“นี่ล้อเล่นกันใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามแมรี่ โดยหวังว่าเธอเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้นเธอส่ายหน้าปฏิเสธอย่างโศกเศร้าก่อนยื่นโทรศัพท์ของเธอมาให้“บ้านเอวา ชาร์ปไฟโหมจนวอด หลังเปิดเผยตัวตนว่าเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิโฮป”ฉันอ่านพาดหัวข่าวนั้นซ้ำไปซ้ำมาโดยหวังว่านี่คงเป็นเพียงการอำกันเล่น ฉันกลับคาดหวังผิดไปเมื่อเลื่อนลงมาพบวิดีโอที่แสดงว่าบ้านกำลังไฟลุกอยู่ยิ่งฉันไม่ยอมรับมากเท่าไร ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยว่าบ้านของฉันกำลังไฟไหม้จริง ๆหัวใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มโดยพลัน ฉันวางโทรศัพท์ของแมรี่ลงและดีดร่างกายลุกขึ้น ทุกการเคลื่อนไหวสั่นสะท้านขณะรีบร้อนออกจากห้องทำงาน“เอวา เดี๋ยวก่อน” เธอร้องเรียกฉันแต่เสียงนั้นกลับส่งมาไม่ถืงโสตประสาทฉันใบหน้าของเด็กน้อยตรงนั้นกลายเป็นภาพเลือนลาง ขณะฉันเคลื่อนไหวโดยไวขนาดเสือชีตาร์ยังอาย หัวสมองฉันว่างเปล่าขณะพุ่งตัวออกไปข้างนอกฉันเดินขึ้นไปบนรถและรีบขับออกจากที่จอด นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่แมรี่พุ่งตัวมาที่ประตู เธอโบกมือราวกับจะให้ฉันหยุดรถ ฉันไม่สนใจเธอและรีบขับรถออกไปสติของฉันมันยุ่งเหยิงไปหมด ความโกรธและความกังวลกลืนกินฉันหรือว่าฉันลืมปิดเตาและนั
“แล้วรถคุณเล่า?” ฉันเอ่ยถามพลางติดเครื่องยนต์ฉันรู้ว่าเขาต้องขับรถมาเองหรือไม่คงเป็นคนขับรถขับมาส่ง คนอย่างโรแวนไม่มีทางเรียกรถรับจ้างมารับอย่างแน่นอน “เดี๋ยวเดนนิสขับรถผมกลับบ้านเอง…ผมโทรเรียกเขามาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ” เขากล่าวเป็นเวลาเดียวกับที่ฉันถอยรถและขับออกไป“บ้าน…ฉันไม่มีอีกแล้ว” ฉันกระซิบเสียงเบาด้วยความเศร้า“เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” “คิดงั้นหรือ?” ฉันเอ่ยถามด้วยความเศร้าด้วยเหตุผลบางประการ ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นทั้งนั้น มันกลับจะยิ่งแย่ลงไปเรื่อย ๆฉันหยิบโทรศัพท์ออกพร้อมกดโทรไปหานายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เขารับสายตั้งแต่เสียงดังครั้งแรก“ผมเสียใจด้วยจริง ๆ นะครับคุณเอวา ผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบ้านของคุณหมดแล้ว” เขาเอ่ยด้วยโทนเสียงที่แตกต่างจากเคย“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันหยุดเพียงครู่ “บอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าคุณเตรียมอะไรไว้ให้ฉันบ้าง อะไรก็ได้ค่ะ เพราะตอนนี้ฉันไม่มีบ้านให้อยู่แล้ว”ฉันไม่ใช่คนที่ชอบนอนค้างอ้างแรมในโรงแรมเสียเท่าไรนัก ยิ่งในเวลาเช่นนี้ด้วย ฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรหากเขาตอบกลับมาว่าไม่มีบ้านหลังไหนเหลืออยู่เลย“มีครับ มีอยู่หลังหนึ่ง มันเหมาะกับคุ
“แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็ดำเนินมามากกว่าห้าปีแล้วใช่ไหม?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา“ใช่…ตอนที่ฉันได้เงินล้านก้อนแรก ฉันอยากจะบอกคุณใจจะขาด อยากให้คุณภูมิใจในตัวฉัน อยากให้รู้ไว้ว่าฉันไม่ใช่คนขี้แพ้พวกนั้น” ฉันรู้สึกเหมือนย้อนไปในวันนั้น “ฉันจำได้ว่ารอคุณกลับถึงบ้าน แต่คุณก็ไม่ได้กลับมาบ้าน ฉันจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้จนเช้า แต่ฉันก็อยากจะบอกคุณอยู่ดี ตอนที่เห็นคุณอยู๋ในครัววันต่อมา ฉันจึงเดินเข้าไปนั่งข้างคุณ แล้วบอกว่าฉันมีเรื่องจะบอก”ฉันหยุดไปครู่หนึ่งและสูดลมหายใจเข้าลึก ความทรงจำนั้นฝังลึกในสมองฉัน“แทนที่คุณจะตั้งใจฟังฉัน คุณกลับหันหน้ามาแล้วทำสายตาเย็นชาใส่ แล้วก็บอกว่าไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉันจะพูด บอกว่าไม่ได้สนใจชีวิตฉันหรือว่าฉันจะทำอะไร คุณยังใจร้ายบอกอีกว่าฉันจะไปตายที่ไหนก็ไป ไม่ว่าจะไปที่ไหนคุณก็ไม่ได้สนใจทั้งนั้น แทนที่จะมานั่งเสียเวลาตรงนี้แล้วทำให้ช่วงเวลาตอนเช้าของคุณเสียเปล่าไป ทำไมออกไปกวนคนอื่นแทนเล่า”ความเงียบสงัดที่ก่อตัวขึ้นในรถคันนี้ช่างหนักอึ้ง ฉันเหลือบเห็นลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงขณะกลืนน้ำลาย“เอวา…” เขาเริ่มพูดออกมา กระนั้นฉันขัดจังหวะเขาเสียก่อน “ดังนั้นฉ
ฉันเดินทางมาซื้อเฟอร์นิเจอร์ กระนั้นจิตกลับไม่ได้จดจ่ออยู่มันเลย ฉันซื้อบ้านหลังใหม่ มันเหมาะสมและเข้ากับความชื่นชอบของฉันเป็นอย่างมาก เรียบง่ายแต่ก็อบอุ่น บ้านหลังใหม่อยู่ในระแวกเพื่อนบ้านที่ดีและยังอยู่ใกล้กับโรงเรียนของโนอาอีกด้วย ฉันรู้สึกชอบทันทีที่ได้เห็น อีกทั้งยังมีสนามหญ้าหลังบ้านขนาดใหญ่ซึ่งโนอาสามารถวิ่งเล่นได้เต็มที่ไม่เหมือนบ้านหลังเก่า“คุณตั้งใจเลือกอยู่หรือเปล่าเนี่ย?” เล็ตตี้เอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดเธอมาช่วยฉันเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านใหม่ ซึ่งฉันก็ซื้อบ้านมาได้สามวันแล้ว บ้านหลังใหม่ยังเป็นบ้านโล่ง ๆ อยู่เลย พูดกันตามตรงฉันยังไม่มีเตียงนอนเลยด้วยซ้ำ ฉันต้องเอาฟูกมาปูนอนกับพื้นอยู่“ขอโทษทีนะเล็ตตี้…พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ” ฉันกล่าวขอโทษเมื่อคิดว่ามีคนจ้องจะเอาชีวิตของคุณอยู่ หลายสิ่งหลายอย่างก็กลายเป็นด้อยความสำคัญไป เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับการมีชีวิตอยู่ให้นานมากพอที่จะเห็นลูกน้อยของคุณเติบโต ฉันยังคงทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่แม้รู้ว่าเพิ่งเฉียดความตายมาได้อีกครั้ง มีใครบางคนตั้งใจลอบวางเพลิงบ้านฉัน คนเหล่านั้นต้องการให้ฉันไฟครอกตายทั้งเป็น
