ตอนนี้ฉันกลัวเขาจนตัวสั่น แต่ก็ยังอยากจะอธิบายว่าเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสงสัย“ฟะ ฟังรินก่อนได้ไหมคะ” ฉันยกมือขึ้นมารั้งมือของคุณเหนือ ที่กำลังบีบปลายคางของฉันอยู่“พูดมาสิ ฉันกำลังฟังเธออยู่” คุณเหนือเอามือออกไป อย่างน้อยเขาก็ยอมฟังและไม่ได้ทำให้ฉันเจ็บตัวไปมากกว่านี้“คุณหมอคนนั้น เขาเป็นหมอที่ดูแลอาการป่วยของน้องสาวริน อีกอย่างเราแค่บังเอิญเจอกันในลิฟต์ ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเหนือคิดเลยนะคะ” ฉันใจเย็นและพูดอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด“เธอไม่คิด แต่เหมือนว่ามันจะคิด”“คุณเหนือคะ รินกับเขาเพิ่งเจอกันแค่สองครั้งเองนะคะ”“ฉันจะให้หมอคนอื่นมาดูแลน้องสาวของเธอแทนมัน”คุณเหนือพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเดินผ่านหน้าฉันไปที่รถ ฉันจึงต้องรีบเดินตามเขาไปวันนี้ไม่มีคนขับรถให้ คุณเหนือเป็นคนขับแถมเขายังขับเร็วมากๆ ฉันอยากจะท้วงให้เขาขับช้ากว่านี้หน่อย แต่ก็ไม่กล้าท้วงอะไรออกไป เพราะรู้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธ#คอนโดคุณเหนือถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอกออก เขาเหวี่ยงมันกระแทกลงพื้นอย่างไม่สนว่าราคาของเสื้อตัวนั้นจะแพงเท่าไหร่ เห็นแบบนั้นฉันจึงรีบเดินไปเก็บให้แต่เมื่อฉันก้มลงเก็บเสื้อ แขนก็ถูกกร
วันต่อมา…ฉันตื่นขึ้นมาข้างกายว่างเปล่า ทั้งที่เมื่อคืนคุณเหนือเขาอุ้มฉันมาทำเรื่องอย่างว่าต่อในห้อง และหลังจากเสร็จบทกามฉันก็หลับไปไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคุณเหนือกลับห้องของเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แกร็ก! ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ลุกจากเตียง ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาก่อนที่น้ำเสียงทุ้มต่ำจะออกคำสั่ง “ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว วันนี้เธอต้องไปทำธุระกับฉัน”“แต่รินต้องไปหาน้องที่…”“เธอได้ไปแน่ แต่หลังจากที่ธุระของฉันเสร็จแล้ว” คุณเหนือเดินมาหยุดข้างๆ กับเตียงนอน จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงมาใช้สองมือวางค้ำไว้ระหว่างแก้มซ้ายและขวาของฉันสายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าฉันอย่างจริงจัง แล้วพูดขึ้น “อย่าคิดว่าเธอจะได้ไปที่โรงพยาบาลนั่นคนเดียวอีก”ฉันได้แต่นอนตัวแข็งทื่อไม่กล้าพูดเถียงอะไรเมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของคนด้านบนคุณเหนือหยัดตัวตรง จากนั้นเขาก็หันหลังให้ฉันเดินออกไปจากห้อง หลังจากที่คุณเหนือเดินไปแล้ว ฉันจึงรีบลุกขึ้นอาบน้ำและเตรียมตัวเพราะหากชักช้าอาจจะเจอดุได้เมื่อทำธุระเสร็จแล้วคุณเหนือก็ขับรถพาฉันมาทำธุระของเขา ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปที่ไหน เพราะฉันไม่คุ้นชินกับต่างประเทศ นี
