ขึ้นชื่อว่า ‘ป่า’ ล้วนมีอันตรายซุกซ่อนอยู่โดยเฉพาะเรื่องความอาถรรพ์และสิ่งลี้ลับที่น่าขนลุกเกินกว่าจะจิตนาการได้ ยิ่งสมบูรณ์มากเท่าไหร่เชื่อกันว่าผู้ปกปักษ์ผืนป่าแห่งนั้นยิ่งน่ากลัว จึงเป็นสาเหตุให้บางที่พื้นยากเกินความสามารถมนุษย์จะเข้าไปสำรวจเฉกเช่นพนาทั้งสี่ทิศที่โอบล้อมอยู่ภายนอกเขตอุทยานแห่งชาติพนาดรหากใครเคยลองไปเยี่ยมชมครบทั้งสี่ทิศต้องห้ามพิศเพียงแค่ภายนอกจะพบว่าพืชพันธุ์ของผืนป่าทั้งสี่ไม่มีความคล้ายคลึงกันแม้เพียงนิดรวมไปถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์ จึงเป็นเหตุให้ทางหน่วยงานของรัฐภายใต้สังกัดของกรมป่าไม้เกิดความสนใจอยากทำการศึกษาวิจัยเผื่อค้นพบพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ของโลกก่อนจะรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเรื่องอัตราการเจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมนั้นๆต่อไปไม่ใช่ว่าไม่เคยส่งทีมนักสำรวจเข้าไปแต่ทุกครั้งช่วงทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยของสดเพื่อเปิดป่ากลับพบว่า ‘ป่าปิด’ ไม่ยินยอมให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไปหรือเป็นเพราะว่าจริงๆแล้วของไหว้ทำพิธีนั้นยังไม่ตรงตามความต้องการก็ไม่อาจทราบได้ ในคราแรกเมื่อประมาณสักห้าสิบปีที่แล้วเหล่าคนเมืองผู้ไม่มีความเชื่อเรื่องพิธีกรรมเติบโตมากับวิทยาศาสตร์พวกหลักการแ
‘ชะนอ’ เป็นกลุ่มชนเผ่าชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ภายในผืนพนาต้องห้ามนิลคีรีแนวเขตติดกับอุทยานแห่งชาติพนาดรฝั่งทิศใต้ ในอดีตเคยหลบลี้เหล่าพวกเดนมนุษย์ที่รุกไล่ฆ่ากวาดล้างเพราะต้องการตัดไม้พะยูงกับไม้ชิงชันในพื้นที่หมู่บ้าน ผู้นำเผ่า ณ ขณะนั้นจึงรีบพาลูกบ้านที่เหลือรอดกลุ่มใหญ่เร่งเดินเท้าหนีออกมาโดยอาศัยความชำนาญในพื้นที่เพื่อหลบเลี่ยงการปะทะซึ่งๆหน้าเพราะมีแต่เสียเปรียบโดยมีเหล่าบรรดาชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อถ่วงเวลายื้อไว้ให้นานที่สุดแม้อาวุธมีเพียงแค่อุปกรณ์หาของป่าและทำเกษตรกรรมก็ตามซึ่งมันไม่ได้สูญเปล่าเพราะได้มาเจอกับป่านิลคีรีในอีกสามวันถัดมายามอาทิตย์อัสดงเมื่อเหยียบย่างข้ามเขตลักษณะเป็นป่าดงดิบผสมป่าเบญจพรรณทุกคนล้วนมองหน้ากันเพราะต่างก็รู้สึกว่าเหมือนอยู่คนละมิติกับผืนป่าที่เคยอาศัย อีกหนึ่งความโชคดีคือคืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำทำให้แสงจันทร์เพ็ญกระจ่างส่องนำทางแทนการจุดคบไฟที่ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของฝ่ายที่ตามล่าได้อยู่ๆสายลมรอบตัวที่เคยพัดอ่อนล้วนหยุดนิ่งทั่วทั้งพนาไร้เสียงเหล่าสรรพชีวิตน้อยใหญ่ เล่าขานต่อมาว่าพญางูยักษ์เกล็ดสีนิลสูงใหญ่กว่าต้นตาลชูคอปรากฏตัวขึ้นดักทา
