“แบบนั้นไม่เรียกว่าเป็นคำตอบนะ” ฉันเหน็บแนมดวงตาของเขาเหมือนพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ คล้ายกับคลื่นที่หมุนวนในห้วงทะเลสีเทา ซึ่งกำลังกระชากฉันให้จมลงไปในนั้นพร้อมทั้งกักขังเอาไว้เช่นนั้นนิรันดร์จากนั้นฉันก็สังเกตเห็นบางสิ่งทันที ความสั่นกลัวจากตัวตนแสนแข็งแกร่งนี้ และนี่เองก็เป็นสาเหตุว่าทำไมโรแวนถึงไม่ต้องให้ฉันไปพบอีธานนับเป็นครั้งที่สองของวันนี้แล้วที่ฉันต้องตกตะลึงเช่นนี้“คุณกลัวอย่างนั้นเหรอ?” ฉันเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนขณะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบตรงหน้าโรแวนขยับตัวเล็กน้อยก่อนหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่ก็สายไปเสียแล้ว ฉันสังเกตเห็นความหวาดกลัวในสายตาคู่สีเทานี้ ไม่มีทางไหนที่เขาจะถอยหนีได้อีกฉันเดินเข้าไปใกล้พลางวางมือไว้บนไหล่เขา “โรแวน บอกฉันเถอะ”มือฉันนวดไหล่ของเขาโดยไม่รู้ตัวเมื่อสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดที่ส่งผ่านออกมา ฉันเพียงอยากเข้าใจถึงเหตุผลนั้นเขาปล่อยลมหายใจลึกที่เก็บไว้ก่อนจะหันกลับมามองฉันตั้งแต่ที่ฉันรู้จักโรแวนคนนี้มา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นความหวาดหวั่นลึกลงไปในดวงตา“เอวา คุณพูดถูกแล้วล่ะ ผมรู้สึกกลัว” โรแวนถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
ฉันรู้สึกเหมือนคนที่กำลังจะพังทลาย ทุกอย่างในร่างกายสั่นสะเทือนอย่างน่ากลัว หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ ส่วนท้องก็ปั่นป่วนเหมือนถูกมัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออกฉันยืนจ้องกำแพงเรือนจำนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่แน่ใจว่าควรก้าวเข้าไปหรือไม่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเคยมาเยี่ยมอีธานหรือเปล่า แต่สิ่งนี้สำคัญ ในตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนฉันกำลังจะพบคนแปลกหน้า“จะเข้าไปข้างในหรือยืนจ้องกำแพงอยู่อย่างนี้ทั้งวันครับ? มันเสียเวลาผมนะคุณ” เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูพูดเยาะเย้ยด้วยน้ำเสียงหยาบคาย ใบหน้าของเขาประดับด้วยรอยยิ้มแสนดูถูกฉันอุ้มไอริสแน่นในอ้อมแขนพลางจ้องมองเขา เข้าใจดี แต่จุดนี้เขาไม่มีสิทธิ์มาหยาบคายกับฉันแบบนี้…และยิ่งไปกว่านั้น มันคืองานของเขาที่ต้องยืนเฝ้า ฉันนึกสงสัยว่ามันจะทำให้เขาเสียเวลาอันมีค่าอะไรนักหนา“พูดว่าอะไรมิทราบ?” ฉันโต้กลับหากมีสิ่งหนึ่งที่ฉันทนไม่ได้ ก็คือความหยาบคายโดยไร้เหตุผลของเจ้าหน้าที่คนนี้เขากลอกตาใส่ฉัน การกระทำนี้ยิ่งทำให้ฉันโกรธจนอยากจะฟาดหน้าเขาสักที“ได้ยินแล้วนะครับ หูคุณคงไม่ได้หนวกหรอกมั้ง… มาทำอะไรที่นี่ครับคุณ? เมายาเหรอ? หรือเป็นพวกขายตัวเลยมาหาเง
ฉันจ้องมองชายตรงหน้าที่เป็นพ่อของลูกสาวฉัน คนที่ฉันเคยไว้ใจมากพอที่จะร่วมสร้างชีวิตใหม่กับเขา สายตากวาดมองใบหน้าเขา พยายามเรียกสติกลับมาเขาดูเปลี่ยนไป อย่าเพิ่งเข้าใจฉันผิดไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่น่ามองหรืออะไรทำนองนั้น แต่เขาดูแตกต่างจากชายที่ปรากฏในเศษเสี้ยวความทรงจำ ตอนนี้เขามีหนวดเครา ซึ่งยิ่งทำให้ดูดีขึ้นไปอีกฉันรู้ดีว่าฉันรักโรแวน แล้วทำไมฉันถึงมองอีธานแบบนั้น? ไม่หรอก ฉันไม่ได้มองเขาแบบนั้น ฉันแค่สังเกตว่าเขายังดูหล่ออยู่เช่นเดิม“สวัสดีค่ะ” ในที่สุดฉันก็เอ่ยคำตอบออกไป มันเป็นเพียงคำเดียวที่ฉันสามารถพูดได้ความอึดอัดพลันเกาะกุม ฉันไม่รู้ว่าควรทำอะไรหรือพูดอะไรดีสายตาเขาเลื่อนลงจากฉันไปยังลูกสาวของเรา ท่าทีแข็งกระด้างแปรเปลี่ยนไป ดวงตาพลันอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก“ขอผมอุ้มหน่อยได้ไหม?” เขาถาม ดวงตายังไม่ละจากไอริสช่างชัดเจนเหลือเกินว่าเขารักลูกสาวของเราขนาดไหน เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวใจฉันอบอุ่น ฉันกลัวมาตลอดว่าเขาอาจจะไม่ต้องการเธอ หรือคิดว่าเธอเป็นความผิดพลาดไหม? เพราะเขาเคยใช้ฉันเป็นเครื่องมือในแผนการร้ายมาก่อน“ได้สิคะ”ฉันลุกขึ้นและค่อย ๆ วางไอริสลงในอ้อมแขนที่ยื่นออก
โรแวน“แกได้เรื่องอะไรมาบ้างไหม รีเปอร์…เรื่องอะไรก็ได้แล้วตอนนี้” น้ำเสียงของผมตึงเครียด และผมต้องพยายามอย่างมากที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมามันน่าหงุดหงิดจนแทบคลั่งที่เรายังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังการทำร้ายเอวา การที่คนที่ทำร้ายเธอยังคงลอยนวล เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่มันควรจะได้รับผลกรรมได้แล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมแทบบ้า ทุกวันนี้ตอนที่ผมหรือเอวาออกจากบ้าน ความกังวลก็เข้าครอบงำผมทันที มีแต่คำถามที่คอยโจมตีจิตใจผมไม่หยุดหย่อน ถ้ามีใครทำร้ายเธอที่บ้านล่ะ? หรือถ้ามีใครเล่นงานเธอข้างนอกล่ะ? แม้ว่าผมจะจ้างคนคุ้มกันฝีมือดีมากแล้วก็ตาม และรีเปอร์ก็มอบหมายคนของมันมาช่วยดูแลสมทบอีก แต่ผมก็ยังไม่วายคิดถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเสมอ“นายไม่ได้เป็นคนเดียวหรอกที่ร้อนใจในสถานการณ์แบบนี้” รีเปอร์ตอบกลับอย่างฉุนเฉียว น้ำเสียงสะท้อนความกระวนกระวาย “ฉันเองก็พยายามทุกวิถีทางตามหาไอ้เวรนั่นแล้ว แต่ก็ไม่ได้เลย ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ ขนาดรถที่มันใช้ยังไม่รู้เลย”คิ้วผมขมวดแน่นเมื่อได้ยินรายละเอียด ผมแทบจะสวนกลับไป แต่คำพูดทำให้ผมสะดุด“มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? มันจะไม่มีหลักฐานหรือบันทึ
ผมก้าวผ่านพรมเนื้อนุ่มออกจากห้องทำงานอย่างไม่รอช้า มุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของเกเบรียล ผมเดินไปตามทางเดินจนถึงฝั่งของเขา“น้องผมอยู่ข้างในหรือเปล่า?” ผมหันไปถามเลขา ฯ ทันทีที่เดินมาถึงอีกฝั่งเราเป็นเพียงสองคนในฝ่ายบริหารที่มีห้องทำงานอยู่ชั้นนี้ เพราะเรามีหุ้นส่วนสูงสุดร่วมกับพ่อ แม้ว่าเขาจะเกษียณไปแล้วก็ตาม“ค่ะ คุณเกเบรียลยังอยู่ด้านในค่ะ”ผมพยักหน้าให้ก่อนเดินเข้าไปในห้องทำงานของน้องชายทันที นี่คงเป็นเลขา ฯ คนใหม่เป็นแน่ เกเบรียลเปลี่ยนเลขาเป็นว่าเล่น ผมโทษว่าเป็นเพราะเขายังคงเป็นเสือผู้หญิงตัวพ่อเลยก็ว่าได้ เขามักจะนอนกับพวกเลขา ฯ และพอพวกเธอเริ่มผูกพัน เขาก็ไล่พวกเธอออก“โรแวน…”“เกิดอะไรขึ้นกับคนที่แล้วล่ะ?” ผมเอ่ยถามและรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเกริ่นก่อน “นี่เลขาคนที่สี่ของเดือนแล้วนะ”“ก็นะ มันไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย พวกเธอเอาแต่คาดหวังว่าจะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ให้ไปถึงขั้นนั้น แล้วก็แต่งงานกัน เพราะแค่นอนกันสองสามครั้งเอง” เขายิ้มกวน ๆ ซึ่งผมรู้ดีว่าเป็นอาวุธที่เขาใช้มัดใจผู้หญิงเหล่านั้นผมส่ายหัวพร้อมมองน้องชายอย่างเหนื่อยใจ พลางคิดว่ามีผู้หญิงคนไหนบ้างที่จะสามารถกำราบเข
เอวา“วันมะรืนเดี๋ยวฉันกับโครินเข้าไปหาได้ไหม?” เล็ตตี้เอ่ยถาม เธอโทรมาหาเมื่อสักครู่ ฉันตกใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีที่เธอโทรมา ครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่นี่ เราคุยกันและฉันก็เข้าใจว่าทำไมฉันถึงได้กลายเป็นเพื่อนกับเธอ ถึงแม้เล็ตตี้คบหากับทราวิสอยู่ก็ตามเธอเป็นคนสนุกสนาน จึงชวนให้ใกล้ชิดได้ง่าย นอกจากนี้เธอยังน่ารักและใจดีมาก ฉันชอบเธอตั้งแต่แรก และดีใจที่มีเธอในชีวิตฉันขยับตัวไปมาในครัวพร้อมไอริสในอ้อมแขน ลูกสาวไม่ยอมนอนกลางวันเสียที และเพราะเหตุนี้ เธอจึงมีอารมณ์หงุดหงิดมากทุกครั้งที่ฉันพยายามวางเธอลง เธอจะร้องไห้จนน้ำตาไหล และจะสงบก็ต่อเมื่อฉันอุ้มขึ้นใหม่“เอวา?”ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอโครินคือที่โรงพยาบาล เธอไม่ได้ติดต่อหรือมาเยี่ยมฉัน ฉันไม่เข้าใจ เพราะเธอน่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิท “สำหรับโครินจะไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามออกไปโดยไม่รู้สึกไม่มั่นใจ “คือเราไม่ได้เจอกันตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาลเลย”“ก็เพราะว่าโครินอยากให้เวลากับเธอได้จัดการเรื่องต่าง ๆ กับคุ้นชินกับสิ่งแวดล้อมนี้ไงเล่า” เธอเอ่ยตอบ “สรุป วันพุธนะ?”“ได้สิ เอาเข้าจริง ฉันก็ไม่มี
หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากอกเมื่อได้ยินสองพี่น้องพูดนายคิดว่าเขาบอกความจริงกับเอวาหรือเปล่า?ประโยคเดียวนั้นวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียงชำรุด ฉันรู้สึกเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ขณะนิ่งรอคำตอบจากโรแวนฉันกอดไอริสไว้แน่นเพราะรู้สึกได้ไม่เพียงแค่มือที่สั่นเท่านั้น แต่ทั้งร่างกายกำลังสั่นสะท้าน ฉันพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ แต่เหมือนอากาศทั้งหมดติดค้างอยู่ในหลอดลมเสียอย่างนั้นฉันเอนตัวพิงกำแพงเพื่อพยุงตัวให้ยืนอยู่ได้ เพราะเข่าอ่อนแรงจนกลัวว่าจะทรุดลงไปกองกับพื้นขณะอุ้มลูกสาวในอ้อมแขน โชคดีที่ไอริสหลับไปแล้ว มิเช่นนั้นฉันคงถูกจับได้ไปแล้ว“ไม่รู้เหมือนกัน” โรแวนพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกดดัน จำได้ไหมที่ฉันบอกว่าหัวใจเต้นแรงแทบแหกอกออกมา? บอกเลยว่าตอนนี้มันแย่กว่านั้นร้อยเท่า“เธอสงสัยนายอยู่นะ นั่นหมายความว่ามีใครบางคนพูดบางอย่างให้เธอได้ฟัง และในเมื่ออีธานไม่ชอบนาย ก็คงเป็นเขานั่นแหละ”ความเงียบเข้ามาปกคลุม หูอื้ออึงไปหมด ฉันได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังสนั่นในหูราวกับว่าพวกเขาจะได้ยินและรู้ว่าฉันยังอยู่ตรงนี้ไม่ได้เดินจากไปไหน“แล
“เอวา ตื่นเถอะ ข้าวเย็นพร้อมแล้วนะ” เสียงของโรแวนดังขึ้นเรียกฉันจากความฝันก็ไม่ใช่ทั้งความฝันแสนดี แต่ก็ไม่ใช่ฝันร้ายเช่นกัน เป็นเพียงความฝันที่ทำให้รู้สึกสับสนและมีเพียงความพร่าเลือนแล่นอยู่ตลอดห้วงฝันนั่น “ไอริสล่ะค่ะ?”“ไม่ต้องห่วงเมื่อกี้ตื่นแล้ว แต่ผมป้อนนมไปขวดหนึ่งแล้วก็หลับต่อแล้ว” เขาเอ่ยตอบขณะมองฉันประหนึ่งว่ากำลังหาบางสิ่งฉันพยักหน้ารับจากนั้นจึงผลักผ้าห่มออกไปด้านข้าง ฉันยืดเส้นยืดสายรู้สึกว่ากระดูกทุกท่อนยืดออกและมีความรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว“ไม่ไปนอนห้องเราล่ะ มานอนนี่ทำไม?” โรแวนเอ่ยถามพร้อมมองตรงเข้ามาในดวงตาฉันทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้ากระแทกเข้าใจฉันอย่างจัง กลับมาย้ำเตือนฉันถึงเหตุผลว่าทำไมฉันถึงนอนอยู่ตรงนี้แทนที่จะเป็นเตียงกว้างแทนฉันรู้สึกถึงความหงุดหงิดและโกรธเกรี้ยวภายใน ความสงบนิ่งหายไปจนหมดสิ้น จากนั้นจึงแทนที่ด้วยความขมขื่นแทน ทำไมถึงต้องโกหกกันด้วย? ทำไมถึงต้องเก็บซ่อนบางสิ่งจากฉันด้วย? แบบนี้เรียกว่าอยากให้เราสองคนเริ่มต้นความสัมพันธ์กันใหม่จริง ๆ เหรอ? เริ่มด้วยคำโกหกและมีความลับต่อกันอย่างนั้นเหรอ“อย่าหาเรื่องกันนะ โรแวน ฉันยังไม่มีอารมณ
“สวัสดี” ไม่รู้เพราะอะไร ฉันถึงพูดออกมาเสียงแปลก ๆการได้เจอกับเอวาตัวต่อตัวแบบนี้ มันเหมือนกับการได้เจอคนที่เราแอบชอบมาตลอด จู่ ๆ ฉันก็เหงื่อซึมและรู้สึกประหม่าเธอไม่ตอบอะไรแต่กลับดึงฉันเข้าไปกอดแน่น กอดนั้นอบอุ่น ราวกับได้กอดตุ๊กตาหมีนุ่ม ๆ“ยินดีที่ได้เจออย่างเป็นทางการนะ ฮาร์เปอร์ ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเราจ๊ะ” เธอกระซิบก่อนจะผละออกไปเกเบรียลพาฉันเดินไปยังพื้นที่จัดเลี้ยงกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายบนโต๊ะ เขาจัดที่นั่งให้ฉันนั่งอยู่ข้าง ๆเขาจะรู้ไหมว่าฉันมีเหตุผลที่ไม่อยากอยู่ใกล้เขา?ไม่กี่วินาทีต่อมา ทุกคนก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกัน“แล้วนี่ฮาร์เปอร์ หนูทำงานอะไรล่ะ?” แม่ของเกเบรียลถามฉันกลืนน้ำลายเมื่อทุกสายตาหันมาที่ฉัน ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่คนสนใจฉันแบบนี้“นักออกแบบภายในค่ะ” ฉันตอบโดยพยายามไม่หลบตาถ้ามีสิ่งหนึ่งที่แม่ฉันสอนฉันก็คือการสบตาสำคัญมาก โดยเฉพาะกับคนที่อยู่ในโลกแบบเรา คนรวยและมีอิทธิพลมองว่าการหลบสายตาเป็นสัญญาณของความอ่อนแอ แม่ปลูกฝังให้พวกเราไม่มีวันแสดงความอ่อนแอนั้นออกมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม“พอดีเลย” เอวาพูดเสริม “ฉันอยากปรับเปลี่ยน
“เขาแต่งงานกับเอวาเหรอ?” ฉันถามด้วยความตกใจ“ก็ใช่น่ะสิ” เกเบรียลตอบก่อนจะหรี่ตาใส่ฉัน “ทำไมคุณถึงดูตกใจกับเรื่องนี้ขนาดนั้น?”ฉันยักไหล่พร้อมตอบ “ก็คงเพราะฉันตกใจจริง ๆ”และฉันตกใจจริง ๆ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ไม่เคยแม้แต่นิดเดียว จากที่ฉันจำได้ โรแวนเกลียดเอวามาก แล้วเขาลงเอยกับเธอได้ยังไง? อะไรทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากขนาดนี้จนเขามีความสุขสุด ๆ แบบนี้?โรแวนที่ฉันจำได้เป็นคนอารมณ์ร้าย ขมขื่น และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เขามีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา และแทบไม่ยิ้มเลย ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากเขานอนกับเอวาและเลิกกับเอมม่าโรแวนคนใหม่ที่ฉันเห็นนี้ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เขาอยู่กับเอมม่า ตอนนั้นใบหน้าของเขาจะสดใสขึ้นทันทีที่เห็นเธอหรืออยู่ใกล้เธอ เขายิ้มอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับว่าแค่การมีเอมม่าอยู่ในชีวิตก็ทำให้เขามีความสุขด้วยเหตุนี้ คุณคงเข้าใจว่าทำไมฉันถึงสงสัยว่าเอวาเป็นคนที่ทำให้เขามีความสุขขนาดนี้ เว้นแต่มีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไปในช่วงที่ฉันไม่อยู่ หรือพวกเขาแค่ตัดสินใจอยู่ด้วยกันเพราะเห็นแก่ความสุขลูก ๆ“ไม่ดีเลยนะที่ไปตัดสินคนอื่นแบบนั้น” เสียงของเกเบรียลดึงฉันอ
โรแวนดูมีความสุขในตอนนี้ ซึ่งทำให้ฉันคิดว่าเขาคงกลับไปคบกับเอมม่าอีกครั้ง นั่นน่าจะเป็นคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ จากที่เกเบรียลเคยเล่าให้ฟัง โรแวนเคยเกลียดเอวาแบบสุดใจ เช่นเดียวกับที่เกเบรียลเคยเกลียดฉันสายตาของฉันเลื่อนไปที่เด็กผู้หญิงตัวน้อย เธอดูคุ้น ๆ แต่ฉันนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเธอที่ไหน บางทีเธออาจเป็นลูกสาวของโรแวนกับเอมม่าก็ได้ ถึงแม้เธอจะดูไม่เหมือนเอมม่าที่ฉันจำได้เลยก็ตาม บางทีอาจเป็นเพราะพันธุกรรมที่แปลกประหลาด“แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นล่ะ?” ฉันถาม“ชื่อไอริส” เกเบรียลตอบ พร้อมกับยืนใกล้ฉันจนทำให้รู้สึกแปลก ๆฉันขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่างฉันมองไอริสต่อ เธอเหมือนพลังงานน้อย ๆ ที่สดใส ดวงตาสีฟ้าสวยส่องประกายจนฉันมองเห็นได้ชัดเจนแม้จากที่ที่ฉันยืนอยู่ เธอไม่เหมือนเอมม่าเลย แต่ถ้าจำไม่ผิด เอมม่ามีดวงตาสีฟ้า ดังนั้นไอริสน่าจะได้มาจากแม่“งั้นโรแวนก็กลับไปคบกับเอมม่าแล้วใช่ไหม” ฉันพูดเบา ๆ “พวกเขากลับไปคบกันตอนไหน แล้วเอวารับมือกับมันยังไง?”ฉันไม่เคยคิดว่าเอมม่าจะเป็นคนไม่ดี เราทุกคนเคยเรียนที่โรงเรียนเดียวกัน เธออายุมากกว่า ในขณะที่เอวากับฉันรุ่นเดียวกันเอมม่าต่
