“กรณ์ ลูกนี่ น้องก็ขอโทษแล้วบอกเหตุผลแล้วนิ ว่ารถเสีย ทำไมยังไปว่าน้องอีกหนะ ไม่เป็นไรลูกฟ้า ป้าเข้าใจจ๊ะ ว่าแต่หนูมายังไงจ๊ะ” ประโยคแรกปรามลูกชายเสียงดัง ประโยคหลังพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้เสียงอ่อนโยน
“แหม แม่ไม่ค่อยลำเอียงเลยนะคะ กับว่าที่ลูกสะใภ้เสียงสองเชียว มินท์ว่าพี่กรณ์กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วแหละ แม่มีลูกคนใหม่แล้ว แบร่” มินท์ได้ทีรีบแกล้งแหย่พี่ชายทันที
ปกรณ์ทำท่าจะเขกหัวน้องสาวตัวแสบที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงแม่ก็รีบปรามเป็นคำรบสอง
“หยุดเลยนะ สองคนนี้ โตกันแล้ว อยู่ต่อหน้าหนูฟ้าใส และคุณน้าอัญเรายังจะตีกันเป็นเด็กๆ ไปได้” อรพินท์ส่ายหน้า พร้อมพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก
“ทั้งสองคนยังร่าเริงกันเหมือนเดิมนะ น่ารักน่าเอ็นดูกันจริงๆ” อัญชลีเอ่ยปากออกมาอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่หนูฟ้าใสมาอย่างไรจ๊ะ เราเลยไม่มีโอกาสได้บอกป้าสักทีเพราะสองคนนี้แย่งเราพูดใช่มั้ย” คุณหญิงหันกลับมาถามคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบสักที
“มารถไฟฟ้าคะ ตอนนี้รถส่งไปเข้าศูนย์คะ” ฟ้าใสตอบอย่างสุภาพ หลังจากที่สูดหายใจลึกๆ เพื่อไม่ให้โมโหคนกวนประสาทไปมากกว่านี้
“อ้าว แล้วขากลับเรากลับยังไงหละจ๊ะ”
“กลับรถไฟฟ้าได้คะ คอนโดฟ้าอยู่ xxx ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพอดีคะ”
“งั้นให้ตากรณ์ไปส่งดีกว่านะจ๊ะ ดึกๆ กลับคนเดียวต่อให้เป็นรถไฟฟ้าก็ต้องเดินต่อเข้าไปอีกนี่จ๊ะ” คุณหญิงรีบเอ่ยปากให้เด็กทั้งสองได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกัน ฟ้าช่างเป็นใจเสียจริง
‘ทำยังไงดี’ ใจนึงก็เป็นโอกาสดีที่จะได้คุยกับนายนี่เรื่องการหมั้น แต่อีกใจนึงก็ไม่ชอบให้ใครที่ไม่รู้จักมารู้ที่อยู่ของตัวเอง ฟ้าใสขมวดคิ้วคิดอย่างหนัก โดยไม่รู้ว่าการกระทำนั้นอยู่ในสายตาชายหนุ่ม เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มเลยรีบพูดออกมา เพื่อชิงความได้เปรียบ
“เขาคงไม่อยากไปกับผมหรอกครับคุณแม่ คุณน้า สงสัยคุณ เอ้ย น้องฟ้าใสคงจะรังเกียจผม งั้นเรื่องงานหมั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้วหละครับ” ปกรณ์พูดเสียงเศร้าๆ ออกมา แล้วรีบตัดสรุปเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านเห็นว่างานหมั้นนี่จะล้มเลิกไม่ใช่เพราะเขาแต่เป็นสาวสวยคนนี้
“อ้าว ทำไมอย่างนั้นหละลูก ไปรังเกียจอะไรพี่เขา เราคุยกันแล้วนี่คะ ว่าจะให้โอกาสพี่เขา ลองพูดคุยดู” แม่อัญรีบทวงสัญญากับลูกสาวเมื่อเห็นว่าที่ลูกเขยมีอาการน้อยใจ
“เปล่านะคะแม่ ฟ้าไม่ได้รังเกียจนายนี่ เอ้ย พี่เขาเลยคะ” ฟ้าใสรีบปฏิเสธ เพื่อไม่ให้แม่เข้าใจผิดว่าตนเองไม่รักษาสัญญา
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้พี่เขาไปส่งนะคะ” คุณหญิงรีบสรุปอย่างดีใจ
“คะ” เท่านั้นจริงๆ ที่ฟ้าใสพูดออกมาได้ พร้อมเหลือบไปมองปกรณ์ที่นั่งยักคิ้ว และยกยิ้มมุมปากอยู่ตรงหน้า ‘หนอย นายนี่ กวนประสาทจริงๆ ฉันจะอดทนคุยกับคนแบบนี้ไปได้มั้ยนี่ หงุดหงิดจริง’
หลังจากนั้นการรับประทานอาหารระหว่างสองครอบครัวก็เป็นไปด้วยความราบรื่น คนที่มีความสุขที่สุดคงเป็นคุณแม่ทั้งสองที่ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร เนื่องจากต้องไปจัดการชีวิตครอบครัวของตัวเองหลังจากสูญเสียหัวหน้าครอบครัวไป ตอนนี้สถานการณ์กลับมาดีขึ้น ลูกๆ เริ่มเข้ามามีบทบาท ทำให้แม่ๆ ได้โอกาสถอยออกมา แล้วกลับมาหามิตรภาพดีๆ ที่คิดถึงกัน
คนที่พูดน้อยที่สุดคงเป็นฟ้าใส ซึ่งยังไม่ชินกับความสนิทสนมของทั้งสองครอบครัวในการทานข้าวครั้งนี้ พร้อมกับคิดในใจ ‘อะไรจะสนิทกันเร็วขนาดนั้น’ หลังจากเห็นน้องมินท์ แซวคุณแม่อัญเรื่องว่าที่ลูกเขยในอนาคต ในขณะที่แม่อรก็พยายามให้ปกรณ์ชวนฟ้าใสคุย ทันใดนั้น เหมือนมีภาพซ้อนขึ้นมาในหัวฟ้าใสแวบนึง เป็นภาพคล้ายๆ กับที่กำลังเกิดขึ้น มีสองครอบครัว พร้อมผู้นำครอบครัวที่เสียไปแล้วทั้งสอง ในภาพมีเด็กหญิงสองคนกำลังเล่นกันอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเด็กผมเปียด้วย และมีเด็กชายนั่งมองเด็กทั้งสองเล่นกันอยู่ห่างๆ สักพักเด็กผู้ชายก็เดินมาดึงผมเปียของเด็กผู้หญิงคนนั้น แล้วทั้งสองก็วิ่งไล่ตีกัน สักพักภาพก็จางหายไป พร้อมอาการปวดหัว
