รถม้าเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณหน้างานเทศกาลเซี่ยหยวน หวงตงหยางก้าวเท้าลงมาจากรถม้าอย่างองอาจ พลางยื่นมือมาทางนางอย่างใส่ใจโดยที่เขามิต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา ดวงตาคู่งามมองฝ่ามือนั้นสลับกับใบหน้าหน้าหวงตงหยางที่แย้มยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ ก่อนตัดสินใจยื่นมือเรียวนุ่มประกบเข้ากับฝ่ามือหนา ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามและมั่นคง"ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ" ใบหน้าสวยแย้มยิ้มสดใสเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน อบอุ่นใจกับการกระทำที่ใส่ใจของหวงตงหยาง รอยยิ้มที่มีเสน่ห์แสนหายากของเขานั้นทำให้ใจนางสั่นไหวได้ไม่ยาก"เราเข้าไปข้างในกันเถิด" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชวน ก่อนสาวเท้าเดินนำไปยังข้างหน้าโดยที่ฝ่ามือหนานั้นก็มิได้ปล่อยมือจากนาง ยังคงจับและประสานกันไว้อย่างหลวม ๆ เดินเข้างานอย่างไม่เร่งรีบ จ้าวเยี่ยนฟางมองมือของตนที่ถูกกอบกุมก็พลันหน้าแดงความรู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วอก ยิ่งมองแผ่นหลังกว้างดูองอาจสง่างามน่าอิงแอบพิงซบก็ยิ่งทำให้ใจไหวหวั่น ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ความเขามีอิทธิพลกับหัวใจนางเช่นนี้ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความครึกครื้น มีร้านค้าตั้งเต็มทั้งสองข้างทางโดยเว้นช่วงกลางไว้สำหรับประชาชนที่เข้ามาชมงานได้เดินอย่างสะดวก ทา
ร่างกายที่รู้สึกหนักอึ้ง ค่อย ๆ จมดิ่งลงไปท่ามกลางกระแสน้ำเย็น ภาพที่เห็นก็เริ่มเลือนราง หูทั้งสองข้างอื้อเสียจนไม่สามารถได้ยินเสียงอะไร มือซีดเซียวที่พยายามตะเกียกตะกายกายขอความช่วยเหลือก็เริ่มหมดแรงลงอย่างช้า ๆ นางจมดิ่งลงไปในความมืดมิดโดยมีกระแสน้ำโอบอุ้มร่างกาย มันทั้งมืดมิดและน่ากลัว เคว้งคว้างและว่างเปล่า อึก..หายใจไม่ออก ใครก็ได้..ช่วยด้วยค่ะหญิงสาวไม่มีแม้แต่แรงที่จะเค้นเสียงออกมาด้วยซ้ำ คำเหล่านี้นางจึงทำได้แค่เพียงตะโกนอยู่ในใจ สติสุดท้ายที่เหลืออยู่เริ่มเลือนราง หากมีใครสักคนมาช่วยนางก็คงดี..นี่..เราต้องตายไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ หรือ.. ช่างเป็นชีวิตที่ไร้ค่าเสียจริง.. ใบหน้าที่ว่างเปล่าหลับตาลงอย่างช้า ๆ และโอบกอดความตายไว้แต่โดยดี ขัดขืนไปก็มีแต่จะทำให้เหนื่อยเปล่า อย่างไรชีวิตนางมันก็ไร้ค่าอยู่แล้ว หากตายไปเป็นอาหารให้ปลา ชีวิตนางอาจจะมีคุณค่ามากกว่านี้.."ช่วยด้วยย ช่วยฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ ใครก็ได้ช่วยฮูหยินด้วย" เสียงสาวใช้คนหนึ่ง ตะโกนหวีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างขาดสติ นางร้องไห้ฟูมฟายเสียจนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกหวงตงหยางที่นั่งทำงานอยู่ในห้องได้ยินเสีย
