เอมม่าฉันเดินโขยกเขยกช้า ๆ กลับไปยังห้องขังของตัวเอง คุกเปรียบเสมือนนรกบนดินโดยแท้ หน้าที่การงานของฉันคือการพิสูจน์ความบริสุทธิ์และส่งเหล่าอาชญากรมารับโทษในนี้ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องมาอยู่ที่นี่เลยสองสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่เข้ามาฉันไม่เคยได้นอนหลับสนิทสักคืน เพียงก้าวเข้ามาในห้องขังเท่านั้น ฉันก็เหมือนกลายเป็นศัตรูของทุกคนในทันที ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม คนพวกนี้เกลียดฉันและยังแสดงความเกลียดชังนี้ให้ประจักษ์ชัดอีกลึกลงไปในใจ ฉันรู้ดีว่านี่เป็นฝีมือของโรแวนทั้งหมด ฉันไม่ควรขัดขวางเขา ฉันไม่ควรประมาทความรักที่เขามีต่อเอวาเลย โรแวนที่ฉันเคยรู้จัก โรแวนของฉันไม่เคยทำร้ายฉัน ไม่เคยทำอะไรที่จะทำให้ฉันต้องเจ็บปวดแต่ตอนนี้คงพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าชายหนุ่มที่ฉันรักและหวงแหนมาตลอดหลายปีได้หายไปแล้ว ชายหนุ่มที่ฉันเคยรักตายหายไปจากดวงตาคู่นี้แล้ว เขากลายเป็นชายผู้เย็นชา คนที่พร้อมจะทำลายฉันเพียงเพราะฉันกล้าล้ำเส้นเอวาฉันถอนหายใจเมื่อเดินมาถึงห้องขัง ทั้งเหนื่อยล้าและโทรม ไม่มีโอกาสได้อาบน้ำหรือกินอาหารดี ๆ เลยตั้งแต่ก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอาหาร เพื่
"นังโง่นี่ยังคิดว่าตัวเองสำคัญอยู่อีก" เบลล่า เพื่อนร่วมห้องขังอีกคนพูดขึ้น "ไม่รู้ตัวเลยว่าในนี้แกก็แค่ไอ้เศษขยะเหมือนพวกเราล่ะเว้ย"ฉันไม่เงยหน้ามองพวกเธอ เพียงจดจ่ออยู่ที่ข้อเท้าของตัวเองเท่านั้น มันบวมและแดงจนเห็นชัด หลังจากที่นังพวกนี่เล่นงานฉันจนหนำใจ ฉันควรให้พยาบาลตรวจดูอีกรอบแต่เพราะมัวแต่สนใจข้อเท้า ฉันจึงไม่ทันสังเกตว่ามีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามาใกล้ หนึ่งในนั้นกระชากผมฉันอย่างแรง ตอนนั้นฉันไม่ทันตั้งตัว จึงสะดุ้งเฮือกพร้อมเสียงร้องเจ็บปวด“ขอร้องแหละ ปล่อยฉันไปเถอะ” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกัก ความเหนื่อยล้าถาโถมจนแทบทนไม่ไหวฉันรู้ดีว่าควรจะเงียบตั้งแต่แรก แต่คำพูดของฉันกลับทำให้จอยเผยยิ้มอันโหดเหี้ยมก่อนจะฟาดมือลงบนหน้าฉันอย่างแรง ฉันยกมือขึ้นพยายามปัดป้องทันทีที่เห็นเธอเงื้อมือเพื่อตบหน้าฉันอีกครั้ง"นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น?" เสียงหนึ่งระเบิดขึ้นซึ่งทำให้พวกมันถอยห่างออกไปด้วยความกลัวฉันกลับไปนั่งงอตัวพร้อมกับสั่นเทิ้มไม่หยุด ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจะสามารถทนรับเรื่องเหล่านี้ได้อีกนานเท่าใด ฉันอยากให้คนพวกนี้เลิกซ้อมฉันเสียที ฉันหวาดกลัวเหลือเกินว่าตนเองจะตายไปเสียแล้ว“เปล
เอวา“แม่ครับ กันเนอร์มานอนค้างเสาร์อาทิตย์นี้ได้ไหมครับ?” โนอาถาม แต่จิตใจของฉันล่องลอยไปอยู่ที่ไกลแสนไกลฉันเต็มไปด้วยความประหม่า จำได้ขึ้นใจว่าตนเองเคยพูดเอาไว้ว่าจะไปหาอีธานเมื่อพร้อม แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไป ไม่รู้ทำไมเรื่องนี้ถึงได้ตามกวนใจฉันอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน มันเหมือนฝังอยู่ในหัวตลอดเวลาฉันยังไม่ได้คุยกับโรแวนเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาเกลียดอีธานอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะมาจากไหนก็รู้ได้ทันที ไม่ใช่ว่าจะไปขออนุญาตเขาหรืออะไรแบบนั้น ต่อให้เขาจะชอบหรือไม่ ฉันก็จะไปหาอีธานอยู่ดีสิ่งที่ฉันรู้กังวลคือปฏิกิริยามากกว่า โรแวนรักไอริสเหมือนลูกแท้ ๆ ของตัวเอง และมันเห็นได้ชัด แต่อย่างที่ฉันบอก เขาก็แสดงออกชัดเจนเช่นกันว่าเขารังเกียจพ่อของหนูน้อย ฉันมั่นใจว่าเขาไม่มีทางพอใจกับการที่ฉันจะไปหาอีธานแน่ แต่สิ่งที่ฉันไม่มั่นใจคือ เขาจะเกลียดความคิดนี้เพราะเขาเกลียดอีธาน หรือเพราะอย่างอื่น หรืออาจจะทั้งสองอย่าง“แม่ครับ ฟังอยู่ไหมเนี่ย?”เสียงหงุดหงิดของโนอาดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันไม่ทันสังเกตเลยว่าตัวเองเหม่ออีกแล้ว“ว่าไงนะลูก?”เขามองฉันด้วยดวงต
“ถ้าขึ้นประโยคแบบนี้มา ไม่น่าจะมีเรื่องดีแล้วล่ะ” เขาขมวดคิ้วจ้องมาที่ฉันด้วยสีหน้ากังวล นั่นราวกับกำลังพยายามหาคำตอบว่าตนเองทำอะไรผิดหรือเปล่าฉันไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อเลย ก่อนอื่นฉันพยายามลดความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่จากความปรารถนาอันร้อนแรงเมื่อครู่ลง ต่อมาฉันก็ยังไม่รู้จะเริ่มต้นพูดเรื่องนี้กับเขาอย่างไรดี จึงพยายามรวบรวมความคิดให้เป็นระเบียบเสียก่อน“คุณทำผมกลัวนะ เอวา” เขาพูด ทำให้ฉันตกใจและหัวเราะออกมาเบา ๆ“ไม่มีอะไรทำให้คุณกลัวได้หรอกค่ะ”และนี่ก็คือความจริงของโลกเลยแหละ ไม่มีอะไรทำให้ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันกลัวได้เลย มีอะไรเปลี่ยนไปขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือมีบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ฉันจำไม่ได้จนทำให้เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?เขายืนขึ้นและเดินเข้ามาใกล้จนถึงที่ฉันยืนอยู่ ใช้มือประคองแก้มฉันและจูบเบา ๆ อย่างรวดเร็ว ไม่ได้เร่าร้อนเหมือนเมื่อครู่ แต่ก็เข่าฉันก็อ่อนลงอยู่ดี“เมื่อก่อนน่ะใช่ แต่ตอนนี้น่ะเหรอ? ตอนนี้ผมกลัวว่าจะเสียคุณไปไงล่ะ” เขาหยุดพูดก่อนมองดวงตาฉัน นั่นคือการแสดงความจริงใจในคำพูด “ผมกลัวว่าจะต้องอยู่ในโลกที่ไม่คุณไง”ฉันแทบหยุดหายใจเมื่อคำสารภาพนี้ออกมา ไม่เ
