ฉันยังคงรู้สึกหัวเสียอยู่แม้ว่าจะเดินทางถึงบ้านใหม่แล้วก็ตาม อาจต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเพื่อคุ้นเคยกับการเรียกที่แห่งนี้ว่าบ้านฉันจอดรถและเดินออกมาด้วยความรู้สึกแปลกใจ โรแวนนั่งรอฉันอยู่นอกบ้าน ฉันเดินเข้าใกล้เขาพร้อมกับสายตาของเขาที่กำลังจับจ้องหน้าฉัน“ถ้าอยากจะมาด่าฉันเพราะเรื่องเอมม่า ก็เชิญเดินกลับไปที่รถแล้วขับออกไปเสียเถอะ”ฉันสาบานเลยหากเขามาที่เพื่อสร้างปัญหาแล้วล่ะก็ ฉันก็พร้อมไล่ตะเพิดเขากลับออกไปโดยไวเลย“พูดเรื่องอะไรของคุณ?” เขาเอ่ยถามพร้อมลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง“ฉันมั่นใจว่านางผู้หญิงคนนั้นโทรหาคุณแล้วก็เล่าเรื่องโกหกให้ฟังใช่ไหม?” ฉันเดือดพล่านเมื่อนึกถึงคำพูดของเอมม่าฉันกระแทกเท้าและยืนรอเพื่อให้เขายืนยันเรื่องนี้ ไม่งั้นทำไมเขาถึงได้มาอยู่ที่นี่ไม่นานหลังจากที่ฉันกับเอมม่าเพิ่งจะมีปากเสียงกันล่ะ?“ผมไม่รู้นะว่าคุณกำลังพูดเรื่องบ้าบออะไรอยูู่ แต่ผมไม่ได้มาเพราะปัญหาระหว่างคุณทั้งสองนะ” เขาเอ่ยพร้อมนำมือขึ้นมาเสยผม “ถ้างั้นคุณมาที่นี่ทำไม?” ฉันเอ่ยถามด้วยความอยากรู้“ทราวิสโทรมาหา แล้วบอกว่าคุณอาจต้องการคนช่วยจัดย้ายของเข้าบ้าน” เขาเดินตรงเข้าม
ฉันปลดล็อกรถขนของก่อนหันหน้ามองเขาทั้งสอง หกมืออย่างไรเสียก็ดีกว่าสี่มือ ยิ่งกว่านั้นของบางชิ้นก็มีน้ำหนักมากเสียด้วย คงเป็นเรื่องง่ายขึ้นหากให้ชายหนุ่มทั้งสองขนของเหล่านั้นแทนที่จะเป็นฉันและอีธาน “จะเลิกจ้องหน้ากันแล้วมาช่วยฉันขนของได้ไหม?” ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครขยับมาช่วยเลย โรแวนเปล่งเสียงฮึดฮัดและเดินกระทืบเท้ามาทางฉัน อีธานเดินตามมาหลังจากนั้น “แล้วจะยกอะไรก่อนดี?” ฉันเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าไม่มีใครขยับตัวยกของเลยชายหนุ่มทั้งสองเริ่มทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิด ฉันมั่นใจเลยหากบอกให้กลับไปก็จะไม่มีใครไปอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครลงมือช่วยทำงานเลย หากรู้ว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้ ฉันยอมจ้างคนมาช่วยเสียดีกว่า ในที่สุดอีธานจริงเริ่มขยับก่อนเป็นคนแรกและเดินไปจับปลายด้านหนึ่งของโซฟา หลังจากยืนสบสันกรามอยู่นาน โรแวนจึงเดินไปจับปลายอีกฝั่งพวกเขาย้ายโซฟาเข้าไปในห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไรเลย ฉันเดินตามเข้าไปด้วยโดยหยิบของที่ขนได้ไปเราทำงานกันอย่างเงียบเชียบ ฉันพยายามเข้าไปเชื่อมสัมพันธ์ทั้งสอง กระนั้นทั้งสองกลับดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่ง สามสิบนาทีต่อมา ของที่มีน้ำหนักเกือบท
โรแวน“ไปโดนใครซัดมา?” เกเบรียลเอ่ยถามพร้อมมองมองถุงน้ำแข็งที่ประคบอยู่บนใบหน้าผม“ไอ้อีธาน” ผมฮึดฮัด และตอนนี้ก็ไม่มีอารมณ์รับมือเจ้าน้องชายด้วยให้ตายสิ! ผมยังไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าจะไปต่อยกับไอ้เวรนั่น ผมหัวเสียมากจนคล้อยตามไปกับคำพูดมันเสียได้“ตำรวจนั่นน่ะหรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างอยากรู้ “แฟนใหม่เอวาใช่หรือเปล่า?”เมื่อคำพูดนั้นจบลง ผมก็ขว้างถุงน้ำแข็งในมือกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างจัง“มันไม่ใช่แฟนเธอเว้ย” ผมเอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืนอารมณ์ของผมตอนนี้เดือดดาลและพร้อมจะระเบิดออกมา ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเอวาถึงมองไม่เห็นว่าไอ้เวรนั่นมันเป็นจอมหลอกลวงผมไม่สามารถสืบค้นอะไรที่ลึกลงไปได้เลย ตามรายงานบอกว่าเขาเป็นชายที่ดีคนหนึ่ง ไม่มีอะไรผิดจากธรรมดา กระนั้นลางสังหรณ์ของผมบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น มันต้องมีบางอย่างที่กวนใจผม บางสิ่งที่เขาปิดบังเอาไว้ สังหรณ์ของผมไม่เคยผิดพลาดมาก่อน “แต่จากที่ได้ยินมา เขาเป็นแฟนกันนะ… เกิดอะไรขึ้น?”ผมสูดหายใจเข้าพร้อมระงับไฟความโกรธเกรี้ยวในจิตใจลง“เรากำลังช่วยเอวาขนของเข้าบ้านใหม่อยู่และมันก็บอกให้ฉันเลิกยุ่งเสีย บอกอีกว่าเอวาเป็นของมันและมันจะไ
เกเบรียลคงเสียสติไปแล้วจริง ๆ มันก็ไม่ได้แปลกนี่ที่คนเราจะแต่งงานอยู่กินกันไปแม้ว่าจะไม่ได้รักกันเลยก็ตาม ระยะเวลาเก้าปีไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ผมไม่ได้รักเอวาเลย โดยเฉพาะหลังจากลูกไม้ที่เธอใช้เพื่อหลับนอนกับผม“ถ้างั้นก็อธิบายให้ฟังหน่อยสิว่าทำไมถึงได้หัวเสียตอนที่รู้ว่าเอวาคบหากับอีธานขนาดนี้?” เขายืนกรานถาม“ก็บอกไปแล้วไงเล่า! เอวาจะคบกับใครฉันก็ไม่ได้สนใจ แต่กลับไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ มันมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่แน่”เราทั้งสองเอาแต่พูดเรื่องเดิมวนไปวนมาไม่จบสิ้นและนั่นทำให้ผมหัวเสียมากกว่าเดิม ผมคิดว่าอย่างน้อยเกเบรียลคงเข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เข้าใจเลย เขากลับมีความคิดสุดไร้สาระว่าที่ผมโกรธเกรี้ยวอยู่เช่นนี้เป็นเพราะว่าผมมีใจให้กับเอวาและรู้สึกหึงเธออยู่“ฉันเป็นคนแรกที่ยอมรับว่าสิ่งที่เอวาทำเมื่อเก้าปีที่แล้วนั่นมันเป็นเรื่องผิด เราต่างปฏิบัติต่อเธอไม่ดีเลยเพราะเรื่องนี้ แต่ถ้าสมมติว่าเธอไม่ได้โกหกล่ะ หากเธอเมาไร้สติตามที่บอกจริง ๆ เล่า? สมมติว่าสิ่งที่เธอพูดมันคือความจริงเล่า?“เป็นไปไม่ได้”“อย่างนั้นหรือ? พวกเราทุกคนต่างพากันจับคู่ให้นายกับเอมม่า แล้วกีดกันเอวา หลังจ
บุคคลนิรนามฉันเดินไปมารอบห้องในอะพาร์ตเมนต์พร้อมรู้สึกสุดจะทน ฉันพยายามติดต่อไอ้เวรนั่นหลายสาย แต่มันกลับไม่รับเลยสักสายหมอนั่นหายเงียบไปตั้งแต่ไปวางเพลิงเผาบ้านเอวา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันหวาดกลัวมากเพราะไม่รู้เลยว่าหมอนั่นวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่หากไม่รู้ว่าหมอนั่นวางแผนทำอะไรอยู่ ฉันก็คงคิดหาหนทางรับมือไม่ทันแน่ หากเขาดันทำแผนพังอย่างเจ้าอสรพิษทมิฬนั่นแน่ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นและโทรหาลูกน้องคนหนึ่ง“ครับนาย?” เบรครับสายเมื่อเสียงเรียกเขาดังครั้งแรก“แกระบุตำแหน่งมันได้แล้วหรือยัง?” ฉันเอ่ยถามฉันไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งกังวล ไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งเครียดอยู่กับทุกสิ่งเช่นนี้ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ฉันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลยว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นแน่นอนฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกปลุกเร้าอยู่ภายในที่กำลังกล่าวเตือนถึงหายนะที่จะเกิดขึ้น“ไม่เลยครับ…ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปจากการจับตาของเรา” ลูกน้องตอบ ซึ่งทำให้ฉันสบถออกมา “ไม่มีใครสามารถระบุตำแหน่งเขาได้เลยครับ”ตอนที่ฉันรู้ว่าอสรพิษทมิฬถูกตามจับ ฉันรู้ว่าจำเป็นต้องกำจัดมันทิ้งไป เพราะไม่นานตำรวจต้องตามมาถึงตัวมันแน่ ดังนั้นฉั
“ไม่มีอะไร…แค่อยากได้ยินเสียงแม่เฉย ๆ” ฉันเอ่ยตอบ เสียงขาดตอนไปในตอนจบ“ไม่เป็นไรใช่ไหมลูกรัก?” แม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสนกังวลฉันยิ้มให้คำเรียกนี้ เธอเรียกฉันเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว “ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยจากงานนิดหน่อยก็เท่านั้น” “ทำงานมากไปแล้วมั้งลูก ไปเที่ยวพักผ่อนบ้างอะไรบ้างก็ได้ ทำอย่างกับว่าไม่มีเงินอย่างนั้นแหละ” แม่หัวเราะออกมาฉันได้ยินเสียงเแม่ทำอะไรบางสิ่งอยู่ น่าจะเป็นเสียงหม้อและกระทะกระทบกัน อาจกำลังทำอาหารหรืออบขนมอยู่ก็เป็นได้ ฉันพนันด้วยเงินทั้งหมดที่มีเลยว่าแม่กำลังอบขนมอยู่ แม่รักการทำขนมมากกว่าสิ่งใด“เดี๋ยวพองานจบ ค่อยไปเที่ยวพักผ่อนน่ะ…ตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย” ฉันโกหกออกไปส่วนหนึ่งตอนนี้มีหายนะลอยอยู่เหนือหัว ฉันสงสัยจริงว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนได้อย่างไร ฉันไม่ฉันคนดีและรู้ตัวมาโดยตลอด แต่ฉันก็อดภาวนาให้เรื่องเป็นไปตามที่ต้องการไม่ได้“ก็ดีจ้ะ” เธอเอ่ยตอบ “แต่อย่างน้อยก็หยุดเสาร์อาทิตย์แล้วไปพักผ่อนบ้างก็ได้ มันดีนะลูก ช่วยทำให้จิตใจปลอดโปร่งด้วยแถมยังให้ลูกได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตามีมุมมองใหม่ ๆ” แม่แนะนำนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้รักแม่มา
เอวานี่ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้วนับตั้งแต่บ้านของฉันถูกเพลิงไหม้จนไม่เหลือซาก นับตั้งแต่ตอนนั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับฉันตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ถูกโจมตีใด ๆ เลย สงบสุขเป็นอย่างมาก และฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งมากว่าเจ้าหมอนั่นจะเลิกตามไล่ฆ่าฉันเสียทีเจ้าหน้าที่ตำวจหัวหน้าชุดสอบสวนบอกว่าอย่าเพิ่งได้วางใจ เขาแนะนำให้ฉันระมัดระวังตัวและเฝ้าระวังอยู่เสมออ้างอิงจากประสบการณ์ของเขา คนร้ายเหล่านั้นไม่มีวันเลิกลาโดยง่าย เขาเสริมว่าไม่แน่เจ้านั้นอาจกำลังประวิงเวลาอยู่เพื่อวางแผน และรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อโจมตีก็เป็นได้ฉันเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกทั้งหมด แต่มันยากที่จะไม่มีความหวังขึ้นมาบ้างเมื่อเรื่องราวมันเริ่มเงียบลง และเริ่มมีความรู้สึกผ่อนคลายรวมถึงจะระแวดระวังน้อยลงเมื่อพวกคนเหล่านั้นเหมือนจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตแล้วช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่อยู่โนอาได้หรอกนะ แต่ก็ถือว่าดีมากสิ่งที่ทำให้มันดีที่สุดก็คืออีธาน ทุกครั้งที่ฉันอยู่กับเขา ฉันได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอฉันรักการที
ฉันควรจะดีใจ นั่นเป็นความคิดของฉันตั้งแต่แรก แต่ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเขากำลังเมินฉัน และฉันไม่เข้าใจว่าทำไม ฉันถอนหายใจ “ไม่เลย เขาไม่อยากคุยกับฉัน และฉันจะไม่บังคับเขา... อีกอย่าง ฉันเป็นคนขอให้เขารักษาระยะห่างเอง เขาอาจจะกำลังเคารพความต้องการของฉันเป็นครั้งแรก”“ฉันว่าไม่ใช่” เธอพึมพำพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย“คุณรู้อะไรมาเหรอ?”“ไม่หรอก แต่ฉันสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น”ฉันมองเธอด้วยความสงสัย สิ่งเดียวที่อาจเกิดขึ้นได้คือการที่เอมม่าขอให้เขาอยู่ห่างจากฉัน แต่ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น โรแวนไม่ใช่คนที่จะทำตามที่คนอื่นขอ โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับโนอาฉันส่ายหัวเพื่อตั้งสติ “มันไม่สำคัญหรอก เรื่องของเขาไม่สำคัญสำหรับวันนี้ เรามาที่นี่เพื่อสนุกสนานและปลดปล่อย”“คุณพูดถูก” เธอกล่าวอย่างมีความสุขขณะเช็คโทรศัพท์ของเธอ “ตายล่ะ ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ ฉันจะรีบกลับมานะ”เธอไม่ให้โอกาสฉันได้ตอบก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปฉันรอแต่เธอไม่กลับมา ฉันรออีกห้านาทีแต่เธอก็ยังไม่กลับมา ฉันเริ่มกังวลและลุกขึ้นเพื่อเดินไปดูเธอฉันเริ่มตื่นตระหนกเมื่อไม่พบเธอในห้องน้ำ ฉันจึงรีบวิ่งกลับไ
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