียลรู้สึกได้ถึงความลึกลับที่แฝงอยู่ในทุกมุมของห้อง ความมืดมิดและความเงียบงันสร้างบรรยากาศที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจับจ้อง ราวกับฆาตกรกำลังเฝ้ามองอยู่จากที่ไหนสักแห่ง ทันใดนั้น ความคิดของเขาถูกขัดด้วยเสียงของเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแฟ้มข้อมูล “คุณรอสส์ คดีนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เราพบเหตุการณ์คล้ายกันในโรงแรมอีกแห่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ศพถูกจัดวางในลักษณะเดียวกัน...ราวกับมันเป็นการแสดงโชว์” เกเบรียลหันกลับมามองแฟ้มในมือของเจ้าหน้าที่คนนั้น เปิดมันขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ได้ทำให้เขาหัวใจเต้นแรง ภาพถ่ายในแฟ้มแสดงให้เห็นศพอีกศพหนึ่งที่ถูกจัดวางในลักษณะศิลปะเยือกเย็น คล้ายกับศพตรงหน้าอย่างน่าประหลาด “เขาต้องการให้เราสังเกตเห็น” เกเบรียลกล่าวพลางจ้องมองภาพถ่ายในแฟ้ม “ไม่ใช่แค่ฆ่า...แต่เป็นการส่งสาส์น” เขาเริ่มสังเกตเห็นลวดลายบนผนัง รอยเลือดที่เขียนขึ้นอย่างละเอียด เป็นรอยเส้นที่เล็กและชัดเจน ราวกับเป็นข้อความที่ฆาตกรต้องการสื่อ เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขึ้นเบา ๆ “รอสส์…คุณคิดว่าฆาตกรจะยังอยู่ใกล้ ๆ นี้ไหม?” เกเบรียลเงยหน้าขึ้นมองรอบ ๆ ห้อง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและระแวง ในใจเขาเริ่มประติดประต่อเบาะแสเข้าด้วยกัน ความคิดหนึ่งเข้ามาในหัวเขาอย่างฉับพลัน—ฆาตกรต้องการทิ้งร่องรอย ต้องการสร้างภาพจำที่ไม่มีวันลืม “ผมคิดว่า...เขาอาจจะเฝ้าดูเราอยู่” เกเบรียลตอบเสียงเบา มองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกเยือกเย็นราวกับมีสายตาจับจ้องมาที่เขาจริง ๆ เสียงถ่ายภาพจากกล้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัด ทุกคนรับรู้ถึงความเงียบที่เต็มไปด้วยความกดดัน ราวกับร่างของฆาตกรซ่อนอยู่ในเงามืด พร้อมจะปรากฏตัวและขยับใกล้เข้ามาเสียงของเจ้าหน้าที่อีกนายดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน ขณะที่เขามองภาพน่าสยดสยองตรงหน้า ร่างกายสั่นระริก มือยกขึ้นปิดปากแทบจะระงับความกลัวไม่ได้
“นี่มัน…เหมือนกับคดีเก่า ๆ พวกนั้นทุกอย่าง…” เสียงของเขาแผ่วเบาและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เขากลับมาแล้ว… จิตรกรแห่งความตาย (The Death Painter) ” คำพูดนั้นช่างเย็นเยียบ เกเบรียลได้ยินมันชัดเจนในความเงียบงันของห้อง ใจของเขาเต้นรัว เหมือนถูกดึงกลับไปยังภาพฝันร้ายที่เขาคิดว่าจบลงไปแล้ว หยดเลือดที่กระจายเป็นลวดลายบนพื้น เส้นสายที่จงใจถูกวาดขึ้นด้วยความเยือกเย็น—มันไม่ใช่แค่การฆ่า แต่มันคือผลงานของจอมมารผู้มีฝีมือในการสร้างสรรค์ความตาย เกเบรียลมองภาพนั้นแล้วเอ่ยเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยความขนลุก “เขาไม่เคยจากไปไหน… จิตรกรแห่งความตาย (The Death Painter) แค่ซ่อนตัว รอเวลาจะกลับมา และครั้งนี้…มันจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิม”