“โจวเสี่ยวหลินค่ะ”เด็กสาวที่ชื่อโจวเสี่ยวหลินมีผมยาว หน้าตาอ่อนหวานและบอบบาง เธอดูผอมและขี้อาย รูปร่างคล้ายกับเวินหนี่ แต่หน้าตาคล้ายลู่ม่านเซิง ใบหน้าใสซื่อและไร้เดียงสา ซึ่งเป็นประเภทที่ผู้ชายมักจะปฏิเสธไม่ได้เจ้าของร้านแนะนำให้เวินหนี่ฟังว่า “นี่คือเด็กใหม่ของเรา หน้าตาสวย กำลังอยู่ในช่วงฝึกงาน ยังไม่เคยทำงาน บ้านอยู่ชนบท แม่ป่วยอยู่ที่บ้านเกิด ต้องการเงินด่วน ประวัติของเธอสะอาดมาก”เวินหนี่คิดว่าโจวเสี่ยวหลินเหมาะสมที่สุด เธอดูอ่อนหวาน สวยงาม และสามารถกระตุ้นความรู้สึกปกป้องในตัวผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นประเภทที่เย่หนานโจวชอบ“เอาคนนี้แหละ” เวินหนี่กล่าวโจวเสี่ยวหลินยังไม่รู้ว่าพวกเขาเรียกเธอมาเพื่ออะไร ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวและกังวล เธอพูดตะกุกตะกักว่า “พวกคุณจะทำอะไรเหรอคะ? ฉันเพิ่งมาใหม่ แต่ฉันขายศิลปะไม่ขายตัว ฉันจะไม่ขายร่างกายของตัวเองเด็ดขาด”เวินหนี่เข้าใจความกังวลของเธอ จึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันแค่ต้องการให้เธอช่วยฉันทำบางอย่าง เมื่อถึงเวลา ฉันจะให้เงินเธอจำนวนหนึ่ง ฉันไม่บังคับ แต่ถ้าเธอยินดีช่วย ก็สามารถติดต่อฉันได้”เธอยื่นนามบัตรให้โจวเสี่ยวหลินโจวเสี่ยวหลินม
“เด็กสาวคนนี้ทั้งสวยและยังอายุน้อย ผู้ชายที่ไหนจะต้านทานเสน่ห์แบบนี้ได้” ถังเยาพูดด้วยความกังวล ผู้ชายส่วนใหญ่ไม่มีใครไม่ชอบเด็กสาวที่สวยแบบนี้ แม้จะมีความหักห้ามใจแต่เมื่อเห็นเด็กสาวที่เย้ายวนก็อาจจะอดใจไม่ไหวในสถานการณ์ตอนนี้ เวินหนี่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว“ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” เวินหนี่พยายามฝืนยิ้ม “ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องเสียใจที่ไม่ได้ตัดสินใจทำในวันนี้”เวินหนี่ไม่กล้าเสี่ยงเอาลูกในท้องมาเดิมพัน ถังเยาไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของเธอ แต่เธอเชื่อว่าเวินหนี่ต้องมีเหตุผลที่ไม่สามารถพูดได้ถังเยาจึงไม่ถามอะไรอีก ถ้าเวินหนี่อยากบอก เธอคงจะบอกเอง เพียงแค่ถังเยาเห็นว่าทั้งสองเพิ่งกลับมาดีกันได้ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมากถังเยาจึงรู้สึกเห็นใจเวินหนี่ไมน้อยถ้าไม่มีเย่หนานโจวเป็นอุปสรรค ชีวิตของเธอก็คงจะมีความสุขถังเยาเตือนอีกข้อหนึ่งว่า “เธอก็ต้องระวังตัวด้วย ไม่ใช่แค่เย่หนานโจว เด็กสาวคนนั้นก็ควรระวังด้วย ดูภายนอกอาจจะไม่มีพิษภัย แต่ใครจะรู้ว่าเธอมีความทะเยอทะยานหรือเปล่า”เวินหนี่คิดว่าตอนนั้นคงจะหย่ากั
ทั้งสองหัวเราะออกมาถังเยามีประชุมต่อ หลังจากคุยกันได้สักพักพวกเธอก็แยกย้ายกันไปเวินหนี่ไม่ได้กลับบ้าน เธอรู้สึกว่างเปล่าในหัวไม่รู้จะคิดอะไรดีจึงเดินไปเรื่อย ๆ ตามสัญชาตญาณจนไปถึงโรงเรียนมัธยมต้นของตัวเองเวลาผ่านไปกว่าสิบปีแล้วตั้งแต่เธอเรียนมัธยมต้น สังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก โรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน มีการปรับปรุงใหม่ ขยายพื้นที่ และสร้างอาคารเพิ่มอีกหลายหลังแต่ป้ายหินที่หน้าประตูโรงเรียนนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มันสลักคำว่า ‘โรงเรียนมัธยมหมิงหลาง’ นี่คือโรงเรียนมัธยมต้นของเธอและเป็นที่ที่เธอได้พบกับเย่หนานโจวเป็นครั้งแรกเธอจำได้เสมอว่าเป็นวันที่ 13 สิงหาคม วันที่เธอเกือบตายตอนนั้นเป็นช่วงกลางวันหลังเลิกเรียน เธอเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกับนักเรียนคนอื่น ๆ กลุ่มหนึ่ง ทันใดนั้นก็มีโจรสวมหมวกไอ้โม่งสองสามคนเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่บนไหล่และถือปืนอยู่ในมือในยุคนั้นสภาพแวดล้อมค่อนข้างวุ่นวาย ปืนเป็นของต้องห้าม แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความโลภของมนุษย์ได้ โจรกลุ่มนั้นจับตัวนักเรียนไปหลายคน และหนึ่งในนั้นก็คือเธอโจรคนหนึ่งเข้ามาจับคอเธอจากกลุ่มนักเรียน เ
ในตอนนั้นเธอมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องหาตัวเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอให้ได้และจะไม่ยอมให้ตัวเองจมอยู่ในความทรงจำนั้นตลอดไปเธอพักการเรียนไปครึ่งปี และเมื่อกลับมาเรียนอีกครั้ง เธอก็พยายามสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนั้นจนในที่สุดก็รู้ว่าเขาเรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมือง และชื่อของเขาคือเย่หนานโจวถึงแม้ว่าในชื่อของเขาจะไม่มีตัวอักษร ‘จ้าน’ แต่ทุกคนกลับเรียกเขาว่า ‘อาจ้าน’ซึ่งเธอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็อาจเป็นชื่อเล่นของเขาก็ได้เธอพยายามอย่างหนักจนสอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่เขาเรียนได้แต่เธอก็เฝ้ามองเขาอยู่เงียบ ๆ จากเบื้องหลังโดยไม่เคยเข้าไปทักทายหรือรบกวนเขาเลยเขาที่เล่นบาสเก็ตบอลเก่งมากเขาที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมเขาที่มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเขาช่างยอดเยี่ยมขนาดนั้น ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควร ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่มองดูเขาอย่างเงียบ ๆ เท่านั้นถึงแม้ว่าเธอจะเดินผ่านเขา เขาก็ไม่เคยหันมามองเลยแม้แต่น้อย เขาลืมไปนานแล้วว่าเคยช่วยชีวิตเธอไว้"เวินหนี่"ในขณะที่กำลังหวนคิดถึงอดีตที่มีทั้งความเศร้า ความตื่นเต้น และความรัก อยู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อขัดจังหวะความคิ