แสงแดดอ่อนส่องลอดผ่านใบไม้ที่กำลังขยับไหวเบาๆสร้างลวดลายสวยงามตกกระทบผ่านกระจกใสบานใหญ่บนชั้นสองของคาเฟ่ลงบนใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มที่พาดเฉียงกำลังขมวดมุ่นแล้วคลายออกเป็นจังหวะเดียวกันกับแพขนตายาวขยับขึ้นลงเมื่อมองหน้าจอแท็บเล็ตสลับกับสมุดโน๊ตในมือเผยดวงตาหางหงส์สีน้ำตาลอ่อนชวนมองกำลังครุ่นคิดกับผมทูบล็อกสีเดียวกันฟูยุ่งเล็กน้อยเพราะตบตีกับตัวเองเนื่องจากกำลังคิดงานโลโก้ให้ลูกค้า เชิ๊ตสีดำที่สวมใส่อย่างสบายแม้จะมีรอยยับอันเกิดจากการขยับพิงพนักเก้าอี้กลับดูเข้ากันขับเน้นผิวขาวเนียนตามฉบับเชื้อสายจีนให้สว่างขึ้นไปอีกชลทิตย์หรือทะเล ขาดอีกหนึ่งวันก็จะครบ 25 ปีบริบูรณ์หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัยเบญจเพส นักออกแบบโลโก้บริษัทฟรีแลนซ์ผู้ชื่นชอบการเดินป่าตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัยจุดเริ่มต้นเลยก็คือตอนเข้าค่ายอาสาบนดอยหลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงเริ่มตามเก็บตราประทับอุทยานแห่งชาติแต่ละที่หลังเคลียร์งานเสร็จหากเพื่อนสนิทไม่ว่างไปด้วยเขาก็ไปกางเต้นท์เองคนเดียว ชายหนุ่มชื่นชอบการเดินป่าแม้ไม่ได้สะดวกสบายทั้งความลาดชันและความรกของพื้นที่ ไหนจะมีพวกยุงพวกทากแมลงต่างๆบางครั้งอุปกรณ์ป้องกันยังเอาไม่อยู่มีเล็
“ผ่านแล้ว เย้”อีกไม่กี่วันต่อมาชลทิตย์ส่งงานให้ลูกค้าเสร็จเร็วกว่ากำหนดหนึ่งวันเพราะเจ้านี้ไม่ได้ปรับแก้ดีเทลอะไรเพิ่มเติมคอนเฟิร์มแบบทันทีที่ส่งภาพโลโก้ตามบรีฟกลับไปให้เมื่อวานเลยได้ออกไปซื้อของใช้บางอย่างที่ยังขาดเหลืออยู่สำหรับจัดลงกระเป๋าสัมภาระที่จะเเบกมาอุทยานตอนบ่ายในห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านปกติชายหนุ่มจะเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวหากว่าไปคนเดียวและถ้ามีไอ้พวกเพื่อนๆด้วยจะใช้รถบ้านของกันตพลหรือกรขับรับลมชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนเจอจุดไหนน่าสนใจก็แวะ ส่วนตอนนี้อีกไม่ไกลเขาก็จะถึงอุทยานแห่งชาติพนาดรแล้วซึ่งชลทิตย์เดินทางออกมาจากบ้านตั้งแต่ตีห้าขับมาเรื่อยๆตามจีพีเอสที่ตั้งไว้ก็“อีก 200 เมตร เลี้ยวขวา”เมื่อเลี้ยวตามที่จีพีเอสบอกจากถนนสายหลักเปลี่ยนเป็นคอนกรีตที่แคบลงพอให้รถสองคันสวนทางกันได้สองข้างทางเป็นป่ายางสูงจากนั้นก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นเพราะทางเริ่มเป็นถนนดิน เนื่องจากยังอยู่ในช่วงปลายฝนเลยมีการทิ้งรอยเละของล้อรถยนต์บางคันก็น่าจะเคยติดหล่มความจริงแล้วอุทยานนั้นเข้าได้ทั้งหมดสี่ช่องทางส่วนที่ใก