ฉันไม่สามารถหยุดขยับตัวอย่างกระวนกระวายได้เลย ขณะที่ฉันและเกเบรียลเดินตามพ่อแม่ของเขาเข้าไปข้างใน หากพูดตรง ๆ การพูดคุยในออฟฟิศนั้นดีกว่าที่ฉันคาดไว้มาก ฉันไม่แน่ใจว่าฉันคาดหวังอะไร แต่ฉันไม่ได้คาดว่าจะเจอความสงบแบบนี้ หรืออาจจะเป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมา?ฉันยังไม่เข้าใจว่าทำไมเกเบรียลไม่บอกพวกเขาว่าเราเคยแต่งงานกันมาก่อน แม้การแต่งงานของเราจะจบลงอย่างเลวร้าย แต่มันก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด ฉันไม่ชอบที่เขาปิดบังเรื่องนี้“ไหวไหม?” เสียงของเขาดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา และพบว่าสายตาเขาจ้องมาที่ฉันอย่างแน่วแน่ มันช่างลึกซึ้งเหมือนว่าเขากำลังอ่านฉันจนถึงจิตวิญญาณ ฉันดึงสายตาจากเขาแล้วมองไปข้างหน้าแทน“ไหว แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน” ฉันตอบตามตรงส่วนที่ยากที่สุดผ่านไปแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงรู้สึกกระวนกระวายอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้ฉันต้องใช้เวลาทั้งวันอยู่กับครอบครัวของเขา บางทีอาจเป็นเพราะฉันยังคงรู้สึกถึงลมหายใจของเขาบนผิวของฉันเมื่อตอนที่เขาเกือบจะจูบฉัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะเขายอมรับความผิดทั้งหมดในความล้มเหลวของความสัม
ขอบคุณพี่ชายของเธอที่ทำให้ผมรู้ว่าเธอต้องการผม และมันก็กลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการต่อต้านเธอ ผมอยากทำร้ายเธอ อยากทำลายเธอและทำให้เธอเจ็บปวดเพราะเธอพรากอิสระไปจากผม ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ได้ทันทีว่าการนอกใจจะทำให้เธอเจ็บปวด ผมเลยทำ และผมก็ทำให้เธอรู้ด้วย ผมอยากให้เธอเสียใจที่คิดจะวางกับดักผมและมันได้ผล ทุกครั้งที่ผมเห็นเธอ ผมเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของเธอ ผมรู้ว่ามันทำให้ผมเป็นคนเลว แต่การเห็นความเจ็บปวดในตาเธอมันทำให้ผมพอใจ“เวลาผ่านไปก็นานแล้วนะ แล้วลูกไปเจอเธออีกครั้งได้ยังไง?” แม่ถามต่อเมื่อผมไม่ตอบอะไรเกี่ยวกับข้อสังเกตของพ่อ“ผมออกตามหาเธอครับ” ผมยักไหล่ “พวกกรรมการบริหารนั่นอยากให้ผมแต่งงานเป็นหลักเป็นแหล่งสักที ผมเลยทำแบบนี้”สายตาของแม่หันไปทางฮาร์เปอร์ “แล้วเธอยอมแต่งงานกับเขา ทั้งที่เขาปฏิบัติกับเธออย่างเลวร้ายขนาดนั้นเหรอ?”ผมสะดุ้งกับคำพูดของแม่ ผมเกลียดที่ทำให้แม่ผิดหวัง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกับผม ฮาร์เปอร์ยักไหล่ตอบ “เขามีสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันก็เลยตอบตกลงค่ะ”พ่อกับแม่หันมามองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมาทางเรา“หมายถึงอะไร?” พ่อถามด้วยสายตาที่จ้องจับผิด“บริษั
ผมรู้ว่าปฏิกิริยาของพวกเขาจะต้องรุนแรงแน่ ๆ ใครล่ะจะไม่ตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็ถูกบอกว่ามีลูกสะใภ้กับหลานสาวที่ไม่เคยรู้มาก่อนพ่อเริ่มเดินไปเดินมา และผมก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร พ่อพร่ำสอนผมกับโรแวนเสมอ เรารู้เสมอว่าเขาคิดอะไรอยู่เพราะเราเองก็คิดแบบเดียวกันเขาน่าจะกำลังสงสัยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง สงสัยว่าผมตรวจดีเอ็นเอแล้วหรือยังว่าลิลลี่เป็นลูกสาวของผมจริง หรือเปล่า และเขาคงสงสัยด้วยว่าฮาร์เปอร์หลอกล่อหรือวางกับดักอะไรผมหรือเปล่า เขากำลังพยายามคิดถึงทุกแง่มุม“แล้ว…มันเกิดขึ้นได้ยังไง? ไปมีเมียมีลูกตอนไหนยังไง?” แม่เอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักใบหน้าของเธอยังเต็มไปด้วยความตกตะลึง ดวงตาเลื่อนจากผมไปที่ฮาร์เปอร์ ซึ่งกำลังก้มหน้ามองพื้นอย่างเงียบ ๆ เธอดูประหม่าและตื่นตระหนกน ผมรู้สึกอยากจะโอบกอดเธอ อยากปลอบโยนเธอด้วยสัมผัสของผมความรู้สึกที่รุนแรงต่อเธอนั้นทำให้ผมงุนงง มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนตอนที่เรายังแต่งงานกัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ ๆ ผมถึงอยากทำในสิ่งที่ผมไม่เคยอยากทำมาก่อน?“ตอบแม่สิ เกบ” เสียงเข้มของพ่อทำให้ผมหลุดจากความคิด“เราเคยมีความสัมพันธ์กันเมื่อหลายปีก่อน” ผมเริ่มพู
เกเบรียล“แม่ครับ!” ผมตะโกนเรียกพลางรีบวิ่งไปหาเธอแม่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ไม่ต้องมีใครบอก ผมก็รู้ว่าที่เธอเป็นแบบนี้ก็เพราะช็อกตอนเห็นลิลลี่ เหมือนตอนที่ผมเจอครั้งแรก เธอแค่เห็นตาสีเทาคู่นั้นครั้งเดียวก็รู้ทันทีว่าลิลลี่เป็นหนึ่งในสายเลือดของตระกูลวู้ดผมค่อย ๆ ตบแก้มของแม่เบา ๆ แต่เธอก็ยังไม่ฟื้น ผมจึงค่อย ๆ สอดแขนข้างหนึ่งใต้บ่า และอีกข้างหนึ่งใต้หัวเข่าของแม่ แล้วยกเธอขึ้นมาวางบนโซฟาที่ใกล้ที่สุด“พ่อ! โรแวน!” ผมตะโกนเรียกอย่างร้อนรน เพราะไม่อยากทิ้งแม่ไว้คนเดียว“คุณย่าจะเป็นอะไรไหมคะ?” ลิลลี่ถามเสียงแผ่วเบาและเปราะบาง “หนูทำอะไรผิดหรือเปล่า? หรือที่คุณย่าเป็นแบบนี้เพราะหนูใช่ไหมคะ?”น้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาของเธอทำให้ผมใจอ่อน ในเวลาไม่นาน ลิลลี่ก็กลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตผม การเห็นเธอร้องไห้ทำให้ผมเจ็บปวด ผมคิดว่าในชีวิตนี้ผมไม่เคยรักใครมากเท่าที่ผมรักลิลลี่ แม้แต่โรแวน ฝาแฝดของผมเอง ก็ยังไม่อาจเทียบได้ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของเธอ ฮาร์เปอร์ก็พูดแทรกขึ้นมา“ไม่หรอกจ้ะ ลูกรัก” ฮาร์เปอร์ตอบพร้อมวางผ้าชุบน้ำเย็นลงบนหน้าผากแม่ ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอไปเอาผ้ามาเมื่อไหร่“
เสียงโทรศัพท์ของเกเบรียลทำให้ฉันลุกขึ้นจากที่เดิมที่ลิลลี่ทิ้งฉันไว้ ฉันยังไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพูดแบบนั้นกับฉันได้ ตอนที่เลียมยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่เคยกังวลที่ไม่มีพี่น้อง เธอไม่เคยขอมีพี่น้องด้วยซ้ำ ฉันเลยสงสัยว่าอะไรทำให้เธอเปลี่ยนไปแบบนี้กะทันหันฉันรู้ว่าตอนนี้คุณอาจสงสัยว่าทำไมฉันกับเลียมถึงไม่มีลูก ทั้งที่แต่งงานกันมานานขนาดนั้น เรื่องจริงก็คือ เราพยายามแล้ว เลียมอยากมีครอบครัว อยากมีลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง ฉันรู้ว่าเขารักลิลลี่เหมือนลูกแท้ ๆ ของเขา แต่เขาก็อยากมีลูกที่เป็นสายเลือดของตัวเองด้วยฉันเองก็อยากจะให้เขามีสิ่งนั้น ฉันอยากขอบคุณเขาที่อยู่เคียงข้างฉันในตอนที่ฉันไม่มีใคร ที่แต่งงานกับฉันและมอบครอบครัวให้กับลิลลี่ การมีลูกให้เขาสักคนไม่ได้เป็นสิ่งที่มากเกินไป และฉันก็ไม่เห็นปัญหาอะไรอย่างที่บอก เราพยายามแล้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งหนึ่งปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาถึงยอมไปตรวจสุขภาพ ผลปรากฏว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจสลาย เราได้รู้ว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้ วันที่เราอยู่ที่คลินิก ฉันเห็นแสงบางอย่างในตัวเขาดับลงไป การรู้ว่าเขาไม่สามารถเป็นพ่อได้เหมือนทำลา
ลิลลี่มองพวกเราสลับไปมาระหว่างฉันกับพ่อเธอ ฉันเห็นคำถามมากมายในสายตาเธอ ความสงสัยเกี่ยวกับฉันและเกเบรียลอย่างที่ฉันพูดไปแล้วว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ฉันไม่ควรจะรู้สึกดึงดูดใจต่อเกเบรียลอีกหลังจากที่ห่างกันไปหลายปี ฉันเคยคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาจะจบลงไปแล้ว การปฏิบัติที่เขาเคยทำกับฉันเมื่อหลายปีก่อนควรจะฆ่าความรู้สึกทั้งหมดที่ฉันเคยมีต่อเขาแต่ฉันคิดผิด เพราะตอนนี้ฉันกลับมายืนอยู่ตรงนี้ เกือบจะจูบเขา ฉันรู้สึกแย่มากที่ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอเพียงชั่วขณะ และปล่อยให้ร่างกายพาฉันหลงใหลในตัวเขา“สองคนจะจูบกันเหรอคะ?” ลิลลี่ถามอย่างไร้เดียงสา ฉันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกจิตใจฉันวุ่นวาย ฉันไม่รู้จะตอบเธออย่างไร ควรจะบอกความจริงเธอไหม? แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็โกหกไม่ได้เมื่อเธอเห็นเต็มสองตา“เอ่อ…เอ่อ...” ฉันพยายามหาคำพูดที่เหมาะสมจะตอบในหัวของฉันยังคิดถึงเรื่องเลียม เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ลิลลี่เคยเห็นฉันจูบ ผู้ชายคนเดียวที่เคยอยู่ในชีวิตของเรา ฉันกลัวว่าถ้าฉันบอกว่า ‘ใช่’ เธอจะเข้าใจผิด ฉันรู้ว่าเกเบรียลพยายามสร้างความสัมพันธ์กับเธอ แต่ตลอดเวลาห้าปีที่ผ่านมา เลียมคือพ่อของเธอ