“ไม่ต้องเกรงใจครับ การตอบแทนบ้านเกิดเป็นเกียรติของผม ยิ่งเป็นโรงเรียนเก่าของผมด้วย” ชายหนุ่มตอบผู้อำนวยการหวังพอใจมาก นักเรียนของเขาประสบความสำเร็จเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเก่าเวินหนี่ทำงานมาหลายปี แทบไม่ได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเลย เมื่อเจอพวกเขาก็ไม่สามารถเดินหนีได้ จึงทำได้แค่ยืนฟังเงียบ ๆลู่เซินบริจาคเงินห้าสิบล้านให้กับโรงเรียนเก่า เธอรู้สึกชื่นชมเขาอยู่ในใจ เขาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแต่ก็ไม่ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านเกิดถ้าเป็นคนอื่น เมื่อพัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จที่ต่างประเทศก็คงจะไม่กลับมา“เวินหนี่ ได้ยินว่าตอนนี้เธอทำงานอยู่ที่เย่กรุ๊ป” ผู้อำนวยการหวังหันมามองที่เวินหนี่เวินหนี่อึ้งไปเล็กน้อยผู้อำนวยการหวังถามอย่างห่วงใย “เธอสบายดีไหม?”เวินหนี่แปลกใจ “ครูหวังรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอคะ?”เขามีนักเรียนมากมาย คงจะจำไม่ได้ทุกคนว่าทำอะไรอยู่ผู้อำนวยการหวังพูดว่า “ฉันเจอคุณเย่หลายครั้ง เขาพูดถึงเธอ เลยรู้ว่าเธอทำงานที่เย่กรุ๊ป แต่ไม่เคยเจอเธอเลย”เวินหนี่ติดตามเย่หนานโจวมานาน แต่ไม่รู้ว่าเขายังมีการติดต่อกับผู้อำนวยการหวังอยู่ “อาจจะเป็นเพราะบังเอิญฉันไม
บางทีเขาอาจจะเป็นห่วงเธอ แต่ตอนนี้เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ทำไมเขาถึงยังมีสายตาแบบนั้นอยู่ล่ะ?สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ เขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่สองหลังจากเกิดเหตุการณ์“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะไปถึงอเมริกาแล้วสินะ”ลู่เซินพูดต่อ “ปีนั้นฉันกลับมาครั้งหนึ่ง”เวินหนี่จ้องมองเขาไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร แต่เขาก็พูดต่อ “แต่ฉันต้องกลับไปอเมริกาเร็วมาก จนไม่มีโอกาสได้มาทักทายเธอเลย”เธอจึงพูดว่า “ไม่เป็นไร ตอนนั้นเรายังไม่สนิทกันขนาดนี้”ลู่เซินยิ้มเล็กน้อย “ใช่ ในตอนนั้นเรายังไม่สนิทกันขนาดนี้” แต่แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่พอมาคิดดูแล้ว ฉันรู้สึกเสียดาย ถ้าตอนนั้นฉันไม่ไปต่างประเทศ อะไร ๆ คงจะไม่เหมือนเดิม ตอนเธอเจออันตราย ฉันอาจจะปกป้องเธอได้ จะไม่มีทางปล่อยให้เธอถูกทำร้าย พวกโจรจะไม่มีทางจับเธอได้”“พูดเป็นเล่นน่า” คำพูดของเขามีลักษณะครึ่งจริงครึ่งเล่น เวินหนี่จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก“ฉันได้ยินจากลุงเวินว่าเธอเป็นโรค PTSD (โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ) และใช้เวลาครึ่งปีในการรักษา ช่วงเวลานั้นคงยากลำบากมาก”มันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาไปต่างประเทศได้ไม่นาน ในช่วงเวลาที่สำคัญที่ส
เขาเพิ่งกลับมาได้ไม่นาน มันก็ไม่ควรจะมีเรื่องอะไรแบบนั้นเวินหนี่เดินตามเขาไป ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ลู่เซินรู้สึกเพลิดเพลินกับการเดินเล่นกับเธอจึงเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ตรงมุมปากแต่แล้วก็มีรถคันหนึ่งแล่นมาทำลายความสงบของช่วงเวลานั้น รถแล่นตรงเข้ามาทางพวกเขา ร่างสูงกลัวว่าเวินหนี่จะถูกรถชน จึงผลักเธอไปที่ข้างทางโดยอัตโนมัติ และเดินไปทางถนนด้านนอกแทนเหตุการณ์นี้ถูกเย่หนานโจวมองเห็นจากกระจกมองหลัง เขาขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเย็นชา ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เมื่อสังเกตเห็นว่าเวินหนี่ดูผ่อนคลายและมีความสุขกับการอยู่กับลู่เซินเธอทำแบบนี้ลับหลังเขาหลายครั้งแล้วใช่ไหม?เธอไม่ได้ชอบผู้ชายที่ชื่ออาจ้านหรือไง?ลู่เซินไม่ได้ชื่ออาจ้านนี่นาเย่หนานโจวกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาสนใจคนในใจของเธอ และตอนนี้ก็ยังสนใจผู้ชายที่อยู่กับเธอ ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ภายในใจ"คุณเย่ เลขาเวินก็อยู่ที่นี่ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่กับเธอด้วยนะครับ" เผยชิงมองจากกระจกมองหลังและพูดขึ้นมาเย่หนานโจวมองเขาด้วยสายตาเย็นชาชายหนุ่มจึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าสิ่งที่พูดไปไม่ใช่เรื่องดี สายตาของเย่หนานโจวบอกเขา
ทว่าเย่หนานโจวกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น การเจอกันโดยบังเอิญหลายครั้งคงไม่ใช่แค่บังเอิญธรรมดาทุกครั้งที่เจอกัน เวินหนี่ก็ดูมีความสุขมาก ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้น“คุณเย่มาถึงแล้วเหรอครับ!” ผู้อำนวยการหวังเห็นเย่หนานโจวมาถึงจึงรีบออกมาต้อนรับ โดยไม่รู้ถึงความตึงเครียดระหว่างพวกเขา เขาแค่แสดงความยินดีอย่างเต็มที่ “ในเมื่อทุกคนมาถึงแล้ว เราไปที่ร้านอาหารกันเถอะ คราวนี้ผมจะเลี้ยงพวกคุณอย่างดี”เย่หนานโจวพยักหน้าให้ผู้อำนวยการหวังโดยไม่พูดอะไรมากหลังจากที่ได้ติดต่อกันหลายครั้ง ผู้อำนวยการหวังก็เข้าใจลักษณะนิสัยของเย่หนานโจวดี ว่าเขาเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจาเกินจำเป็น แถมยังเป็นคนที่ทำงานอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักลู่เซินมองเย่หนานโจว “เชิญครับ คุณเย่”เย่หนานโจวทำหน้าบึ้งตึงและขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรกับเวินหนี่ เขาต้องการดูว่าเวินหนี่จะรู้ตัวหรือไม่ว่าจะต้องไปกับเขาเผยชิงเป็นคนรู้กาลเทศะ เขามองไปที่เวินหนี่แล้วบอกให้เธอหาทางลงจากสถานการณ์นี้ “เลขาเวิน คุณนั่งข้าง ๆ คุณเย่เถอะครับ”เขารู้ว่าเย่หนานโจวไม่พอใจ และไม่อยากให้เวินหนี่ทำให้สถานการณ์
“ไม่ใช่ค่ะ” เวินหนี่ตอบสีหน้าของเย่หนานโจวเปลี่ยนไปและเขาก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ใกล้จะเป็นอดีตภรรยาแล้วครับ!”คุณหมอถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำตอบ เขาจึงรีบตอบไปว่า “ผู้ป่วยมีอาการกระทบกระเทือนเล็กน้อยและกระดูกมือร้าว เธอจะหายดีหลังจากพักผ่อนสักระยะหนึ่ง พวกคุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”นี่เป็นเรื่องที่ดี เวินหนี่ตอบไปทันที “ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ”“ด้วยความยินดีครับ”ทั้งสองตามเย่จื่อเข้าไปในวอร์ดเวินหนี่เห็นว่าริมฝีปากของเย่จื่อดูแห้งผาก ดังนั้นจึงรีบหาน้ำอุ่นมา