“กำลังจะมีงานเลี้ยงกันเหรอครับ”ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างสงสัยมาหลังจากเข้ามาด้านในก็เห็นว่ามีการรวมตัวของชาวบ้านมากมายตรงลานกว้างซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นจุดศูนย์กลางประกอบพิธีกรรมของหมู่บ้านมีการแบ่งหน้าที่ของใครของมัน อย่างพวกชายฉกรรจ์ที่แข็งแรงหน่อยก็ช่วยกันแบกแท่นขนาดใหญ่มาตั้งไว้ตรงกลางลานที่ตอนนี้ถูกประดับตกแต่งรอบๆอย่างสวยงามตามความเชื่อ บ้างก็ช่วยกันหุงหาอาหารส่วนทางนั้นก็มีกลุ่มหญิงสาวที่กำลังพับบายศรีการที่ทุกคนเห็นคนต่างถิ่นแปลกหน้าเข้ามาถึงด้านในนิลคีรีได้ย่อมสร้างความประหลาดใจเหมือนกับตอนที่กอหลิ่งเจอชลทิตย์ครั้งแรกและตกใจเป็นอย่างมากที่อีกฝ่ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเสียงกระซิบกระซาบเป็นภาษาเผ่าจึงดังขึ้นแผ่วตลอดทางที่ผ่าน“ใช่ เป็นพิธีบูชาประจำเผ่าจัดขึ้นตอนเย็นเดี๋ยวคืนนี้เอ็งไปพักที่เรือนข้าแล้วกันเพราะอย่างไรข้าก็อยู่คนเดียวอยู่แล้วไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยใช่หรือไม่”หนุ่มชาติพันธุ์พาร่างสันทัดเดินเลี่ยงเส้นทางตรงมายังบ้านของตนที่อยู่เกือบท้ายหมู่บ้านเพราะไม่อยากให้คนนอกรู้เห็นอะไรในเผ่ามากนัก ที่พามากลับมาก็เพราะคิดว่าอีกฝ่า
"อย่า!!!ไม่!!!!ไอ้งูสารเลว!!!!"อุรคหนุ่มได้แปลงกายจากงูยักษ์ตัวเขื่องเป็นมนุษย์สอดใส่แก่นกายผงาดตื่นตัวเต็มที่ปูดโปนไปด้วยเส้นเลือดน้อยใหญ่เข้ามาพร้อมกัน“เดี๋ยวเจ้าก็จะชอบมันเอง”“ใครมันจะไปชอบวะ เจ็บจะตายแล้วเนี่ยไอ้บ้าเอ้ย ฮึก”นัยน์ตาสีทับทิมวาววับมองมนุษย์ที่ใจกล้าก่นด่าผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเพราะความเจ็บปวดจากการถูกชำแรกเข้าไปทีเดียวสองแท่งใหญ่แม้จะยังคงกดแช่ไว้ไม่ได้ขยับร่างสูงใหญ่กำยำผิวกายขาวผ่องไร้อาภรณ์เปียผมสีดำขลับยาวเลยบั้นท้ายแน่นหนั่นปลายผมประดับด้วยห่วงทองคำลายโบราณขยับแนบทั้งจมูกปากไล่สูดดมความหอมจากซอกคอไล้ไปมาขบเม้มตีตราอย่างถูกใจยิ่งร่างเนียนที่กำลังสั่นน้อยพยายามสะบัดหนียิ่งรุกไล่หนักขึ้นมือใหญ่ยกลูบไล้แก้มแผ่วเบาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยกราดเกรี้ยวรอยยิ้มถูกจุดขึ้นที่มุมปากสายตาจับจ้องกลีบปากอิ่มที่เม้มเเน่นก่อนจับสันกรามของคนตรงหน้าบีบบังคับให้อ้าเผยอยิ่งต่อต้านแรงบีบยิ่งหนักขึ้นอย่างไม่คิดออมแรง“อื้อ!”เดิมทีชลทิตย์เป็นคน
ชลทิตย์รู้สึกตัวพร้อมกับความเมื่อยขบทั่วร่างช่องทางกลางกายไม่เจ็บแสบเพียงเคล็ดขัดเล็กน้อยและสัมผัสถึงแขนหนักที่พาดเอวแผ่นหลังชิดกับอกกว้าง