ฉันถูกดึงให้เดินตามมายังห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เขาจะพาฉันมาทำอะไร ในตอนนี้ใจของฉันมันเต็มไปด้วยความกลัว เมื่อประตูห้องถูกเปิดออก ด้านในห้องนั้นมันว่างเปล่าไม่มีใคร ร่างของฉันถูกเหวี่ยงเข้ามาด้านในห้อง ก่อนที่ผู้ชายคนที่เอาตัวฉันมาจะปิดประตู ฉันรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่ประตูใช้มือจับลูกบิด พยายามจะเปิดมันออกให้ได้ แต่กลับไม่สำเร็จเพราะถูกล็อกจากด้านนอก และฉันก็ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะมาขังฉันไว้แบบนี้ทำไม ในตอนนี้ฉันกลัวทุกอย่าง ภาพที่ฉันเห็นมันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ ชั้นบนนี้มันเหมือนเป็นที่ลับ คุณเหนือเขาน่ากลัวกว่าที่ฉันคิด ถ้าให้ฉันเดานี่คงจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจของเขา ฉันเริ่มคิดหนักขึ้นมาเมื่อคิดถึงคุณเหนือ หากเขารู้ว่าฉันขัดคำสั่งของเขา แถมยังขึ้นมาเห็นอะไรแบบนี้ เขาจะโมโหมากขนาดไหน แกร็ก! เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ทำให้ฉันสะดุ้งและยืนขาแข็งมองประตูอยู่แบบนั้น จนกระทั่งเห็นว่ามีร่างของผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง และผู้ชายคนนั้นก็คือคุณเหนือ คุณเหนือยืนหน้าประตู เขากอดอกแล้วจ้องหน้าฉันด้วยสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก โดยไม่ได้พูดอะไรเมื่อฉันเห็นว่าเป็น
หากว่าฉันไม่ยอมตอบคำถาม คงต้องถูกบีบคอจนตายแน่ๆ เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันจึงค่อยๆ ขยับริมฝีปากที่สั่นเทาตอบ“ระ รินเห็นว่าคุณเหนือออกมานานมากแล้ว เลยเดินออกมาจากห้อง ตะ แต่รินไม่ได้ตั้งใจ รินแค่เห็นประตูเปิดเลยเดินขึ้นมาชั้นบน…” ด้วยความกลัวทำให้ฉันพูดอะไรออกไปแบบไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่“เธอเห็นอะไร ?” คุณเหนือถามเสียงเย็น น้ำเสียงของเขามันทำให้อุณหภูมิในร่างกายของฉันลดฮวบลงในทันที“……” ฉันจะตอบว่าอะไรดี ถ้าตอบว่าไม่เห็นเขาจะเชื่อหรือเปล่า แล้วถ้าตอบในสิ่งที่เห็นล่ะในตอนนี้ไม่ว่าจะตอบคำไหนฉันก็กลัวทั้งนั้น“ฉันถามว่าเธอเห็นอะไร วาริน”“มะ ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ” ฉันตอบคำตอบโง่ๆ ออกไป และแน่นอน ดูจากสายตาของคุณเหนือก็คงจะไม่เชื่อคำพูดของฉันอยู่แล้ว ฉันจึงหลบสายตาของเขา“…ฉันรู้ว่าเธอกำลังโกหก”คุณเหนือปล่อยปลายคางของฉันให้เป็นอิสระ จากนั้นเขาก็เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่“ฉันให้โอกาสเธอตอบอีกครั้ง” สายตาคมกริบจ้องมองใบหน้าของฉันอย่างไม่ละสายตา“เธอเห็นอะไร ?”เมื่อรู้แล้วว่าคำโกหกไม่เป็นผล ฉันจึงเลือกตอบความจริง “หะ เห็นผู้หญิง กะ กับผู้ชาย”ฉันค่อยๆ เม้มปากแน่น เมื่อคำตอบของฉันทำให้คุณเหนือเงีย
