”สามครั้งแล้วและเธอก็จะจบ เอวา”ฉันอ่านและอ่านโน้ตนั้นซ้ำ หัวใจของฉันเต้นแรงมากจนฉันคิดว่ามันจะเจาะเป็นรูทะลุอกออกมา ฉันกลัวจนขึ้นสมองและฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง นี่เป็นโน้ตที่สามที่ฉันได้รับฉันเพิ่งกลับมาจากการส่งโนอาที่โรงเรียนตอนที่ฉันพบมันอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ตอนฉันเห็นกล่องที่ถูกผูกด้วยโบว์สีแดงครั้งแรก ฉันคิดว่ามันคือของขวัญ จนกระทั่งฉันเปิดมันดูและพบซากหนูที่ตายแล้วพร้อมกับกระดาษโน้ตข้างในตอนนี้ฉันตื่นตระหนกมากเพราะการคุกคามนี้ดูเหมือนจะเลวร้ายลงฉันทิ้งกล่องพร้อมกับหนูลงในถังขยะก่อนที่ฉันจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหารีเปอร์ ฉันภาวนาขอให้เขาจะมีคำตอบให้ฉัน ให้เขาพบว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้เขารับสายหลังจากไม่กี่วินาทีและฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก“เอวา” เขารับสายลวก ๆ ฟังดูเหมือนว่าเขากำลังสูบบุหรี่“โปรดบอกฉันทีว่าคุณมีบางอย่างให้ฉัน” ฉันอ้อนวอนอย่างสิ้นหวังฉันรู้ว่ามันหยาบคายที่ไม่แม้แต่จะทักทายเขาด้วยซ้ำ แต่ฉันกลัว ฉันเป็นกังวลและคอยเหลียวหลังมองตลอด ฉันกลายเป็นหวาดระแวงมากจนใครก็ตามที่ฉันบังเอิญพบบนถนนหรือร้านค้า จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในทันทีฉันไม่ได้บอ
ส่วนที่สองโรแวน “คุณผู้ชาย? มีอะไรที่คุณอยากให้ฉันสั่งจากร้านอาหารไหมคะ” เลขาของผมถามขึ้นมา แต่ผมยังคงจ้องมองนอกหน้าต่างห้องทำงานของผมต่อไปวิวที่นี่ดีมากจริง ๆ มันคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมผมถึงเลือก แต่วันนี้มันไม่ได้ให้ความเงียบสงบกับผมตามปกติ “ไม่ล่ะ ไม่ใช่วันนี้” ผมตอบโดยไม่ได้หันไปมองเธอ“โอเคค่ะถ้างั้น ฉันจะกลับมาในอีกครึ่งชั่วโมง”ผมไม่ได้ตอบเธอและหลังจากไม่กี่นาทีที่ผมได้ยินเสียงประตูปิด ผมถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ ลางสังหรณ์บางอย่างเกาะยึดติดกับผม มันล้อมรอบผมราวคลื่น วันนี้ยิ่งรู้สึกมากกว่าวันก่อนเสียอีกผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หัวใจของผมเป็นกังวล ผมไม่สามารถสงบสติอารมณ์และไม่สามารถจดจ่อได้ มันเหมือนว่าจิตวิญญาณของผมกำลังพยายามบอกผมบางอย่าง แต่ผมคิดไม่ออกว่ามันคืออะไรผมพยายามที่จะเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง ผมนึกถึงเอวาและการพูดคุยของเรา ผมเข้าใจเธอ โธ่เว้ยผมทำให้เธอลังเลหรือเปล่า ผมใช้เวลามากกว่าสิบปีในการตอกย้ำเธอว่าเอมม่าคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมจะรักผมทำทุกอย่างด้วยอำนาจของผมเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าผมใส่ใจเธอน้อยนิดแค่ไหน ผมใช้เวลาเก้าปีในการลงโทษเธอสำหรับบางสิ่
ผมเห็นเขาข่มความรู้สึกไว้ ก่อนที่สายตาของเขาจะจดจ่อมาที่ผม“เป็นเอวา” เขาพูดออกมาในที่สุดผมกำลังจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอวาก็ตอนที่เสียงที่ได้ยินในทีวีเอ่ยชื่อของเธอขึ้นมา ผมเริ่มหันไปมองยังทิศทางของทีวี“ได้โปรด โรแวน…อย่าดูเลย มองฉัน” น้องชายของผมอ้อนวอนผม แต่ผมไม่ได้สนใจเขาผมต้องการรู้ว่านักข่าวจะพูดอะไรเกี่ยวกับเอวากันแน่ข่าวด่วนพาดหัวข้อข่าวเขียนด้วยตัวอักษรใหญ่และหนา“มีข่าวด่วนเพิ่งเข้ามาค่ะ สมาชิกของตระกูลชาร์พและผู้ก่อตั้งมูลนิธิโฮปถูกยิงโดยบุคคลนิรนามในวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าเธอตกอยู่ในสภาวะใด