บุคคลนิรนามฉันเดินไปมารอบห้องในอะพาร์ตเมนต์พร้อมรู้สึกสุดจะทน ฉันพยายามติดต่อไอ้เวรนั่นหลายสาย แต่มันกลับไม่รับเลยสักสายหมอนั่นหายเงียบไปตั้งแต่ไปวางเพลิงเผาบ้านเอวา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันหวาดกลัวมากเพราะไม่รู้เลยว่าหมอนั่นวางแผนทำอะไรอยู่กันแน่หากไม่รู้ว่าหมอนั่นวางแผนทำอะไรอยู่ ฉันก็คงคิดหาหนทางรับมือไม่ทันแน่ หากเขาดันทำแผนพังอย่างเจ้าอสรพิษทมิฬนั่นแน่ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นและโทรหาลูกน้องคนหนึ่ง“ครับนาย?” เบรครับสายเมื่อเสียงเรียกเขาดังครั้งแรก“แกระบุตำแหน่งมันได้แล้วหรือยัง?” ฉันเอ่ยถามฉันไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งกังวล ไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งเครียดอยู่กับทุกสิ่งเช่นนี้ แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ฉันมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลยว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นแน่นอนฉันไม่สามารถสลัดความรู้สึกปลุกเร้าอยู่ภายในที่กำลังกล่าวเตือนถึงหายนะที่จะเกิดขึ้น“ไม่เลยครับ…ดูเหมือนว่าเขาจะหายไปจากการจับตาของเรา” ลูกน้องตอบ ซึ่งทำให้ฉันสบถออกมา “ไม่มีใครสามารถระบุตำแหน่งเขาได้เลยครับ”ตอนที่ฉันรู้ว่าอสรพิษทมิฬถูกตามจับ ฉันรู้ว่าจำเป็นต้องกำจัดมันทิ้งไป เพราะไม่นานตำรวจต้องตามมาถึงตัวมันแน่ ดังนั้นฉั
“ไม่มีอะไร…แค่อยากได้ยินเสียงแม่เฉย ๆ” ฉันเอ่ยตอบ เสียงขาดตอนไปในตอนจบ“ไม่เป็นไรใช่ไหมลูกรัก?” แม่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสนกังวลฉันยิ้มให้คำเรียกนี้ เธอเรียกฉันเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว “ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยจากงานนิดหน่อยก็เท่านั้น” “ทำงานมากไปแล้วมั้งลูก ไปเที่ยวพักผ่อนบ้างอะไรบ้างก็ได้ ทำอย่างกับว่าไม่มีเงินอย่างนั้นแหละ” แม่หัวเราะออกมาฉันได้ยินเสียงเแม่ทำอะไรบางสิ่งอยู่ น่าจะเป็นเสียงหม้อและกระทะกระทบกัน อาจกำลังทำอาหารหรืออบขนมอยู่ก็เป็นได้ ฉันพนันด้วยเงินทั้งหมดที่มีเลยว่าแม่กำลังอบขนมอยู่ แม่รักการทำขนมมากกว่าสิ่งใด“เดี๋ยวพองานจบ ค่อยไปเที่ยวพักผ่อนน่ะ…ตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย” ฉันโกหกออกไปส่วนหนึ่งตอนนี้มีหายนะลอยอยู่เหนือหัว ฉันสงสัยจริงว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนได้อย่างไร ฉันไม่ฉันคนดีและรู้ตัวมาโดยตลอด แต่ฉันก็อดภาวนาให้เรื่องเป็นไปตามที่ต้องการไม่ได้“ก็ดีจ้ะ” เธอเอ่ยตอบ “แต่อย่างน้อยก็หยุดเสาร์อาทิตย์แล้วไปพักผ่อนบ้างก็ได้ มันดีนะลูก ช่วยทำให้จิตใจปลอดโปร่งด้วยแถมยังให้ลูกได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตามีมุมมองใหม่ ๆ” แม่แนะนำนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงได้รักแม่มา
เอวานี่ก็เป็นเวลาสองเดือนแล้วนับตั้งแต่บ้านของฉันถูกเพลิงไหม้จนไม่เหลือซาก นับตั้งแต่ตอนนั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับฉันตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ถูกโจมตีใด ๆ เลย สงบสุขเป็นอย่างมาก และฉันก็หวังเป็นอย่างยิ่งมากว่าเจ้าหมอนั่นจะเลิกตามไล่ฆ่าฉันเสียทีเจ้าหน้าที่ตำวจหัวหน้าชุดสอบสวนบอกว่าอย่าเพิ่งได้วางใจ เขาแนะนำให้ฉันระมัดระวังตัวและเฝ้าระวังอยู่เสมออ้างอิงจากประสบการณ์ของเขา คนร้ายเหล่านั้นไม่มีวันเลิกลาโดยง่าย เขาเสริมว่าไม่แน่เจ้านั้นอาจกำลังประวิงเวลาอยู่เพื่อวางแผน และรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อโจมตีก็เป็นได้ฉันเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกทั้งหมด