“ฉันไม่ได้พูดเอง แต่มันคือความจริง! ได้ยินมาว่าเวินหนี่ได้ทำงานเป็นเลขาก่อนที่จะเรียนจบซะอีก ได้โอกาสอยู่ใกล้คนเป็นเจ้าเป็นนายแบบนี้ แล้วหล่อนจะไม่ได้แต่งงานกับคนรวยได้ยังไง? หล่อนเป็นคนฉลาด ไม่เหมือนพวกแก ตอนนี้เวินซู่ทำอะไรได้บ้าง? งานการก็ไม่มี แถมชื่อเสียงก็แย่อีก แล้วคิดว่าในอนาคตจะมีชีวิตที่ดีได้ไหม?”แม่ของจางลี่หงเป็นคนปากร้าย คำพูดเหล่านี้ทำร้ายจิตใจเวินซู่มาก เธอมองไปที่คุณยายแล้วพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ยายคะ หนูยังเป็นหลานยายอยู่หรือเปล่า? ทำไมถึงบอกว่าหนูเทียบเวินหนี่ไม่ได้?”พูดจบเธอก็วิ่งร้องไห้ออกไป จางลี่หงเป็นกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอวิ่งออกไป “ซูซู่ เวินซู่!”แล้วเธอก็มองไปที่แม่ของตนอีกครั้ง “แม่คะ ทำไมแม่ถึงพูดแบบนั้นต่อหน้าซูซู่ล่ะคะ แม่ทำให้เรื่องมันยิ่งแย่นะ”“ฉันพูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้พวกแกมีแรงผลักดัน บางทีพวกแกต้องต่อสู้คว้ามาด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่มีชีวิตที่ดี จะใช้วิธีไหนก็ไม่สำคัญ!” แม่ของจางลี่หงดื่มชาท่าทางสบาย ๆ โดยไม่กังวลถึงความรู้สึกของเวินซู่เลยสักนิดเวินซู่วิ่งออกไปจนมาถึงริมแม่น้ำ เธอหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนลงน้ำอย่างสุดแรงทุกคนต่างก็บอกว่าเธอเ
ห้องถูกจัดไว้แล้วและภายในก็สะอาดเรียบร้อยแต่เนื่องจากไม่มีใครอยู่มานาน จึงมีกลิ่นอับจาง ๆ ในบ้านเวินหนี่เปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศและหยิบผ้าห่มออกมาจากตู้“ถ้าคุณเหนื่อยก็เอนหลังที่นี่สักพักนะคะ”เย่หนานโจวกำลังนั่งหลับตาอยู่บนโซฟา บนตัวเขามีกลิ่นแอลกอฮอล์เวินหนี่สังเกตเห็นว่าเขาดูเงียบ ๆ ซึ่งหมายความว่าเขาน่าจะเหนื่อยแล้วเธอวุ่นวายกับการจัดเตียงเพราะอยากให้เขาได้นอนพักสักหน่อยเย่หนานโจวนวดคิ้วและพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”เวินหนี่ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหันหลังแล้วเดินลงไปห้องครัวที่อยู่ชั้นล่างในบ้านไม่ค่อยมีของใช้ในชีวิตประจำวัน และคงไม่มีของกินที่ช่วยให้สร่างเมาด้วย เธอคงต้องออกไปซื้อของข้างนอกสักหน่อยขณะนั้นเอง เวินซู่ที่กำลังเตร่ไปรอบ ๆ ก็บังเอิญเห็นเวินหนี่ออกมาข้างนอกเธอรู้ว่าเย่หนานโจวอยู่ชั้นบน เขาดื่มเหล้ากับญาติและเพื่อนบ้านไปเยอะ และตอนนี้ก็คงจะเมาแล้วนี่เป็นโอกาสที่ดีของเธอเธอยกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับซุปแก้เมาค้างที่เตรียมเอาไว้ใครต่างก็รู้ว่าเวินหนี่ได้แต่งงานกับคนรวยและมีสามีที่ดี ดังนั้นท่าทีที่มีต่อเวินหนี่จึงได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิ
แต่ทันใดนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นข้างหู “เธอรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นพี่เขยของเธอ?”เวินซู่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองเย่หนานโจว และพบว่าดวงตาที่เย็นชาของเขากำลังจ้องมองเธออยู่ในสายตาของเขาไม่มีตัณหาอยู่เลย กลับกันกลับมีแต่ความเยือกเย็น ราวกับว่าเธอกำลังร้องเพลงแสดงเดี่ยวอยู่คนเดียว ทำให้แผ่นหลังของเธอรู้สึกเย็นยะเยือกเวินซู่จับกำมือแน่น บังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ และน้ำเสียงของเธอก็นุ่มนวลขึ้น “แน่นอนว่าฉันรู้ว่าพี่คือพี่เขยของฉัน”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเมื่อเห็นแบบนั้น เวินซู่ก็พูดขึ้นอย่างเอาใจ “พี่เขย พี่ปวดหัวเหรอคะ? ให้ฉันนวดให้ไหม”เมื่อเธอยื่นมือออกไป เย่หนานโจวก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาเรียบนิ่ง “ในเมื่อรู้ว่าฉันเป็นพี่เขยของเธอ งั้นก็ควรรู้ถึงความเหมาะสมหน่อย”เวินซู่เห็นว่าเขาทำตัวห่างเหิน และไม่มีความสนใจในตัวเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นไปได้ยังไง?มีผู้ชายคนไหนที่ไม่ชอบผู้หญิงที่อายุน้อยและสวยงามบ้างเวินซู่ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “พี่เขย ฉันแค่อยากช่วยพี่เท่านั้น พี่ฉันไม่อยู่บ้าน ให้ฉันดูแลพี่ก็ได้ ฉันเอาใจเก่งยิ่งกว่าพี่สาวอีกนะคะ”คำพูดของเธอแฝงความหมายเมื่อได้
ทำไมเวินซู่ถึงได้มุ่งความสนใจไปที่เย่หนานโจวล่ะเวินซู่เดินออกมา ศอกของเธอถลอกและน้ำตาไหลพราก เธอกลัวว่าเวินหนี่จะหัวเราะเยาะตน ก่อนจะรีบวิ่งออกไป เวินหนี่มองดูแผ่นหลังของเวินซู่แล้วขมวดคิ้วอีกครั้งจากนั้นเธอก็หันไปมองเย่หนานโจวสีหน้าของเย่หนานโจวไม่ดีขึ้นเลย เขามองเธออย่างไม่แยแส “น้องสาวของเธอกำลังอ่อยฉัน เธอไม่เห็นเหรอ?”เวินหนี่ตอบอย่างสงบ “เห็นค่ะ”คำตอบของเธอทำให้ใบหน้าของเย่หนานโจวมืดมนยิ่งขึ้น “ไม่มีมีปฏิกิริยาอะไรเลย?”เวินหนี่ไม่เข้าใจ “แล้วต้องมีปฏิกิริยาอะไรคะ?”ใบหน้าของเย่หนานโจวเย็นชายิ่งขึ้น ไม่ว่าเธอจะเห็นผู้หญิงคนไหนอ่อยเขาก็ตามเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย ไม่โกรธ ไม่เสียใจ และไม่เคยหลั่งน้ำตาเลยสักหยดเดียวแต่สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเอามาก ๆ เธอไม่หึงเขาเลยสักนิดเดียวเวินหนี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “จริง ๆ แล้วฉันรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเวินซู่ทำแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธอไม่เคยชอบฉันเลยและต้องการแก้แค้นฉัน ต้องขอโทษด้วยที่สร้างปัญหาให้คุณ”“แค่นี้เหรอ?” เย่หนานโจวจ้องเธอ“ค่ะ”ดวงตาของเย่หนานโจวเย็นชา และเขาถามเสียงต่ำ “เวินหนี่