ใบหน้าของฉันมันร้อนผ่าวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำที่คุณเหนือกระซิบบอก สมองมันกำลังคิดว่าจะปฏิเสธเขายังไงดี เพราะการทำเรื่องอย่างว่าในรถฉันว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่“ระ รินว่าเรากลับไปทำที่คอนโดดีกว่าไหมคะ”“ฉันอยากทำในรถ” คุณเหนือพูดย้ำอีกครั้ง และมันก็ยิ่งทำให้ฉันลำบากใจมากขึ้น“ริน…”ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อคุณเหนือก็ลุกขึ้น แถมยังดึงร่างของฉันให้ลุกขึ้นตามตัวเองด้วย“ไปที่รถกันเถอะ” น้ำเสียงเรียบๆ เอ่ยบอก ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปที่รถ ทิ้งให้ฉันยืนขาแข็งอยู่อย่างนั้นตึกตัก! ตึกตัก! หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวไม่เป็นท่าเลยในตอนนี้ฉันค่อยๆ ก้าวขาเดินตามคุณเหนือไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเข้ามาในรถหัวใจของฉันมันก็ยิ่งเต้นรัวมากกว่าเดิม“รู้ไหมว่าฉันถูกใจเธอมากแค่ไหน”“ไม่รู้ค่ะ” ฉันตอบไปตามตรงเพราะไม่รู้จริงๆ เพราะการกระทำของเขาดูไม่ได้ถูกใจฉันเลยสักนิดคุณเหนือเอนตัวมาที่เบาะของฉัน เขาเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ แถมยังใช้มือสอดใส่เข้ามาในเสื้อแล้วบีบสะโพกของฉันเบาๆ พร้อมกับลูบไล้ไปมาปลายจมูกโด่งแตะลงมาตรงซอกคอของฉัน แล้วสูดดมกลิ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของฉัน แล้วพูด “ฉันชอบกลิ่นแป้งเด็กบนตัวเธอ”
วันต่อมาคุณเหนือพาฉันมาที่โรงพยาบาล และเขาก็อยู่ด้วย ไม่ยอมทิ้งฉันไว้ที่โรงพยาบาลตามลำพัง แถมยังบอกว่าฉันมีเวลาเยี่ยมน้องแค่ครึ่งวัน เพราะเขาต้องไปทำธุระ “เมื่อวานทำไมถึงไม่มาเยี่ยมหนูล่ะคะ” นาลินถามฉันที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้อง ก่อนที่สายตาของเธอจะมองผ่านไปทางด้านหลังของฉันแทน “…คุณเหนือ”“นาลิน” ฉันเรียกชื่อน้องเสียงดุ เพราะสีหน้าของเธอกำลังบ่งบอกว่าดีใจมากขนาดไหนที่ได้เจอคุณเหนืออีกครั้ง “เมื่อวานพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาเยี่ยมน่ะ” พูดจบฉันก็เดินไปหยิบเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ กับเตียงที่นาลินนอน “พี่รินไม่มาหนูเหงามากเลยรู้ไหมคะ” นาลินทำหน้าออดอ้อน ฉันที่อดเอ็นดูท่าทางของน้องสาวไม่ได้จึงเอามือไปลูบศีรษะเธอเบาๆ “พี่ก็คิดถึงเธอเหมือนกัน อยากให้เธอกลับไทยพร้อมพี่เลยด้วยซ้ำ”“หมอบอกว่าอีกนานไหมคะกว่าหนูจะหายดี หนูต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานเท่าไหร่”“คงอีกสักพักน่ะ สู้ๆ นะ พี่รอเธออยู่ ^_^”“หนูรักพี่รินที่สุดเลยค่ะ ^_^”นาลินจับมือของฉันแล้วยิ้มหวานให้ ในที่สุดฉันก็ได้น้องสาวคนเดิมกลับคืนมา สิ่งที่ฉันแลกไปมันคุ้มค่า “กินผลไม้ไหมเดี๋ยวพี่ปอกมาให้”“กินค่ะ ขอแค่ส้มก็พอนะคะ” ส้มคือผลไม้ที่นาลินช