แต่มันยากที่จะไม่มีความหวังขึ้นมาบ้างเมื่อเรื่องราวมันเริ่มเงียบลง และเริ่มมีความรู้สึกผ่อนคลายรวมถึงจะระแวดระวังน้อยลงเมื่อพวกคนเหล่านั้นเหมือนจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตแล้วช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับช่วงเวลาที่อยู่โนอาได้หรอกนะ แต่ก็ถือว่าดีมากสิ่งที่ทำให้มันดีที่สุดก็คืออีธาน ทุกครั้งที่ฉันอยู่กับเขา ฉันได้เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอฉันรักการที
ฉันควรจะดีใจ นั่นเป็นความคิดของฉันตั้งแต่แรก แต่ฉันกลับรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าเขากำลังเมินฉัน และฉันไม่เข้าใจว่าทำไม ฉันถอนหายใจ “ไม่เลย เขาไม่อยากคุยกับฉัน และฉันจะไม่บังคับเขา... อีกอย่าง ฉันเป็นคนขอให้เขารักษาระยะห่างเอง เขาอาจจะกำลังเคารพความต้องการของฉันเป็นครั้งแรก”“ฉันว่าไม่ใช่” เธอพึมพำพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย“คุณรู้อะไรมาเหรอ?”“ไม่หรอก แต่ฉันสงสัยว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น”ฉันมองเธอด้วยความสงสัย สิ่งเดียวที่อาจเกิดขึ้นได้คือการที่เอมม่าขอให้เขาอยู่ห่างจากฉัน แต่ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น โรแวนไม่ใช่คนที่จะทำตามที่คนอื่นขอ โดยเฉพาะถ้าสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับโนอาฉันส่ายหัวเพื่อตั้งสติ “มันไม่สำคัญหรอก เรื่องของเขาไม่สำคัญสำหรับวันนี้ เรามาที่นี่เพื่อสนุกสนานและปลดปล่อย”“คุณพูดถูก” เธอกล่าวอย่างมีความสุขขณะเช็คโทรศัพท์ของเธอ “ตายล่ะ ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ ฉันจะรีบกลับมานะ”เธอไม่ให้โอกาสฉันได้ตอบก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปฉันรอแต่เธอไม่กลับมา ฉันรออีกห้านาทีแต่เธอก็ยังไม่กลับมา ฉันเริ่มกังวลและลุกขึ้นเพื่อเดินไปดูเธอฉันเริ่มตื่นตระหนกเมื่อไม่พบเธอในห้องน้ำ ฉันจึงรีบวิ่งกลับไ
โรแวนผมเป็นคนขี้ขลาด มันชัดเจนและไม่ซับซ้อนอะไร สองเดือนผ่านไปแล้วและผมก็ยังคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับเอวาหรือแม้แต่คุยกับเธอได้ผมควรจะพูดอะไรกับเธอ? ผมจะพูดกับผู้หญิงที่ผมคิดว่าหลอกผมได้อย่างไรเมื่อกลายเป็นว่าเธอไม่เคยทำเช่นนั้นเลย?ผมละอายใจตัวเอง ละอายใจในทุกสิ่งที่ทำไว้กับเธอ ละอายใจที่ปล่อยให้เธอต้องรับผิด ผมละอายใจที่ผมยืนดูเฉย ๆ ในขณะที่ทุกคนปฏิบัติกับเธออย่างห่วยแตก เพราะผมคิดว่าเธอสมควรได้รับมันผมไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับเธออย่างไร จะต้องมองตาเธอและขอโทษอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะต้องขอโทษใครอย่างไรเพราะผมไม่เคยทำผิด ผมมักจะถูกเสมอ ยกเว้นเมื่อเกี่ยวข้องกับเอวาผมจิบวิสกี้เพื่อพยายามกลบความรู้สึกผิดนั้น มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่อย่างน้อยสักสองสามนาทีผมก็จะสามารถแกล้งทำเป็นว่าโลกทั้งใบของผมไม่ได้พลิกผันเพราะความจริงที่เพิ่งจะปรากฏ“ท่านคะ คุณชาร์พมาขอพบคุณค่ะ เขาดูวิตกกังวลเล็กน้อย” แม่บ้านของผมเข้ามาขัดจังหวะ“ให้เขาเข้ามา” ผมตอบอย่างเรียบง่ายก่อนที่จะหันหลังให้เขาเมื่อความจริงถูกเปิดเผย เกเบรียลก็ไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ได้อีกต่อไป เขาแชร์วิดีโอนั้นให้ทุกคนได้ชม