ในขณะที่ถิงถิงกำลังไปยกคันฉ่องมาให้นาง เซี่ยซินหยานก็พยายามใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่บนเตียง เธอจำได้ว่า ล่าสุดเธอทะเลาะกับพ่อจึงวิ่งออกจากบ้านมา จากนั้น..ก็มีฝนตกหนัก และถ้าหากความจำของเธอยังดีอยู่ ดูเหมือนว่า..เธอจะโดนฟ้าผ่าเข้าอย่างจังในขณะที่กำลังเดินตากฝนอยู่บนถนนทางออกจากหมู่บ้านแล้วจู่ ๆ เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แถมตอนนั้นก็กำลังจมน้ำจนเกือบตาย..ไหนจะโดนจับไปเฆี่ยนเพราะถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาฆ่าผู้อื่น นี่มันเรื่องอะไรกันแน่"คันฉ่องมาแล้วเจ้าค่ะ" ถิงถิงยกกระจกบานใหญ่มาตั้งไว้ข้างเตียงอย่างเหนื่อยหอบ แววตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย คุณหนูคงจะกังวลว่าแผลจะทิ้งรอยเอาไว้สินะ..เซี่ยซินหยานพยายามออกแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่ง แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะพยุงร่างกายขึ้นมาได้ ถิงถิงเห็นเช่นนั้นจึงพยายามเข้าไปประคองผู้เป็นนายของตน ให้ลุกขึ้นมานั่งอย่างช้า ๆ"ขอบใจนะ"เซี่ยซินหยานเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก ภาพที่ปรากฏทำให้นางต้องตกใจถึงกับเบิกตาโพลงภายในกระจกบานนั้นสะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเปลือยท่อนบน ด้วยเพราะบาดแผลที่กลางหลังทำ
แสงแดดสาดส่องผ่านหน้าต่างมากระทบลงบนใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่ง ที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียงไม้หรูหรา ประดับไปด้วยผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหว นางเป็นคนที่งดงามราวกับเทพธิดา ใบหน้ารูปไข่ไร้ฝ้ากระ ผมสีดำขลับยาวสลวย คิ้วโกงโค้งดุจคันศร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเป็นกระจับสีชมพูระเรื่อ รวมถึงผิวพรรณที่ขาวนวลผ่องดุจมุกเม็ดงาม ดั่งสวรรค์ตั้งใจสรรค์สร้างขึ้นมาจ้าวเยี่ยนฟางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ นางพยายามปรับสายตารับกับแสงให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เมื่อตั้งสติได้จึงพยายามกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทั้งเตียง เพดาน รวมถึง เฟอร์นิเจอร์ ทุกอย่างล้วนดูแปลกตา และไม่ว่าจะตื่นมาเห็นเช่นนี้อีกกี่ครั้ง นางก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชินหลังจากวันแรกที่มาอยู่ในร่างนี้ นางก็พยายามคิดหาหนทางเพื่อเอาชีวิตรอดอยู่เสมอ แผนการที่ทำให้พระเอกหลงรักเพื่อที่ตนจะได้ไม่ถูกฆ่านั้น คือแผนการที่นางปัดตกไปเป็นอันดับแรกเพราะตัวนางนั้นรู้ดีว่าหวงตงหยางรังเกียจนางเพียงใด คงไม่มีทางที่เขาจะหันมาสนใจนางอย่างแน่นอน วิธีเดียวที่จะทำให้นางมีชีวิตรอดในตอนนี้ คือการอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว และพยายามเป็นภรรยาในนามที่ดี เผื่อหวงตงหยางจะร