“โอ้ย” ฟ้าใสกุมขมับพร้อมอุทานด้วยความเจ็บปวดออกมาค่อนข้างดัง
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” เมื่อได้ยินเสียงลูกสาว แม่ๆ ทั้งสองหยุดคุยพร้อมกับมินท์กับปกรณ์ แม่อัญถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“ปวดหัวอีกแล้วเหรอลูก”
“ค่ะแม่ แต่ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ” ฟ้าใสไม่ต้องการให้แม่รู้ว่าโรคปวดหัวของเธอที่เคยเป็นตอนเด็กๆ กลับมากำเริบอีกแล้ว
“โอเคจ๊ะ แต่ถ้าเป็นอะไรต้องรีบบอกแม่นะ ห้ามโกหกเด็ดขาด บางอย่างต้องรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เข้าใจมั้ยลูก”
“เข้าใจค่ะ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ ถ้าฟ้าเป็นอีกจะรีบบอกแม่คนแรกเลย” พร้อมกับส่งยิ้มหวานกลับไปให้แม่ คาดหวังให้แม่ไม่ต้องเป็นห่วงเธอมาก
“หนูฟ้าปวดหัวบ่อยเหรอจ๊ะ” คุณหญิงอรถามด้วยความเป็นห่วงเฉกเช่นเดียวกับแม่อร
“เป็นบางครั้งค่ะ คุณน้า สงสัยช่วงนี้คิดแผนงานหนักไปหน่อยค่ะ”
“อย่าหักโหมมากนะจ๊ะ เดี๋ยวไม่สบาย”
“ขอบคุณค่ะ คุณน้าที่เป็นห่วง”
“ต้องเป็นห่วงสิ ว่าที่ลูกสะใภ้น้าทั้งคน จริงมั้ยกรณ์” สุดท้ายก็ชงมาให้ลูกชายจนได้ ปกรณ์ได้แต่คิดในใจ
“นั่นสิคุณ อย่าหักโหมงานหนักมาก นอกจากปวดหัวแล้วทำให้หน้าแก่อีกนะ ดูสิหน้าคุณนี่ ถ้าไม่บอกว่าอายุเท่าผม ผมนึกว่าอายุเลย 30 ไปแล้วนะเนี่ย” เหมือนห่วงใยในประโยคแต่ประโยคถัดมาทำให้ฟ้าใสแทบอยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นั้นทีเดียว
“นาย นี่มัน” ฟ้าใสกำหมัดแน่นในมือ ‘ถ้าไม่ติดว่าอยู่ต่อหน้าแม่นาย กับแม่ฉัน นายตายแน่’
“ตายแล้วลูก!!!! หนูฟ้าใสออกจะหน้าเด็ก ทำไมไปพูดแบบนั้นกับเขาหละ” แม่อรจัดการให้ก่อนเลย บังอาจมาว่าว่าที่ลูกสะใภ้ได้อย่างไร
“ใช่พี่ พี่ฟ้าหน้าอ่อนจะตาย ถ้าในที่นี้มีคนหน้าแก่ ก็คงเป็นพี่นั่นแหละที่หน้าแก่” สมาคมปกป้องสตรีก็มาสิงานนี้ บ่งบอกเลยว่าผมกำลังจะเป็นหมาหัวเน่าในไม่ช้าแน่เลย
“ครับๆ ผมผิดเองครับ ผมแค่ล้อเล่น อยากให้เขาหัวเราะ เขาว่ากันว่าหัวเราะทำให้หายปวดหัวนะครับ” ปกรณ์รีบแก้ตัวกับสมาคมปกป้องสตรี (ว่าที่ภรรยา) ของที่บ้านทันที
“มันใช่เรื่องที่เราจะเอามาล้อเล่นหรือไง น้องเขาไม่ขำด้วยหรอกนะ” แม่อรค้อนให้กับลูกชายตัวดี
“ไม่เป็นไรหรอก กรณ์เขาแค่แหย่เล่นเอง ฟ้าไม่ถือสาใช่มั้ยลูก” นี่ก็อีกคน ผู้ปกป้องว่าที่ลูกเขย แทนลูกสาวมาอีกแล้ว ฟ้าใสได้แต่มองบน ในขณะที่ปกรณ์รีบเข้ามาประจบแม่อัญเมื่อเห็นว่ามีคนเข้าข้าง
“ใช่ครับคุณน้า ผมแค่ล้อเล่น แต่ทุกคนก็ว่าผมกันหมดเลย” ปกรณ์รีบพูดพร้อมทำเสียงน้อยใจ
“ยะ แม่จะพยายามเชื่อ”
“ว่าแต่ทุกคนทานอิ่มกันหรือยังครับ นี่ก็ดึกแล้ว ไว้วันหลังเรานัดกันในเวลากลางวันดีกว่ามั้ยครับ จะได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น แต่วันนี้เราควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ เพราะคุณแม่ต้องพักผ่อนนะครับ” ปกรณ์รู้ว่าคุณแม่กับคุณน้ามีเรื่องอยากคุยกันมากมาย แต่มันดึกแล้วจริงๆ แล้ว ตัวเขาจะได้มีเวลาคุยกับว่าที่คู่หมั้นระหว่างไปส่งกลับบ้านด้วย เรื่องสัญญานี้จะได้จบสักที
“นั่นสิอัญ เวลาผ่านไปเร็วมากเลย ไว้เรานัดคุยกันนะ”
“ได้จ๊ะ อร”
“คุณแม่จะกลับยังไงคะ ฟ้านั่งแท็กซี่ไปส่งคุณแม่ก่อนก็ได้นะคะ แล้วค่อยกลับ” ฟ้าใสรีบพูด วันนี้เธอไม่มีอารณ์อยากคุยกับนายนี่เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่จะต้องเริ่มตามแผนแล้วแท้ๆ แต่จากการพูดคุยกันวันนี้ น่าจะจบที่ไม่สวยแน่
“ไม่ต้องจ๊ะ หนูฟ้า แม่และมินท์จะไปส่งแม่หนูเองจ๊ะ หนูไปกับปกรณ์เถอะ” คุณหญิงอรพินท์รีบบอก เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสองได้มีโอกาสอยู่ด้วยกัน