เอวาฉันจ้องพวกเขา หัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะและสมองของฉันเต้นระรัว ฉันมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง? ทำไมฉันถึงมองไม่ออกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น?ฉันชะงัก เสียใจจนพูดอะไรไม่ออก โลกของฉันพังทลายลงและแตกเป็นเสี่ยง ๆ รอบตัวฉัน ‘หัวหน้า’คำ ๆ เดียวนั้นวนเวียนอยู่ในหัวฉันตลอดเวลาและทำให้ฉันเกือบคลั่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันทั้งสงสัย คาดเดาและค้นหาศัตรูของฉัน แต่เขากลับเป็นคนใกล้ตัว“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสียงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวทำให้ฉันต้องกลับมาสู่ความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ฉันหันไปข้างหลังเพียงเพื่อตกใจอีกครั้งเล็ตตี้ถูกมัดกับเก้าอี้ เธอดูกลัวและโกรธในเวลาเดียวกัน เธอมีเลือดไหลออกจากหัว ฉันเดาว่าไอ้สารเลวที่ลักพาตัวเรามาคงฟาดหัวเธอเช่นกันฉันมัวแต่กลัวตายและพยายามหาทางออกจนไม่ทันสังเกตว่าเธอก็อยู่ที่นี่ แต่ฉันขอแก้ตัวว่านั่นเป็นเพราะเธออยู่ข้างหลังฉัน ฉันไม่คาดคิดว่าจะมีใครอยู่ข้างหลังฉัน“มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? ฉันลักพาตัวพวกเธอมาไง” ผู้ที่ลักพาตัวพวกเรากล่าว“ทำไมคุณถึงต้องลักพาตัวเธอในเมื่อฉันคือคนที่คุณต้องการ?” ฉันถามพร้อมกับมองลงฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับผู้ที่ทรยศฉัน การมองใบหน้า
เอวา“เวร” เสียงตะโกนนั้นทำให้ฉันลืมตาขึ้นอีธานจับไหล่ของเขาที่กำลังมีเลือดไหล“ทิ้งปืนซะอีธาน ไม่งั้นฉันระเบิดสมองแกแน่” เสียงโกรธของโรแวนแทรกเข้ามาในสมองที่มึนงงของฉันเขาเป็นคนสุดท้ายที่ฉันอยากเจอในตอนนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าฉันรู้สึกเสียหน้า เขาพยายามเตือนฉันแล้ว แต่ฉันกลับไม่ฟังเขาเลย“คนของฉันล้อมอาคารทั้งหลังไว้แล้วอีธาน นายไปไหนไม่รอดหรอก” โรแวนเสริมทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงไซเรนของตำรวจและถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีธานลดปืนลงก่อนที่จะวางมันลงบนพื้น ดวงตาของเขาสบตากับฉัน ฉันอยากจะหลบสายตาเขาแต่กลับทำไม่ได้ ฉันอยากเตือนตัวเองว่าฉันโง่แค่ไหนตลอดเวลาที่ผ่านมา“เอวา ที่รัก มองผมสิ” เสียงของเขาทำให้ฉันละสายตาจากสายตาที่เย็นชาของอีธาน ตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าโรแวนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉันการได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างใกล้ชิดทำให้ฉันน้ำตาซึม คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับฉันเมื่อสองเดือนที่แล้วยังคงก้องอยู่ในหัวของฉันฉันจับตาดูเขาขณะที่เขาปลดโซ่ตรวน เขาราวกับเป็นสมอเรือของฉันในตอนนี้ บางทีถ้าฉันมุ่งความสนใจไปที่เขา ฉันอาจจะไม่จมลงในน้ำแห่งความเจ็บปวดของความทรยศ“ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่นี
ฉันรู้ว่าเธอคงรู้สึกยังไง ฉันแนะนำเธอให้รู้จักกับอีธาน และพวกเราสามคนยังไปเที่ยวด้วยกันหลายครั้งด้วย เธอคงรู้สึกถูกทรยศเช่นเดียวกับฉัน“ใช่ เขายังไม่ยอมพูดอะไรเลย” ไบรอันส่ายหัวฉันหันไปเผชิญหน้ากับอีธานแต่กลับพบว่าเขากำลังจ้องมองฉันอย่างตั้งใจ สายตาไร้อารมณ์ของเขาดึงดูดฉันทันที“ทำไม? ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับฉัน อีธาน?” เสียงของฉันสั่นเครือในขณะที่พูดเขาจ้องมองฉัน สายตาเย็นชาของเขาทำให้ฉันแสบร้อน ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกน้ำแข็งกัด ฉันยังคงไม่รู้ว่าความอบอุ่นทั้งหมดที่เขาเคยมีหายไปไหน เขามีสวิตช์ควบคุมอารมณ์หรือเปล่า และเขาสามารถเปิดและปิดมันได้เมื่อเขาต้องการเหรอ? หรือว่ามันไม่เคยมีอยู่เลย? ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็เป็นนักแสดงที่เก่งมาก ๆ คนหนึ่ง“ผมต้องการบริษัท” เขากล่าวอย่างเรียบง่ายฉันตกใจที่เขาตอบฉัน ฉันไม่คาดคิดว่าเขาจะตอบด้วยซ้ำความตกใจถูกผลักออกไปเมื่อฉันเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาพูด ในไม่ช้าความประหลาดใจของฉันก็กลายเป็นความสับสน“บริษัทอะไร?” ฉันถามฉันไม่มีบริษัท ฉันลงทุนในบริษัทต่าง ๆ แต่ไม่ได้มีบริษัทของตัวเองเหมือนโรแวน สิ่งเดียวที่ฉันมีคือมูลนิธิโฮป และฉันไม่เห็นว่าคนอย
เรียกฉันว่าคนขี้ขลาดก็ได้ ฉันไม่สน แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรเมื่อฉันไปถึงห้องนั่งเล่น ฉันโทรสั่งอาหารเช้าให้มาส่งที่ห้องของเรา ก่อนจะนั่งลงรอฉันรู้ว่านี่จะเป็นหายนะตั้งแต่ตอนที่เกเบรียลบอกว่าเราจะใช้ห้องร่วมกัน ฉันคิดว่าหมอนจะช่วยได้ แต่ฉันแค่หลอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันก็เดินไปเปิด"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณผู้หญิง" พนักงานเสิร์ฟทักทาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า"อรุณสวัสดิ์ค่ะ""ให้ดิฉันวางตรงไหนดีคะ?" เธอถามขณะที่ฉันหลีกทางให้เธอเข้ามา"บนโต๊ะอาหารก็ได้ค่ะ" ฉันตอบเธอเธอพยักหน้าและเดินไปที่นั่น เธอเพิ่งวางอาหารเช้าลงและกำลังจะออกไป เกเบรียลก็เดินออกจากห้องนอนพร้อมมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อฝีเท้าเธอเริ่มช้าลง และเธอเกือบจะสะดุดเมื่อมองเห็นเขา เกเบรียลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ดังนั้นฉันจึงไม่โทษเธอหรอก"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเมื่อรู้ว่าสายตาของเธอยังคงอยู่ที่เกเบรียล ขณะที่สายตาของชายหนุ่มก็อยู่ที่ฉันเสียงของฉันดึงเธอออกจากภวังค์ เธอพยักหน้าก่อนจากไป เมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็ปิดประตูให้เรียบร้อย"แล้วยังไงดี คุณจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเก
ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงคืนนั้นรวมถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ฉันขยับตัวเล็กน้อย หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและบรรเทาความปั่นป่วนในร่างกาย แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะการขยับตัวทำให้ร่างกายแนบชิดกับเกเบรียลมากขึ้นกว่าเดิมเกเบรียลส่งเสียงครางต่ำ แหบพร่า และเร้าอารมณ์ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเปล่งออกมาในคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว เสียงนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของฉัน ทำให้ฉันหยุดพยายามจะขยับตัวให้สบายขึ้นฉันค่อย ๆ หันไปมองเขา หวังว่าเขาจะยังหลับอยู่ พอเห็นว่าเปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาชัด ๆตอนหลับ เขาดูสงบและงดงามเหลือเกิน ขนตายาวทอดเงาบนแก้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย เพียงแค่มองฉันก็เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเขา อยากแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นฉันกำลังจมดิ่งลงไปอีกครั้ง กับผู้ชายที่กุมหัวใจฉันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน คนเดียวกับที่ตอนนี้กำลังขอในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ฉันหลงใหลในตัวเขามาก จนกระทั่งฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสายเกินไปเสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากขอ
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