“คุณเหนือให้ฉันมาดูแลพวกผู้หญิงที่นี่” ผู้หญิงข้างกายคุณเหนือพูดขึ้นมาอีกครั้ง เธอเชิดหน้าใส่ฉันราวกับว่าตัวเองมีความสำคัญกับคุณเหนือมากๆ“ฉันรู้ว่าคุณเหนือชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงคุณเหนือชอบท่าไหนมากที่สุด” ฉันถึงกับสตั้นเมื่อเธอพูดเรื่องบนเตียงออกมาอย่างไม่อายปาก ทำเอาคนที่ได้ฟังอย่างฉันถึงกับอายแทน“เธอพูดมาก รู้ตัวหรือเปล่า” คุณเหนือเอ่ยขึ้นมาเสียงเย็นพร้อมกับสายตาที่มองผู้หญิงข้างกายแบบดุดัน ก่อนจะแกะมือเธอออกจากแขนแกร่งคุณเหนือเดินนำไป ทิ้งให้ฉันเดินตามหลังกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งดูจากสายตาของเธอก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเธอไม่ชอบฉัน“คุณเหนือรับเธอมาดูแลนานหรือยัง” เธอถามฉัน“ยังค่ะ”“ถึงว่าท่าทางซื่อบื้อ ไม่รู้ว่าคุณเหนือเอาผู้หญิงแบบเธอมาขึ้นเตียงได้ยังไง ดูไม่ใช่เขาเลยสักนิด”“…..” ฉันไม่ได้โต้ตอบอะไร พยายามเดินให้เร็วที่สุดเพื่อหนีคำพูดของผู้หญิงคนนี้ แต่เธอก็ยังอุตส่าห์เร่งฝีเท้าตามมาเดินคู่กับฉันอีก“ฉันน่ะอยู่กับคุณเหนือมาสี่ปี ในบรรดาผู้หญิงของคุณเหนือ ฉันคือที่หนึ่ง เธอควรเคารพฉันนะ ไม่ใช่เดินหนีแล้วก็ทำเมินใส่ฉันแบบนี้”“หากว่าฉันจะต้องเคารพใคร มีคุณเหนือ
ฉันค่อยๆ เม้มปากแน่น หลบสายตาคมกริบตรงหน้า จะไม่ให้คิดได้ยังไงก็คุณเหนือไม่ได้ตอบคำถามของผู้หญิงคนนั้น ฉันก็ต้องเข้าใจแบบนี้สิ“เธออยากจะให้ฉันไปนอนกับคนอื่น ?” คุณเหนือโน้มใบหน้าลงมากระซิบถามอีกประโยค “หรือว่าเธอไม่อยากนอนกับฉัน”“มะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”“แล้วมันยังไง ?”“…รินคิดว่าคุณเหนือคงอยากจะเปลี่ยนไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นบ้าง”“เธอคิดแบบนั้น ?”คุณเหนือเลิกคิ้วขึ้นถาม ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องถามกลับตลอดเลยด้วย ฉันคิดคำตอบไม่ทันหรอกนะ ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันน่ะคิดว่าเขาคงจะไปนอนกับผู้หญิงคนนั้น ก็บอกไปแล้วยังจะถามอีก“รินจะไปรู้เหรอคะ”“ดูเหมือนว่าเธอไม่อยากจะนอนกับฉันจริงๆ” คุณเหนือผละตัวออกห่างจากฉัน “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันจะไปนอนกับผู้หญิงอีกคน เธอจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”ฉันขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อผู้ชายตรงหน้าคิดเองเออเองทุกอย่าง ใครบอกกันว่าฉันอยากให้เขาไปนอนกับผู้หญิงคนอื่น ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้น“ถ้าคุณเหนืออยากจะไปนอนกับผู้หญิงคนไหน มันก็สิทธิ์ของคุณเหนือนี่คะ” หัวใจดวงน้อยมันเต้นรัวเป็นจังหวะที่จุกแน่นราวกับกำลังบีบมันเอาไว้แน่น“มากินข้าว” เสียงทุ้มเข้มออกคำสั่งก่อนจะเดินไปนั่งลงบนโต๊ะอ
10 เดือนผ่านไปตอนนี้ฉันกำลังนอนให้นมลูกอยู่ในห้อง พ่อกับแม่เพิ่งมาเยี่ยมแล้วกลับไปนี่เอง ส่วนพี่ติณเขามีประชุมที่บริษัท น้ำอิงลูกสาวของฉันตอนนี้ได้สิบเดือนแล้ว นั่งได้คลานได้ ตอนนี้กำลังหัดเดินแต่ยังเดินเป็นก้าวๆ ไม่ได้ต้องคอยจับ เวลาพูดอะไรเขาก็จะมองๆ พอเข้าใจบ้าง ยิ่งเวลาดื้อแล้วถูกดุนี่นะมองหาพ่อก่อนเลย พอเห็นพ่อก็จะร้องไห้ใหญ่ เอาแต่ใจใช่เล่นเลยแหละตอนนี้น้ำอิงอ้วนจ้ำม่ำมากๆ เลย เพื่อนๆ ของฉันต่างเอ็นดูความจ้ำม่ำจนต้องแวะเวียนกันมาคอยเล่นกับหลานบ่อยๆ พี่ติณก็ติดลูกมากๆ ตั้งแต่คลอดเขาเอางานมาทำที่บ้าน จะเข้าบริษัทก็แค่ตอนมีประชุม แถมพวกผ้าอ้อมของลูกแล้วก็เสื้อผ้าพี่ติณเป็นคนซักเองหมด ฉันมีหน้าที่แค่นอนให้นมลูกอย่างเดียวเลย พอให้นมลูกสาวของฉันก็หลับคาอก ฉันค่อยๆ ประคองตัวลูกอย่างเบามือเอามานอนที่เปล เป็นเปลไกวแบบไฟฟ้าพี่ติณซื้อเอาไว้เพราะกลัวว่าถ้าไกวเองแล้วฉันจะปวดแขน กริ้ง~ พอเอาลูกนอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรู้ได้ทันทีว่าคนที่โทรมาต้องเป็นพี่ติณแน่ๆ “ลูกหลับแล้วค่ะ” พอรับสายฉันก็รีบกระซิบบอก พี่ติณโทรมาแบบวีดีโอคลอ(ขอดูหน้าลูกหน่อย) เป็นแบบนี้ประจำเวลาที่ออกไปบริษัทถึง
#ภายในห้อง ตกดึกตอนนี้พี่ติณเริ่มงอแงหนักขึ้นเพราะว่าฉันไม่ยอมให้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ “ทำเบาๆ แค่เอาถูๆ ก็ได้” พี่ติณล้มมานอนบนตักของฉันแล้วพูดอ้อน “ไม่ค่ะ” “ถูๆ เองไม่เอาใส่เข้าไป”“หนูบอกว่าไม่เอาไง”“จะเอาๆ” “ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องหนูจะงดไปสองเดือนเลยนะคะ” ฉันยื่นคำขาดด้วยสีหน้าที่จริงจัง ทำให้พี่ติณปิดปากเงียบแต่สายตาของเขากำลังมองค้อนฉันอยู่ “ไม่เป็นห่วงลูกเลยหรือไงคะ” “เป็นห่วงแต่พ่อมันก็หิวเป็นเหมือนกัน”“ใช้มือช่วยตัวเองไปก่อนก็ได้”“ไม่ชอบ ชอบทำในตัวเธอมากกว่า” “หนูจะกลับไปอยู่บ้านนะถ้าพี่ติณยังหื่นไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ” “ได้ไง แต่งงานกันแล้วนะน้ำมนต์”“ไม่รู้แหละ มันหงุดหงิดนี่คะ” ฉันดันศรีษะของพี่ติณออกจากตักเพื่อแสดงอาการไม่พอใจที่เขานั้นหมกมุ่นเรื่องบนเตียงมากเกินไป “ก็ได้ๆ ต่อไปนี้ฉันจะไม่หมกมุ่น” ฉันหันมองพี่ติณอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ทำได้หรอคะ”“เมียสั่งฉันก็ต้องทำให้ได้”“สามีของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันยิ้มหวานให้พี่ติณแต่พอจะแตะตัวเขา เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอก “ฉันจะไปห้องพระ”“ไปทำอะไรที่ห้องพระคะ ?” ที่ผ่านมาฉันไม่เคยเห็นพี่ติณเข้าห้องพระเลยนะ วันนี้
“ผะ ผม….” อาจารย์หนุ่มแสดงอาการกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด “มานี่!!” พี่ติณจ้องฉันเขม็ง ฉันจึงรีบเดินไปหาเขาทันที จากนั้นพี่ติณก็พูดต่อ “ให้เวลาห้าวินาที รีบไปให้พ้นก่อนที่กูจะยิงมึง” สิ้นสุดคำพูดที่ดุดันของพี่ติณอาจารย์หนุ่มก็รีบวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เขาคงกลัวตายมากๆ “อย่ามองหนูแบบนั้นนะ พี่ติณสั่งให้ลูกน้องหาอาจารย์มาสอน หนูไม่ได้เลือกเองสักหน่อย” ฉันรีบบอกเพราะถูกสายตาเอาผิดของพี่ติณจ้องอยู่ “เธอยอมให้มันอยู่ใกล้” “หนูแค่ไม่เข้าใจที่เขาสอน เขาเลยเดินมาบอก”“แล้วต้องใกล้ขนาดนั้น ? กลิ่นตัวหอม ?” พี่ติณกำลังหาเรื่องฉันอยู่ ไม่คิดจะฟังที่พูดเลยหรือไง นิสัยเดิมอีกแล้ว “แต่หนูก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีนะคะ หนูรู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว” “แล้วตอนมันยืนใกล้ๆ ทำไมไม่ลุกหนี ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอจะลุกขึ้นหนีมันหรือเปล่า ?”