“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น หนูฝากคุณแม่ด้วยนะคะ” ฟ้าใสทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับว่าแผนต้องเริ่มแล้ว
“งั้นคุณแม่ คุณน้า และยัยมินท์กลับเลยครับ เดี๋ยวผมออกไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายและจะไปส่งฟ้าใสเองครับ” ปกรณ์ ก็อยากรีบคุยเร็วๆ เช่นเดียวกัน
“ได้จ๊ะลูก แม่ฝากลูกสาวแม่ด้วยนะจ๊ะ”
“ครับ ไม่ต้องห่วงครับ”
ระหว่างทางนั่งรถกลับบ้านของหนุ่มสาวทั้งสอง ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นเกือบสิบนาที“อะแฮ่ม” ปกรณ์กระแอมออกมาเพื่อต้องการกลบความเงียบ และเรียกร้องความสนใจอีกฝ่ายก่อนการเริ่มบทสนทนา เสียงกระแอมทำให้หญิงสาวที่หันหน้าเข้าหากระจกข้างตลอดเวลาหันกลับมามองหน้าคนขับ“เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ยัยผมเปีย ตั้งแต่ตกน้ำคราวนั้น ก็ไม่มาที่บ้านฉันอีกเลย คงจะโกรธสินะ แล้วนี่ ทำไมถึงยอมรับการหมั้นครั้งนี้หละ” ปกรณ์รีบถามเข้าเรื่อง เพื่อจะปูไปยังเป้าหมายที่ต้องการ“คุณพูดอะไร เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอ” ฟ้าใสขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำทักเหมือนรู้จักกันมาก่อนของชายหนุ่ม“ไม่เอาหน่า ไม่ต้องมาอำ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ เรื่องนานมาแล้วนะ อะไรจะโกรธนานขนาดนั้น โกรธยาวขนาดนี้ เจ้าคิดเจ้าแค้นนะเนี่ย คุณหนะ” ปกรณ์ยังคงยียวน และไม่เชื่อว่าหญิงสาวจำเขาไม่ได้“คุณนี้มันจริงๆ เลย นอกจากหน้าตาและความรวยแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรดีจริงๆ โดยเฉพาะปาก ฉันไม่เคยเจอคุณมาก่อน เราไม่เคยรู้จักกัน แล้วฉันจะไปโกรธอะไรคุณฮะ” ฟ้าใส เริ่มทนไม่ได้กับความปากเสียของหนุ่มหล่อ ‘เสียของอย่างแรง’ นั่นคือประโยคที่คิดในใจ“อ้าวคุณ พูดอย่างนี้เลยเหรอ ว่าจะขอโทษสัก
ฟ้าใสนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ของเธอที่บริษัทโฆษณาชื่อดังในกรุงเทพฯ เธอกำลังจดจ่อกับงานออกแบบโปสเตอร์สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องส่งในวันพรุ่งนี้ ขณะที่เธอกำลังวุ่นวายกับการหามุมที่ลงตัว เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น ทำให้ฟ้าใสสะดุ้งเล็กน้อย เธอคว้ามันขึ้นมาดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอ"แม่?" ฟ้าใสพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ แม่ไม่ค่อยโทรหาช่วงเวลางาน ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ"สวัสดีค่ะ แม่ มีอะไรเหรอคะ?" ฟ้าใสถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเสียงของแม่ดังขึ้นที่ปลายสาย แต่กลับไม่ใช่เสียงที่ฟ้าใสคุ้นเคยที่มักจะใจดีและร่าเริง แต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ฟ้าใส ลูกต้องกลับบ้านด่วนเลยจ้ะ มีเรื่องสำคัญมากที่แม่ต้องบอก”ฟ้าใสขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรคะ แม่? เล่าให้ฟ้าฟังทางโทรศัพท์ก็ได้นี่คะ”“ไม่ได้จ้ะ มันเป็นเรื่องที่พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้ ลูกต้องกลับมาจริงๆ” แม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธฟ้าใสถอนหายใจเบาๆ แม้เธอจะมีงานที่ต้องทำ แต่เมื่อแม่พูดเช่นนี้ เธอรู้ว่ามันต้องเป็นเรื่องที่เธอไม่ควรเมินเฉย “ได้ค่ะ ฟ้าจะรีบกลับไป”หลังจากวางสาย ฟ้าใสรีบเก็บของและขอตัวออกจากออฟฟิศ เธอรู้สึกไม่สบายใจเพราะ
