“ผ่านแล้ว เย้”
อีกไม่กี่วันต่อมาชลทิตย์ส่งงานให้ลูกค้าเสร็จเร็วกว่ากำหนดหนึ่งวันเพราะเจ้านี้ไม่ได้ปรับแก้ดีเทลอะไรเพิ่มเติมคอนเฟิร์มแบบทันทีที่ส่งภาพโลโก้ตามบรีฟกลับไปให้
เมื่อวานเลยได้ออกไปซื้อของใช้บางอย่างที่ยังขาดเหลืออยู่สำหรับจัดลงกระเป๋าสัมภาระที่จะเเบกมาอุทยานตอนบ่ายในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน
ปกติชายหนุ่มจะเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวหากว่าไปคนเดียวและถ้ามีไอ้พวกเพื่อนๆด้วยจะใช้รถบ้านของกันตพลหรือกรขับรับลมชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนเจอจุดไหนน่าสนใจก็แวะ ส่วนตอนนี้อีกไม่ไกลเขาก็จะถึงอุทยานแห่งชาติพนาดรแล้วซึ่งชลทิตย์เดินทางออกมาจากบ้านตั้งแต่ตีห้าขับมาเรื่อยๆตามจีพีเอสที่ตั้งไว้ก็
“อีก 200 เมตร เลี้ยวขวา”
เมื่อเลี้ยวตามที่จีพีเอสบอกจากถนนสายหลักเปลี่ยนเป็นคอนกรีตที่แคบลงพอให้รถสองคันสวนทางกันได้สองข้างทางเป็นป่ายางสูงจากนั้นก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นเพราะทางเริ่มเป็นถนนดิน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงปลายฝนเลยมีการทิ้งรอยเละของล้อรถยนต์บางคันก็น่าจะเคยติดหล่ม
ความจริงแล้วอุทยานนั้นเข้าได้ทั้งหมดสี่ช่องทางส่วนที่ใกล้สุดสำหรับชายหนุ่มคือเส้นที่ต้องผ่านป่านิลคีรี
“ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวนี่นา เอ๊ะ มีชาวบ้านไปหาของป่าได้ด้วยเหรอไหนว่าเข้าไม่ได้ไง”
ระหว่างที่สายตากำลังชื่นชมความสวยงามในช่วงหันกลับมาแล้วต้องหันไปดูอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาดเพราะเหมือนเห็นกลุ่มคนที่หางตา แล้วก็ใช่จริงๆว่าเป็นกลุ่มชาวบ้านที่มีตะกร้าสานสะพายอยู่ด้านหลังแม้จะค่อนข้างไกลแต่ยังมองลักษณะออกจากแสงที่ลอดผ่านต้นไม้ลงมาพอดี
“สงสัยรอบๆตรงนั้นเข้าได้มั้งช่างเถอะ”
พอขับมาถึงเอารถยนต์จอดไว้แล้วมาลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่
“คนเดียวครับ”
“ค่าเข้า 40 บาท ค่าฝากรถยนต์ 30 บาท รวม 70 บาทครับ”
“เหมือนดอกกล้วยไม้เลยครับ”
อีกหนึ่งไฮไลท์นอกจากตราอุทยานแล้วก็คงไม่พ้นลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ที่มักเอาจุดเด่นของพื้นที่นั้นมาประยุกต์จนเกิดเป็นกระแสโซเชียลเมื่อไม่นานมานี้
“ใช่ครับ เป็นรองเท้านารีที่พบเห็นได้เยอะในเขตอุทยานถ้าอยากได้กวางต้องไปขอกับเจ้าหน้าที่ข้างบนนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
“กฎของที่นี่รบกวนอ่านให้ครบและห้ามละเมิดอย่างเด็ดขาดเพราะมันจะอันตรายกับคุณเองนะครับ”
ชลทิตย์ยิ้มรับขอบคุณเจ้าหน้าที่อีกครั้งแต่ก็ไม่คิดว่าจะติดป้ายแผ่นใหญ่อลังการขนาดนี้ไว้ที่หน้าทางขึ้นทั้งกฎระเบียบข้อบังคับและข้อห้าม
ปกติวันธรรมดาคนจะไม่เยอะมากแต่ก่อนหน้าเขาเห็นว่ามีกลุ่มวัยรุ่นสี่คนนำไปก่อนหน้านั้นแล้วเหมือนกัน คิดว่าน่าจะยังเรียนมหา’ลัยกันอยู่เห็นแล้วก็คิดถึงสองคนนั้นชะมัดส่วนด้านหลังก็มีรถเพิ่งเข้ามาจอดอีกสองคัน
ชายหนุ่มตั้งใจมานอนที่นี่สักสองคืนวันนี้ท้องฟ้าดูปลอดโปร่งไม่มีเค้าลางว่าฝนจะตกแต่นั่นแหละเดาใจไม่ได้หรอกต้องพกเสื้อกันฝนเผื่อไว้
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของอุทยานแห่งชาติพนาดรค่อนข้างชันเป็นหินเสียส่วนใหญ่อาจจะต้องปีนป่ายบ้างแต่ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะยังไงเขาก็คนออกกำลังกายประจำ ไม่งั้นคงหอบตั้งแต่ทางขึ้นในแต่ละพื้นที่ที่ไปเป็นแน่นอนวันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบายชื่นชมธรรมชาติสองข้างทางได้เรื่อยๆ
แวะถ่ายรูปตามจุดต่างๆที่สนใจระหว่างทางมีป้ายบอกอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการหลงป่าออกนอกเส้นทาง ด้วยความที่ไม่ได้ซับซ้อนจึงไม่จำเป็นว่าต้องมีไกด์นำทางส่วนบางคนอยากได้ลูกหาบก็จะมีพวกชาวบ้านในพื้นที่นี่แหละมารับงาน
“เฮ้ยๆๆ จับไว้สิวะ”
“ตัวแม่งอย่างใหญ่เลย สวยด้วย”
ร่างสูงได้ยินเสียงดังเอะอะดูตื่นเต้นดีใจจากกลุ่มคนข้างหน้าก็คิดว่าน่าจะเจอสัตว์ป่าสักชนิดเลยชี้ชวนให้กันดู แต่เมื่อเดินเข้าไปในระยะสายตากลับพบกว่าคนพวกนั้นกำลังดึงหางงูตัวหนึ่งที่พยายามเลื้อยหนีข้ามไปยังเขตหวงห้ามที่มีเส้นกั้นไว้พร้อมหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ไอ้เด็กเปรตพวกนี้นี่น่ากระโดดถีบให้หน้าคว่ำ
“ทำอะไรกันน่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลังคนทั้งหมดเลยหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองโดยที่มือยังไม่ปล่อยหางงู พอเห็นว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่แต่กลับเป็นชายหนุ่มตัวสูงในชุดรัดกุมสีดำคลุมทับด้วยกั๊กสีครีมแถมยังน่าสนใจอีกต่างหากก็เลยพูดจากวนประสาททันที
“ตาบอดเหรอครับ”
ชลทิตย์ถอนหายใจพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้เผลอเตะก้านคออีกฝ่าย ปกติเขาเป็นคนใจเย็นแต่ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสัตว์
“มาเดินป่าทั้งที่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรแล้วจะทำไปทำไม”
“ก็อยากจะทำพอใจมีอะไรไหมล่ะหรือจะให้พวกผมเปลี่ยนไปจับพี่แทนเอาแบบนั้นก็ได้นะ”
จากนั้นก็หัวเราะอย่างชอบใจแล้วหนึ่งในนั้นทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาคุกคาม
“งั้นก็ไม่รู้สินะว่าเดินไปอีกหน่อยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่”
แม้น้ำเสียงจะยังคงราบเรียบไม่สื่ออารมณ์ความรู้สึกใดๆแต่ในหัวเริ่มวางแผนว่าจะไล่จัดการสั่งสอนสี่คนตรงหน้านี้แบบไหนบ้าง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจดจ้องอย่างมั่นคงไร้แววขลาดกลัวแต่กลับระยิบระยับชอบใจ ท่าทีสบายๆแต่ร่างกายเตรียมพร้อมแล้ว
เปรี๊ยง!
อยู่ๆเสียงกัมปนาทของสายฟ้าก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวตรงฝั่งเขตป่านิลคีรีอย่างไม่มีที่มาที่ไปทั้งท้องฟ้ายังคงสดใสไร้เมฆบดบังทำให้สี่คนนั้นสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยหางงูในทันทีก่อนจะชวนกันเดินต่อ
“แม่งขัดความสนุกฉิบหายไปเว้ยพวกเรา”
ดีที่พูดถึงเจ้าหน้าที่ยังยอมถอยออกแล้วปล่อยงูตัวนั้นไปดูท่าเขาจะโดนหมายหัวนะเนี่ยแต่กลัวที่ไหนล่ะ อย่าให้เสียชื่ออดีตนักกีฬาเทควันโดของมหา’ลัยที่ชอบมวยไทยแถมตัวก็พอๆกัน โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าเมื่อสักครู่มีเสียงของอสนีบาตดังขึ้นแล้วได้ยินเพียงแค่สี่คนเท่านั้น
“เสียดายจริงๆที่ไม่ใช่งูกะปะไม่งั้นคงได้สั่งสอนพวกนั้นด้วยตัวเองแล้วทำไมแกยังไม่เลื้อยไปอีกเนี่ยบาดเจ็บหรือเปล่านะ”
พอไล่เด็กพวกนั้นเรียบร้อยแล้วก็จะไปเหมือนกันแต่กลับพบว่า ‘งูกาบหมากหางนิล’ ตัวเขื่องยังไม่ได้เลื้อยไปไหนเลยนั่งลงมาดูใกล้ๆเผื่อถูกทำร้ายจนกระดูกสันหลังหักและแปลกใจอยู่ไม่น้อยเพราะปกติแล้วงูชนิดนี้เป็นงูที่อาศัยอยู่ในถ้ำ รักสันโดด นิสัยดี ไม่ก้าวร้าว เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าคุ้มครองที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์
ดวงตาสีอ่อนไล่สำรวจอาการบาดเจ็บมือนุ่มค่อยๆแตะลงบนลำตัวไม่ให้งูรู้สึกว่าถูกคุกคามแม้ไม่มีพิษและนิสัยดี แต่ถ้าตกใจขึ้นมาก็อาจจะต้องลงไปฉีดยาบาดทะยักเป็นแน่แล้วก็อดเที่ยวอีกตามไล่ดูแล้วก็ไม่เห็นอาการบาดเจ็บอะไรรอยถลอกก็ไม่มี
“อยากไปแต่เลื้อยไม่ไหวเหรอจะให้พาไปส่งตรงนั้น”
อยู่ๆก็รู้สึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมเหมือนสื่อสารกับงูตัวนี้ได้จนต้องตบแก้มเรียกสติที่ฟุ้งซ่านกลับคืนมา ประเด็นคือถึงจะสื่อได้มันก็ข้ามไปไม่ได้ไงนี่มันสุดเขตกั้นระหว่างพนาดรกับนิลคีรีแล้วมีเส้นแบ่งชัดเจนขนาดนี้
“ให้ตายเถอะอย่าหันมาส่งสายตาแบบนั้นยังไงฉันก็ข้ามไปส่งแกไม่ได้”
ได้สิ ข้าชวนเจ้าเข้ามาเองมนุษย์แล้วเจ้าก็เป็นคนดีนายท่านไม่ว่าหรอกน่า ช่วยข้าหน่อยเถิดนะ
ชลทิตย์หมือนกำลังถูกอ้อนจากตากลมแป๋วคู่นั้นเขากำลังจะใจอ่อนพร้อมตบตีกับตัวเองในความคิดเพราะกฎห้ามที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามละเมิดเป็นอันขาด
“ก็ได้ๆแต่แค่ข้ามไปเท่านั้นนะ เฮ้อ อะไรวะเนี่ย”
แต่ก็ใจอ่อนจนได้เพราะกลัวว่ากาบหมากหางนิลจะกลายเป็นงูแดดเดียวถ้าแดดแรงกว่านี้ ร่างสูงมองซ้ายมองขวาวางสัมภาระลงลอดฝ่าเขตแนวกั้นแล้วอุ้มงูตัวใหญ่ขึ้นมาพาไปส่งที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้กันแต่แล้วหลังจากที่ลุกขึ้นมาขายาวค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆราวกับคนไม่รู้ตัว
‘นายท่านอย่าทำอะไรเจ้ามนุษย์ผู้นี้เลยนะขอรับ’
‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงแก้ต่างให้คนพวกนี้’
‘แต่มนุษย์ผู้นี้ช่วยข้าไว้จากพวกใจร้ายนะขอรับไม่งั้นข้าคงตายไปแล้ว’
‘เจ้าเองก็ทำผิดยังกล้ามาแก้ต่างให้เขาอีกหรือ ทั้งที่ถูกห้ามไว้แต่ยังชอบออกไปดูผู้คนฝั่งพนาดรทั้งที่ร่างงูนั้นอ่อนแอ’
‘ข้ายอมรับผิดทุกอย่างขอรับแต่อย่าทำอะไรมนุษย์ผู้นี้เลย’
‘ก็ได้ครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยเพราะเจ้า แต่ข้าชอบกลิ่นหอมบนเรือนกายของมนุษย์ผู้นี้หอมจนอยากกลืนกินทั้งตัว’
จากนั้นเสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยอำนาจก็เงียบไปผืนป่ากลับมาสงบดังเดิมพร้อมกับชายหนุ่มฟื้นคืนสติเสียงจักจั่นเรไรขับขานดังก้อง ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของป่ากันแน่เกิดความตระหนกขึ้นในใจทันที
“ไอ้ทะเลแล้วทีนี้จะทำยังไงเนี่ย”
มองไปทางไหนป่าก็เหมือนกันหมดอยู่ตรงส่วนไหนของนิลคีรียังไม่รู้เลยแม้จะเป็นแค่เวลาเที่ยงวันแต่ภายในป่าที่อุดมสมบูรณ์มักมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่เล็กสุดคงจะห้าคนโอบแน่ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกับยามโพล้เพล้ที่ทั้งชื้นและมืดครึ้มจะสุ่มเลือกเดินก็ไม่กล้าเสี่ยงสัญญาณมือถือก็ไม่มีสักขีดราวกับถูกตัดขาดความช่วยเหลือจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิงเส้นประสาทเครียดขึงจนได้ยินแม้กระทั่งลมหายใจตัวเอง
โฮกกกกกก