พอลืมตาตื่นพบร่างสูงใหญ่ที่กำลังกอดเขาแน่นจมอกภาพการร่วมรักไหลย้อนกลับจำได้ทุกฉากรวมไปถึงความซาบซ่านยามถูกสัมผัสตีตราจนพาลหงุดหงิดทั้งด่างูบ้ากามในใจที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าให้ทั้งเขาและตัวเองจึงค่อยๆยกท่อนแขนหนักขึ้นเพื่อขยับออกแต่กลับไม่ได้ผลแม้สักนิดนี่แขนหรือท่อนซุงวะแถมกลับถูกกอดกระชับขึ้นอีกจากที่แน่นอยู่แล้วจนตอนนี้ขยับตัวไม่ได้หากชลทิตย์หันกลับมามองด้านหลังได้คงเห็นมุมปากที่กำลังยกรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สุดท้ายดิ้นขลุกขลักโวยวายเพราะบั้นท้ายกำลังเสียดสีส่วนแข็งขืนจนขนลุกเกลียว“ปล่อย! จะไปใส่เสื้อผ้า”เมื่อแขนหนักคลายแล้วขยับออกได้ดั่งใจจึงรีบลุกขึ้นมาถอยห่างทันทีเพราะกำลังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอีกครั้งแต่ไม่พ้นเงื้อมมืออยู่ดี ต้นแขนถูกดึงจนตัวปลิวลอยหวือลงบนตักแกร่งหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของดวงตาสีแดงเพลิงทันที“ทำไมเล่าข้าชอบยามที่เจ้าไม่สวมใส่สิ่งใดเลยมา
สามชั่วโมงหลังจากที่ชลทิตย์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยที่อุทยานแห่งชาติพนาดรหลังวันเกิดลูกชายเพียงสองวันทั้งชรัสและกิรณาก็เดินทางกลับมาที่จังหวัดนครพนมอีกครั้งเพราะต้องมาต่องานพุทธศิลป์ที่ค้างไว้ให้วัดแห่งหนึ่งในอำเภอท่าอุเทน ในขณะที่กำลังวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังกันอยู่นั้นเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนซึ่งวางไว้บนเก้าอี้ก็ดังขึ้น“ใครเหรอครับ”ชรัสเอ่ยถามภรรยาที่อยู่ตรงนั้นพอดี“เบอร์แปลกไม่ขึ้นชื่อนะคะ”“งั้นหนูรับให้พี่เลยครับอาจจะเป็นลูกค้าโทรมา”“ได้ค่ะ”โดยปกติแล้วทั้งสองคนไม่เคยมีลับลมคมในต่อกันแต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันหากอีกฝ่ายไม่อนุญาต“สวัสดีค่ะ อ๋อ ใช่ค่ะ”จากน้ำเสียงสุภาพเนิบนาบเปลี่ยนเป็นตระหนกขึ้นเล็กน้อยจนผู้เป็นสามีชะงักแปลกใจละมือจากงานที่กำลังทำอยู่หันไปมอง“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”สุดท้ายวิ่งมาประคองกิรณาที่ทรุดลงเพราะทรงตัวไม่อยู่สมาร์ทโฟนหลุดออกจากมือบางที่กำลังสั่นเทาชรัสจึงหยิบขึ้
โลหิตฉานไหลหลั่งชโลมพื้นคำรามครืนคลื่นสายประกายไหววชิระทัณฑ์พาดฟาดก้องไกลสองสายใยโยงเพริศกำเนิดพรายกุดั่นแก้วแวววับระยับแสงทิวาแรงแซงแทรกแหวกธารสายหมอกสีชาดร้อยรัดกระหวัดกลายโอบกำจายเวียนวนล้นคณาราตรีอันมืดมิดและหม่นหมองค่อยๆถูกแทนที่ด้วยแสงแห่งอรุณรุ่งเสียงแว่วหวานขับขานของสกุณาดังขึ้น ความเงียบเดิมถูกเหล่าสรรพชีวิตในผืนป่าเริ่มออกมาใช้ชีวิตกันเป็นเรื่องปกติ บ้างออกล่าหาอาหาร บ้างลงเล่นน้ำในลำธารใส บ้างหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่ใช่ที่ผืนพนาต้องห้ามทิศใต้อย่างนิลคีรีผลของทัณฑ์อสนีบาตจากฝีมืออรุคผู้ปกปักษ์นั้นทำให้เกือบทั้งป่าราบเป็นหน้ากลองสนั่นฟ้าสะเทือนดินลามไปจนสร้างความประหลาดใจไปถึงป่าต้องห้ามอีกสามทิศที่เหลือเกิดอะไรขึ้นที่นิลคีรี?สร้างความโกลาหลอย่างถ้วนทั่วทิ้งไว้เพียงเศษซากของต้นไม้ที่ถูกฟ้าผ่าจนหักโค่นลงจนล้มระเนระนาดบ้างก็ดำเป็นตอตะโกตายคาต้น รวมไปถึงสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่เคยหนีตายกันจ้าละหวั่นมีส่วนน้อยไม่อาจรอดจากสายฟ้าได้กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณเพราะเพชรถวนาเคนทร์เปล่งประกายแสงคุ้มภัยทันเวลาไม่อย่างนั้นคงไม่เหลืออะไรให้ดูต่างหน้ากลายเป็นป่าที่ดับสูญก