ฟ้าใสยังคงรู้สึกสับสนหลังจากกลับมาจากบ้านแม่ เธอพยายามทำใจให้สงบ แต่ความคิดต่าง ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ตอนนี้เธอต้องเผชิญกับความจริงที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นคือเธออาจจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รู้จักมาก่อน "เราอยู่สมัยไหนกันแล้วเนี่ย ไม่มีทางแน่นอน มันจะต้องไม่เกิดขึ้น"หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ณ คฤหาสน์หรู ขนาด 100 ไร่ ใจกลางกรุงเทพฯ คุณหญิงอรพินท์ ธนเกียรติ์โภคิน ประธานบริษัท TK กรุ๊ป บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีในประเทศ และมีธุรกิจในเครืออีก 10 กว่าแห่ง มีลูกสองคน ปกรณ์ และมินตรา ธนเกียรติ์โภคิน สามีเพิ่งเสียไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว นั่งชะเง้อคอยใครสักคนอยู่ที่ห้องโถงกลางบ้าน สายตาคอยจับจ้องไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลาบรืนนนนนน เอี๊ยดดดดดด“ตากรณ์” คุณหญิงร้องเรียกขึ้นมาทันที โดยที่ยังไม่ได้เห็นเลยว่าผู้ที่มาคือใครตึก ตึก ตึก“มาแล้วค่ะ คุณแม่ ลูกชายสุดที่รักของคุณแม่กลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสดังขึ้นมา พร้อมร่างเพรียวบางราวนางแบบ เดินเคียงข้างควงแขนมากับชายหนุ่มหล่อสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียด และดวงตาคม เข้ามาที่ห้องโถงกลางบ้าน ที่คุณหญิงนั่งรออยู่ หญิงสาวเข้ามาสวมกอดคนเป็นแม่พร้อมยิ้ม
“โอเคครับแม่ ผมยอมแล้ว แม่อย่าร้องไห้เลยครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาหลังถอนหายใจครู่ใหญ่ ทำอย่างไรได้ แม่เล่นมาแนวนี้ ถ้าหากเขายังดื้อดึง มีหวังได้คุยกันยาว แถมแม่ต้องร้องไห้มากกว่านี้แน่ ถึงจะรู้ว่าอะไรคืออะไรก็ตาม“ว่าแต่คนที่ผมจะแต่งงานด้วย ชื่ออะไรครับ แล้วเป็นเพื่อนแม่คนไหนครับ”แม่เมื่อได้ฟังสิ่งที่อยากได้ยินแล้วนั้น ก็ตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง พร้อมทั้งเอ่ยสาธยายลูกสาวเพื่อนในทันที “เขาชื่อฟ้าใสจ๊ะ สวย น่ารัก แถมเก่งอีกต่างหาก เขาทำงานเป็นนักออกแบบโฆษณาอยู่ที่บริษัท CTM บริษัทในเครือเราเองจ๊ะ แต่หนูฟ้าใสเค้าไม่รู้นะ ว่าแม่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เป็นลูกของน้าอัญชลีไงจ๊ะ ตอนเด็กๆ เราก็เคยเจอกันบ่อยๆ”“ผมพอจำน้าอัญชลีได้ครับ เมื่อก่อนครอบครัวเรากับครอบครัวน้านัดเจอกันบ่อยๆ แต่ฟ้าใสผมไม่เจอตั้งแต่เค้าอายุ 12 แล้วนี่ครับ”“อ๋อ มินท์จำได้แล้วค่ะ พี่ฟ้าใส ที่ชอบผูกเปียสองข้าง แล้วพี่กรณ์ชอบแกล้งเค้าบ่อยๆ เจอกันทีไร พี่เขาร้องไห้กลับไปทุกที พอขึ้น ป. 4 หนูก็ไม่เห็นพี่เขามากับคุณแม่เขาอีกเลย”“คุณน้าบอกว่าชวนมาแล้วฟ้าใสเขาไม่ยอมมาด้วยจ๊ะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น” คุณหญิงนั่งนึกถึงเรื่องเก่าๆ พร้อมขมว
@ คอนโดหรูกลางกรุง ของฟ้าใสฟ้าใสที่ยังคิดทบทวนถึงเรื่องที่คุยกับแม่เมื่อตอนกลางวัน ทันใดนั้น อยู่ๆ ก็เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาเมื่อนึกถึงชื่อ ‘ปกรณ์’ ทำไมชื่อนี้คุ้นๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกความทรงจำบางอย่างโผล่ขึ้นมาถึงหน้าเด็กชายหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่ง พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเสียงดังตูม แค่แวบเดียวเท่านั้น มันก็หายไป แต่อาการปวดหัวยังอยู่ฟ้าใสเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวออกมาจากตู้ยา พร้อมทั้งเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำ หลังจากจัดการกับยาเรียบร้อย เดินกลับไปที่ห้องน้ำแล้วแช่น้ำอุ่น พร้อมคิดว่าจะหาทางออกจากเรื่องนี้อย่างไรดี อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นครืด ครืด“ฮัลโหล” ฟ้าใสไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา เอื้อมมือไปแล้วรับแล้วกรอกสายลงไปด้วยอารมณ์ เหนื่อยอ่อน“สวัสดี คุณเพื่อน กลับไปหาแม่มา เป็นไงบ้าง แม่เป็นอะไรหรือเปล่า” แป้ง เพื่อนสาวคนสนิท ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอ่ยถามออกมา เมื่อเพื่อนรักส่งเสียงทักทาย“แป้ง แกโทรมาพอดีเลย ฉันมีเรื่องกลุ้มใจมาก อยากหาที่ปรึกษาพอดี” ฟ้าใสผุดตัวนั่งหลังจากที่นอนหลับตาในอ่างอาบน้ำเพื่อคิดหาทางออกจากเรื่องนั้น“แกเป็นอะไร ยัยฟ้าใส ทำไมเสียงดูร้อนรนแ