“การลุกหนีมันเสียมารยาทนะคะ อีกอย่างเขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการลวนลามหนูเลยด้วยซ้ำ”“ฉันไม่ชอบเธอก็รู้”“เปลี่ยนอาจารย์สอนเป็นผู้หญิงให้หมดทุกคนเลยก็ได้ค่ะ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วพี่ติณไม่สบายใจ” “เปลี่ยนแน่!!” ฉันผิดอะไรหรอพี่ติณถึงได้มีท่าทางโกรธมากขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเสีย
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปจนกระทั่งถึงวันที่สำคัญมากที่สุดของชีวิต เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดอีกวัน วันที่ฉันกับพี่ติณเข้าพิธีแต่งงานกัน เราจัดงานแบบเรียบง่ายเชิญแค่แขกคนสนิท ถึงแม้จะจัดในโรงแรมหรู แต่เราคุยกันแล้วว่าอยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นมากกว่ามีคนมากมายพลุกพล่าน ในงานจึงมีแขกมาร่วมแสดงความยินดีไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นญาติทางฉันและเพื่อนๆ ที่ฉันสนิทเพราะพี่ติณตัวคนเดียว จะมีก็แต่ลูกน้องของเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี “เจ้าสาวของฉันทำไมถึงสวยขนาดนี้นะ” พี่ติณพูดเสียงหวานเมื่อพ่อส่งมอบตัวฉันให้กับเขา “อย่าพูดแบบนั้นสินะหนูเขินนะ” ฉันบิดตัวไปมาเล็กน้อยเพราะความเขินอายเราทั้งคู่เดินไปบนพรมสีขาวสะอาดตา มีคนคอยโปรยกุหลาบตลอดทางที่เดินและมีเพลงคลาสสิคเปิดขึ้นมา บรรยากาศในงานอบอวลไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ทุกคนที่มาต่างแสดงความยินดีให้เราทั้งคู่จากใจจริง ทำให้งานวันนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ในตอนนี้ฉันกับพี่ติณเราคือสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะครองคู่กันไปชั่วนิจนิรันดร์…. วันต่อมา ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของพี่ติณเมื่อวานพ่อกับแม่มาส่ง พ่อร้องไห้ด้วย ฉันเองก็ร้องไห้ รู้สึกว่าแทบไม่ได้อยู
พี่ติณมาส่งฉันที่บ้าน แต่คืนนี้เขาไม่ได้นอนที่บ้านฉันหรอกนะ อย่างที่พ่อเคยบอกว่ายังไงหลังแต่งงานเราก็ได้อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว พ่อกับแม่เรียกฉันกับพี่ติณมาคุยกันที่ห้องรับแขกเพื่อนัดแนะเรื่องสถานที่จัดงานแต่งงานของเรา“การ์ดเชิญหนูชอบลายนี้ค่ะน่ารักดี เอาแบบนี้นะคะพี่ติณ^_^” “ครับ ^_^” “แล้วสถานที่ล่ะคะ เราจะใช้ที่โรงแรมไหนดี”“แม่กับพ่อเลือกไว้หลายที่เลยลูกลองดูสิ” ฉันกับพี่ติณนั่งดูภาพโรงแรม แต่จนถึงตอนนี้เราก็ยังเลือกกันไม่ได้ว่าจะจัดงานแต่งที่โรงแรมไหนดี มันยังไม่ถูกใจ “จัดที่โรงแรมของผมก็ได้นะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าห้องรับแขก พอหันไปก็เห็นเฮียเหนือที่ยืนอยู่ “…ไอ้เหนือ” พี่ติณพูดขึ้นมาเบาๆ “ผมผ่านมาก็เลยแวะมาเยี่ยมคุณอาครับ” เฮียเหนือหันมามองฉัน แล้วพูดต่อ “เฮียยินดีด้วยนะ ถึงเจ้าบ่าวจะเป็นมันก็เถอะ” “เป็นกูแล้วทำไม มึงก็รู้มาตั้งแต่แรกว่ากูคิดยังไงกับน้ำมนต์”“เพราะแบบนี้พอมึงรู้ว่ากูถูกจับให้หมั้นกับน้ำมนต์เลยยิ่งโกรธอาละวาดแก้แค้นกู ?”