เสียงคำรามของสัตว์ป่าประเภทสิงโตหรือเสือดังขึ้นไม่มั่นใจนักแต่ที่รู้อย่างแน่ชัดเลยก็คือไม่ไกลตัวเขาแน่ คนที่ยังหาทางออกไม่ได้หน้าซีดเผือดจนไร้สีเลือดแทบจะทันทีมือชื้นเหงื่อสองขาค่อยๆขยับก้าวสอดส่ายสายตาที่ปรับชินกับความมืดครึ้มของเงาไม้ที่บดบังแสงได้แล้วหัวใจเต้นรัวเร็วราวกับกลองศึก
ส่วนเจ้าของดวงตาสีทองที่มักลาดตระเวนเป็นประจำเหมือนอย่างทุกวันรู้สึกถึงกลิ่นอายมนุษย์ต่างถิ่นอยู่ไม่ไกลนักทั้งยังแปลกใจว่าก่อนหน้านั้นทำไมถึงไม่สามารถรับรู้การบุกรุกได้กันนะ
‘ภูสิงห์’จดจ้องฝ่าความมืดมองลงมาจากบนต้นไม้ใหญ่แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ไปกว่านี้ได้เนื่องจากมีพลังงานสายหนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกแยกกำลังทำหน้าที่เป็นปราการแข็งแกร่งและน่าเกรงขามโอบล้อมป้องกันรอบตัวมนุษย์ผู้นั้นเอาไว้
ภูสิงห์นายท่านยินยอมให้มนุษย์ผู้นั้นเข้ามาแล้วเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ
เมื่อเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นร่างกำยำสูงใหญ่จึงคืนรูปลักษณ์สัตว์สี่ขาถอยออกมาและไปหาต้นเสียงทันทีพร้อมทั้งต่อว่าในใจ
‘ข้ายังเข้าถึงตัวไม่ได้เลยแล้วจะไปทำอันตรายอันใดคนผู้นั้นได้เล่า!’
ทางด้านชลทิตย์เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆทั้งป่ายังเงียบสงบดังเดิมจึงถอนหายใจโล่งอกแต่ยังไม่คลายความระแวดระวัง แต่แล้วก็เหมือนกับพบแสงสว่างเพราะมีชาวบ้านสะพายตะกร้าสานแต่งกายแบบชาติพันธุ์คนหนึ่งผ่านมาส่วนเรื่องสิ่งลี้ลับตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในหัวเลยส่งเสียงออกไป
“คุณครับผมหลงทาง”
เมื่อถูกเรียกจึงหันไปตามเสียงและต้องแปลกประหลาดใจเมื่อเห็นคนต่างถิ่นจากภายนอกเข้ามาถึงใจกลางป่าเป็นครั้งแรก
“เอ็งเข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร”
“ผมไม่รู้ครับรู้ตัวอีกทีก็อยู่ตรงนี้แล้วพาผมไปส่งที่เขตอุทยานได้ไหมครับเดี๋ยวมีค่าเสียเวลาให้ด้วย”
“ตอนนี้เอ็งออกไปยังไม่ได้หรอกกว่าข้าจะเดินไปส่งเอ็งแล้วก็ต้องเดินย้อนกลับมาพลบค่ำพอดีมันอันตรายค้างในหมู่บ้านสักคืนเถอะ”
ชายคนนั้นพูดตามความจริงเนื่องจากระยะทางจากตรงนี้ไปถึงแนวเขตพนาดรค่อนข้างไกลกันมากต้องใช้เวลาเดินเท้าทั้งไปและกลับอย่างน้อยก็หกชั่วโมง
“เอ่อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”
ยังไงเขาก็ไม่มีทางเลือกไปเองก็พาลจะหลงลึกเรื่อยๆดีไม่ดีถูกสัตว์ป่าทำร้ายอีก
“เอ็งชื่ออะไร ข้ากอหลิ่ง”
“ทะเลครับ”
“พวกเราน่าจะอายุไล่เลี่ยกันเรียกชื่อก็พอ”
“ครับ”
พอพ้นแนวชายป่าความรกครึ้มก็หายไปท้องฟ้าสีฟ้าสดตัดกับสีเขียวเข้มของยอดไม้หรือแม้ตอนนี้พระอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยลอยเด่นอยู่เหนือหัวกลับไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแดดเผาแถมยังมีสายลมอ่อนพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามาเตะจมูกยิ่งรู้สึกสดชื่นเป็นป่าต้องห้ามที่คาดไม่ถึงจริงๆราวกับอยู่คนละมิติกับเมื่อครู่นี้ที่ทั้งชื้นและไม่สบายตัว
ทั้งสองคนเดินเท้าจากใจกลางป่ามาใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหน้าทางเข้าหมู่บ้านขนาดใหญ่ของชาวชาติพันธุ์เผ่าชะนอ
จากนั้นชลทิตย์ก็เดินตามกอหลิ่งเข้ามาในหมู่บ้านทั้งตื่นตาตื่นใจและแปลกใจถึงการมีอยู่ของชนชาติพันธุ์ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่าแห่งนี้เพราะชายหนุ่มเคยได้ยินรื่องเล่าของป่าต้องห้ามมาพอสมควรและหนึ่งในนั้นคือผู้ปกปักษ์ไม่เคยยินยอมไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาอยู่ตรงนี้แล้วและเจอกับหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีผู้คนมากมายกำลังวุ่นวายตระเตรียมงานอะไรสักอย่าง
“ปีซอข้าว่าเอ็งมีทางรอดแล้วล่ะ”
แม่เฒ่าประจำหมู่บ้านพึมพำกับตัวเองขึ้นมาเบาๆตรงชานบ้านทันทีที่ชลทิตย์ก้าวเท้าผ่านซุ้มประตูเข้ามาด้านใน
“กำลังจะมีงานเลี้ยงกันเหรอครับ”ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างสงสัยมาหลังจากเข้ามาด้านในก็เห็นว่ามีการรวมตัวของชาวบ้านมากมายตรงลานกว้างซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจุดศูนย์กลางประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้านมีการแบ่งหน้าที่ของใครของมัน อย่างพวกชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงหน่อยก็ช่วยกันแบกแท่นขนาดใหญ่มาตั้งไว้ตรงกลางลานที่ตอนนี้ถูกประดับตกแต่งรอบๆอย่างสวยงามตามความเชื่อ บ้างก็ช่วยกันหุงหาอาหารส่วนทางนั้นก็มีกลุ่มหญิงสาวที่กำลังพับบายศรีการที่ทุกคนเห็นคนต่างถิ่นแปลกหน้าเข้ามาถึงด้านในนิลคีรีได้ย่อมสร้างความประหลาดใจเหมือนกับตอนที่กอหลิ่งเจอชลทิตย์ครั้งแรกและตกใจเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสียงกระซิบกระซาบเป็นภาษาเผ่าจึงดังขึ้นแผ่วตลอดทางที่ผ่าน“ใช่ เป็นพิธีบูชาประจำเผ่าจัดขึ้นตอนเย็นเดี๋ยวคืนนี้เอ็งไปพักที่เรือนข้าแล้วกันเพราะอย่างไรข้าก็อยู่คนเดียวอยู่แล้วไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยใช่หรือไม่”หนุ่มชาติพันธุ์พาร่างสันทัดเดินเลี่ยงเส้นทางตรงมายังบ้านของตนที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้านเพราะไม่อยากให้คนนอกรู้เห็นอะไรในเผ่ามากนัก ที่พามากลับมาก็เพราะคิดว่าอีกฝ่า
"อย่า!!!ไม่!!!!ไอ้งูสารเลว!!!!"อุรคหนุ่มได้แปลงกายจากงูยักษ์ตัวเขื่องเป็นมนุษย์สอดใส่แก่นกายผงาดตื่นตัวเต็มที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดน้อยใหญ่เข้ามาพร้อมกัน“เดี๋ยวเจ้าก็จะชอบมันเอง”“ใครมันจะไปชอบวะ เจ็บจะตายแล้วเนี่ยไอ้บ้าเอ้ย ฮึก”นัยน์ตาสีทับทิมวาววับมองมนุษย์ที่ใจกล้าก่นด่าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเพราะความเจ็บปวดจากการถูกชำแรกเข้าไปทีเดียวสองแท่งใหญ่แม้จะยังคงกดแช่ไว้ไม่ได้ขยับร่างสูงใหญ่กำยำผิวกายขาวผ่องไร้อาภรณ์เปียผมสีดำขลับยาวเลยบั้นท้ายแน่นหนั่นปลายผมประดับด้วยห่วงทองคำลายโบราณขยับแนบทั้งจมูกปากไล่สูดดมความหอมจากซอกคอไล้ไปมาขบเม้มตีตราอย่างถูกใจยิ่งร่างเนียนที่กำลังสั่นน้อยพยายามสะบัดหนียิ่งรุกไล่หนักขึ้นมือใหญ่ยกลูบไล้แก้มแผ่วเบาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยกราดเกรี้ยวรอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากสายตาจับจ้องกลีบปากอิ่มที่เม้มเเน่นก่อนจับสันกรามของคนตรงหน้าบีบบังคับให้อ้าเผยอยิ่งต่อต้านแรงบีบยิ่งหนักขึ้นอย่างไม่คิดออมแรง“อื้อ!”เดิมทีชลทิตย์เป็นคน
ชลทิตย์รู้สึกตัวพร้อมกับความเมื่อยขบทั่วร่างช่องทางกลางกายไม่เจ็บแสบเพียงเคล็ดขัดเล็กน้อยและสัมผัสถึงแขนหนักที่พาดเอวแผ่นหลังชิดกับอกกว้าง พอลืมตาตื่นพบร่างสูงใหญ่ที่กำลังกอดเขาแน่นจมอกภาพการร่วมรักไหลย้อนกลับจำได้ทุกฉากรวมไปถึงความซาบซ่านยามถูกสัมผัสตีตราจนพาลหงุดหงิดทั้งด่างูบ้ากามในใจที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าให้ทั้งเขาและตัวเองจึงค่อยๆยกท่อนแขนหนักขึ้นเพื่อขยับออกแต่กลับไม่ได้ผลแม้สักนิดนี่แขนหรือท่อนซุงวะแถมกลับถูกกอดกระชับขึ้นอีกจากที่แน่นอยู่แล้วจนตอนนี้ขยับตัวไม่ได้หากชลทิตย์หันกลับมามองด้านหลังได้คงเห็นมุมปากที่กำลังยกรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สุดท้ายดิ้นขลุกขลักโวยวายเพราะบั้นท้ายกำลังเสียดสีส่วนแข็งขืนจนขนลุกเกลียว“ปล่อย! จะไปใส่เสื้อผ้า”เมื่อแขนหนักคลายแล้วขยับออกได้ดั่งใจจึงรีบลุกขึ้นมาถอยห่างทันทีเพราะกำลังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอีกครั้งแต่ไม่พ้นเงื้อมมืออยู่ดี ต้นแขนถูกดึงจนตัวปลิวลอยหวือลงบนตักแกร่งหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีแดงเพลิงทันที“ทำไมเล่าข้าชอบยามที่เจ้าไม่สวมใส่สิ่งใดเลยมา
สามชั่วโมงหลังจากที่ชลทิตย์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่อุทยานแห่งชาติพนาดรหลังวันเกิดลูกชายเพียงสองวันทั้งชรัสและกิรณาก็เดินทางกลับมาที่จังหวัดนครพนมอีกครั้งเพราะต้องมาต่องานพุทธศิลป์ที่ค้างไว้ให้วัดแห่งหนึ่งในอำเภอท่าอุเทน ในขณะที่กำลังวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังกันอยู่นั้นเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนซึ่งวางไว้บนเก้าอี้ก็ดังขึ้น“ใครเหรอครับ”ชรัสเอ่ยถามภรรยาที่อยู่ตรงนั้นพอดี“เบอร์แปลกไม่ขึ้นชื่อนะคะ”“งั้นหนูรับให้พี่เลยครับอาจจะเป็นลูกค้าโทรมา”“ได้ค่ะ”โดยปกติแล้วทั้งสองคนไม่เคยมีลับลมคมในต่อกันแต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันหากอีกฝ่ายไม่อนุญาต“สวัสดีค่ะ อ๋อ ใช่ค่ะ”จากน้ำเสียงสุภาพเนิบนาบเปลี่ยนเป็นตระหนกขึ้นเล็กน้อยจนผู้เป็นสามีชะงักแปลกใจละมือจากงานที่กำลังทำอยู่หันไปมอง“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”สุดท้ายวิ่งมาประคองกิรณาที่ทรุดลงเพราะทรงตัวไม่อยู่สมาร์ทโฟนหลุดออกจากมือบางที่กำลังสั่นเทาชรัสจึงหยิบขึ้