“แล้วแกก็ได้จริงๆ ตามแผนแกหนะแหละ ว่าแต่อาการป่วยของแกเนี่ย อยู่ในแผนแกด้วยมั้ย” เพื่อนสาวชม พร้อมแขวะไป อย่างเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตัวเองมาเนี่ย อยู่ในแผนด้วยหรือเปล่า“ถ้าอยู่ในแผน ฉันจะมีหน้าอย่างนี้เหรอแกกก” ฟ้าใสพูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมทั้งไหลนอนพิงไปกับพนักโซฟา ลืมตามองเพดานอย่างไร้จุดหมาย“เฮ้ย ฟ้า มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ไหนมีอะไรเล่ามาเดี๋ยวนี้”“แม่บอกให้ฉันหมั้นกับเพื่อนลูกชายแม่.....” ฟ้าใสหลับตานั่งสักพัก ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น“ก็ดีแล้วนี่แก เราก็อายุเยอะกันแล้วนะ อีกไม่กี่ปีจะเข้าเลขสามแล้ว ถ้าเราเริ่มหาคนรู้ใจตอนนี้ กว่าจะคบ กว่าจะทำความรู้จัก จนถึงแต่งงาน เหี่ยวพอดี แกโชคดีออก แม่หาให้ ข้ามขั้นแต่งไปเลย เหี่ยวน้อยกว่าคนอื่นในอายุเท่ากันไปสองถึงสามปี ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แป้งพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมแหย่เพื่อนสาวไปในตัว เพราะรู้ว่าเพื่อนของเธอไม่มีทางที่จะเริ่มเปิดใจให้ใครแน่นอน หากแม่อัญ คุณแม่ของฟ้าใส สามารถหาคนดีๆ มาเป็นคู่ให้กับเพื่อนเธอได้ก็คงดีไม่น้อย“แกก็รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในแผนฉัน ฉันวางแผนชีวิตฉันไว้หมด
“ไง ไอ้เสือ กลับมาแล้วคิดถึงมาก เลยโทรตามกูยิกๆ ให้ออกมาหาเลยเหรอ” ธันวาเอ่ยถามปกรณ์อย่างอารมณ์ดี พร้อมดีใจที่เห็นเพื่อนรักกลับมาเมืองไทยสักที“เออ กูคิดถึงมึงมาก แต่มึงมาช้านะ กูนัดกี่โมงนี่ เลทมาเกือบชั่วโมงแล้วไอ้เวร” ปกรณ์ยักคิ้ว พร้อมยิ้มที่มุมปากแล้วพูดออกมา“เออ โทษทีวะ พอดีมีเรื่องกับป้าที่คอนโดนิดหน่อย เลยเสียเวลาต่อปากต่อคำ” ธันวาพูดพร้อมนึกถึงใบหน้าป้าที่เขาพูดถึง ‘ทำไมน่ารักได้ขนาดนั้นนะ คุณป้า หึหึ’“ป้าที่ไหนวะ ป้าแกอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ หรือท่านลงมาหาแก แล้วอยู่ถึงเมื่อไหร่ กูจะได้เข้าไปไหว้ คิดถึงท่านเหมือนกัน”“เปล่า ป้าที่อาศัยที่คอนโด ไม่ใช่ป้ากู” ธันวาส่ายหัวไปมา “ว่าแต่ที่เรียกกูมาเนี่ย คิดถึงมากงั้น ถึงมาปุ๊บ เรียกหากูปั๊บเลย” ว่าพลางยกคิ้วพลาง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์“อืม อยากดื่มเลยคิดถึงมึง” ว่าพลางยกแก้วสีอำพันขึ้นดื่ม“เป็นไรวะ กลับมาก็ดีแล้ว ทำไมดูหน้าเครียดๆ” ธันวาเอ่ย เมื่อลอบสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อน ขณะที่ยกดื่มหลายๆ อึก ในคราวเดียว ‘หรือมันรีบวะ’ ได้แต่คิดในใจ“แม่กูจะให้กูหมั้นวะ” สักพักใหญ่ๆ ปกรณ์ ก็ยอมเปิดปากพูดออกมา หลังจากที่นั่งดื่มเงียบๆ มาห
@บริษัท TK กรุ๊ปการประชุมผู้บริหาร เพื่อแนะนำปกรณ์ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าจะมีการลองภูมิจากผู้บริหารเก่าแก่บ้าง แต่ปกรณ์ที่มีประสบการณ์ทำงานมาจากต่างประเทศ ก็สามารถรับมือได้อย่างดี และทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารทั้งหมดในท้ายที่สุด“เก่งมาก ลูกแม่ ตอนนี้แม่ก็วางมือได้แล้วหละ” คุณหญิงอรพินท์กล่าวชื่นชมลูกชายด้วยความภูมิใจ“ใช่คะ คุณแม่ พี่กรณ์เก่งมากเลย” น้องมินท์รีบพูดเยินยอพี่ชาย ‘ฮิฮิ ต่อไปงานส่วนใหญ่ก็ส่งต่อให้พี่กรณ์ เราก็มีเวลาหนีเที่ยวแล้ว นึกถึงก็มีความสุขแล้ว’“ตอนนี้เพิ่ง 11 โมง เดี๋ยวแม่ขอโทรหาน้าอัญก่อนนะคะ จะได้นัดหนูฟ้าใสมาเจอกันเย็นนี้ น้องมินท์อย่าลืมดูสถานที่ให้แม่ด้วยนะลูก ขอส่วนตัว พี่เขาจะได้ไม่เขิน” คุณหญิงพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี ลูกชายจะทั้งลัคกี้อินเกมส์ และลัคกี้อินเลิฟด้วยหรือเปล่าน้า คิดแล้วก็มีความสุข“คะ คุณแม่ รอคุณแม่คุยเสร็จได้เวลาแน่นอน แล้วมินท์จะได้จองให้ทันทีเลยคะ”“โอเคคะ งั้นแม่รีบโทรเลยนะ”“ฮัลโหล อัญเหรอ สบายดีมั้ย พอดีอยากจะนัดเธอกับหนูฟ้าใสทานข้าวเย็นนี้หน่อยจ๊ะ จะได้ถือโอกาสให้เจอกับตากรณ์เลย” อรพินท์เอ่ยปากทักทายพร้อมถามเพื่อนสนิททัน