"กลับจวนกับข้า"ในขณะที่นางกำลังจะแนะนำตัว ก็มีเสียงทุ้มต่ำพูดขัดขึ้นอยู่ทางด้านข้าง ดวงตาดุดันเหมือนฆ่าคนได้ตวัดมองนางอย่างไม่พอใจ จ้าวเยี่ยนฟางไม่ทันได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหวงตงหยางเดินมาหานางตั้งแต่ตอนไหน เหตุใดเขาถึงมายืนอยู่ตรงนี้.."ทำไมข้าต้องกลับกับท่าน" นางเอ่ยถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ จู่ ๆ หวงตงหยางเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา"ข้าบอกให้กลับจวนกับข้า" เสียงทุ้มของเขามีร่องรอยสะกดกลั้นอารมณ์ หวงตงหยางคว้าข้อมือเล็กของนางพร้อมออกแรงดึงให้นางลุกขึ้น อันที่จริงเขาเห็นนางตั้งแต่นางเดินเข้ามานั่งตรงนี้แล้ว เพียงแต่ว่าเขามิได้ใส่ใจก็เท่านั้น"ปล่อยนะ ข้าบอกให้ปล่อยไง" จ้าวเยี่ยนฟางขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ เขาถือดีอย่างไรมากระชากแขนคนอื่นตามใจชอบ ทุกแรงกระชากของเขา ไม่มีความเบามือเลยสักนิด นี่หวงตงหยางยังเห็นนางเป็นคนอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงได้ใจร้ายกับนางนัก"หวงตงหยาง ข้าเจ็บนะ ปล่อยข้า.. บอกให้ปล่อยไง!!!" นางตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธขึ้ง ที่ผ่านมานางก็พยายามอยู่ในที่ของตน ไม่ไปก่อเรื่องให้เขาต้องขุ่นเคืองใจ แต่เหตุใดเขาถึงเป็นฝ่ายมาก่อเรื่องให้นางรำคาญใจเสียเอง"นี่ท่านเป็นใคร ถึงได้มาบังคับให
"ท่านจงสัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่มีวันคิดทำร้ายหรือสังหารข้า นี่คือเรื่องเดียวที่ข้าอยากขอร้องท่าน"นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและแววตาแฝงไปด้วยความสั่นไหว บอกตามตรงว่านางหวาดกลัวโลกใบใหม่แห่งนี้เหลือเกิน เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ชะตาชีวิตของนางถูกกำหนดไว้แล้ว ด้วยปลายปากกาของคนเพียงหนึ่งมันเป็นโลกของนิยายที่นักเขียนได้สร้างขึ้นมาให้ จ้าวเยี่ยนฟาง ถูกสามีที่นางรักยิ่งกว่าสิ่งใด ลงมือสังหารนางได้อย่างเลือดเย็น..หวงตงหยางมองหน้าภรรยาที่เขานั้นแสนจะเกลียดชังด้วยความรู้สึกบางอย่าง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน การที่ภรรยามาขอร้องเขาว่าอย่าสังหารนาง สำหรับสามีแล้ว เขาควรรู้สึกอย่างไรดีนี่เขาชั่วช้าในสายตานางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ.."ได้สิข้าสัญญา"หวงตงหยางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ แววตาของเขาวูบไหวเพียงครู่หนึ่งก่อนจะกลับมานิ่งเฉยดังเดิม หรือว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ในวันนั้น.. นางถึงได้แปลกไปจากเดิมหลังจากวันนั้น แม่ทัพหวงตงหยางก็สั่งยกเลิกการกักบริเวณฮูหยิน เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจ้าวเยี่ยนฟางจะรักษาสัญญาที่เคยพูดไว้เป็นอย่างดี นอกจากการมาขอให้เขาช่วยตรวจสอบบัญชีการใช้จ
จ้าวเยี่ยนฟางนั่งอยู่เพียงลำพังเช่นนั้นราวสองเค่อ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของหวงตงหยางว่าจะกลับมา ถึงเขาจะเกลียดชังนางอย่างไร แต่เขาคงไม่ได้จะทิ้งนางไว้ที่นี่หรอกใช่หรือไม่..