“เป็นเพราะฉันคิดถึงพวกแกต่างหาก!” แม่ของจางลี่หงพูดอย่างเคร่งขรึม “เวินเซี่ยนเทียบพี่ใหญ่ของเขาไม่ได้! อะไรมันจะดีไปกว่าเงินทองอีกล่ะ? ดูสิว่าเวินหนี่เฉิดฉายแค่ไหน มีคนชื่นชมมากมายเท่าไร เพียงแค่เอ่ยชื่อออกไปคนก็รู้ว่าเวินหนี่เก่งแค่ไหน แล้วลูกสาวของแกล่ะ! แม้ว่าจะแต่งงานกับตาแก่แต่ ขอเพียงแค่มีเงิน ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลในชีวิตแล้ว!”“แม่คะ!” จางลี่หงไม่เห็นด้วย “ฉันไม่ได้เป็นคนที่สนใจแค่เรื่องเงินเหมือนแม่ ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าฉันเป็นพวกบ้าวัตถุ ฉันรู้แล้วล่ะว่าตัวเองเหมือนใคร เหมือนแม่นั่นแหละค่ะ แม่ทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้ แล้วยังจะให้ลูกสาวเดินตามเส้นทางเก่าของฉันอีก!”“แกพูดแบบนั้นได้ยังไง? แบบนั้นแล้วมันไม่ดีตรงไหน?” แม่ของจางลี่หงพูดด้วยความโกรธจางลี่หงรู้สึกสะเทือนใจ “แล้วตอนนี้ฉันอยู่ดีไหมล่ะ? สามีของฉันตาย แล้วแม่ดูสภาพฉันตอนนี้สิ มีอะไรดีบ้าง?”“นั่นเป็นเพราะแกไม่มีประโยชน์” แม่ของเธอด่า“ได้ ฉันมันไม่มีประโยชน์ งั้นแม่ก็ไปหาลูกชายของแม่ อย่ามาหาลูกสาวอย่างฉันอีก!” จางลี่หงเจ็บปวดใจและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมีแม่เช่นนี้เวินหนี่ซึ่งอยู่ที่ประตูได้ยินหมดทุกอย่างเธอไม่ได้ส่ง
เวินหนี่รู้ดีว่าคนผู้นี้เคยมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเธอหลังจากที่จางลี่หงระบายอารมณ์เสร็จ เวินหนี่ก็ยังคงถามอย่างเรียบนิ่ง “วันนั้นที่ฉันถูกคุณอาลักพาตัว ในที่เกิดเหตุยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคน หล่อนไม่ต้องการให้ฉันจำได้ดังนั้นจึงดัดแปลงเสียง เรื่องที่พวกอาใส่ร้ายฉัน ฉันก็รู้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง และมีอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ลักพาตัวซึ่งฉันคิดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกัน หากอยากหาตัวคนที่ทำให้อาต้องตาย ก็คงต้องพึ่งพวกอาสะใภ้ในการระบุตัวคนร้าย!”“ไร้สาระ ไร้สาระทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้!” จางลี่หงไม่เชื่อ “เธอพูดแบบนี้เพื่อแก้ตัวและบรรเทาบาปตัวเองเท่านั้น!”จางลี่หงพูดแบบนั้นเพราะไม่เต็มใจที่จะยอมรับความเป็นจริงว่าเวินเซี่ยนลักพาตัวเวินหนี่ไปถึงได้รับผลเช่นนี้ จางลี่หงไม่เต็มใจที่จะยอมรับ หากโยนความผิดทั้งหมดให้เวินหนี่ พวกเธอก็จะไม่ต้องแบกรับความรู้สึกผิดนี้เวินหนี่พูดไปหมดแล้ว “อาสะใภ้คิดให้ชัดเจนว่ามันคุ้มค่ากับการตายของคุณอาไหม หากไม่คุ้ม ก็บอกฉันมาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ฉันไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่!”เมื่อเวินซู่ได้ยินแบบนั้น เธอก็คิดตามคำพูดของเวินหนี่ ใบหน้าของเธอซีดเผือดและดูผิดปกติเล็กน้อยเ
โจวเสี่ยวหลินไม่ได้หลบ ใบหน้าเธอเอียงไปตามแรงตบก่อนจะหันมามองเวินหนี่ “พี่เวิน ทำไมพี่ถึงโกรธขนาดนี้ล่ะคะ? การทำร้ายร่างกายคนอื่นมันผิดกฎหมายนะคะ!”เวินหนี่พูดด้วยน้ำเสียงรุนแรง “สิ่งที่เธอทำมันก็พอให้เธอต้องติดคุกตลอดชีวิตแล้ว!”โจวเสี่ยวหลินไม่กลัว เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันทำอะไรคะ? พี่เวิน พี่อย่าใส่ร้ายฉันสิ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยแค่มาเที่ยวที่นี่เท่านั้น”“เวินหนี่ นี่เธอทำอะไร?”ทันใดนั้น เย่ซูเฟินก็เดินมาจากไม่ไกล เมื่อเห็นว่าเวินหนี่ทำร้ายร่างกายคนอื่น สีหน้าก็ดูไม่พอใจและตวาดเธอ “ตอนนี้ไม่เก็บอารมณ์แล้วสินะ กล้าตบแม้กระทั่งเสี่ยวหลิน เธอกำลังตั้งท้องเชื้อสายของตระกูลเย่ หากเสี่ยวหลินเป็นอะไรไป เธอจะรับผิดชอบไหวไหม?”เวินหนี่มองไป เย่ชูเฟินเดินมาถึงและออกหน้าให้โจวเสี่ยวหลินโจวเสี่ยวหลินอาศัยจุดนี้ ดวงตาของเธอฉายแววรอยยิ้มแห่งชัยชนะ “คุณป้า ไม่เป็นไรค่ะ เธอตั้งท้องไม่ได้ แต่ฉันกลับตั้งท้อง พอเห็นฉันพี่เวินก็เลยโมโหเป็นปกติค่ะ”เย่ซูเฟินพูดอย่างรุนแรง “เธอมีลูกไม่ได้เองแล้วยังไม่ยอมให้คนอื่นท้องอีก นิสัยเสียจริง ๆ!”เวินหนี่ขมวดคิ้วและจ้องไปที่โจวเสี่ยวหลิน เธอรู้ว่าโจวเสี่ยว
โจวเสี่ยวหลินเผลอกุมท้องด้วยความประหม่า ฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่เธอก็ฝืนยิ้มตอบอย่างกล้าหาญ “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่กลัวกรรมอะไรหรอกนะ”เย่ซูเฟินรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนต้องมีเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรทว่าสิ่งที่ทำให้เย่ซูเฟินรู้สึกแปลกใจ คือการเจอเวินหนี่ที่นี่“เธอมาทำอะไรที่นี่?” เย่ซูเฟินถามอย่างเย็นชา “ออกมาเดินเล่นแล้วก็ยังบังเอิญเจอกันงั้นเหรอ?”โจวเสี่ยวหลินรีบตอบก่อน “เมื่อกี้ฉันก็ถามแล้ว เหมือนพี่เวินมางานศพที่นี่น่ะ”"งานศพ?"เย่ซูเฟินทำหน้าไม่พอใจ รีบดึงโจวเสี่ยวหลินออกห่าง "อย่ายืนอยู่ใกล้เธอเลย ไม่เป็นมงคล!"เวินหนี่เม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "ที่พวกคุณยืนอยู่ตอนนี้ ทั้งหมดก็เป็นสุสานนะ""เสี่ยวหลิน เธอมาที่นี่ทำไม?" เย่ซูเฟินพูดอย่างไม่พอใจ "ไปเถอะ ไปที่อื่นดีกว่า ที่นี่บมีพลังงานไม่ดี จะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง!"ขณะที่พวกเธอกำลังคุยกัน เวินซู่ที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าสุสานพอดี สังเกตเห็นการสนทนานั้นเข้าเมื่อเธอเห็นโจวเสี่ยวหลิน ใบหน้าก็พลันบึ้งตึงขึ้นทันทีผู้หญิงคนนั้น!เวินซู่กำหมัดแน่น คิ้วขมวดมุ่น ผู้หญิงคนนี้มาทำอะไรท
อาจ้านตอบว่า “ช้าอีกหน่อยแล้วกัน สถานที่เดิม”หญิงผมแดงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้เลย ฉันจะรอคุณตรงเวลานะ”พูดจบหญิงผมแดงก็รีบเดินออกจากบริเวณของเขาไป พอเธอจากไปแล้ว อาจ้านก็ค่อย ๆ เอาหัวใจของสัตว์กลับใส่ที่เดิม จากนั้นเขาก็เย็บปิดแผลอย่างประณีต แม้ว่าเมื่อครู่จะดูโหดร้ายเลือดสาดสักแค่ไหน แต่ในตอนนี้หัวใจของสัตว์นั้นก็ยังสามารถเต้นได้อีกครั้งเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว อาจ้านถอดถุงมือที่เปื้อนเลือดออก ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและสบู่หลายรอบ จนกระทั่งไม่เหลือกลิ่นใด ๆ แล้วจึงออกไป เขาขับรถมุ่งหน้าไปยังฟาร์มที่หน้าประตูมีคนยืนเฝ้าอยู่ พอเห็นรถของอาจ้านเข้ามาก็รีบเปิดประตูให้เข้าไป