พี่ติณพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูด “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”“กูต้องไปคุยด้วย ?”“ตามใจมึง” พูดจบพี่ติณก็เดินไป ส่ว
หลังจากคุยธุระเสร็จคุณธนาก็เดินทางกลับ ส่วนฉันกับพี่ติณก็กลับมาที่ห้องทำงาน แถมเขายังล็อกประตู“ละ ล็อคห้องทำไมคะ เดี๋ยวถ้าเลขามีธุระสำคัญ….” “ฉันกำลังจะทำโทษเด็กขี้อ่อย” พี่ติณพูดสวนขึ้น ทำเอาขนมันลุกซู่“หนูเปล่าอ่อยนะ” “ยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน แบบนี้เรียกว่าอ่อย” พี่ติณกล่าวหากันหน้าตาเฉย มาโทษว่าฉันอ่อยคุณธนาทั้งที่ในท้องยังมีลูกของเขาอยู่ “แบบนี้พี่ติณยิ้มให้คุณธนาเหมือนกันแปลว่าอ่อยหรือเปล่าคะ ?”“ไม่ต้องมายอกย้อน ฉันเป็นผู้ชายส่วนเธอเป็นผู้หญิง”“หวงไม่เข้าเรื่องเลยค่ะ แบบนี้หนูไม่ชอบ”“ฉันก็ไม่ชอบ!!” จู่ๆ เขาก็มาขึ้นเสียงดังใส่ โอเค!! ฉันผิดมากเลยสินะ “ขึ้นเสียงใส่หนูงั้นหรอ บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้มาเสียงดังใส่” “…..” พอถูกฉันว่าพี่ติณก็เถียงไม่ออก “ถ้าอะไรนิดหน่อยก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เราคงอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอกนะคะ” “หมายความว่ายังไง ?“ ลมหายใจร้อนผ่าวของพี่ติณถูกพ่นออกมาแรงๆ เมื่อได้ยินคำพูดของฉัน “หมายความว่าหนูจะไม่แต่งงานกับพี่ติณ ถ้ายังเป็นแบบนี้” มันคือความหงุดหงิดส่วนหนึ่งและความที่ฉันอยากจะดัดนิสัยของพี่ติณด้วยอีกส่วนหนึ่ง เขาเอาแต่ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาแบบ
เช้าวันใหม่หลังจากฉันกับพี่ติณตื่นนอนเราก็จับมือกันมาบอกพ่อกับแม่เรื่องที่ฉันตกลงแต่งงานกับพี่ติณแล้ว เฮียเพลิงก็มากินข้าวเช้าที่บ้านด้วยวันนี้เฮียต้องกลับต่างประเทศแล้ว แต่เหมือนเฮียยังมีอะไรที่ค้างคาอยู่ในใจ ดูท่าไม่อยากกลับสักเท่าไหร่ วันนี้ฉันเข้ามาที่บริษัทกับพี่ติณเพราะไม่อยากนั่งเบื่อๆ รอที่บ้าน ถึงจะตกลงแต่งงานแล้วพ่อก็อยากให้พี่ติณไปๆ มาๆ ที่บ้านมากกว่าจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านเขา พ่อบอกว่าหลังแต่งงานยังไงฉันก็ต้องได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่ติณอยู่แล้ว ตอนนี้จึงอยากให้ฉันอยู่ที่บ้าน “พี่ติณพรุ่งนี้หนูไปเจอเพื่อนๆ นะคะ มีนัดกินข้าวตอนเย็น ^_^” ฉันนั่งคุยแชตกับเพื่อนรอพี่ติณทำงาน เพื่อนๆ มีนัดกินข้าวสังสรรค์กันเป็นงานเล็กๆ ของกลุ่มเราที่นานๆ ครั้งจะมาเจอกันแค่กินข้าวไม่มีแอลกอฮอล์ ฉันต้องขออนุญาตพี่ติณก่อน “ไปกี่โมง ?”“หกโมงเย็นค่ะ”“ไม่ให้ไปด้วย ?” “หนูนัดกับเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน พี่ติณไปด้วยคนอื่นคงจะเกร็งๆ” “มีพิรุธนะแบบนี้” พี่ติณมองฉันด้วยสายตาที่กำลังจับผิดอยู่“พิรุธอะไรคะอย่ามาหาเรื่องหนูนะ” “จะให้ไปส่งไหมพรุ่งนี้” “เดี๋ยวให้คนขับรถที่บ้านไปส่งก็ได้ค่ะ ^_^” แกร็ก! ป