บัดนี้นางรู้สึกเวียนหัวมากขึ้นกว่าตอนแรก สงสัยว่านางคงไข้ขึ้นเสียแล้ว หวงตงหยางจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่ตอนนี้นางอยากกลับจวนเต็มทน แต่ก่อนจะกลับ อย่างไรก็ต้องไปตามหาหวงตงหยางเสียก่อน หากเขายังอยากใช้เวลาอยู่กับแม่นางเหริน นางก็จะปล่อยเขาไว้ที่นี่ แล้วกลับจวนสกุลหวงไปคนเดียวจ้าวเยี่ยนฟางตัดสินใจเดินออกมาข้างนอกเพื่อตามหาหวงตงหยาง ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อย ๆ พัดพากลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยล่องมาตามสายลม พระตำหนักแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ที่หายลได้ยากยิ่ง สมกับเป็นพระที่นั่งขององค์ฮองเฮา"ข้าก็คิดอยู่ว่า ผู้ใดออกมายืนอยู่คนเดียวเช่นนี้ ที่แท้..ก็หวงฮูหยินนี่เอง" น้ำเสียงเย้ยหยันดังขึ้นจากทางด้านหลัง จ้าวเยี่ยนฟางหันกลับไปยังทางต้นเสียงก็พบกับคุณหนูจากตระกูลขุนนางสามคนในความทรงจำที่ปรากฎ หนึ่งในคุณหนูเหล่านี้มีสตรีคนหนึ่งเคยตามเกี้ยวหวงตงหยาง ตั้งแต่ตอนที่นางและเขายังไม่ได้แต่ง
ถนนเทียนหนิงวันนี้จ้าวเยี่ยนฟางซื้อของมากมายทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ นางรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ซื้อของตามที่ใจตนอยากได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเงินถุงเล็ก ๆ แค่นี้จะซื้อของได้มากมายถึงเพียงนี้เงินนี่ดีจริง ๆ ข้ารักเงินที่สุดเลย!"คุณหนู ท่านอยากจะแวะไปที่ไหนก่อนหรือไม่เจ้าคะ" ถิงถิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย นาน ๆ ทีคุณหนูจ้าวจะออกจากจวน จะให้กลับไปทั้งอย่างนี้เลยก็เป็นที่เสียดายน่าดู"อืม..ข้าอยากไปร้านที่มีจิตรกรวาดรูปน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ไหน" หากชาตินี้นางสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระได้ นางก็อยากจะทำในสิ่งที่นางรัก อย่างเช่นการวาดรูป ในชีวิตก่อนนางต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือและเรียนพิเศษ จึงทำให้ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ตนชื่นชอบ"คุณหนูอาจจะมิได้สังเกต แต่ที่ถนนเทียนหนิงมีอยู่ที่หนึ่งนะเจ้าคะถึงมันจะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ตาม คุณหนู..ท่านอยากซื้อภาพวาดหรือเจ้าคะ""ใช่ และข้าก็อยากซื้อผืนผ้ามาวาดรูปด้วย" นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ครั้งสุดท้ายที่นางได้จับพู่กันระบายสี มันตอนไหนกันนะถิงถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หากคุณหนูจะแวะไปซื้อภาพวาด นางก็พอเข้าใจได้ แต่คุณหนูบอกว่าจะซื้อผืนผ้ามาว
รถม้าเคลื่อนตัวมาจอดบริเวณหน้างานเทศกาลเซี่ยหยวน หวงตงหยางก้าวเท้าลงมาจากรถม้าอย่างองอาจ พลางยื่นมือมาทางนางอย่างใส่ใจโดยที่เขามิต้องเอ่ยสิ่งใดออกมา ดวงตาคู่งามมองฝ่ามือนั้นสลับกับใบหน้าหน้าหวงตงหยางที่แย้มยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ ก่อนตัดสินใจยื่นมือเรียวนุ่มประกบเข้ากับฝ่ามือหนา ก้าวลงจากรถม้าอย่างสง่างามและมั่นคง"ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ" ใบหน้าสวยแย้มยิ้มสดใสเอื้อนเอ่ยเสียงหวาน อบอุ่นใจกับการกระทำที่ใส่ใจของหวงตงหยาง