และชุบด้วยสำลีก่อนจะเช็ดให้ชุ่มชื้นเย่หนานโจวเฝ้าดูจากด้านข้างในวอร์ดมีคนไม่มากนัก เพื่อป้องกันไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วยเวินหนี่ไม่วางใจ ดังนั้นเธอจึงนั่งลงตรงข้ามเขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่การเฝ้าเย่จื่อหลังจากที่เฝ้าได้สักพัก เธอก็รู้สึกง่วงจนเปลือกตาสั่น จากนั้นเธอก็เผลอฟุบหลับไปเมื่อเวินหนี่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะความตกใจ เธอฝันว่ามันมืดสนิทและอยู่ในพื้นที่แคบ ๆกลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น แม้แต่ในความฝันก็ยังไม่ปล่อยเธอไป เธอมักจะฝันแบบนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเอาซะเลยเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีเสื้อคลุม
หรือว่าเขาจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว?เธอเคยได้ยินเย่จื่อพูดอยู่หลายครั้ง แต่เธอก็ยังไม่ได้คิดถึงเหตุผลบางทีเย่หนานโจวอาจรู้มานานแล้ว จึงเข้าใจโดยปริยาย“เวินหนี่”ลู่เซินเข้ามาหาเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักสักหน่อยไหม เดี๋ยวร่างกายจะทนไม่ไหวเอานะ”เวินหนี่ยืนนานแล้วและรู้สึกปวดหลัง แต่เธออยากรอให้เย่จื่อออกมา จึงนั่งลงข้าง ๆ “ฉันอยากรอจนกว่าคุณอาจะฟื้น”“ผมจะรอเป็นเพื่อนคุณเอง” ลู่เซินพูดขึ้นอีกครั้งเวินหนี่พยักหน้าไปทางเขาร่างสูงของเย่หนานโจวเอนตัวไปที่กรอบประตูและเหลือบมองความกังวลของลู่เซินที่มีต่อเวินหนี่ ดวงตานั้นแทบจะมีน้ำล้นออกมาได้ และเวินหนี่ก็ดูเหมือนพร้อมยอมรับน้ำใจของเขาคลื่นแห่งความกระสับกระส่ายโจมตีร่างกายของเย่หนานโจวอีกครั้งดวงตาของเขาเย็นขึ้นและจงใจเตะเก้าอี้ข้าง ๆ ให้มีเสียงนั่นคือเก้าอี้ที่ลู่เซินนั่งอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เย่หนานโจวก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “โทษที บังเอิญเตะโดนเข้าน่ะ!”“ไม่เป็นไร” ลู่เซินไม่ได้ติดใจอะไรเย่หนานโจวกลับพูดขึ้นอีกว่า “ตรงนี้คือพื้นที่รอสำหรับญาติ ไม่ทราบว่าคุณลู่มาที่นี่ทำไมกัน ที่บริษัทของคุณไม่ยุ่งเหรอครับ?”
เขาไม่ได้โต้เถียงกับเธอ และเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเธอสำหรับเขา น้ำตาของเย่ซูเฟินนั้นไร้ค่าเย่ซูเฟินในฐานะผู้หญิง เมื่อเห็นความเฉยชาของสามี มันก็ค่อย ๆ ทำลายแนวป้องกันในใจของเธอทีละน้อยและโวยวายขึ้นอย่างอารมณ์ร้อน “พูดมาสิ ทำไมถึงไม่พูดล่ะ ในสายตาของคุณ เย่จื่อสำคัญกว่าฉันใช่ไหม ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ เย่เหว่ยถิง คุณจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”เธอร้องไห้จนตาแดง อยากให้สามีเอาใจใส่เธอบ้างแค่หันมามองเธอสักครั้งก็สามารถสงบความโกรธและความกังวลของเธอได้เย่เหว่ยถิงเงียบและทำเหมือนเย่ซูเฟินคือคนแปลกหน้าอย่างเย็นชาเย่หนานโจวมองการอยู่ร่วมกันของพวกเขา เขาเห็นสิ่งนี้จนชินจึงไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆสำหรับเขา พวกเขาคือพ่อแม่ของตนเพียงในนามเท่านั้นการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้เขาชินมานานแล้วถึงขั้นทำให้เขารู้สึกไม่แยแสเย่เหว่ยถิงทนเย่ซูเฟินไม่ไหวแล้ว ดังนั้นจึงลุกขึ้นและพูดกับเย่หนานโจวว่า “ฉันจะลงไปแล้ว ถ้าเย่จื่อฟื้นค่อยบอกฉัน!”เย่หนานโจวลดสายตาลงด้วยสายตาเย็นชาและไม่ตอบอะไรเย่เหว่ยถิงเองก็ไม่ได้รอคำตอบจากเขา เขาไม่ได้คาดหวังอะไรกับเย่หนานโจว เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
เมื่อเห็นความเฉยเมยของเขา เย่ซูเฟินจึงพูดขึ้นว่า “หนานโจว!”เย่หนานโจวไม่ต้องการฟังเธออีกและเดินจากไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาเย่ซูเฟินต้องการพูดอะไรบางอย่างกับเย่หนานโจว แต่ลู่ม่านเซิงร้องไห้และถูกรังแก เธอจึงไปไหนไม่ได้ และทำได้เพียงเดินไปพยุงลู่ม่านเซิง “เซิงเซิงลุกขึ้นเถอะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว”ลู่ม่านเซิงถูกพยุงขึ้น เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟิน “คุณป้า หนูมันน่ารำคาญมากจนทุกคนไม่ชอบใช่ไหมคะ!”“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ฉันชอบเธอ ทุกคนต่างก็ชอบเธอ”เย่ซูเฟินตบหลังลู่ม่านเซิงเพื่อปลอบเธอลู่ม่านเซิงยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของเย่ซูเฟินเห็นแบบนี้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายผิด แต่ก็ดูเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ ใครจะกล้าไปว่าอะไรเธอได้ ถ้าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและมีคนอยู่มากมาย เวินหนี่คงอยากจะฉีกหน้ากากของลู่ม่านเซิงออกเพื่อดูว่าเธอจะเสแสร้งได้สักแค่ไหน แน่นอน เธอรู้ดีว่าไม่ว่าลู่ม่านเซิงจะจริงหรือเท็จแค่ไหน เย่ซูเฟินก็จะยังคงปกป้องเธอความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอดูเหมือนไม่ชัดเจนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น “เย่จื่อเป็นยังไงบ้าง?”เวินหนี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นเย่เหว่ยถิงเดินเข้ามาเขาสวมชุดสูทแ
ขณะที่เย่ซูเฟินกำลังปกป้องลู่ม่านเซิง เวินหนี่ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เย็นชาเมื่อเย่ซูเฟินเห็นเวินหนี่พูดแบบนั้น เธอจึงพูดขึ้นว่า “เวินหนี่ เซิงเซิงเป็นถึงขนาดนี้แล้ว อย่าอาศัยโอกาสนี้ซ้ำเติมเธออีก!”ปฏิกิริยาแรกของเธอคือปกป้องคนที่อ่อนแอไว้เวินหนี่เดินเข้าไป เห็นลู่ม่านเซิงร้องไห้หนักและดูอ่อนแอจนเกินบรรยาย “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ พวกคุณมีใครกังวลเกี่ยวกับคุณอาบ้าง สิ่งที่คุณกังวลคือกลัวว่าลูกชายจะไม่เอา ส่วนลู่ม่านเซิงเธอกล้วว่าถูกกล่าวโทษเลยมาเสแสร้งทำเป็นน่าสงสารที่นี่ ฉันเห็นกับตาตัวเองว่าคุณผลักคุณอาลงมา และลู่ม่านเซิงก็น่าจะเป็นผู้ที่ยุยง!”คุณอาถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทำให้เวินหนี่ไม่ต้องการไว้หน้าพวกเธอ “อย่ามาพูดจาไร้สาระ!” เย่ซูเฟินตวาด “ฉันผลักเย่จื่อก็จริง แต่ฉันแค่ผลักเบา ๆ ทำไมเธอถึงไม่คิดบ้างล่ะว่าเย่จื่อจงใจล้มลงไปเอง”เวินหนี่มองไปที่เย่ซูเฟิน “แรงผลักของคุณมันไม่ได้เบา เราทุกคนต่างก็เห็น”เมื่อเย่ซูเฟินเห็นท่าทีของเวินหนี่ น้ำเสียงของเธอก็ดังมากยิ่งขึ้น “เวินหนี่ เธอมีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้ ยังไงฉันก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส เป็นแม่สามีขอ
“ไม่ใช่นะ…” เย่ซูเฟินกล่าว “ลูกยังเป็นลูกชายของแม่ แม่เสียใจมากและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดใช้ให้ลูก…”“ผมไม่ต้องการมันแล้ว” ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา “การเรียกคุณว่าแม่มันคือความอดทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม และคุณก็ควรจะพอใจได้แล้ว!”เย่ซูเฟินอดไม่ได้ที่จะถอยกลับไปสองสามก้าวและพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ลูกจะทำกับแม่แบบนี้ไม่ได้นะ อย่าเป็นเหมือนพ่อของลูก ไม่อย่างนั้นแม่พาลูกกลับมามันจะมีความหมายอะไร!”เย่หนานโจวพูดอย่างเย็นชา “หากมีผม การเอาชนะใจสามีของคุณมันถึงจะมีความหมาย แต่น่าเสียดายที่ความพยายามทั้งหมดของคุณมันไร้ประโยชน์!”ทุกคำพูดเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจของเย่ซูเฟินในตอนนั้นการแต่งงานของเธอกับเย่เหว่ยถิงนั้นค่อนข้างน่าขัน เป็นเพียงเพราะเธอดื้อดึงที่จะแต่งงานกับเขาเย่เหว่ยถิงไม่ได้รักเธอเลย ตรงกันข้ามเขาเกลียดเธอเธอคิดว่าตราบใดที่เธอแต่งงานกับเขา เย่เหว่ยถิงก็จะเป็นของเธอเมื่อเรื่องราวมันเลยจุดที่จะเข้าไปแก้ไขได้ มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้อีก?แต่เธอคิดง่ายเกินไป เย่เหว่ยถิงไม่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องที่อ้างว่างเธอใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาชนะใจสามีแม้กระทั่ง
“หนานโจว”ในระหว่างที่โต้เถียงกับเย่จื่ออยู่นั้นเย่ซูเฟินก็สังเกตเห็นเขา และเธอก็ตกใจเล็กน้อยเวินหนี่เองก็มองไปและเห็นเย่หนานโจวยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขาเย็นชาและดูเหมือนจะไม่แปลกใจกับสิ่งที่พวกเธอพูดกลับกัน เขากลับยอมรับความจริงนี้อย่างสงบนิ่งเย่จื่อตกใจเมื่อเห็นดวงตาของเย่หนานโจวในขณะนี้ สิ่งที่เธอเสียใจคือการที่เธอหุนหันพลันแล่นพูดออกไปว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเย่ซูเฟิน เพราะมันถือเป็นการโจมตีเขาเธอมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของเธอมองเพียงเย่หนานโจว “หนานโจว…”เย่หนานโจวไม่ได้พูดอะไรมากเขาเพียงแค่รู้ว่าพวกเธอมาที่สุสานและอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เขาจึงเป็นกังวลและแวะเข้ามาดูหน่อยเท่านั้น เย่ซูเฟินโกรธมากขึ้น “เย่จื่อ เธอกำลังพูดอะไร เธอจะให้ฉันมีความสุขไม่ได้เลยใช่ไหม เธอมันสมควรตายจริง ๆ!”เธอผลักเย่จื่ออย่างแรงความสนใจของเย่จื่อมุ่งไปที่เย่หนานโจว ความโกรธของเธอลดลงมากและลดความเกรี้ยวกราดลง ในใจคิดแต่ว่ามันจะสร้างบาดแผลให้เขาหรือไม่เธอไม่ทันได้สังเกตเห็นการกระทำของเย่ซูเฟินและเธอก็ถูกผลักลงบันไดไปทันทีสติของเวินหนี่ยังไม่ทันกลับมาจากการที่เย่หนานโจวไม่ใช่ลูกแท้