ระหว่างทางนั่งรถกลับบ้านของหนุ่มสาวทั้งสอง ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นเกือบสิบนาที“อะแฮ่ม” ปกรณ์กระแอมออกมาเพื่อต้องการกลบความเงียบ และเรียกร้องความสนใจอีกฝ่ายก่อนการเริ่มบทสนทนา เสียงกระแอมทำให้หญิงสาวที่หันหน้าเข้าหากระจกข้างตลอดเวลาหันกลับมามองหน้าคนขับ“เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ยัยผมเปีย ตั้งแต่ตกน้ำคราวนั้น ก็ไม่มาที่บ้านฉันอีกเลย คงจะโกรธสินะ แล้วนี่ ทำไมถึงยอมรับการหมั้นครั้งนี้หละ” ปกรณ์รีบถามเข้าเรื่อง เพื่อจะปูไปยังเป้าหมายที่ต้องการ“คุณพูดอะไร เราเคยเจอกันมาก่อนเหรอ” ฟ้าใสขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินคำทักเหมือนรู้จักกันมาก่อนของชายหนุ่ม“ไม่เอาหน่า ไม่ต้องมาอำ ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ เรื่องนานมาแล้วนะ อะไรจะโกรธนานขนาดนั้น โกรธยาวขนาดนี้ เจ้าคิดเจ้าแค้นนะเนี่ย คุณหนะ” ปกรณ์ยังคงยียวน และไม่เชื่อว่าหญิงสาวจำเขาไม่ได้“คุณนี้มันจริงๆ เลย นอกจากหน้าตาและความรวยแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรดีจริงๆ โดยเฉพาะปาก ฉันไม่เคยเจอคุณมาก่อน เราไม่เคยรู้จักกัน แล้วฉันจะไปโกรธอะไรคุณฮะ” ฟ้าใส เริ่มทนไม่ได้กับความปากเสียของหนุ่มหล่อ ‘เสียของอย่างแรง’ นั่นคือประโยคที่คิดในใจ“อ้าวคุณ พูดอย่างนี้เลยเหรอ ว่าจะขอโทษสัก
“กรณ์ ลูกนี่ น้องก็ขอโทษแล้วบอกเหตุผลแล้วนิ ว่ารถเสีย ทำไมยังไปว่าน้องอีกหนะ ไม่เป็นไรลูกฟ้า ป้าเข้าใจจ๊ะ ว่าแต่หนูมายังไงจ๊ะ” ประโยคแรกปรามลูกชายเสียงดัง ประโยคหลังพูดกับว่าที่ลูกสะใภ้เสียงอ่อนโยน“แหม แม่ไม่ค่อยลำเอียงเลยนะคะ กับว่าที่ลูกสะใภ้เสียงสองเชียว มินท์ว่าพี่กรณ์กลายเป็นหมาหัวเน่าแล้วแหละ แม่มีลูกคนใหม่แล้ว แบร่” มินท์ได้ทีรีบแกล้งแหย่พี่ชายทันทีปกรณ์ทำท่าจะเขกหัวน้องสาวตัวแสบที่นั่งอยู่ข้างๆ เสียงแม่ก็รีบปรามเป็นคำรบสอง“หยุดเลยนะ สองคนนี้ โตกันแล้ว อยู่ต่อหน้าหนูฟ้าใส และคุณน้าอัญเรายังจะตีกันเป็นเด็กๆ ไปได้” อรพินท์ส่ายหน้า พร้อมพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก“ทั้งสองคนยังร่าเริงกันเหมือนเดิมนะ น่ารักน่าเอ็นดูกันจริงๆ” อัญชลีเอ่ยปากออกมาอย่างเอ็นดู“ว่าแต่หนูฟ้าใสมาอย่างไรจ๊ะ เราเลยไม่มีโอกาสได้บอกป้าสักทีเพราะสองคนนี้แย่งเราพูดใช่มั้ย” คุณหญิงหันกลับมาถามคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบสักที“มารถไฟฟ้าคะ ตอนนี้รถส่งไปเข้าศูนย์คะ” ฟ้าใสตอบอย่างสุภาพ หลังจากที่สูดหายใจลึกๆ เพื่อไม่ให้โมโหคนกวนประสาทไปมากกว่านี้“อ้าว แล้วขากลับเรากลับยังไงหละจ๊ะ”“กลับรถไฟฟ้าได้คะ คอนโดฟ้าอยู่ xxx ใกล้สถา
@บริษัท TK กรุ๊ปการประชุมผู้บริหาร เพื่อแนะนำปกรณ์ผ่านไปได้ด้วยดี ถึงแม้ว่าจะมีการลองภูมิจากผู้บริหารเก่าแก่บ้าง แต่ปกรณ์ที่มีประสบการณ์ทำงานมาจากต่างประเทศ ก็สามารถรับมือได้อย่างดี และทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารทั้งหมดในท้ายที่สุด“เก่งมาก ลูกแม่ ตอนนี้แม่ก็วางมือได้แล้วหละ” คุณหญิงอรพินท์กล่าวชื่นชมลูกชายด้วยความภูมิใจ“ใช่คะ คุณแม่ พี่กรณ์เก่งมากเลย” น้องมินท์รีบพูดเยินยอพี่ชาย ‘ฮิฮิ ต่อไปงานส่วนใหญ่ก็ส่งต่อให้พี่กรณ์ เราก็มีเวลาหนีเที่ยวแล้ว นึกถึงก็มีความสุขแล้ว’“ตอนนี้เพิ่ง 11 โมง เดี๋ยวแม่ขอโทรหาน้าอัญก่อนนะคะ จะได้นัดหนูฟ้าใสมาเจอกันเย็นนี้ น้องมินท์อย่าลืมดูสถานที่ให้แม่ด้วยนะลูก ขอส่วนตัว พี่เขาจะได้ไม่เขิน” คุณหญิงพูดไปยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี ลูกชายจะทั้งลัคกี้อินเกมส์ และลัคกี้อินเลิฟด้วยหรือเปล่าน้า คิดแล้วก็มีความสุข“คะ คุณแม่ รอคุณแม่คุยเสร็จได้เวลาแน่นอน แล้วมินท์จะได้จองให้ทันทีเลยคะ”“โอเคคะ งั้นแม่รีบโทรเลยนะ”“ฮัลโหล อัญเหรอ สบายดีมั้ย พอดีอยากจะนัดเธอกับหนูฟ้าใสทานข้าวเย็นนี้หน่อยจ๊ะ จะได้ถือโอกาสให้เจอกับตากรณ์เลย” อรพินท์เอ่ยปากทักทายพร้อมถามเพื่อนสนิททัน