ด้านในฟาร์มมีการปลูกดอกไม้บางชนิดตกแต่งไว้ แต่มีเพียงสตรอเบอร์รีเท่านั้นที่เป็นพืชหลักของฟาร์มสตรอเบอร์รีในแปลงไม่ได้ถูกเก็บไปขาย หลายลูกปล่อยให้เน่าอยู่บนพื้น อาจ้านลงจากรถ สายตาเขาเหลือบมองทุ่งสตรอเบอร์รีที่ได้รับการดูแลมาอย่างดีอย่างพอใจ บนใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มจาง ๆผู้คุมหน้าประตูส่งตะกร้าให้ อาจ้านรับตะกร้ามาแล้วเดินตรงเข้าสู่แปลงสตรอเบอร์รี ทุ่งเบื้องหน้าเต็มไปด้วยผลสตรอเบอร์รีที่สุกงอมจนเป็นส
[ฉันว่าคุณพูดถูกนะ เทียบกันแล้วฉันชอบคลิปสั้นของจางจื่อฉีมากกว่า ชอบบทของเธอในละครเรื่องนั้นจริงๆ!]ใบหน้าของลู่ม่านเซิงแทบเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธคนพวกนี้พูดบ้าอะไรกัน! บอกว่าจางจื่อฉีถ่ายได้ดีกว่าเธออย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง! เธอหน้าตาสวยกว่าจางจื่อฉีตั้งเยอะผู้ช่วยของเธอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นยอดไลค์ในคลิปสั้นของจางจื่อฉีพุ่งทะลุสิบล้านแล้ว จึงพูดจาดูถูกขึ้นมาทันที “พวกชาวเน็ตเขียนอะไรกัน เห็น ๆ อยู่ว่าคุณเซิงสวยกว่า จางจื่อฉีน่ะอาศัยแค่กระแสความทรงจำ ไม่ได้มีความสามารถจริงจังอะไรเลย แถมดันไปถ่ายคลิปสั้นแบบนี้อีก มันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาเขาเล่นกันทั้งนั้น ดาราจะไปโพสต์คลิปบนแอปแบบนี้ได้ยังไง ไร้เกียรติมาก!”ผู้ช่วยของเธอดูถูกวิธีการนี้มาก เพราะส่วนใหญ่ดาราที่โพสต์บนแอปสั้นมักจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยดัง พยายามหารายได้จากตรงนี้ เธอจึงไม่สนใจสิ่งนี้เลย“อ๊า!” ลู่ม่านเซิงโมโหถึงกับปามือถือลงพื้น!ผู้ช่วยที่ตอนแรกตั้งใจจะปลอบเธอ ถึงกับหน้าซีดเมื่อเห็นลู่ม่านเซิงปามือถือด้วยความโกรธ “คุณเซิง…”ลู่ม่านเซิงโกรธจนตาแดงก่ำ “ทำไมยอดไลค์ของจางจื่อฉีถึงได้ถึงสิบล้าน มีคนชอบเธอตั้งมา
ทางด้านลู่ม่านเซิงก็กำลังถ่ายทำเช่นกันเธอแต่งกายสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับจางจื่อฉี“ดีมากเลย เซิงเซิง สวยมาก!” ช่างภาพกล่าวพลางถ่ายจากหลายมุม“มุมนี้ดูดีมาก ได้ภาพสวยเลย!”ช่างภาพชมเธอไม่หยุดระหว่างถ่ายทำลู่ม่านเซิงเองก็มั่นใจในตัวเองสูง เธอตั้งใจถ่ายมาก เพราะรู้ดีว่าเสน่ห์และความงามของเธอเหนือกว่าจางจื่อฉี ซึ่งในวงการบันเทิงแล้ว ความงามถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง หลายคนดังได้จากเพียงรูปลักษณ์เธอเองก็แสดงละครได้ดี แถมยังมีหน้าตาที่โดดเด่น จึงมั่นใจว่าจะเอาชนะจางจื่อฉีได้แน่นอนจริง ๆ แล้วเป้าหมายของเธอไม่ใช่จางจื่อฉี แต่เป็นเวินหนี่เธอจงใจไม่ให้ความร่วมมือกับจางจื่อฉีเพื่อโค่นล้มเวินหนี่ หากเธอชนะจางจื่อฉีได้ ก็จะถือว่าชนะเวินหนี่ด้วยและหากชนะครั้งนี้ก็จะมีครั้งต่อไปเมื่อดูภาพถ่ายของตัวเอง เธอก็พึงพอใจมาก เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเทรนด์ในโลกออนไลน์ได้“รีบปล่อยภาพนี้ไปให้เร็วที่สุดนะ ใช้ความร้อนแรงของงานในวันนี้ให้เต็มที่” ลู่ม่านเซิงสั่ง“แน่นอนครับ คาดว่าค่ำนี้น่าจะได้เห็นกันแล้ว!”ริมฝีปากของลู่ม่านเซิงเผยรอยยิ้มมั่นใจ คิดว่าความสำเร็จอยู่ในมือเธอแล้วค่ำวันนั้น สื่อ