“แบบนั้นไม่เรียกว่าเป็นคำตอบนะ” ฉันเหน็บแนมดวงตาของเขาเหมือนพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ คล้ายกับคลื่นที่หมุนวนในห้วงทะเลสีเทา ซึ่งกำลังกระชากฉันให้จมลงไปในนั้นพร้อมทั้งกักขังเอาไว้เช่นนั้นนิรันดร์จากนั้นฉันก็สังเกตเห็นบางสิ่งทันที ความสั่นกลัวจากตัวตนแสนแข็งแกร่งนี้ และนี่เองก็เป็นสาเหตุว่าทำไมโรแวนถึงไม่ต้องให้ฉันไปพบอีธานนับเป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วที่ฉันต้องตกตะลึงเช่นนี้“คุณกลัวอย่างนั้นเหรอ?” ฉันเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนขณะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบตรงหน้าโรแวนขยับตัวเล็กน้อยก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็สายไปเสียแล้ว ฉันสังเกตเห็นความหวาดกลัวในสายตาคู่สีเทานี้ ไม่มีทางไหนที่เขาจะถอยหนีได้อีกฉันเดินเข้าไปใกล้พลางวางมือไว้บนไหล่เขา “โรแวน บอกฉันเถอะ”มือฉันนวดไหล่ของเขาโดยไม่รู้ตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่ส่งผ่านออกมา ฉันเพียงอยากเข้าใจถึงเหตุผลนั้นเขาปล่อยลมหายใจลึกที่เก็บไว้ก่อนจะหันกลับมามองฉันตั้งแต่ที่ฉันรู้จักโรแวนคนนี้มา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นความหวาดหวั่นลึกลงไปในดวงตา“เอวา คุณพูดถูกแล้วล่ะ ผมรู้สึกกลัว” โรแวนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
ฉันรู้สึกเหมือนคนที่กำลังจะพังทลาย ทุกอย่างในร่างกายสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ ส่วนท้องก็ปั่นป่วนเหมือนถูกมัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกฉันยืนจ้องกำแพงเรือนจำนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ใจว่าควรก้าวเข้าไปหรือไม่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเคยมาเยี่ยมอีธานหรือเปล่า แต่สิ่งนี้สำคัญ ในตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังจะพบคนแปลกหน้า“จะเข้าไปข้างในหรือยืนจ้องกำแพงอยู่อย่างนี้ทั้งวันครับ? มันเสียเวลาผมนะคุณ” เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูพูดเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงหยาบคาย ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มแสนดูถูกฉันอุ้มไอริสแน่นในอ้อมแขนพลางจ้องมองเขา เข้าใจดี แต่จุดนี้เขาไม่มีสิทธิ์มาหยาบคายกับฉันแบบนี้…และยิ่งไปกว่านั้น มันคืองานของเขาที่ต้องยืนเฝ้า ฉันนึกสงสัยว่ามันจะทำให้เขาเสียเวลาอันมีค่าอะไรนักหนา“พูดว่าอะไรมิทราบ?” ฉันโต้กลับหากมีสิ่งหนึ่งที่ฉันทนไม่ได้ ก็คือความหยาบคายโดยไร้เหตุผลของเจ้าหน้าที่คนนี้เขากลอกตาใส่ฉัน การกระทำนี้ยิ่งทำให้ฉันโกรธจนอยากจะฟาดหน้าเขาสักที“ได้ยินแล้วนะครับ หูคุณคงไม่ได้หนวกหรอกมั้ง… มาทำอะไรที่นี่ครับคุณ? เมายาเหรอ? หรือเป็นพวกขายตัวเลยมาหาเง