รอยยิ้มที่มีเสน่ห์แสนหายากของเขานั้นทำให้ใจนางสั่นไหวได้ไม่ยาก"เราเข้าไปข้างในกันเถิด" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชวน ก่อนสาวเท้าเดินนำไปยังข้างหน้าโดยที่ฝ่ามือหนานั้นก็มิได้ปล่อยมือจากนาง ยังคงจับและประสานกันไว้อย่างหลวม ๆ เดินเข้างานอย่างไม่เร่งรีบ จ้าวเยี่ยนฟางมองมือของตนที่ถูกกอบกุมก็พลันหน้าแดงความรู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วอก ยิ่งมองแผ่นหลังกว้างดูองอาจสง่างามน่าอิงแอบพิงซบก็ยิ่งทำให้ใจไหวหวั่น ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่ความเขามีอิทธิพลกับหัวใจนางเช่นนี้ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความครึกครื้น มีร้านค้าตั้งเต็มทั้งสองข้างทางโดยเว้นช่วงกลางไว้สำหรับประชาชนที่เข้ามาชมงานได้เดินอย่างสะดวก ทา
สายลมเย็นพัดพากลิ่มหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้อบอวลไปทั่วบริเวณ เสียงนกร้องประสานกับเสียงใบไม้ที่ปลิวไหวไปตามสายลม สร้างความรู้สึกสดชื่นและสบายใจ ภายในศาลาริมน้ำนั้นมีร่างเล็ก ๆ ของสตรีนางหนึ่งที่กำลังจดจ่ออยู่กับการตวัดปลายพู่กันวาดรูป ผมยาวสลวยของนางรวมถึงอาภรณ์สีชาดก็พลิ้วไหวไปตามแรงลม หากผู้ใดได้เห็นก็ต้องหยุดนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด นางแนบเส้นผมไว้หลังใบหูอย่างประณีต โดยที่ทุกการกระทำของนางนั้น ถูกสายตาล้ำลึกคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ตลอดเวลาแม้นกระทั่งยกชาขึ้นจิบ ก็มิอาจละสายตาจากมือเรียวงามของนางได้เลยนางหันมาแย้มยิ้มให้กับเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับผลงานของตนต่อ โดยที่นางหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มเล็ก ๆ ของนางนั้นทำให้หัวใจใครบางคนเต้นโครมคราม"ชาเริ่มเย็นลงแล้ว เจ้ามาดื่มสักหน่อยเถิด" หวงตงหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนสุดจะเปรียบ เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเยี่ยนฟางจึงวางพู่กันลงอย่างเบามือ ก่อนจะหันมาร่วมดื่มชากับเขา ซึ่งบนโต๊ะกลางศาลาริมน้ำนั้น มีแต่ชาและขนมที่นางโปรดปรานราวกับว่าเขาตั้งใจเตรียมมาไว้ให้ จ้าวเยี่ยนฟางนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่มีหวงตงหยางคอยรินชาให้อยู่เรื่อย ๆน
"จากนี้ไปเจ้าพูดกันเองกับข้าก็ได้ อย่างไรเราก็เป็นสามีภรรยากัน"หวงตงหยางพูดขึ้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว พลางใช้ตะเกียบคีบผักเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ กินอย่างสบายใจเหมือนกันแต่ทว่าคนฟังนั้นกลับรู้สึกสับสนวุ่นวายใจ นางเป็นเพียงแค่ภรรยาในนามของเขามิใช่หรือ ทั้งที่ปกติแล้ว แม้แต่ใบหน้าของนาง เขาก็ยังไม่อยากมอง จู่ ๆ จะมาให้นางพูดจาเป็นกันเองด้วย จะมิให้นางตกใจได้อย่างไร"เจ้าตกใจอะไรขนาดนั้น เราเป็นสามีภรรยากัน พูดคุยกันอย่างกันเองก็ไม่มีอะไรแปลกนี่""มันแปลกเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้แม้แต่หน้าข้า ท่านก็ยังไม่ชายตามอง จู่ ๆ จะให้คุยแบบกันเอง มันจะไม่แปลกได้อย่างไรเจ้าคะ" นางขมวดคิ้ว