“เราไปบอกพ่อกับแม่กันนะคะ ^_^” พี่ติณสวมแหวนให้ฉันจากนั้นก็อุ้มฉันขึ้นมาวางที่เตียงทั้งยังใส่แค่ผ้าขนหนูอยู่ “นอนได้แล้วพรุ่งนี้ค่อยบอกทุกคนก็ได้ ฉันปิดไฟนะ”“แต่หนูยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลยนะ ถ้าพี่ติณจะนอนก็นอนก่อนเลยค่ะ แต่งตัวเสร็จเดี๋ยวหนูปิดไฟเอง” ฉันพยุงตัวเองลุกขึ้นแต่ก็ถูกพี่ติณกดให้นอนราบกับเตียงเหมือนเดิมพี่ติณขึ้นมาคร่อมจากนั้นก็โน้มใบหน้าลงมากระซิบบอกข้างๆ ใบหู “ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าก็ได้ เพราะเดี๋ยวเธอก็ได้ถอดมันออกอยู่ดี” “บ่อยเกินไปแล้วนะคะ” พอฉันบอกแบบนั้นพี่ติณก็ขมวดคิ้วถาม “อะไรบ่อย ?”“ก็มีเซ็กส์ไงคะ”“วันนี้เป็นวันดีเธอยอมแต่งงานกับฉัน มันก็ต้องฉลองเป็นธรรมดา”“เจ้าเล่ห์” ฉันพูดค้อน “ขอนะครับ” ไม่พูดเปล่าพี่ติณยังยิ้มหวานอีกด้วย ไม่ใจอ่อนได้ไงล่ะ “ทีตอนอยากได้เนี่ยพูดเพราะจังเลยนะคะ” “พูดแบบนี้ปกติ” พี่ติณพูดพร้อมกับใช้มือค่อยๆ ดึงผ้าขนหนูที่พันตัวฉันออก เผยให้เห็นเรือนร่างที่ไร้เสื้อผ้าปิดคลุม “ปะ ปิดไฟก่อนสิคะ” ฉันยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตัวเองอย่างเขินอายเพราะความสว่างของห้อง “อยากเห็นหน้าเมียชัดๆ”“ไม่เอาค่ะ หนูอาย”“สวยไปทั้งตัวขนาดนี้ทำไมต้องอาย” ปากหวาน
“ตะ แต่หนูยังไม่พูดเรื่องแต่งงานเลยนะคะ”“ในเมื่อลูกเปิดโอกาสให้ตาติณแล้วแม่ว่าการแต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ คนจะนินทาเอานะลูก”“หนูรู้ค่ะหนูให้โอกาสพี่ติณแต่ยังไม่อภัยให้เขานี่คะ” “ถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ให้อภัยฉันอีกหรือไง” พี่ติณถาม “อยากดูๆ ไปก่อนนี่คะ อย่าเร่งหนูสิ เอาไว้คลอดแล้วเราค่อยแต่งงานกันก็ได้”“คลอดแล้วคงไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกลูก ไหนจะยุ่งกับการเลี้ยงลูกอีก”“ไม่เป็นไรครับถ้าน้ำมนต์ยังไม่อยากแต่งผมก็จะไม่บังคับ ตอนนี้ผมคงยังดีไม่พอที่เธอจะเปิดใจมากขนาดนั้น” พี่ติณพูดขัดขึ้นมา ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าเขากำลังน้อยใจอยู่ “……..” ฉันได้แต่เงียบ ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่งหรอกนะจะขอแต่งงานทั้งทีทำไมถึงไม่ทำให้โรแมนติกกว่านี้ก็ไม่รู้ ถ้าถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติกฉันคงจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตผู้หญิงก็ต้องการอะไรแบบนี้ อยากสัมผัสความรู้สึกที่ถูกคุกเข่าขอแต่งงานบ้าง แต่พี่ติณไม่เคยคุกเข่าขอฉันเลย “ต่อไปนี้ก็ทำตัวให้มันดีๆ ให้สมกับที่จะเข้ามาเป็นลูกเขยบ้านนี้ล่ะ” พ่อพูดกับพี่ติณ“ครับอา ผมขอโทษจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา”“แล้วนี่ได้คุยปรับความเข้าใจ