ฉันจ้องมองชายตรงหน้าที่เป็นพ่อของลูกสาวฉัน คนที่ฉันเคยไว้ใจมากพอที่จะร่วมสร้างชีวิตใหม่กับเขา สายตากวาดมองใบหน้าเขา พยายามเรียกสติกลับมาเขาดูเปลี่ยนไป อย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่น่ามองหรืออะไรทำนองนั้น แต่เขาดูแตกต่างจากชายที่ปรากฏในเศษเสี้ยวความทรงจำ ตอนนี้เขามีหนวดเครา ซึ่งยิ่งทำให้ดูดีขึ้นไปอีกฉันรู้ดีว่าฉันรักโรแวน แล้วทำไมฉันถึงมองอีธานแบบนั้น? ไม่หรอก ฉันไม่ได้มองเขาแบบนั้น ฉันแค่สังเกตว่าเขายังดูหล่ออยู่เช่นเดิม“สวัสดีค่ะ” ในที่สุดฉันก็เอ่ยคำตอบออกไป มันเป็นเพียงคำเดียวที่ฉันสามารถพูดได้ความอึดอัดพลันเกาะกุม ฉันไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือพูดอะไรดีสายตาเขาเลื่อนลงจากฉันไปยังลูกสาวของเรา ท่าทีแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนไป ดวงตาพลันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก“ขอผมอุ้มหน่อยได้ไหม?” เขาถาม ดวงตายังไม่ละจากไอริสช่างชัดเจนเหลือเกินว่าเขารักลูกสาวของเราขนาดไหน เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจฉันอบอุ่น ฉันกลัวมาตลอดว่าเขาอาจจะไม่ต้องการเธอ หรือคิดว่าเธอเป็นความผิดพลาดไหม? เพราะเขาเคยใช้ฉันเป็นเครื่องมือในแผนการร้ายมาก่อน“ได้สิคะ”ฉันลุกขึ้นและค่อย ๆ วางไอริสลงในอ้อมแขนที่ยื่นออก
โรแวน“แกได้เรื่องอะไรมาบ้างไหม รีเปอร์…เรื่องอะไรก็ได้แล้วตอนนี้” น้ำเสียงของผมตึงเครียด และผมต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมามันน่าหงุดหงิดจนแทบคลั่งที่เรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการทำร้ายเอวา การที่คนที่ทำร้ายเธอยังคงลอยนวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่มันควรจะได้รับผลกรรมได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมแทบบ้า ทุกวันนี้ตอนที่ผมหรือเอวาออกจากบ้าน ความกังวลก็เข้าครอบงำผมทันที มีแต่คำถามที่คอยโจมตีจิตใจผมไม่หยุดหย่อน ถ้ามีใครทำร้ายเธอที่บ้านล่ะ? หรือถ้ามีใครเล่นงานเธอข้างนอกล่ะ? แม้ว่าผมจะจ้างคนคุ้มกันฝีมือดีมากแล้วก็ตาม และรีเปอร์ก็มอบหมายคนของมันมาช่วยดูแลสมทบอีก แต่ผมก็ยังไม่วายคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเสมอ“นายไม่ได้เป็นคนเดียวหรอกที่ร้อนใจในสถานการณ์แบบนี้” รีเปอร์ตอบกลับอย่างฉุนเฉียว น้ำเสียงสะท้อนความกระวนกระวาย “ฉันเองก็พยายามทุกวิถีทางตามหาไอ้เวรนั่นแล้ว แต่ก็ไม่ได้เลย ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ ขนาดรถที่มันใช้ยังไม่รู้เลย”คิ้วผมขมวดแน่นเมื่อได้ยินรายละเอียด ผมแทบจะสวนกลับไป แต่คำพูดทำให้ผมสะดุด“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? มันจะไม่มีหลักฐานหรือบันทึ
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว