#ประเทศไทยพอลงเครื่องคุณเหนือก็ให้ลูกน้องมาส่งฉันที่คอนโด ส่วนตัวเขามีงานต้องจัดการต่อ ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ ฉันเองก็แปลกใจว่าคุณเหนือมีงานอะไรเวลานี้ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ไม่กล้าเอ่ยถามอะไรออกไปสมองของฉันในตอนนี้มันเอาแต่คิดสงสัยว่าผู้ชายคนนั้นที่เจออยู่สนามบินเขาเป็นใคร เหมือนคุณเหนือกับเขาจะไม่ถูกชะตากันเท่าไหร่เมื่อกลับมาประเทศไทยแล้วฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นว่าพราวโทรมาหาฉันนับร้อยสาย ข้อความเด้งเข้าเครื่องรัวๆ รวมทั้งเบอร์ของพี่เพชรด้วย ฉันก็ลืมบอกพราวว่าไปต่างประเทศ เธอคงจะเป็นห่วงที่โทรหาไม่ติดถึงได้โทรมาหลายสายขนาดนี้ฉันกดเบอร์พราวแล้วโทรออก รอสายไม่นานเธอก็รับ( วารินแกหายไปไหนมาทำไมเพิ่งโทรกลับ ) พอรับสายพราวก็ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง( ฉันไปเยี่ยมนาลินที่ต่างประเทศมาน่ะ ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อนนะ ) ( ตะ ต่างประเทศเลยเหรอ หูย! ฉันอิจฉาแกจัง ไปกับใคร )( แกว่างหรือเปล่าพราว ฉันอยากไปหาแก )( ว่างสิ ฉันอยู่บ้านมาได้เลย ) ( โอเคฉันจะไปตอนนี้ แค่นี้ก่อนนะ ) ฉันกดวางสายจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่จะไปหาพราวก็เพราะว่าฉันอยากจะระบาย ‘เรื่องคุณเหนือ’ ฉันอยากจะพูด
อะไรกัน ฉันคิดว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วซะอีกเรื่องพี่เพชร เพราะในตอนนั้นฉันยืนยันน้ำเสียงหนักแน่นว่ามันไม่มีอะไร คุณเหนือก็ทำเหมือนเชื่อ แล้วทำไมตอนนี้คุณเหนือถึงได้พูดแบบนี้ออกมาอีก“พี่เพชรไม่อยู่บ้านค่ะ รินไปหาพราวคุยกันไม่นานรินก็กลับ”“ไม่เถียงแปลว่าเธอยอมรับว่าแอบคบชู้กับมัน”“เปล่านะคะ รินไม่ได้ยอมรับ” สายตาของคุณเหนือจ้องเขม็งมายังใบหน้าของฉันอย่างคาดคั้น “รินก็แค่อธิบายให้ฟัง”พอพูดจบฉันก็ซบหน้าลงบนแผงอกแกร่งเพื่อออดอ้อนหวังว่าเขาจะใจเย็นลง และมันก็ได้ผล“ถ้าเธอจะไปไหนต่อไปนี้ให้รายงานฉัน ฉันจะให้ลูกน้องพาเธอไป”“ค่ะ ต่อไปนี้รินจะรายงานคุณเหนือทุกอย่าง”คุณเหนือดันตัวฉันออก เขาจับปลายคางของฉันให้เงยหน้าขึ้นแล้วจ้องลึกเข้ามา ก่อนจะถาม “อ้อนฉันขนาดนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ?”“รินไม่อยากได้อะไรเลยค่ะ รินแค่ไม่อยากถูกคุณเหนือดุ”“ถ้าเธอทำตัวดีกับฉัน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะถูกดุ”“รินก็ทำตัวดีทุกครั้งนี่คะ…”“แต่ท่าทางไร้เดียงสาของเธอมันขัดใจฉัน”“เหตุผลนี้เหรอคะที่ทำให้คุณเหนือชอบไม่พอใจริน”“อยากให้ฉันพอใจในตัวเธอมากขนาดนั้น ?” คุณเหนือโน้มใบหน้ามาใกล้ๆ มันทำให้ฉันเริ่มทำอะไรไม่ถูก“
คุณเหนือเงียบเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน คิ้วหนาขมวดชนกันและเอาแต่จ้องมองใบหน้าของฉันอยู่อย่างนั้น“ระ รินจะไปล้างตัวค่ะ” ฉันใช้มือดันแผงอกแกร่งให้ออกห่าง แต่คุณเหนือกลับไม่ยอมลุกขึ้นไปไหน“ฉันไม่ได้บอกผิดคน ฉันก็แค่ลืมว่ายังไม่ได้ซื้อให้เธอ”“ไม่เห็นต้องแก้ตัวเลยนี่คะ”“แก้ตัว ?”ฉันเบือนหน้าหนี ก่อนจะพูด “คุณเหนือมีผู้หญิงหลายคน ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะจำผิดคน”ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดลงมาบนพวงแก้มของฉัน ก่อนที่เสียงทุ้มเข้มจะเอ่ยขึ้น “ฉันไม่เคยสดกับผู้หญิงคนไหน นอกจากเธอ” มันยากที่จะเชื่อคำพูดที่เพิ่งออกมาจากปากของเขา จะให้ฉันเชื่อได้ยังไง เพราะกับฉันเขาแทบจะไม่ป้องกันเลย“ทำหน้าแบบนี้แปลว่าไม่เชื่อที่ฉันพูด ?” ไม่ถามเปล่า คุณเหนือใช้มือจับปลายคางของฉันให้หันหน้ามาหาตัวเอง“ไม่เห็นต้องอธิบายเลยค่ะ รินเป็นแค่นางบำเรอ”“อื้ม! นั่นสิฉันไม่จำเป็นต้องอธิบาย” แววตาของคุณเหนือเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดริมฝีปากหนากดทับลงมาบนริมฝีปากของฉันพร้อมกับบดขยี้จูบอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกถึงความชาหนึบบนริมฝีปาก“อื้อ” ฉันร้องประท้วงในลำคอเมื่อคนด้านบนป่าเถื่อนจนเกินไปไม่เพียงแต่ทำรุนแรงขึ้น คุณเหนือยังเริ่มขยับเอวส
ฉันมองหน้าคุณเหนือ นี่เขาต่อว่าฉันอีกแล้วนะ ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่เอาเอกสารมาวาง พี่เอกก็แค่ถามชื่อ ฉันตอบกลับนี่แปลว่าอ่อยอย่างนั้นเหรอ“ออกไป ฉันจะคุยธุระ!!”“คุณเหนือไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยครับ ดูสิรินกลัวจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว”“ขะ ขอตัวก่อนนะคะ”ฉันรีบเดินหนีออกมาเมื่อถูกสายตาเขม็งของคุณเหนือจับจ้องมอง“ริน”“อ้าวพี่เอมสวัสดีค่ะ” ฉันกำลังจะเข้าลิฟต์ เจอกับพี่เอมพอดี“รู้สึกเหมือนไม่ได้เจอรินหลายวันเลยนะเนี่ย ตั้งแต่รินย้ายแผนกไป”“รินเพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมน้องสาวด้วยค่ะ”“แล้วน้องสาวเป็นไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง”“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ^_^” ฉันพูดพร้อมกับเดินเข้าลิฟต์พร้อมพี่เอม“อย่าไปสนใจปากพวกพนักงานในบริษัทเลยนะ” พี่เอมพูดขึ้นหลังจากที่เราเข้ามาในลิฟต์กันแล้ว แถมยังพูดเหมือนรู้เรื่องของฉันกับคุณเหนือ ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะถามอะไรต่อ“ไม่ต้องคิดว่าพี่จะเป็นแบบคนพวกนั้นหรอกนะ และพี่ก็จะไม่ถามว่าอะไรเป็นอะไร เพราะมันเรื่องส่วนตัวของริน”“ขอบคุณพี่เอมมากนะคะ ^_^”พี่เอมพยักหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์เปิดออกพอดี ฉันจึงเอ่ยลาพี่เอมแล้วเดินแยกตัวมายังโต๊ะทำงานมันรู้สึกดีใจ ดีใจที่
“ขอตัวนะคะ” ฉันตัดสินใจเดินเลี่ยงมาอีกทาง“แล้วเธอจะเสียใจที่เลือกอยู่กับมัน” เขาพูดตามหลัง ฉันเองพยายามไม่สนใจ รีบเดินเข้าลิฟต์ฉันไม่รู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรที่มาพูดแบบนั้น และฉันก็กล้าพูดเลยว่านอกจากคุณเหนือแล้วฉันจะไม่ยอมขายตัวให้ใครอีก ที่ฉันทำเพราะความจำเป็น ไม่ใช่ต้องการขายตัวเพื่อแลกกับเงิน#ภายในห้องฉันล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ ไม่รู้เอาไปไว้ไหน จึงตัดสินใจลงมาดูที่รถอีกครั้งเผื่อจะลืมไว้ แต่ก็ไม่เจอ จึงกลับมาหาในห้องเผื่อจะวางไว้แล้วลืม“ไปทำหายไว้ที่ไหนนะ”ฉันนั่งคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออก ถ้าหาจนทั่วแล้วไม่เจอก็คงจะลืมไว้ที่บริษัทฉันล้มเลิกความคิดที่จะตามหาโทรศัพท์ จากนั้นก็เข้าห้องมาอาบน้ำหลังจากที่อาบน้ำเสร็จก็มาทำอาหารกินเสร็จแล้วฉันก็นั่งดูทีวีต่อสักพัก แล้วเข้านอนไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ ฉันสะดุ้งตื่นจากแรงกระชากที่แขนอย่างรุนแรง แขนมันแทบจะหลุดออกมาจากบ่าเลยก็ว่าได้ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไฟในห้องถูกเปิดสว่าง แต่เห็นว่าคนที่มากระชากแขนฉันจนมันแทบจะหลุดคือคุณเหนือ“คุณเหนือ”“มันอยู่ที่ไหน!!” จู่ๆ คุณเหนือก็ตวาดถามเสียงดัง ทำเอาฉันที่เพิ่งตื่นนอนถึงก
ฉันร้องไห้อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งน้ำตามันค่อยๆ แห้งเหือดหายไป พราวถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูด “คุณเหนือใช่ไหม เขาคงทำให้แกลำบากใจมาก”“เขากดดันฉันหลายอย่าง จนฉันแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง”“แกตัดสินใจไปแล้วคงทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทนนะริน”“……”“ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้แกรู้สึกดีขึ้น ในเมื่อหนีไม่พ้นแกก็ต้องยอมจำนนแบบนี้ต่อไป”“ขนาดกับพี่เพชรเขายังสั่งห้ามไม่ให้ฉันยุ่ง”พราวทำหน้าไม่เชื่อ “จริงเหรอริน แล้วแกได้บอกไหมว่าพี่เพชรคือพี่ชายของเพื่อน”“ฉันบอกไปแล้ว แต่เขาไม่ฟัง”“เฮ้อ! ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้”“แล้วที่ฉันทนไม่ไหวจนต้องมาหาแกวันนี้ก็เพราะว่าคุณเหนือโทรหาฉันแล้วมีผู้ชายรับสาย ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าไปทำโทรศัพท์ตกหายไว้ที่ไหน แล้วเขาก็ไม่ฟังอะไรเหมือนเดิม”“โหย! เกินไปแล้วนะ แบบนี้น่ะ”“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงอึดอัด ชีวิตฉัน มันไม่ใช่ของฉันตั้งแต่คุณเหนือเข้ามา”“ฟังแกพูดแล้วฉันก็แอบคิดนะว่าคุณเหนือจะชอบแก”“ไม่หรอก แกจะบ้าหรือไงพราว”“เขาดูหวงแกออกนอกหน้ามากไปนะฉันว่า มันเหมือนไม่ใช่แค่ข้อตกลงบ้าๆ ที่แกเล่ามา เหมือนคุณเหนือรู้สึกมากกว่านั้น”ตึกตัก! ตึกตัก! หัวใจดวงน้อยของฉันมันเต้นรัวเมื่อได้
คุณเหนือดึงฉันให้เดินตามเขามาที่โซฟา ก่อนจะกดตัวฉันให้นั่งลงแล้วออกคำสั่ง “นั่งตรงนี้ห้ามลุกขึ้นไปไหน”พูดจบแล้วเขาก็เดินกลับไปที่โต๊ะทำงานค้นหาอะไรอยู่สักอย่าง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าคุณเหนือคิดจะทำอะไร ได้แต่นั่งนิ่งๆ ทำตามคำสั่งของเขาไม่นานคุณเหนือก็เดินกลับมาพร้อมอะไรบางอย่างในมือ มันเป็นหลอดคล้ายยาสีฟันแต่ไม่ใช่คุณเหนือเดินมานั่งลงข้างๆ กับฉันแล้วพูด “เอามือมา”ฉันได้แต่นิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่ง ทำให้คนข้างๆ พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะดึงมือฉันไป แถมยังจับตรงที่ฉันถูกน้ำกาแฟลวกอีกต่างหาก การเสียดสีทำให้ฉันเจ็บและร้องอุทานออกมา“โอ๊ย~”“เจ็บแล้วจะเล่นตัวทำไม” คุณเหนือถามเสียงดุ ฉันไม่ได้เล่นตัวสักหน่อยพอดึงมือฉันไปแล้วคุณเหนือก็บีบเจลใสๆ ในหลอดลงบนมือของฉัน จากนั้นเขาก็ถูวนไปมา เจลนี้ทำให้ฉันรู้สึกเย็น และมันก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอนแรกฉันมองหน้าคุณเหนือที่กำลังตั้งใจถูเจลบนมือของฉันอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาทำให้แบบนี้ และนี่คือครั้งแรกที่ฉันถูกสายตาที่เหมือนจะเป็นห่วงของเขาจ้องมอง“เรื่องเมื่อวานฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย” เมื่อความเงียบเข้ามาปกคลุม คุณเหนือก็พูดขึ้นมา“….ค่ะ”
“ใครวะ! เดี๋ยวพี่ไปถามเขาก่อนว่ามาหาใคร” พี่เพชรทำท่าจะลุกขึ้นไปหาคุณเหนือที่กำลังเดินมา เห็นแบบนั้นฉันจึงรีบห้ามไว้ “ไม่ต้องหรอกค่ะ”“รินรู้จัก ?” พี่เพชรถามอย่างแปลกใจ“…..” ฉันจะตอบยังไงดี จะบอกว่าคุณเหนือคือเจ้านายที่บริษัทพี่เพชรจะสงสัยไหมว่าเขาตามมาที่นี่ทำไม “รู้จักค่ะ”ฉันตอบไปแค่นั้นไม่ได้ขยายความอะไรต่อ และในตอนนี้คุณเหนือก็เดินมาหยุดที่โต๊ะแล้วด้วย สายตาอำมหิตของเขาจ้องหน้าพี่เพชรอย่างหาเรื่อง รวมทั้งฉันด้วย“ริน อย่าบอกนะว่านี่คือ….” พราวมองหน้าคุณเหนือก่อนจะหันมาตั้งคำถามกับฉัน ฉันจึงพยักหน้าแทนคำตอบเพราะรู้ว่าพราวหมายถึงอะไร“เขาเป็นใครเหรอริน” พี่เพชรที่ยังงุนงงอยู่ก็ได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง“เขาคือ….”“ฉันคือเจ้าของชีวิตของวาริน” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบ เสียงของคุณเหนือก็ดังขึ้นมาซะก่อน และคำว่า ‘เจ้าของชีวิต’ มันก็ทำให้ฉันสะอึกจนพูดอะไรไม่ออก“หมายความว่ายังไงริน”“……” ฉันได้แต่กำมือแน่นจนมันเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรกับพี่เพชร ฉันพลาดเอง พลาดที่เลือกจะมาค้างที่บ้านพราวในวันนี้“เธอคงไม่เคยพูดว่าฉันเป็น….”“คุณเหนือคะ!!” ฉันลุกขึ้นยืนทำให้คุณเหนือเงียบไป
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