เธอยังคงเป็นคนของบริษัทเย่หนานโจว หากเกิดปัญหาอะไรขึ้น บริษัทก็ย่อมต้องคุ้มครองเธออยู่แล้ว ช่วงนี้ยังมีข่าวมากมายที่ออกมาช่วยลบล้างข่าวเสียของลู่ม่านเซิงอีกด้วยเวินหนี่มองลู่ม่านเซิงในชุดนี้อย่างเย้ยหยัน “เลียนแบบจนได้ดี มันสนุกมากไหม?”คำพูดนี้จี้จุดของลู่ม่านเซิง แต่คราวนี้เธอไม่สนใจ เธอต้องการชนะเสียครั้งหนึ่ง จึงยิ้มตอบอย่างมั่นใจ “เวินหนี่ เธอไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิง จะไปรู้ได้ยังไงว่าอะไรที่คนดูชอบ คนที่สวยก็ย่อมมีคนติดตามมากกว่า หรือเธอว่าไม่จริง?”ความหมายก็คือเธอเชื่อว่าตัวเองสวยกว่าจางจื่อฉี แต่แม้ว่าลู่ม่านเซิงจะพูดอย่างนั้น จางจื่อฉีก็มีฝีมือการแสดงที่เหนือกว่า ความเป็นนักแสดงมืออาชีพทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันเรื่องความสวยจางจื่อฉียืนอยู่อย่างสงบ สีหน้าเยือกเย็น ไม่คิดจะโต้เถียงใด ๆ กับลู่ม่านเซิง ราวกับไม่อยากเสียเวลาถกเถียงกับเธอเลยเวินหนี่ก็ไม่ได้สนใจจะโต้แย้งอะไรในเรื่องนี้ เธอเอ่ยขึ้นเพื่อให้ลู่ม่านเซิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพาคนอื่นนั้นไม่ได้ยั่งยืน “ในเมื่อเธอชอบนัก ก็เอาไปเถอะ จางจื่อฉีไม่ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ใช้ที่นี่”พอเห็นเวินหนี่รู
เวินหนี่ถ่ายรูปให้จางจื่อฉีไปหลายรูป แม้เธอจะไม่ใช่คนที่โดดเด่นเพราะความสวยงาม แต่ด้วยฝีมือการแสดงของเธอที่ยอดเยี่ยม ก็ทำให้นักแสดงชายหลายคนมีชื่อเสียงได้เช่นกัน ความไม่ถือตัวและความเป็นกันเองของจางจื่อฉีเป็นสิ่งที่เวินหนี่ชื่นชมเมื่อการแสดงแฟชั่นโชว์เกือบสิ้นสุดลง เวินหนี่เดินหาช่างภาพเพื่อนำไปถ่ายภาพเสร็จสมบูรณ์พอเสี่ยวอิ่งเห็นจางจื่อฉี เธอก็ร้องกรี๊ดออกมาด้วยความตื่นเต้น “จางจื่อฉี! ฉันได้เจอตัวจริงแล้ว!”เวินหนี่เห็นเสี่ยวอิ่งมีปฏิกิริยาขนาดนี้ก็อดแซวไม่ได้ “ตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”เสี่ยวอิ่งตอบอย่างไม่ลังเล “แน่นอนสิ! ฉันดูละครที่เธอเล่นมาตั้งหลายเรื่อง นี่มันเหมือนฝันไปเลย ฉันได้เจอไอดอลของฉัน ฉันชอบเธอมาก ๆ เลยล่ะ!”จางจื่อฉียิ้มแล้วเดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี ฉันคือจางจื่อฉีค่ะ” เธอเอื้อมมือออกไปจับมือกับเสี่ยวอิ่งเสี่ยวอิ่งมองมือของจางจื่อฉีด้วยความตื่นเต้น ราวกับอยู่ในความฝัน เธอจับมือจางจื่อฉีแล้วพูดอย่างซาบซึ้งจนแทบร้องไห้ “นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? ฉันดูละครที่คุณแสดงมาทุกเรื่องเลยนะคะ ฉันรู้ประวัติของคุณด้วย คุณมาจากต่างจังหวัดแล้วต่อสู้ในวงการบันเทิงตั้งนาน ฉ
เมื่อเปรียบเทียบความสามารถของลู่ม่านเซิงในการสร้างกระแสดังในทางลบ กับความหยิ่งในศักดิ์ศรีของจางจื่อฉีที่ปฏิเสธไม่รับเล่นบทละครที่ไม่ได้คุณภาพแล้ว เวินหนี่ก็รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่าในวงการบันเทิงยุคนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลงอย่างรวดเร็ว นักแสดงหน้าใหม่ผลัดเปลี่ยนมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ขณะที่คนเก่าก็ถูกลืมไปได้ง่ายบางคนอาจโด่งดังจากละครเรื่องเดียว แต่ถ้าไม่มีผลงานต่อไปคอยสนับสนุนจากคนดังแถวหน้าก็อาจตกไปเป็นระดับล่างได้ในพริบตา การแข่งขันในวงการนี้โหดร้ายและไร้ปรานี ต่อให้เวินหนี่ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงเอง เธอก็ยังเห็นความเป็นจริงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนแม้การเล่นละครที่ด้อยคุณภาพจะทำให้ชื่อเสียงไม่ดี แต่ถ้ามันสามารถเรียกความสนใจจากผู้คนได้ นักแสดงคนนั้นก็สามารถนับเป็น ‘สินค้าทางการตลาด’ ที่ประสบความสำเร็จแล้วเวินหนี่มองจางจื่อฉีและพูดว่า “คุณเป็นนักแสดงที่ดีค่ะ ไม่ใช่แค่ฝีมือการแสดงที่ดี แต่ยังไม่ยอมตามกระแสแบบทั่วไป คนที่เป็นแบบนี้หาได้ยากมาก ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าสักวันคุณจะต้องโด่งดังแน่นอน”จางจื่อฉีรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำชมจากเวินหนี่ เธอจึงยิ้มและพูดด้วยความขอบคุณ “ตอนน
นักข่าวที่มางานนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเธอ เพราะสื่อออนไลน์พัฒนาไปไว ทุกคนต่างก็พยายามเป็นคนแรกในการปล่อยข่าว รายงานแรกที่แม่นยำที่สุดย่อมได้เรตติ้งดีที่สุดแม้งานเดินแบบเวทีทีสเตจนี้จะไม่ใช่ข่าวใหญ่ แต่การถ่ายทอดสดก็ทำให้ทุกสื่อแข่งกันเพื่อเป็นอันดับหนึ่งของกระแสบนรันเวย์ตอนนี้มีนางแบบเดินอยู่บ้างแล้ว บรรดาดาราหลายคนก็อยู่ที่นั่งฝั่งผู้ชม เวินหนี่กำลังมองหามุมที่ดีที่สุดในการถ่ายภาพ“คุณเวิน”ทันใดนั้นเสียงเรียกเธอก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เวินหนี่หันกลับไปก็พบว่าจางจื่อฉีกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เธอเหลือบมองไปรอบ ๆ เห็นแต่ทีมงานและดาราที่อยู่ด้านใน“คุณจาง ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้คะ?”จางจื่อฉีตอบอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณจางหรอก เรียกว่าจื่อฉีก็พอ”เวินหนี่รู้สึกดีกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว “ทำไมคุณถึงออกมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ? เข้าไปด้านในเถอะนะ ตรงนี้มีแต่ทีมงาน เดี๋ยวถ้าโดนนักข่าวรุมถ่ายจะลำบากเอานะคะ!”เวินหนี่รู้ดีว่าพวกนักข่าวนั้นดุดันแค่ไหน การที่จางจื่อฉีออกมาแบบนี้อาจทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายได้จางจื่อฉีไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไร เธอมองไปยังพวกนักข่าวและช่างภาพที่กำล
เย่หนานโจวหัวเราะเย็นชา “เคยเห็นการยินยอมพร้อมใจแบบนี้ด้วยหรือไง?”ปลายสายถึงกับเงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ในเมื่อทุกคนเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็ควรจะรับผิดชอบตัวเอง ไม่ถึงกับถูกหลอกกันง่าย ๆ เขารู้สึกว่าเย่หนานโจวกังวลเกินไปแต่พอคิดอีกที คงเป็นเพราะความห่วงใยที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ จึงเข้าใจได้ว่าความกังวลของเย่หนานโจวก็มีเหตุผลอยู่เย่หนานโจวเปิดม่านหน้าต่างออก มองออกไปข้างนอก ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความกังวลใจ "เธอแทบไม่ได้ใกล้ชิดกับผู้ชายคนไหนเลย ถ้ามีใครสักคนเข้ามาหว่านล้อมไม่กี่คำแล้วเธอดันหลงเชื่อขึ้นมาล่ะ? มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย"ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งนั้น เขาจะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่น้อยหลังจากวางสาย เย่หนานโจวเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนชุด เวินหนี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาพอดี เห็นเขาเดินเข้ามาตรงเวลา เธอจึงหยิบไดร์เป่าผมขึ้นมา “ฉันจัดการเองได้”เย่หนานโจวไม่คัดค้าน แต่จ้องมองเธอแล้วกล่าวว่า “ฉันต้องไปทำธุระสักพัก คราวหน้าค่อยมาใหม่แล้วกัน”“ค่ะ” เวินหนี่พูดขณะเป่าผม โดยไม่หันไปมองเขาเมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อย เวินหนี่เดินออกมาพร้อมกับเย่หนานโจว“หน
เย่หนานโจวมองเวินหนี่ด้วยสายตาที่จับจ้องไปยังเธอไม่วางตาโดนมองแบบนี้แล้ว เวินหนี่ก็เริ่มรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย “ว่ายน้ำเสร็จแล้วหรือยังคะ? ถ้าเสร็จแล้ว ช่วยปล่อยให้ฉันออกไปจะได้ไหม?”เย่หนานโจวสบตาเธอด้วยแววตาที่ลึกล้ำขึ้นทุกที “เธอไม่ได้โกหกฉันแน่นะ?”เวินหนี่ใจเต้นแรง รู้สึกเหมือนร่างกายถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นเชือกที่มองไม่เห็น เธอจึงเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขากลับ “ฉันไม่ได้โกหก”เย่หนานโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อย ๆ คลายมือที่จับเธอไว้ แล้วพูดเสียงต่ำ “เธอโกหกฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่ยอมให้เธอโกหกอีกเป็นครั้งที่สอง”เวินหนี่นิ่งเงียบ ตอนนี้ในสถานการณ์ระหว่างพวกเขา ไม่ว่ามันจะเป็นการโกหกหรือไม่ ก็แทบไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว การปกป้องตัวเองด้วยการโกหกก็เป็นเรื่องหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เย่หนานโจวไม่ทำให้เธอลำบากใจไปมากกว่านี้ เขาปล่อยให้เธอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องเปลี่ยนชุดที่เตรียมไว้ให้เวินหนี่เดินเข้าไปข้างในทันที แล้วเลขาหญิงก็ตามเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่ในมือ เป็นชุดกีฬาที่สวมใส่สบายและโปร่ง “คุณเวินคะ นี่เป็นชุดที่ท่านประธานเตรียมไว้ให้ค่ะ”เวินหนี่ทั้งตัวเปียกชุ่มไปหม