หลังจากที่นิลคีรียอมหยุดทั้งมือที่ลูบคลำจมูกปากที่ซุกไซร้แต่โดยดีตามคำห้ามปรามกึ่งขอร้องของชลทิตย์เพราะชายหนุ่มไม่ไหวแล้วความเหนื่อยล้าเข้าถาโถมจนเปลือกตาหนักอึ้งและผลอยหลับไปอีกครั้งในที่สุด“อื้อ”รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งกำลังจะบิดขี้เกียจยังไม่ทันได้ลืมตากลับรู้สึกว่าร่างกายถูกห่อหุ้มอบอุ่นด้วยอะไรสักอย่างทั้งหนักและขยับไม่ได้จึงพยายามพลิกตัวสุดท้ายแพขาตาหนาขยับเปิดออกเผยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนง่วงงุนหงุดหงิดสิ่งแรกที่เห็นเลยก็คือหัวของสิ่งมีชีวิตสีนิลขนาดใหญ่ที่รูม่านตาหดตัวบ่งบอกพฤติกรรมว่ากำลังหลับพริ้มเกยชิดแนบไหล่ฝั่งซ้าย ม้วนขดลำตัวโดยให้คนตัวเล็กนอนอยู่ข้างบนและพาดส่วนที่เหลือบนเรือนกายมนุษย์ตัวหอมแทนผ้าห่มที่กองอยู่บนพื้นจนมิด ดวงตาคู่สวยหันมองพิจารณาตั้งแต่ส่วนหัวไล่ลงไปข้างล่างเกล็ดสวยจังถ้าตัวเล็กก็คงจะน่ารักดีอยู่หรอก ส่วนตอนนี้มันขยับไม่ได้เลยไงร่างกายตอนนี้เหมือนมัมมี่ขยับได้แค่ส่วนหัวหากเป็นคนอื่นก็คงหัวใจวายไปแล้วที่เจองูยักษ์เกล็ดสีดำมะเมื่อมน่าเกรงขามระยะประชิดแบบนี้ ทางด้านชลทิตย์ก็มีหวั่นใจบ้างกับขนาดตั
โอมเอยพญาครุฑเวหาหน วิหคลมจงพัดพาสิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาภัง ภะวันตุเมยามอาทิตย์อัสดงเสียงการบริกรรมคาถาพญาครุฑราชสุบรรณดังแผ่วแว่วมาตามสายลม แม้ไม่ได้อยู่ในงานพิธีเพียงแค่น้ำหนักเสียงที่ได้ยินถึงจะแผ่วเบาแต่กลับเข้มขลังชวนขนลุก ซึ่งต้นเสียงไม่ได้มาจากที่ไหนไกลแต่เป็นเรือนไม้สักหลังใหญ่มูลค่าหลายสิบล้านท้ายหมู่บ้านอาณาบริเวณล้วนกว้างขวางติดริมแม่น้ำบ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี โอม วิษณุยะ วะตา อิทธิโยอัญชะลียายะคุณังปูชิตตะวาโดยปกติแล้วที่นี่มักจะมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเพราะเป็นตำหนักอาคมที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานลูกศิษย์ลูกหาล้วนมากมาย รวมไปถึงคนที่ต้องการว่าจ้างส่วนใหญ่ก็ระดับผู้มีอิทธิพลแทบทั้งสิ้นทั้งในและนอกพื้นที่ แต่วันนี้กลับพิเศษมากกว่าทุกพิธีกรรมที่เคยจัดขึ้นจึงจำเป็นต้องปิดตำหนัก 7 วัน เข้าได้เพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเพราะพิธีนี้หนึ่งร้อยปีถูกจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวและวันแรกต้องตรงกับคืนเดือนดับแรม 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้นห้ามผิดเพี้ยนเป็นอันขาดเพื่อเตรียมการสำหรับงานสำคัญ อาฉายะ อาฉาหิ ปักการา ปักการะกาเรติสัมผัสโส สัมผัสสะ กายะยานังมะนุสสานัง อัญชะลียายะ น
หืม? อะไรเช้านี้ชลทิตย์ตื่นมาบนเตียงนุ่มพอพลิกกายฝ่ามือไปสัมผัสกับความนุ่มลื่นขนาดเล็กข้างตัวลองแตะๆคลำๆดูก็ยิ่งแปลกใจ เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้นแล้วกระพริบถี่เพื่อปรับโฟกัสพบกับเจ้างูน้อยสีดำสนิทขนาดเท่าข้อมือความยาวกะจากสายตาน่าจะประมาณหนึ่งเมตรม้วนขดเป็นก้อนกลมลองเอานิ้วชี้ลูบไปมาก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียวราวกับว่าสบายใจทำไมต้องทำตัวน่ารักด้วยเนี่ยการเป็นทาสงูทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังพยายามหักห้ามใจไม่ให้ยื่นแขนออกไปโอบงูน้อยเข้าสู่อ้อมอกตัวเองเพราะอีกเดี๋ยวก็จะกลายร่างเป็นงูหื่นทันทีเหมือนกับเมื่อคืนนี้หลังจากกู๊ดไนท์คิสคนตัวโตเพิ่มเงื่อนไขคือการกอดตอนนอนหากไม่ตกลงก็ยกเลิกสัญญาไอ้นอนกอดเฉยๆน่ะมันก็ได้อยู่แต่ทั้งจมูกปากกลับกดจูบลงผิวเนื้ออ่อนตั้งแต่หลังคอวนไปซอกคออย่างไม่ทันตั้งตัว รวมถึงมือซุกซนของอีกฝ่ายหากเผลอเมื่อไหร่มักสอดมุดเข้ามาในเสื้อเพื่อลูบไล้ผิวด้านในยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกกอดแน่นจนแทบจะสิงอยู่แล้ว“พี่คีรีอย่าทำแบบนี้ อื้อ ปล่อย”“พี่ชอบกลิ่นหอมจากตัวน้อง&rdqu