“ดังนั้นเธอจึงทำทุกอย่างเพื่อทำลายครอบครัวทีละครอบครัว! เธอไม่เคยคิดถึงความผิดของตัวเองเลย!”“ฉันไม่ผิด!” เย่ซูเฟินพูดอย่างเดือดดาล “ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเธอบีบบังคับฉันเอง!”เมื่อเห็นว่าทุกคนอารมณ์ร้อน ลู่ม่านเซิงจึงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง “คุณอา อย่าเถียงกับคุณป้าเลยค่ะ เธอแค่หุนหันพลันแล่นไปเท่านั้น ฉันไม่เป็นไรค่ะ และฉันก็ไม่ได้โทษคุณอาเลย คุณป้าพวกคุณต่างก็ถอยคนละก้าวเถอะนะคะ”“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เย่จื่อมองไปที่ลู่ม่านเซิง และพูดขึ้นอย่างดุเดือด “ถ้าเธอไม่ได้โทษฉัน แล้วจะเล่าให้เย่ซูเฟินฟังทำไม เธออยากให้เย่ซูเฟินออกหน้าให้ไม่ใช่เหรอ? เสแสร้งแกล้งทำ ภายนอกดูใสซื่อ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ ฉันล่ะเกลียดคนแบบเธอที่สุด!”เมื่อเห็นแบบนั้นเย่ซูเฟินก็ผลักเธอทันที “เธอกำลังดุใคร รู้ว่าเซิงเซิงสูญเสียการได้ยิน แต่ยังแอบพูดไม่ดีลับหลังเธอ เธอมันชั่วร้ายแค่ไหนกัน?!”“ถึงฉันจะชั่วร้ายแต่ก็ไม่ได้ขาดคุณธรรมเหมือนเธอ!” เย่จื่อก็ผลักกลับคืนไปเช่นกัน“เธอลงมือกับฉันงั้นเหรอ?”เย่ซูเฟินจ้องเธอด้วยความโกรธ “วันนี้มีเธอก็ไม่มีฉัน!”“ลองดูสิว่าฉันจะฉีกเธอเป็นชิ้น ๆ ไหม!”เย่จื่อไม่พูดพล่ำทำเพลงเข้าไปต
เย่จื่อไม่คาดคิดว่าเย่ซูเฟินจะโทรมาหาเธอ ซึ่งทำให้เธออารมณ์เดือดขึ้นทันที "ทำไม? หรือว่าเป็นลู่ม่านเซิงที่บอกอะไรกับเธอ ฉันจัดการเธอแล้วยังไงล่ะ!""ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?" เย่ซูเฟินพูดด้วยความโกรธ เพราะอยากจะจัดการกับเย่จื่อให้ได้"ฉันต้องบอกด้วยเหรอ? คิดว่าเธอเป็นใคร!" เย่จื่อไม่สนใจที่จะเคี้ยวเมล็ดแตงโมแล้ว ปัดมันออกไปพร้อมกับกำลังมองหาที่ระบายความโกรธเย่ซูเฟินหัวเราะเยาะ "กลัวสินะ กลัวฉันจะหาตัวเจอ ฉันรู้แล้วว่าโรงงานเสริมความงามของเธอโดนพังเสียหายหมด ตอนนี้ถึงกับต้องหลบซ่อนตัวเหมือนเต่าหดหัวแล้ว!""ฉันเนี่ยนะกลัว? ฉันเคยกลัวเธอสักครั้งไหม! ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแต่งงานกับเย่เว่ยถิง ฉันไม่เคยนับเธอเป็นคนของตระกูลเย่ด้วยซ้ำ!" เย่จื่อตอบกลับอย่างกระแทกกระทั้น"งั้นก็ออกมาสิ มาสู้กันต่อหน้า!" เย่ซูเฟินท้าทาย"ก็ได้ ออกมาก็ออกมา เย่ซูเฟิน ถ้าเธออยากจะตัดขาดกับฉันจริง ๆ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว!" พูดจบ เย่จื่อก็ตัดสายทิ้งและหยิบกระเป๋าขึ้น เตรียมออกไปข้างนอกทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น เวินหนี่รีบพูดขึ้น "คุณอาคะ คุณอาจะไปไหนคะ หนูจะไปด้วย"เย่จื่อหันมามองเวินหนี่ "เธอไม่ต้องไป เย่ซูเฟิ