ฉันส่งยิ้มให้เธอเราหาร้านน่ารัก ๆ แห่งหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เมื่อนั่งประจำที่อาหารของพวกเราทั้งสองก็มาเสิร์ฟในเวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้น เราสั่งอาหารพื้น ๆ เหมือนกัน เฟรนช์ฟรายซ์ เบอร์เกอร์ ปีกไก่ทอดและมิลก์เชคบทสนทนาของเรานั้นลื่นไหลอย่างมาก เราไม่ได้พูดคุยเรื่องใหญ่อะไรเพียงแค่มุกตลก เพลิดเพลินกับมื้ออาหารและรู้สึกสนุกที่ได้อยู่ด้วยกัน ช่วงเวลานั้นฉันลืมปัญหาที่มีและรู้สึกดีจริง ๆ“โอ้ย อิ่มจนแทบจะคิดอะไรอย่างคนอื่นเขาไม่ได้แล้ว” เล็ตตี้เล่นมุก ฉันจึงหัวเราะออกมา ความสุขเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่นั้นของเธอ ซึ่งดูน่ารักใช่ย่อย“แหม พูดอย่างกับถึงจุดสุดยอดอย่างนั้นแหละ” ฉันเล่นมุกบ้างเธอหัวเราะตอบโต้ “ใช่เลยจ้า อาหารทำให้ฉันถึงจุดสุดยอด”ฉันหัวเราะพลางบอกเธอว่ามันไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย คำว่าอาหารและจุดสุดยอดไม่ควรมารวมกันในประโยคเดียว“ได้สิ…ก็อาหารทำให้เรามีความสุขใช่ไหมเล่า แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็เป็นความสุขเดียวกับที่เจ้าหนูน้อยของทราวิส…”ฉันสำลัก “อย่ากล้าพูดจนจบประโยคนะ…ไม่เคยได้ยินหรือว่าปลาหมอน่ะตายเพราะปาก” ฉันมองเธอด้วยสายตาหวาดหวั่น “บอกเอาไว้เลยนะว่าสิ
“ก็แกหลงโรแวนขนาดนั้น คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดของแกลงหรือไง?” เอมม่าเย้ยหยันและฉันก็ตอกกลับ“แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นเธอมากกว่านะที่หลงเขาจนโงหัวไม่ขึ้น…แล้วถ้าไม่ว่าอะไรฉันขอตัวนะ เธอทำให้ฉันเสียเวลามากเกินพอแล้ว”“ฉันยังพูดไม่จบนะ นางบ้า” ฉันไม่สนใจเธอแต่คำพูดต่อมาทำให้ฉันตัวแข็งทื่อ“ฉันสาบานเอาไว้ตรงนี้เลย เอวา ถ้าแกเดินไปอีกก้าวเดียว ฉันจะตามล่าหาไอ้เด็กเหลือขอลูกชายแกให้มาชดใช้เรื่องนี้ มันเองก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องเสียทุกอย่างไปเหมือนกัน”ฉันได้ยินเสียงสูดหายใจจากทราวิส แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจฉันขยับร่างกายไปโดยไม่ได้คิดฉันหมุนตัวและผลักเธอกระแทกเข้ากับรถตู้คันหนึ่ง ฉันใช่ท่อนแขนกดเข้าที่คอของเอมม่า ตรึงร่างของเธอเอาไว้กับรถตู้และบีบคอเธอจนหายใจไม่ออกหลักสูตรการเรียนป้องกันตัวที่ฉันเสียเงินเรียนไปเมื่ออาทิตย์ก่อนได้ใช้งานเสียที อีกทั้งฉันยังมีใบอนุญาตการครอบครองอาวุธปืนด้วย อีธานแนะนำให้ฉันพกปืนเอาไว้ป้องกันตัวหลังจากที่บ้านเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นในหัวฉันว่างโล่งตอนที่ฉันควักปืนออกมาจ่อเข้าที่ขมับของเอมม่า“ถ้าหล่อนพูดข่มขู่โนอาอีกแค่ครั้งเดียว ฉันเอาหล่อนตายแน่ ฉันจะ
ฉันยังคงรู้สึกหัวเสียอยู่แม้ว่าจะเดินทางถึงบ้านใหม่แล้วก็ตาม อาจต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อคุ้นเคยกับการเรียกที่แห่งนี้ว่าบ้านฉันจอดรถและเดินออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ โรแวนนั่งรอฉันอยู่นอกบ้าน ฉันเดินเข้าใกล้เขาพร้อมกับสายตาของเขาที่กำลังจับจ้องหน้าฉัน“ถ้าอยากจะมาด่าฉันเพราะเรื่องเอมม่า ก็เชิญเดินกลับไปที่รถแล้วขับออกไปเสียเถอะ”ฉันสาบานเลยหากเขามาที่เพื่อสร้างปัญหาแล้วล่ะก็ ฉันก็พร้อมไล่ตะเพิดเขากลับออกไปโดยไวเลย“พูดเรื่องอะไรของคุณ?” เขาเอ่ยถามพร้อมลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง“ฉันมั่นใจว่านางผู้หญิงคนนั้นโทรหาคุณแล้วก็เล่าเรื่องโกหกให้ฟังใช่ไหม?” ฉันเดือดพล่านเมื่อนึกถึงคำพูดของเอมม่าฉันกระแทกเท้าและยืนรอเพื่อให้เขายืนยันเรื่องนี้ ไม่งั้นทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ไม่นานหลังจากที่ฉันกับเอมม่าเพิ่งจะมีปากเสียงกันล่ะ?“ผมไม่รู้นะว่าคุณกำลังพูดเรื่องบ้าบออะไรอยูู่ แต่ผมไม่ได้มาเพราะปัญหาระหว่างคุณทั้งสองนะ” เขาเอ่ยพร้อมนำมือขึ้นมาเสยผม “ถ้างั้นคุณมาที่นี่ทำไม?” ฉันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“ทราวิสโทรมาหา แล้วบอกว่าคุณอาจต้องการคนช่วยจัดย้ายของเข้าบ้าน” เขาเดินตรงเข้าม
ฉันปลดล็อกรถขนของก่อนหันหน้ามองเขาทั้งสอง หกมืออย่างไรเสียก็ดีกว่าสี่มือ ยิ่งกว่านั้นของบางชิ้นก็มีน้ำหนักมากเสียด้วย คงเป็นเรื่องง่ายขึ้นหากให้ชายหนุ่มทั้งสองขนของเหล่านั้นแทนที่จะเป็นฉันและอีธาน “จะเลิกจ้องหน้ากันแล้วมาช่วยฉันขนของได้ไหม?” ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครขยับมาช่วยเลย โรแวนเปล่งเสียงฮึดฮัดและเดินกระทืบเท้ามาทางฉัน อีธานเดินตามมาหลังจากนั้น “แล้วจะยกอะไรก่อนดี?” ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครขยับตัวยกของเลยชายหนุ่มทั้งสองเริ่มทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิด ฉันมั่นใจเลยหากบอกให้กลับไปก็จะไม่มีใครไปอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครลงมือช่วยทำงานเลย หากรู้ว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้ ฉันยอมจ้างคนมาช่วยเสียดีกว่า ในที่สุดอีธานจริงเริ่มขยับก่อนเป็นคนแรกและเดินไปจับปลายด้านหนึ่งของโซฟา หลังจากยืนสบสันกรามอยู่นาน โรแวนจึงเดินไปจับปลายอีกฝั่งพวกเขาย้ายโซฟาเข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไรเลย ฉันเดินตามเข้าไปด้วยโดยหยิบของที่ขนได้ไปเราทำงานกันอย่างเงียบเชียบ ฉันพยายามเข้าไปเชื่อมสัมพันธ์ทั้งสอง กระนั้นทั้งสองกลับดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง สามสิบนาทีต่อมา ของที่มีน้ำหนักเกือบท