“ไง ไอ้เสือ กลับมาแล้วคิดถึงมาก เลยโทรตามกูยิกๆ ให้ออกมาหาเลยเหรอ” ธันวาเอ่ยถามปกรณ์อย่างอารมณ์ดี พร้อมดีใจที่เห็นเพื่อนรักกลับมาเมืองไทยสักที“เออ กูคิดถึงมึงมาก แต่มึงมาช้านะ กูนัดกี่โมงนี่ เลทมาเกือบชั่วโมงแล้วไอ้เวร” ปกรณ์ยักคิ้ว พร้อมยิ้มที่มุมปากแล้วพูดออกมา“เออ โทษทีวะ พอดีมีเรื่องกับป้าที่คอนโดนิดหน่อย เลยเสียเวลาต่อปากต่อคำ” ธันวาพูดพร้อมนึกถึงใบหน้าป้าที่เขาพูดถึง ‘ทำไมน่ารักได้ขนาดนั้นนะ คุณป้า หึหึ’“ป้าที่ไหนวะ ป้าแกอยู่ต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ หรือท่านลงมาหาแก แล้วอยู่ถึงเมื่อไหร่ กูจะได้เข้าไปไหว้ คิดถึงท่านเหมือนกัน”“เปล่า ป้าที่อาศัยที่คอนโด ไม่ใช่ป้ากู” ธันวาส่ายหัวไปมา “ว่าแต่ที่เรียกกูมาเนี่ย คิดถึงมากงั้น ถึงมาปุ๊บ เรียกหากูปั๊บเลย” ว่าพลางยกคิ้วพลาง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์“อืม อยากดื่มเลยคิดถึงมึง” ว่าพลางยกแก้วสีอำพันขึ้นดื่ม“เป็นไรวะ กลับมาก็ดีแล้ว ทำไมดูหน้าเครียดๆ” ธันวาเอ่ย เมื่อลอบสังเกตอากัปกิริยาของเพื่อน ขณะที่ยกดื่มหลายๆ อึก ในคราวเดียว ‘หรือมันรีบวะ’ ได้แต่คิดในใจ“แม่กูจะให้กูหมั้นวะ” สักพักใหญ่ๆ ปกรณ์ ก็ยอมเปิดปากพูดออกมา หลังจากที่นั่งดื่มเงียบๆ มาห
“แล้วแกก็ได้จริงๆ ตามแผนแกหนะแหละ ว่าแต่อาการป่วยของแกเนี่ย อยู่ในแผนแกด้วยมั้ย” เพื่อนสาวชม พร้อมแขวะไป อย่างเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่ตัวเองมาเนี่ย อยู่ในแผนด้วยหรือเปล่า“ถ้าอยู่ในแผน ฉันจะมีหน้าอย่างนี้เหรอแกกก” ฟ้าใสพูดออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมทั้งไหลนอนพิงไปกับพนักโซฟา ลืมตามองเพดานอย่างไร้จุดหมาย“เฮ้ย ฟ้า มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ ไหนมีอะไรเล่ามาเดี๋ยวนี้”“แม่บอกให้ฉันหมั้นกับเพื่อนลูกชายแม่.....” ฟ้าใสหลับตานั่งสักพัก ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น“ก็ดีแล้วนี่แก เราก็อายุเยอะกันแล้วนะ อีกไม่กี่ปีจะเข้าเลขสามแล้ว ถ้าเราเริ่มหาคนรู้ใจตอนนี้ กว่าจะคบ กว่าจะทำความรู้จัก จนถึงแต่งงาน เหี่ยวพอดี แกโชคดีออก แม่หาให้ ข้ามขั้นแต่งไปเลย เหี่ยวน้อยกว่าคนอื่นในอายุเท่ากันไปสองถึงสามปี ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” แป้งพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี พร้อมแหย่เพื่อนสาวไปในตัว เพราะรู้ว่าเพื่อนของเธอไม่มีทางที่จะเริ่มเปิดใจให้ใครแน่นอน หากแม่อัญ คุณแม่ของฟ้าใส สามารถหาคนดีๆ มาเป็นคู่ให้กับเพื่อนเธอได้ก็คงดีไม่น้อย“แกก็รู้ว่ามันไม่ได้อยู่ในแผนฉัน ฉันวางแผนชีวิตฉันไว้หมด
@ คอนโดหรูกลางกรุง ของฟ้าใสฟ้าใสที่ยังคิดทบทวนถึงเรื่องที่คุยกับแม่เมื่อตอนกลางวัน ทันใดนั้น อยู่ๆ ก็เกิดอาการปวดหัวขึ้นมาเมื่อนึกถึงชื่อ ‘ปกรณ์’ ทำไมชื่อนี้คุ้นๆ แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกความทรงจำบางอย่างโผล่ขึ้นมาถึงหน้าเด็กชายหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่ง พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และเสียงดังตูม แค่แวบเดียวเท่านั้น มันก็หายไป แต่อาการปวดหัวยังอยู่ฟ้าใสเดินไปหยิบยาแก้ปวดหัวออกมาจากตู้ยา พร้อมทั้งเดินไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำ หลังจากจัดการกับยาเรียบร้อย เดินกลับไปที่ห้องน้ำแล้วแช่น้ำอุ่น พร้อมคิดว่าจะหาทางออกจากเรื่องนี้อย่างไรดี อยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นครืด ครืด“ฮัลโหล” ฟ้าใสไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา เอื้อมมือไปแล้วรับแล้วกรอกสายลงไปด้วยอารมณ์ เหนื่อยอ่อน“สวัสดี คุณเพื่อน กลับไปหาแม่มา เป็นไงบ้าง แม่เป็นอะไรหรือเปล่า” แป้ง เพื่อนสาวคนสนิท ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เอ่ยถามออกมา เมื่อเพื่อนรักส่งเสียงทักทาย“แป้ง แกโทรมาพอดีเลย ฉันมีเรื่องกลุ้มใจมาก อยากหาที่ปรึกษาพอดี” ฟ้าใสผุดตัวนั่งหลังจากที่นอนหลับตาในอ่างอาบน้ำเพื่อคิดหาทางออกจากเรื่องนั้น“แกเป็นอะไร ยัยฟ้าใส ทำไมเสียงดูร้อนรนแ
“โอเคครับแม่ ผมยอมแล้ว แม่อย่าร้องไห้เลยครับ” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาหลังถอนหายใจครู่ใหญ่ ทำอย่างไรได้ แม่เล่นมาแนวนี้ ถ้าหากเขายังดื้อดึง มีหวังได้คุยกันยาว แถมแม่ต้องร้องไห้มากกว่านี้แน่ ถึงจะรู้ว่าอะไรคืออะไรก็ตาม“ว่าแต่คนที่ผมจะแต่งงานด้วย ชื่ออะไรครับ แล้วเป็นเพื่อนแม่คนไหนครับ”แม่เมื่อได้ฟังสิ่งที่อยากได้ยินแล้วนั้น ก็ตาเป็นประกาย ยิ้มกว้าง พร้อมทั้งเอ่ยสาธยายลูกสาวเพื่อนในทันที “เขาชื่อฟ้าใสจ๊ะ สวย น่ารัก แถมเก่งอีกต่างหาก เขาทำงานเป็นนักออกแบบโฆษณาอยู่ที่บริษัท CTM บริษัทในเครือเราเองจ๊ะ แต่หนูฟ้าใสเค้าไม่รู้นะ ว่าแม่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ เป็นลูกของน้าอัญชลีไงจ๊ะ ตอนเด็กๆ เราก็เคยเจอกันบ่อยๆ”“ผมพอจำน้าอัญชลีได้ครับ เมื่อก่อนครอบครัวเรากับครอบครัวน้านัดเจอกันบ่อยๆ แต่ฟ้าใสผมไม่เจอตั้งแต่เค้าอายุ 12 แล้วนี่ครับ”“อ๋อ มินท์จำได้แล้วค่ะ พี่ฟ้าใส ที่ชอบผูกเปียสองข้าง แล้วพี่กรณ์ชอบแกล้งเค้าบ่อยๆ เจอกันทีไร พี่เขาร้องไห้กลับไปทุกที พอขึ้น ป. 4 หนูก็ไม่เห็นพี่เขามากับคุณแม่เขาอีกเลย”“คุณน้าบอกว่าชวนมาแล้วฟ้าใสเขาไม่ยอมมาด้วยจ๊ะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น” คุณหญิงนั่งนึกถึงเรื่องเก่าๆ พร้อมขมว
ฟ้าใสยังคงรู้สึกสับสนหลังจากกลับมาจากบ้านแม่ เธอพยายามทำใจให้สงบ แต่ความคิดต่าง ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ตอนนี้เธอต้องเผชิญกับความจริงที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นคือเธออาจจะต้องแต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รู้จักมาก่อน "เราอยู่สมัยไหนกันแล้วเนี่ย ไม่มีทางแน่นอน มันจะต้องไม่เกิดขึ้น"หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ณ คฤหาสน์หรู ขนาด 100 ไร่ ใจกลางกรุงเทพฯ คุณหญิงอรพินท์ ธนเกียรติ์โภคิน ประธานบริษัท TK กรุ๊ป บริษัทชั้นนำทางด้านเทคโนโลยีในประเทศ และมีธุรกิจในเครืออีก 10 กว่าแห่ง มีลูกสองคน ปกรณ์ และมินตรา ธนเกียรติ์โภคิน สามีเพิ่งเสียไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว นั่งชะเง้อคอยใครสักคนอยู่ที่ห้องโถงกลางบ้าน สายตาคอยจับจ้องไปที่ประตูอยู่ตลอดเวลาบรืนนนนนน เอี๊ยดดดดดด“ตากรณ์” คุณหญิงร้องเรียกขึ้นมาทันที โดยที่ยังไม่ได้เห็นเลยว่าผู้ที่มาคือใครตึก ตึก ตึก“มาแล้วค่ะ คุณแม่ ลูกชายสุดที่รักของคุณแม่กลับมาแล้วค่ะ” เสียงใสดังขึ้นมา พร้อมร่างเพรียวบางราวนางแบบ เดินเคียงข้างควงแขนมากับชายหนุ่มหล่อสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียด และดวงตาคม เข้ามาที่ห้องโถงกลางบ้าน ที่คุณหญิงนั่งรออยู่ หญิงสาวเข้ามาสวมกอดคนเป็นแม่พร้อมยิ้ม
ฟ้าใสนั่งอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ ของเธอที่บริษัทโฆษณาชื่อดังในกรุงเทพฯ เธอกำลังจดจ่อกับงานออกแบบโปสเตอร์สำหรับลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องส่งในวันพรุ่งนี้ ขณะที่เธอกำลังวุ่นวายกับการหามุมที่ลงตัว เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น ทำให้ฟ้าใสสะดุ้งเล็กน้อย เธอคว้ามันขึ้นมาดูชื่อที่แสดงบนหน้าจอ"แม่?" ฟ้าใสพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ แม่ไม่ค่อยโทรหาช่วงเวลางาน ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ"สวัสดีค่ะ แม่ มีอะไรเหรอคะ?" ฟ้าใสถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเสียงของแม่ดังขึ้นที่ปลายสาย แต่กลับไม่ใช่เสียงที่ฟ้าใสคุ้นเคยที่มักจะใจดีและร่าเริง แต่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล “ฟ้าใส ลูกต้องกลับบ้านด่วนเลยจ้ะ มีเรื่องสำคัญมากที่แม่ต้องบอก”ฟ้าใสขมวดคิ้ว “เรื่องอะไรคะ แม่? เล่าให้ฟ้าฟังทางโทรศัพท์ก็ได้นี่คะ”“ไม่ได้จ้ะ มันเป็นเรื่องที่พูดทางโทรศัพท์ไม่ได้ ลูกต้องกลับมาจริงๆ” แม่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธฟ้าใสถอนหายใจเบาๆ แม้เธอจะมีงานที่ต้องทำ แต่เมื่อแม่พูดเช่นนี้ เธอรู้ว่ามันต้องเป็นเรื่องที่เธอไม่ควรเมินเฉย “ได้ค่ะ ฟ้าจะรีบกลับไป”หลังจากวางสาย ฟ้าใสรีบเก็บของและขอตัวออกจากออฟฟิศ เธอรู้สึกไม่สบายใจเพราะ