โครมอุกร่างสูงใหญ่ที่คล่อมทับร่างบางที่เหลือแค่โจงนุ่งเป็นปราการสุดท้ายที่กำลังจะถูกถอดก็มีเสียงดังขึ้นจากทางหน้าต่างพร้อมพรรวินท์ลอยหวือไปกระแทกพื้นปรากฏเชือกพันธนาการรอบตัวหมัดหนักถูกกระแทกเข้าที่ใบหน้าพร้อมกลางอกถูกถีบจนล้มกลิ้งไปกับพื้นอีกครั้ง “พี่อยู่นี่”ร่างสูงของอุรคหนุ่มตรงเข้าไปหยิบแพรผืนใหญ่คลุมกายโอบกอดชายคนรักที่กำลังร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาแน่น“ทะ..ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่ ฮึก”มือหนาเช็ดน้ำตาบนแก้มนวลกุมใบหน้าหวานให้เงยขึ้นมอง“ฟังพี่หนาคนที่น่ารังเกียจคือไอ้ยูงทองชั่วนั่นต่างหาก น้ำตาของเจ้านั้นกำลังทำให้พี่นั้นเจ็บปวดใจยิ่ง”พูดจบปากหยักสีอ่อนจรดทาบทับกลีบปากอิ่มนุ่มนวลก่อนผละออกไปกระทืบตัวต้นเรื่องด้วยสถานะของอีกฝ่ายจึงได้เพียงแค่สั่งสอน ทั้งที่ฆ่ามันได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือแต่นิลคีรีเลือกที่จะสะกดกลั้นความเดือดดาลของตน เพราะมันจะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ทันทีนำพาความเดือดร้อนมาสู่ผู้บริสุทธิ์จึงทำได้แค่สั่งสอนให้หนักและเนรมิตให้รอยช้ำหายไปหลังจากเสร็จสิ้นก็ถีบส่งพรรวินท์เข้าห้องตัวเองไปเดินทางออกนอกนครฝั่งเหนือเมื่อใดวันนั้นคือวันตายของพวกเจ้าทั้
เมื่ออุรคหนุ่มก้าวเท้าออกมาจากภายในถ้ำอสนีสีหนาทก็พบว่าด้านนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากโข ในความทรงจำเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนไม่รกครึ้มและเต็มไปด้วยเถาวัลย์น้อยใหญ่ถึงเพียงนี้ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดย่างกรายเข้ามาช้านานแล้วนิลคีรีหลับตาเพ่งสมาธิดูก็พบอีกอย่างว่าอุรคที่เคยอาศัยยังป่าหิมพานต์ได้ย้ายออกไปด้านนอกจนหมดไม่หลงเหลือผู้ใดแล้วก็คงมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นงูเพียงหนึ่งเดียวอีกทั้งด้านนอกดูแปลกตาไปหมดหอมนักเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดกันทันทีที่หายตัวออกมาถึงด้านหน้าพ้นป่าที่รกชัฏกลับได้กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยลมมา“สมน้ำหน้า เจ้าพวกกินนรนิสัยไม่ดีชอบรังแกผู้อื่นดีนัก”ปึก “อ๊ะ”ในขณะที่นิลคีรีกำลังหาต้นตอของกลิ่นอยู่นั้นก็ถูกร่างอรชรของยูงทองหนุ่มที่วิ่งหนีพวกกินนรเกเรสามตน หลังจากไปแอบขว้างก้อนหินใส่ตอนที่กำลังรุมแกล้งกินนรผู้หนึ่งอยู่จนพวกมันหัวแตกเลือดอาบแต่ไม่ได้มองทางข้างหน้าเลยชนเข้าเต็มอกของอุรคหนุ่ม วงแขนแกร่งคว้าเอวบางทันท่วงทีก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้น“เจ้าเจ็บตรงไหนหรือไม่”คนที่รู้สึกราวกับว่าชนกำแพงเหล็กเงยหน้าขึ้นถามคนตัวโตเพราะเขาเป็นคนผิดที่ไม่มองทางเองตึกหั