“เราจะไปที่ไหนกันเหรอครับ”ชลทิตย์ละมือจากการวาดรูปตรงหน้าหันไปถามเจ้าของดวงตาสีทับทิมที่มายืนข้างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ วันนี้ชายหนุ่มหอบหิ้วอุปกรณ์วาดรูปพร้อมเฟรมผ้าใบออกมาที่บริเวณน้ำตก“พี่จะพาน้องไปที่ที่หนึ่งและคิดว่าน้องต้องชอบ”หลังจากคืนนั้นคนเด็กกว่ารู้สึกว่านิลคีรีทำตัวดีขึ้นไม่รุ่มร่ามบีบบังคับในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่เต็มใจเหมือนก่อน แต่ยังคงติดสัมผัสกอดเจ้าของกลิ่นกายหอมจนจมอกกว้างแบบไม่มีช่องว่างตอนนอนไม่เปลี่ยนสิ่งที่ชลทิตย์ไม่รู้หลังจากเข้าสู่ห้วงนิทราแล้วก็คงจะเป็นการถูกจรดปากลากตั้งแต่หน้าผากมน สันจมูกโด่งรั้นและแก้มนวลในทุกๆคืนแม้จะอยากประทับบนกลีบปากอิ่มแต่ก็ชะงักไว้เสมอเพราะคำพูดของร่างโปร่งตรงหน้าพร้อมกับมีสายใยบางอย่างฉุดรั้งเอาไว้“ได้ครับ งั้นผมขอเอาอันนี้ไปเก็บก่อนนะครับ”ชายหนุ่มกลัวว่าหากมีกระแสลมพัดแรงจะหอบข้าวของกระจายไปเสียก่อน“อยากมาวาดต่ออีกหรือไม่”“เราไปกันนานไหมครับแต่ผมไม่อยากทิ้งไว้เผื่อมีลมพัดแรงมาแล้วจะล้มเอา”“พี่บอกไม่ได้ว่านานหรือไม่นานเพราะหากว่าเจ้าชอบก็คงอยู่ได้สักพักงั้นตรงนี้พี่เก็บให้”คิ้วเข้มเหนือดวงตาหางหงส์เลิกขึ้นอย่างประหลา
โลหิตฉานไหลหลั่งชโลมพื้นคำรามครืนคลื่นสายประกายไหววชิระทัณฑ์พาดฟาดก้องไกลสองสายใยโยงเพริศกำเนิดพรายกุดั่นแก้วแวววับระยับแสงทิวาแรงแซงแทรกแหวกธารสายหมอกสีชาดร้อยรัดกระหวัดกลายโอบกำจายเวียนวนล้นคณาราตรีอันมืดมิดและหม่นหมองค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงแห่งอรุณรุ่งเสียงแว่วหวานขับขานของสกุณาดังขึ้น ความเงียบเดิมถูกเหล่าสรรพชีวิตในผืนป่าเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันเป็นเรื่องปกติ บ้างออกล่าหาอาหาร บ้างลงเล่นน้ำในลำธารใส บ้างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่ใช่ที่ผืนพนาต้องห้ามทิศใต้อย่างนิลคีรีผลของทัณฑ์อสนีบาตจากฝีมืออรุคผู้ปกปักษ์นั้นทำให้เกือบทั้งป่าราบเป็นหน้ากลองสนั่นฟ้าสะเทือนดินลามไปจนสร้างความประหลาดใจไปถึงป่าต้องห้ามอีกสามทิศที่เหลือเกิดอะไรขึ้นที่นิลคีรี?สร้างความโกลาหลอย่างถ้วนทั่วทิ้งไว้เพียงเศษซากของต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนหักโค่นลงจนล้มระเนระนาดบ้างก็ดำเป็นตอตะโกตายคาต้น รวมไปถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่เคยหนีตายกันจ้าละหวั่นมีส่วนน้อยไม่อาจรอดจากสายฟ้าได้กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณเพราะเพชรถวนาเคนทร์เปล่งประกายแสงคุ้มภัยทันเวลาไม่อย่างนั้นคงไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้ากลายเป็นป่าที่ดับสูญก
โครมอุกร่างสูงใหญ่ที่คล่อมทับร่างบางที่เหลือแค่โจงนุ่งเป็นปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกถอดก็มีเสียงดังขึ้นจากทางหน้าต่างพร้อมพรรวินท์ลอยหวือไปกระแทกพื้นปรากฏเชือกพันธนาการรอบตัวหมัดหนักถูกกระแทกเข้าที่ใบหน้าพร้อมกลางอกถูกถีบจนล้มกลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง “พี่อยู่นี่”ร่างสูงของอุรคหนุ่มตรงเข้าไปหยิบแพรผืนใหญ่คลุมกายโอบกอดชายคนรักที่กำลังร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาแน่น“ทะ..ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่ ฮึก”มือหนาเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลกุมใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมอง“ฟังพี่หนาคนที่น่ารังเกียจคือไอ้ยูงทองชั่วนั่นต่างหาก น้ำตาของเจ้านั้นกำลังทำให้พี่นั้นเจ็บปวดใจยิ่ง”พูดจบปากหยักสีอ่อนจรดทาบทับกลีบปากอิ่มนุ่มนวลก่อนผละออกไปกระทืบตัวต้นเรื่องด้วยสถานะของอีกฝ่ายจึงได้เพียงแค่สั่งสอน ทั้งที่ฆ่ามันได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือแต่นิลคีรีเลือกที่จะสะกดกลั้นความเดือดดาลของตน เพราะมันจะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ทันทีนำพาความเดือดร้อนมาสู่ผู้บริสุทธิ์จึงทำได้แค่สั่งสอนให้หนักและเนรมิตให้รอยช้ำหายไปหลังจากเสร็จสิ้นก็ถีบส่งพรรวินท์เข้าห้องตัวเองไปเดินทางออกนอกนครฝั่งเหนือเมื่อใดวันนั้นคือวันตายของพวกเจ้าทั้
เมื่ออุรคหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากภายในถ้ำอสนีสีหนาทก็พบว่าด้านนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากโข ในความทรงจำเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนไม่รกครึ้มและเต็มไปด้วยเถาวัลย์น้อยใหญ่ถึงเพียงนี้ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาช้านานแล้วนิลคีรีหลับตาเพ่งสมาธิดูก็พบอีกอย่างว่าอุรคที่เคยอาศัยยังป่าหิมพานต์ได้ย้ายออกไปด้านนอกจนหมดไม่หลงเหลือผู้ใดแล้วก็คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นงูเพียงหนึ่งเดียวอีกทั้งด้านนอกดูแปลกตาไปหมดหอมนักเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดกันทันทีที่หายตัวออกมาถึงด้านหน้าพ้นป่าที่รกชัฏกลับได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยลมมา“สมน้ำหน้า เจ้าพวกกินนรนิสัยไม่ดีชอบรังแกผู้อื่นดีนัก”ปึก “อ๊ะ”ในขณะที่นิลคีรีกำลังหาต้นตอของกลิ่นอยู่นั้นก็ถูกร่างอรชรของยูงทองหนุ่มที่วิ่งหนีพวกกินนรเกเรสามตน หลังจากไปแอบขว้างก้อนหินใส่ตอนที่กำลังรุมแกล้งกินนรผู้หนึ่งอยู่จนพวกมันหัวแตกเลือดอาบแต่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยชนเข้าเต็มอกของอุรคหนุ่ม วงแขนแกร่งคว้าเอวบางทันท่วงทีก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่”คนที่รู้สึกราวกับว่าชนกำแพงเหล็กเงยหน้าขึ้นถามคนตัวโตเพราะเขาเป็นคนผิดที่ไม่มองทางเองตึกหั
บ่ายวันหนึ่งในแดนหิมพานต์ฝั่งทิศตะวันออกเปลือกไข่สีครีมใบสุดท้ายถูกกระเทาะออกจนเกิดเป็นรอยร้าวและแตกในที่สุด สิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วค่อยๆเผยดวงตาสีแดงใสแจ๋วโผล่พ้นออกมางูน้อยตัวสีดำสนิทได้ลืมตาขึ้นเป็นวันแรกในป่าหิมพานต์ แต่สีกลับผิดแผกจากบรรดาพี่น้องตนอื่นที่มีดวงตาสีมรกตรับกับสีเกล็ดที่ขาวสว่างนวล จากวันแรกเด็กน้อยแสนสดใสเพราะได้เห็นโลกกว้างมองดูสิ่งมีชีวิตอื่นในป่าหิมพานต์ต่างพากันเล่นสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผิดจากเขาที่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดอยากเล่นด้วยเพียงเพราะว่ามีเกล็ดสีดำจึงถูกมองว่าตัวกาลกิณีนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัวที่ถูกเลือกปฏิบัติราวกับคนแปลกหน้า บรรดาพี่น้องทั้งห้าตนที่สีเดียวกันต่างเลือกเล่นกันเองโดยไม่สนใจและกีดกันงูน้อยตัวจิ๋วสีดำที่มองด้วยสายตาเศร้าสร้อยออกจากวงโคจร“ท่านแม่กลับมาแล้ว” “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าแม่ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น” แม้กระทั่งที่ไม่มีสิทธิ์เรียกผู้ให้กำเนิดว่าแม่เลยด้วยซ้ำเพราะในใจอุรคสูงใหญ่ตรงหน้าคิดว่าคงมีงูตนใดแอบเอามาใส่ไว้เป็นแน่เขาผิดหรือที่กำเนิดมาไม่เหมือนใคร ฮึก เหตุใดพวกท่านจึงไม่รักข้าบ้
มหาสมุทรฝั่งตะวันออกอยู่ในการปกครองขององค์จักเรศวรนาคราชกษัตริย์นักรบตระกูลกัณหาโคตมะผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปรีชาและเก่งกาจชำนาญการรบมามากมาย มเหสีคู่พระทัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือพระนางจันทราภาวดีนาคราชสีทองตระกูลวิรูปักษ์ ทั้งสองมีพระโอรสหนึ่งพระองค์ที่เกิดแบบโอปปาติกะที่เปรียบดั่งลูกไม้ใต้ต้นถอดแบบผู้เป็นบิดามาแทบทั้งหมดทั้งความปรีชาและยึดมั่นในรักเดียว“เจ้าพี่ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”“คันศรอันใหม่จากหินศิลากาฬที่เจ้าอยากได้อย่างไรเล่า”“ทำไมถึงตามใจข้าอยู่เรื่อยเลยจนข้าเสียนิสัยแล้วรู้หรือไม่”หนึ่งใบหน้าคมคายสันกรามชัดคิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับตาคมดุจเหยี่ยวสีรัตติกาลที่กำลังมองคนตรงหน้าด้วยความเอื้อเอ็นดูปากหยักยกยิ้มยามเห็นอีกฝ่ายบ่นว่าเขาตามใจจนเสียนิสัยแต่กลับตาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ของถูกใจ “งั้นคราวนี้เจ้าต้องให้รางวัลพี่แทนแล้วหนา”“ท่านประสงค์สิ่งใดหากข้าหาได้ย่อมไม่อิดออดเป็นแน่ สัญญา”หนึ่งใบหน้ารูปไข่ทั้งงดงามและสลักเสลาในคนๆเดียวคิ้วเข้มรับกับแพขนตาหนาดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งรั้นปากอิ่มสีชมพูอ่อนเอื้อนเอ่ยรับปากคนพี่“เป็นสิ่งที่เจ้านั้นหาได้ง่ายมาก” “จริงหรือ งั้นเจ
หลังจากอสูรกายปีซอดับสูญบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของตำหนักราพณาลัยจากตอนแรกที่มองดูผลงานหลังจากฟาดแส้ใส่นิลคีรีด้วยความสะใจ ในระหว่างที่รออสูรกายใต้อาณัติไปพาตัวชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนมาเล่นสนุกแต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นที่เบ้าตาขวาอย่างรุนแรง “อึก ไอ้งูเวรมึงทำอะไรกู อ๊าก”ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่ถือแส้อาลัมพายน์ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นหน้าตาบิดเบี้ยวเส้นเลือดข้างขมับปูดโปนเด่นชัด เสียง‘โพล๊ะ’ดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ยกกุมที่ตาข้างขวาเลือดสีแดงฉานทะลักอาบย้อมเปรอะเปื้อนเล็ดลอดออกมาตามง่ามนิ้วไหลยาวลงไปตามหลังมือไม่มีทีน่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นยิ่งเมื่ออยู่ภายในถ้ำปิดไร้ช่องลมด้วยแล้วกลับยิ่งสะท้อนหนักดังก้องกว่าปกติ สายใยที่ถูกสะบั้นจึงรับทันทีรู้ว่าอสูรกายที่ตนส่งไปยังเป้าหมายถูกทำลายแล้วสิ้นจนเป็นฝุ่นผงไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณแม้แต่น้อย หากเป็นในยามปกติแล้วนั้นเมื่อใดที่กายสามานย์ถูกทำลายจนดับสูญจิตวิญญาณย่อมแตกสลายแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกชำระจนสะอาดใสได้เช่นนี้ส่วนกระแสจิตที่เชื่อมใส่เมื่อใดที่ตัดสะบ
เพลินพาเจ้าพาทะเลหนีไปซ่อนตัวที่บึงสัตตบงกชเดี๋ยวนี้!บึงสัตตบงกชที่นิลคีรีเอ่ยถึงเป็นบึงบัวขนาดใหญ่แนวเขตติดต่อกับผืนป่าต้องห้ามรุธิระสิงขรในบึงจะมีบัวที่สามารถบรรจุห่อหุ้มคนได้สองถึงสี่คนกระจายคละไซซ์ออกดอกอย่างสวยงามเพื่อหลบซ่อน ทั้งยังมีสายพลังงานบริสุทธิ์คอยปกป้องไหลเวียนเพียงแค่ตรงจุดนั้นมีพวกสัตว์มีพิษเยอะมากไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นให้อาศัย จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ได้พาคนเด็กกว่าไปตั้งแต่แรกอีกอย่างก็ไม่คาดคิดว่าไอ้พวกเดนมนุษย์มันจะเหลือรอดจากน้ำมือและเขาไม่ได้สาหัสแบบนี้ ข้าห้ามท่านทะเลไม่ได้ขอรับเกิดอะไรขึ้นอสูรกายกลายเป็นฝุ่นผงเพียงแค่มองสบตาข้าถามว่าทะเลอยู่ที่ใดเพลินพา ข้าถาม ท่านนิลคีรีข้าห้ามไม่ได้…จากตอนแรกที่สื่อสารทางจิตด้วยโทนเสียงเรียบขรึมสะกดข่มความเจ็บปวดทั้งจากแส้อาลัมพายน์และอาการทรมานจากคำสาปที่ส่งผลหนักในวันนี้มากที่สุดเพื่อให้ผู้ที่อยู่ใต้อาณัติพาชลทิตย์ไปหลบยังสถานที่ที่ปลอดภัย หลังเพลินพาบอกเล่าเหตุการณ์นิลคีรีรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลยิ่งนาคราชหนุ่มอ้ำอึ้งด้วยแล้วนั้นความร้อนรนในจิตใจยิ่งนัก หากถามว่าพวกเดรัจฉานวิชาที่เจ้าของตำหนักราพณาลัยส่งผล
“ไอ้หมอผีอัปรีย์มึงอย่าคิดหวังว่าจะเข้ามาได้”ทันทีที่สิ้นสุดน้ำเสียงทรงอำนาจที่สะท้อนดังไปทั่วทั้งผืนป่าก็ปรากฏเงาร่างอุรคสีนิลตัวใหญ่ยักษ์ดวงตาสีแดงเพลิงราวกับสีของทับทิมสยามวาววับ นิลคีรีผู้ปกปักษ์ผืนป่าต้องห้ามทิศใต้เอาลำตัวยาวเข้ามาขวางข้างหน้าภูสิงห์และเพลินพาเอาไว้คลายบ่วงบาศที่พันธนาการทั้งสองออกพร้อมทำลายจนสิ้น“เพลินพาเจ้าจงไปปกป้องทะเลส่วนภูสิงห์เจ้าไปดูแลเพชรถวนาเคนทร์ห้ามให้ผู้ใดมาฉกฉวยได้หากย้อนกลับมาข้าจะลงโทษพวกเจ้าให้จงหนัก”ไม่รอฟังคำตอบจากผู้อยู่ใต้อาณัติแต่ส่งไปยังปลายทางทันทีเพราะรู้ดีว่าทั้งสองอยากจะช่วยนายเหนือหัวและต้องการปฏิเสธแต่ตอนนี้หัวใจหลักของผืนป่ากับหัวใจของอุรคหนุ่มกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกไม่นานจะถูกค้นพบ “ยอมออกมาแล้วเหรอไอ้งูผี กล้ามากนะที่กันพวกมันออกไปแต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานก็ต้องตกตายไปพร้อมมึงอยู่แล้ว ไม่สิกูต้องให้มึงตายเป็นคนสุดท้ายมองดูหายนะที่เกิดขึ้นในป่าแห่งนี้ทั้งหมดด้วยตาตัวเอง”จิณณ์เงยหน้ามองกายสูงใหญ่ด้วยท่าทีไม่เกรงกลัวทั้งยังเหยียดหัวเราะอย่างถือดีก่อนจะกลิ้งหลบสายอัสนีบาตที่ส่งมาจากฝีมือของนิลคีรีอีกหลายๆครั้งก็กัดฟันกรอดบริภาษอีกฝ่าย
ภายใต้ม่านน้ำตกขนาดใหญ่เป็นโถงกว้างเดิมเป็นเพียงถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่ทว่ากลับสวยงามราวกับประติมากรรมภาพวาดด้วยริ้วเส้นสีแดงสลับทองทอลวดลายแปลกประหลาดอยู่ตรงผนังถ้ำทั้งความอบอุ่นยังแผ่ซ่านในอกตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้ามาด้านใน ตอนนี้นิลคีรีได้เนรมิตจากถ้ำเปล่าเปลี่ยนเป็นที่พักผ่อนใหม่ให้กับเจ้าของกลิ่นกายหอมที่กำลังหลับพริ้มในอ้อมกอดเขา อุรคหนุ่มจรดปากหยักลงบนหน้าผากมนพร้อมกระชับวงแขนแม้ยามนี้ความเจ็บปวดทางกายกำลังเข้าจู่โจมอย่างหนักแต่บรรเทาแทบหมดสิ้นเมื่ออยู่ใกล้ดอกราชาวดีแสนเย้ายวนตรงหน้า“...คิดถึง”“ทะเล ทะเล”แต่แล้วคนตัวเล็กที่ปกตินอนหลับสนิทถึงเช้านอกเหนือจากวันนั้นที่ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุอยู่ๆก็กระสับกระส่ายไปมากลางดึกพร้อมกับละเมอออกมา วันนี้เป็นคืนแรกที่ย้ายมานอนก่อนคืนเดือนดับแค่เพียงพ้นเที่ยงคืนไปเท่านั้นไม่ว่าปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นจึงคิดเข้าไปยังห้วงจิตเพื่อดึงชลทิตย์ออกจากความฝัน“ทำไม…ฮึก”อึกนอกจากพลังของอุรคผู้ปกปักษ์มีไม่มากพออีกทั้งยังถูกสายพลังสีทองที่โอบล้อมคนในอ้อมกอดนั้นต่อต้านจับตรึงทั้งตัวจนเขาขยับไม่ได้“ปล่อย!”ในขณะที่ร่างแกร่งกำลังฟาดฟันด้วยความเดื