แย้งคำพูดของเขาเสียงแผ่วตลอดเวลาที่ผ่านมา นางมิเคยคาดหวังให้หวงตงหยางมาทำดีด้วย และมิเคยคาดหวังให้เขามาสนใจ ไม่ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด หรือ อยากไปรักกับผู้ใด นางก็จะมิเข้าไปขัดขวาง ขอเพียงแค่หวงตงหยางไม่สังหารนางเหมือนในต้นฉบับ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง แต่เพราะเหตุใดจู่ ๆ หวงตงหยางก็เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ เขามิใช่คนที่จะมาชวนนางร่วมโต๊ะอาหาร และมิใช่คนที่จะคีบผักใส่ถ้วยของนางด้วยเช่นกัน หวงตงหยางในตอนนี้ มักพูดและทำในสิ่
หวงตงหยางมุ่งหน้าไปยังอาชาสีนิลของตน เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี วันนี้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวายไปหมด ทั้งที่เคยเกลียดชังจ้าวเยี่ยนฟางปานนั้น ก็ยังคิดถึงใบหน้าของนางอยู่ได้ ในเมื่อนางไม่หายไปจากสมองสักที เขาก็จะไปหานางเองขณะหวงตงหยางกำลังกุมบังเหียนอาชาคู่ใจมุ่งหน้ากลับไปยังจวนสกุลหวงเพื่อที่จะไปพบกับฮูหยินของตน ในใจก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า จะไปหานางด้วยเรื่องอะไร มีเหตุผลใดเขาจึงต้องไปหานางกัน เขาคิดเช่นนั้นมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าจวนสองเท้ากระโดดลงจากอาชาอย่างมั่นคง ทหารยามที่เข้าเวรอยู่ ณ.ขณะนั้นจึงเป็นคนเอาม้าไปเก็บให้ผู้เป็นนาย หวงตงหยางเดินหน้าแดงก่ำไปยังที่พำนักของฮูหยิน ตอนนี้เขามาหยุดอยู่หน้าเรือนของสตรีที่เขาเคยเกลียดที่สุด ภายในใจสับสนวุ่นวายตีรวนกันไปหมด ทำไมข้าถึงได้ถ่อมาถึงที่นี่กันนะ หากข้าได้เจอหน้านาง ความรู้สึกวุ่นวายในใจนี้จะหายไปหรือไม่"ฮูหยินอยู่ที่ใด" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามบ่าวไพร่คนหนึ่งที่คอยรับใช้อยู่ในเรือนจงหยุน"เรียนท่านแม่ทัพ ฮูหยินกำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมสระบัวเจ้าค่ะ"หวงตงหยางพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังศาลาริมสระบัว ซึ่งตอนนี้มีร่า
"ไหน ๆ ฮูหยินที่เจ้าจงเกลียดจงชัง ก็ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว เจ้าควรมีสีหน้าที่ดีกว่านี้สิ หรือว่า..เจ้าคิดถึงนาง!""แค่กๆๆ นี่เจ้า! จะพูดอะไรก็ช่วยคิดก่อนพูดได้หรือไม่ ข้าเนี่ยนะ จะไปคิดถึงนาง เหอะ! สตรีร้ายกาจเช่นนั้น ข้าไม่..คิดถึงนางหรอก หายไปได้ก็ดีแล้ว" หวงตงหยางถึงกับสำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่สหายของตนพูดออกมาเขาคิดถึงนางอย่างนั้นหรือ.. เป็นไปไม่ได้หรอก เขาเพียงแค่เคยชินที่นางคอยมาทำแผลให้ก็เท่านั้น"งั้นหรือ..แต่ข้ารู้สึกคิดถึงนางนะ" หลงโม่โฉวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พลางยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม ครั้งล่าสุดที่เขาพบกับจ้าวเยี่ยนฟาง ก็ตั้งแต่ในร้านขายภาพวาด อีกทั้งตอนนั้นนางยังวิ่งมาสวมกอดเขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนเขาเองยังรู้สึกสงสารต้องยอมรับว่านางงดงามแม้กระทั่งตอนที่ร้องไห้ น้ำตาไหลอาบหน้า เขาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดหวงตงหยางจึงจงเกลียดจงชังนางนัก"เจ้ากำลังคิดถึงภรรยาของข้าอยู่นะโม่โฉว" หวงตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังมีศักดิ์เป็นฮูหยินของเขา ถึงจะรู้ว่าหลงโม่โฉวเพียงพูดเล่น แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่"เจ้ากินน้ำส้มสายชูอย่างนั้นหรือ..ก่อนหน้านี้เ