บ่ายวันหนึ่งในแดนหิมพานต์ฝั่งทิศตะวันออกเปลือกไข่สีครีมใบสุดท้ายถูกกระเทาะออกจนเกิดเป็นรอยร้าวและแตกในที่สุด สิ่งมีชีวิตตัวเล็กจิ๋วค่อยๆเผยดวงตาสีแดงใสแจ๋วโผล่พ้นออกมางูน้อยตัวสีดำสนิทได้ลืมตาขึ้นเป็นวันแรกในป่าหิมพานต์ แต่สีกลับผิดแผกจากบรรดาพี่น้องตนอื่นที่มีดวงตาสีมรกตรับกับสีเกล็ดที่ขาวสว่างนวล จากวันแรกเด็กน้อยแสนสดใสเพราะได้เห็นโลกกว้างมองดูสิ่งมีชีวิตอื่นในป่าหิมพานต์ต่างพากันเล่นสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผิดจากเขาที่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดอยากเล่นด้วยเพียงเพราะว่ามีเกล็ดสีดำจึงถูกมองว่าตัวกาลกิณีนำพาความโชคร้ายมาสู่ตน ไม่เว้นแม้กระทั่งในครอบครัวที่ถูกเลือกปฏิบัติราวกับคนแปลกหน้า บรรดาพี่น้องทั้งห้าตนที่สีเดียวกันต่างเลือกเล่นกันเองโดยไม่สนใจและกีดกันงูน้อยตัวจิ๋วสีดำที่มองด้วยสายตาเศร้าสร้อยออกจากวงโคจร“ท่านแม่กลับมาแล้ว” “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าแม่ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น” แม้กระทั่งที่ไม่มีสิทธิ์เรียกผู้ให้กำเนิดว่าแม่เลยด้วยซ้ำเพราะในใจอุรคสูงใหญ่ตรงหน้าคิดว่าคงมีงูตนใดแอบเอามาใส่ไว้เป็นแน่เขาผิดหรือที่กำเนิดมาไม่เหมือนใคร ฮึก เหตุใดพวกท่านจึงไม่รักข้าบ้
มหาสมุทรฝั่งตะวันออกอยู่ในการปกครองขององค์จักเรศวรนาคราชกษัตริย์นักรบตระกูลกัณหาโคตมะผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปรีชาและเก่งกาจชำนาญการรบมามากมาย มเหสีคู่พระทัยเพียงหนึ่งเดียวก็คือพระนางจันทราภาวดีนาคราชสีทองตระกูลวิรูปักษ์ ทั้งสองมีพระโอรสหนึ่งพระองค์ที่เกิดแบบโอปปาติกะที่เปรียบดั่งลูกไม้ใต้ต้นถอดแบบผู้เป็นบิดามาแทบทั้งหมดทั้งความปรีชาและยึดมั่นในรักเดียว“เจ้าพี่ท่านทำสิ่งใดอยู่หรือ”“คันศรอันใหม่จากหินศิลากาฬที่เจ้าอยากได้อย่างไรเล่า”“ทำไมถึงตามใจข้าอยู่เรื่อยเลยจนข้าเสียนิสัยแล้วรู้หรือไม่”หนึ่งใบหน้าคมคายสันกรามชัดคิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับตาคมดุจเหยี่ยวสีรัตติกาลที่กำลังมองคนตรงหน้าด้วยความเอื้อเอ็นดูปากหยักยกยิ้มยามเห็นอีกฝ่ายบ่นว่าเขาตามใจจนเสียนิสัยแต่กลับตาเป็นประกายทุกครั้งที่ได้ของถูกใจ “งั้นคราวนี้เจ้าต้องให้รางวัลพี่แทนแล้วหนา”“ท่านประสงค์สิ่งใดหากข้าหาได้ย่อมไม่อิดออดเป็นแน่ สัญญา”หนึ่งใบหน้ารูปไข่ทั้งงดงามและสลักเสลาในคนๆเดียวคิ้วเข้มรับกับแพขนตาหนาดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนจมูกโด่งรั้นปากอิ่มสีชมพูอ่อนเอื้อนเอ่ยรับปากคนพี่“เป็นสิ่งที่เจ้านั้นหาได้ง่ายมาก” “จริงหรือ งั้นเจ
หลังจากอสูรกายปีซอดับสูญบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของตำหนักราพณาลัยจากตอนแรกที่มองดูผลงานหลังจากฟาดแส้ใส่นิลคีรีด้วยความสะใจ ในระหว่างที่รออสูรกายใต้อาณัติไปพาตัวชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนมาเล่นสนุกแต่แล้วอยู่ๆก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นที่เบ้าตาขวาอย่างรุนแรง “อึก ไอ้งูเวรมึงทำอะไรกู อ๊าก”ร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีควันบุหรี่ที่ถือแส้อาลัมพายน์ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นหน้าตาบิดเบี้ยวเส้นเลือดข้างขมับปูดโปนเด่นชัด เสียง‘โพล๊ะ’ดังขึ้นพร้อมกับมือใหญ่ยกกุมที่ตาข้างขวาเลือดสีแดงฉานทะลักอาบย้อมเปรอะเปื้อนเล็ดลอดออกมาตามง่ามนิ้วไหลยาวลงไปตามหลังมือไม่มีทีน่าว่าจะหยุดง่ายๆ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นยิ่งเมื่ออยู่ภายในถ้ำปิดไร้ช่องลมด้วยแล้วกลับยิ่งสะท้อนหนักดังก้องกว่าปกติ สายใยที่ถูกสะบั้นจึงรับทันทีรู้ว่าอสูรกายที่ตนส่งไปยังเป้าหมายถูกทำลายแล้วสิ้นจนเป็นฝุ่นผงไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณแม้แต่น้อย หากเป็นในยามปกติแล้วนั้นเมื่อใดที่กายสามานย์ถูกทำลายจนดับสูญจิตวิญญาณย่อมแตกสลายแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกชำระจนสะอาดใสได้เช่นนี้ส่วนกระแสจิตที่เชื่อมใส่เมื่อใดที่ตัดสะบ
เพลินพาเจ้าพาทะเลหนีไปซ่อนตัวที่บึงสัตตบงกชเดี๋ยวนี้!บึงสัตตบงกชที่นิลคีรีเอ่ยถึงเป็นบึงบัวขนาดใหญ่แนวเขตติดต่อกับผืนป่าต้องห้ามรุธิระสิงขรในบึงจะมีบัวที่สามารถบรรจุห่อหุ้มคนได้สองถึงสี่คนกระจายคละไซซ์ออกดอกอย่างสวยงามเพื่อหลบซ่อน ทั้งยังมีสายพลังงานบริสุทธิ์คอยปกป้องไหลเวียนเพียงแค่ตรงจุดนั้นมีพวกสัตว์มีพิษเยอะมากไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นให้อาศัย จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ได้พาคนเด็กกว่าไปตั้งแต่แรกอีกอย่างก็ไม่คาดคิดว่าไอ้พวกเดนมนุษย์มันจะเหลือรอดจากน้ำมือและเขาไม่ได้สาหัสแบบนี้ ข้าห้ามท่านทะเลไม่ได้ขอรับเกิดอะไรขึ้นอสูรกายกลายเป็นฝุ่นผงเพียงแค่มองสบตาข้าถามว่าทะเลอยู่ที่ใดเพลินพา ข้าถาม ท่านนิลคีรีข้าห้ามไม่ได้…จากตอนแรกที่สื่อสารทางจิตด้วยโทนเสียงเรียบขรึมสะกดข่มความเจ็บปวดทั้งจากแส้อาลัมพายน์และอาการทรมานจากคำสาปที่ส่งผลหนักในวันนี้มากที่สุดเพื่อให้ผู้ที่อยู่ใต้อาณัติพาชลทิตย์ไปหลบยังสถานที่ที่ปลอดภัย หลังเพลินพาบอกเล่าเหตุการณ์นิลคีรีรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกลยิ่งนาคราชหนุ่มอ้ำอึ้งด้วยแล้วนั้นความร้อนรนในจิตใจยิ่งนัก หากถามว่าพวกเดรัจฉานวิชาที่เจ้าของตำหนักราพณาลัยส่งผล
“ไอ้หมอผีอัปรีย์มึงอย่าคิดหวังว่าจะเข้ามาได้”ทันทีที่สิ้นสุดน้ำเสียงทรงอำนาจที่สะท้อนดังไปทั่วทั้งผืนป่าก็ปรากฏเงาร่างอุรคสีนิลตัวใหญ่ยักษ์ดวงตาสีแดงเพลิงราวกับสีของทับทิมสยามวาววับ นิลคีรีผู้ปกปักษ์ผืนป่าต้องห้ามทิศใต้เอาลำตัวยาวเข้ามาขวางข้างหน้าภูสิงห์และเพลินพาเอาไว้คลายบ่วงบาศที่พันธนาการทั้งสองออกพร้อมทำลายจนสิ้น“เพลินพาเจ้าจงไปปกป้องทะเลส่วนภูสิงห์เจ้าไปดูแลเพชรถวนาเคนทร์ห้ามให้ผู้ใดมาฉกฉวยได้หากย้อนกลับมาข้าจะลงโทษพวกเจ้าให้จงหนัก”ไม่รอฟังคำตอบจากผู้อยู่ใต้อาณัติแต่ส่งไปยังปลายทางทันทีเพราะรู้ดีว่าทั้งสองอยากจะช่วยนายเหนือหัวและต้องการปฏิเสธแต่ตอนนี้หัวใจหลักของผืนป่ากับหัวใจของอุรคหนุ่มกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกไม่นานจะถูกค้นพบ “ยอมออกมาแล้วเหรอไอ้งูผี กล้ามากนะที่กันพวกมันออกไปแต่ไม่เป็นไรอีกไม่นานก็ต้องตกตายไปพร้อมมึงอยู่แล้ว ไม่สิกูต้องให้มึงตายเป็นคนสุดท้ายมองดูหายนะที่เกิดขึ้นในป่าแห่งนี้ทั้งหมดด้วยตาตัวเอง”จิณณ์เงยหน้ามองกายสูงใหญ่ด้วยท่าทีไม่เกรงกลัวทั้งยังเหยียดหัวเราะอย่างถือดีก่อนจะกลิ้งหลบสายอัสนีบาตที่ส่งมาจากฝีมือของนิลคีรีอีกหลายๆครั้งก็กัดฟันกรอดบริภาษอีกฝ่าย
ภายใต้ม่านน้ำตกขนาดใหญ่เป็นโถงกว้างเดิมเป็นเพียงถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่ทว่ากลับสวยงามราวกับประติมากรรมภาพวาดด้วยริ้วเส้นสีแดงสลับทองทอลวดลายแปลกประหลาดอยู่ตรงผนังถ้ำทั้งความอบอุ่นยังแผ่ซ่านในอกตั้งแต่ยังไม่ก้าวเข้ามาด้านใน ตอนนี้นิลคีรีได้เนรมิตจากถ้ำเปล่าเปลี่ยนเป็นที่พักผ่อนใหม่ให้กับเจ้าของกลิ่นกายหอมที่กำลังหลับพริ้มในอ้อมกอดเขา อุรคหนุ่มจรดปากหยักลงบนหน้าผากมนพร้อมกระชับวงแขนแม้ยามนี้ความเจ็บปวดทางกายกำลังเข้าจู่โจมอย่างหนักแต่บรรเทาแทบหมดสิ้นเมื่ออยู่ใกล้ดอกราชาวดีแสนเย้ายวนตรงหน้า“...คิดถึง”“ทะเล ทะเล”แต่แล้วคนตัวเล็กที่ปกตินอนหลับสนิทถึงเช้านอกเหนือจากวันนั้นที่ร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุอยู่ๆก็กระสับกระส่ายไปมากลางดึกพร้อมกับละเมอออกมา วันนี้เป็นคืนแรกที่ย้ายมานอนก่อนคืนเดือนดับแค่เพียงพ้นเที่ยงคืนไปเท่านั้นไม่ว่าปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่นจึงคิดเข้าไปยังห้วงจิตเพื่อดึงชลทิตย์ออกจากความฝัน“ทำไม…ฮึก”อึกนอกจากพลังของอุรคผู้ปกปักษ์มีไม่มากพออีกทั้งยังถูกสายพลังสีทองที่โอบล้อมคนในอ้อมกอดนั้นต่อต้านจับตรึงทั้งตัวจนเขาขยับไม่ได้“ปล่อย!”ในขณะที่ร่างแกร่งกำลังฟาดฟันด้วยความเดื