จ้าวเยี่ยนฟางเดินมาหยุดที่หน้าเรือนของหวงตงหยางเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ทว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ที่นางจะมารักษาให้เขา เพราะบาดแผลของเขานั้นเกือบหายดีแล้ว ตัวนางเองก็คงหมดหน้าที่แล้วเช่นกันอาจเป็นเพราะว่าหวงตงหยางเป็นคนฝึกยุทธ์ บาดแผลจึงสมานได้ไวกว่าคนปกติ นางนึกหัวเราะอยู่ในใจ คนที่มีวิทยายุทธ์อย่างนั้นหรือ.. ความคิดนี้มาจากคนที่เคยเรียนแพทย์อย่างนางได้อย่างไรกัน นางคงจะคุ้นชินกับโลกใบนี้เสียแล้วล่ะ"ข้าคิดว่าแผลของท่านเกือบจะหายดีแล้ว พักดื่มยาอีกสองสามวันคงหาย" นางพูดขึ้นในขณะที่กำลังก้มหน้าเก็บอุปกรณ์ทำแผลเช่นเดิมแต่ขณะที่นางจะลุกขึ้นเพื่อเอาของไปเก็บ เขากลับเรียกนางเอาไว้ หวงตงหยางจมอยู่ในห้วงความคิดของตนอยู่นาน เหตุใดเขาถึงรู้สึกวูบโหวง ใจหายแปลก ๆ เพียงแค่คิดว่านางจะไม่มาหาอีก มันเป็นความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่เขาเคยเกลียดชังนางถึงขั้นไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากเข้าใกล้ แต่กลับเฝ้ารอให้นางมาหา และรู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อนางกลับไป"เจ้าหมายความว่า หากข้าหายดีแล้ว เจ้าก็จะไม่มาที่นี่อีกใช่หรือไม่" น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงความนัยลึกซึ้ง สายตาที่ทอดมองนางก็ยิ่งลึกล้ำจ
อันที่จริงใช่ว่านางจะหลงใหลหวงตงหยางเหมือนจ้าวเยี่ยนฟางคนเก่า แต่นางเพียงไม่ชอบให้ใครมาพูดจาถากถางใส่เช่นนี้ หากไม่ชอบนาง ก็แค่เดินผ่านไปตั้งแต่แรกเสียก็จบ ไม่รู้ว่าจะมาทำตัวปากยื่นปากยาวใส่นางไปทำไมกัน"ข้าน่ะรู้สึกสงสารฮูหยินจับใจเลยนะเจ้าคะ" แม้ว่าเหรินหลานเฟิงจะทำเป็นตีหน้าเศร้า แต่แววตาของนางหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางคงจะเก่งในการพูดให้ผู้อื่นโมโหมากเลยสิท่า ถึงว่าล่ะจ้าวเยี่ยนฟางคนก่อนถึงได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตี เจ็บตัวเล็กน้อยแต่ได้หัวใจของพระเอกมาครอง หึ ช่างน่าขันยิ่งนักเจ้าก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่แม่นางเหรินแต่วิธีของเจ้าใช้ไม่ได้กับจ้าวเยี่ยนฟางคนนี้หรอกนะ ถ้าเหงาปากนักละก็ นางจะอยู่คุยเป็นเพื่อนให้ก็ได้"ตัวข้านี้ มีเรื่องอะไรให้คุณหนูจากสกุลเหรินมาสงสารกันล่ะ" เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว ตัวของจ้าวเยี่ยนฟางเองก็นับว่าเหนือกว่าเหรินหลานเฟิงในทุก ๆ เรื่อง ทั้งฐานะทางสังคม ทรัพย์สินเงินทอง หรือกระทั่งรูปร่างหน้าตา จ้าวเยี่ยนฟางนั้น มิมีสิ่งใดที่ด้อยกว่าคุณหนูจากสกุลเหรินเลยแม้แต่น้อยเหรินหลานเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา แววตามีความสะกดกลั้นอารมณ์อยู่ไม่น้อย นิ้ว
ตอนนี้นางช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากเสียจริงหวงตงหยางคิดอยู่ในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ ถึงจะไม่อยากยอมรับว่าเขาสนใจเรื่องของนาง แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้จ้าวเยี่ยนฟางเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆหลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดูเหมือนจะดีขึ้น ทั้งหวงตงหยางและจ้าวเยี่ยนฟางต่างก็มีเรื่องต่าง ๆ มาพูดคุยกัน เพื่อแก้เบื่อ หวงตงหยางเริ่มพูดกับนางมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเจียวมิ่งองครักษ์ส่วนตัวของเขาถึงกับอมยิ้มเวลามองมาที่เขาและนางจ้าวเยี่ยนฟางมักจะถามเขาถึงเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาเคยไปออกรบว่าเป็นอย่างไรบ้าง ครั้งแรกที่เขาจับดาบตอนอายุเท่าไหร่ หรือกระทั่งเรื่องการฝึกยุทธ์ วิชาตัวเบาต่าง ๆ นางล้วนนั่งฟังอย่างตั้งใจหวงตงหยางเหลือบเห็นสายตาของนางที่มองมาที่เขาด้วยความชื่นชมตลอดเวลาที่เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟัง"เจ้าถูกใจเรื่องที่ข้าเล่าหรือ" เขาเอ่ยถามออกไปด้วยความแปลกใจ เรื่องของทหาร เรื่องของดาบ น้อยนักที่สตรีใต้หล้านี้จะใคร่รู้และอยากฟังเรื่องราว แต่ว่านางกลับนั่งฟังอย่างตั้งใจ อีกทั้งท่าทีก็ดูตื่นเต้นและสนุกสนานกับเรื่องเล่าของเขาการได้พูดคุยกับสตรีที่ชื่
"ช่วงนี้ข้าจะมาทำแผลให้ท่านทุกวันจนกว่าจะหายดี ถึงท่านจะไม่อยากเห็นหน้าข้าก็ช่วยอดทนหน่อยนะเจ้าคะ ขอเพียงข้ารักษาท่านเสร็จ ข้าจะไม่มารบกวนท่านอีก""ได้" เขาตอบกลับเสียงเรียบ สีหน้าและแววตาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด ๆ จ้าวเยี่ยนฟางได้แต่ฝืนยิ้มให้กับเขา เหตุใดนางถึงรู้สึกเศร้าเช่นนี้ ทั้งที่นางไม่ได้คิดอะไรกับเขาด้วยซ้ำ"วันนี้ข้าทำข้าวต้มทรงเครื่องมาให้ท่านด้วยล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้เจียวมิ่งนำไปอุ่นมาให้ท่านนะเจ้าคะ"หวงตงหยางไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาทำเพียงแค่มองดูนางทำนั่นทำนี่ก็เท่านั้น นางเก็บอุปกรณ์ทำแผลเสร็จเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นและยกสำรับที่เย็นชืดแล้วไปให้เจียวมิ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกลับกะละมังใส่น้ำ และผ้าสะอาดผืนหนึ่ง"เจ้าจะทำอะไร""เช็ดตัวให้ท่านไงเจ้าคะ ดูเหมือนว่าท่านจะมีไข้ด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะทำแผลให้ท่านเสร็จแล้ว ก็ใช่ว่าไข้จะลดลงไปด้วย ท่านต้องเช็ดตัวเพื่อลดไข้ด้วยนะเจ้าคะ" นางตอบเขาไปอย่างไม่คิดอะไร แต่ทว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงกลับคิดไปไกล เช็ดตัวให้ก็ต้องเปลื้องผ้า หรือที่จริงแล้ว จ้าวเยี่ยนฟางอยากถือโอกาสที่เขาป่วยเพื่อหลอกกินเต้าหู้เขากันเมื่อเห็นว่าเขาทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ นางก็ถึ