แต่มือปืนได้เปิดฉากยิงดูเหมือนว่าจะเป็นการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังเธอ วิดีโอที่คุณกำลังจะได้รับชมนี้อาจจะรบกวนใจบางคน”ผมรู้สึกว่าหัวเข่าอ่อนแรงลง แต่ไม่มีอะไรที่จะเตรียมพร้อมผมในการเฝ้ามองผู้หญิงที่ผมรักกำลังถูกยิงหลายครั้งวิดีโอแสดงให้เห็นในขณะที่เอวากำลังเดินออกมาจากร้านไอศครีม สายตาของเธอดูละห้อยและเธอมีการขมวดคิ้วเล็กน้อยบนใบหน้า ใครก็ตามที่ถ่ายวิดีโอจับภาพรถตู้สีดำที่มีกระจกป้องกันแสงแดดเร่งความเร็วไปยังทิศทางของเธอ เพียงก่อนที่เขาจะขับผ่านเธอไป คนที่สวมหน้ากากได้ลดกร
ให้ตาย ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเธอ? ทำไมถึงมีคนทำแบบนี้กับเธอ? มีร่องรอยที่ผมเพิกเฉยไปใช่ไหม? เธอตกอยู่ในอันตราย แล้วผมไม่ได้สังเกตเห็นเลยหรือ?คำถามยังคงโจมตีอยู่ในหัวของผมขณะที่เกบขับรถออกจากลานจอดรถชั้นใต้ดินไป ผมจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองถ้าเธอตกอยู่ในอันตรายและผมไม่ได้สังเกตเห็นมัน หรือแม้แต่จะทำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ“เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” ผมถามในขณะที่หวาดกลัวในคำตอบของเขาจนทำให้ผมหายใจไม่ออกเธอต้องมีชีวิตอยู่ เกบเหลือบหันมามองผม “ฉันไม่รู้มากนัก แต่ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”‘ฉิวเฉียด’ คำพูดไม่ได้เอ่ยออกมา แต่บอกเป็นนัยผมเห็นวิดีโอนั้น ใครก็ตามที่ตามล่าเธออยู่ต้องการให้แน่ใจว่าเอวาตายไม่มีโอกาสรอด ผมไม่รู้การประเมินบาดแผลของเธอ แต่ผมรู้ว่าอย่างน้อยลูกกระสุนสองนัดได้โดนตัวเธอ“นายรู้ไหมว่าเธออยู่โรงพยาบาลไหน?” ผมถาม เสียงของผมฟังดูกระด้างแม้กระทั่งฟังด้วยหูของตัวเองผมจดจ่ออยู่กับการที่จะไปหาเธอมากจนผมไม่แม้แต่จะสนใจถามด้วยซ้ำว่าเธอถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลไหน ผมเพียงอยากจะไปอยู่ที่นั่นเพื่อเธอ“อืม ไม่ต้องห่วง ฉันโทรถามและได้ข้อมูลมาแล้ว พวกเขาบอกฉันว่าพวกเขาพาเธอไ
“เอวา ชาร์พครับ” ผมเกือบตะโกนเมื่อมาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลพยาบาลคนหนึ่งพยักหน้าและโบกมือเรียกผม “ทางนี้ค่ะ คนไข้ถูกพามาที่นี่เมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”“เธอเป็นยังไงบ้างครับ? แล้วเด็กล่ะ?”“ดิฉันขอโทษค่ะ คุณโรแวน ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ คุณหมอกำลังรักษาเธออยู่ และฉันได้รับคำสั่งให้พาครอบครัวของเธอไปที่ห้องพักรอเมื่อมาถึง”ผมอยากจะร้องตะโกน อยากจะระบายความโกรธใส่เธอ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยเธอพาผมไปที่ห้องพักรอ จากนั้นก็รีบร้อนเดินออกไปในไม่กี่วินาทีต่อมา ทิ้งให้ผมอยู่กับความคิดที่วิ่งพล่านและความกังวลที่อัดแน่น เมื่อคิดว่าคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงแขนเล็ก ๆ ที่โอบรอบตัวผมผมหันไปมองสัมผัสอันฉับไวนี้ แล้วก็พบว่าเป็นแม่ของผมที่จ้องกลับมา“แม่” ผมเอ่ยอย่างแผ่วเบา น้ำตาคลออยู่ที่ขอบตา แต่กลับกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาผมไม่เคยรู้สึกไร้พลังขนาดนี้มาก่อน อ่อนแอเหลือเกิน“เอวาจะไม่เป็นไรนะลูก แต่ลูกต้องเชื่อมั่นก่อนนะ”ผมพยักหน้าเพราะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้“หมอว่ายังไงบ้าง?” เสียงของเล็ตตี้ทำให้ผมรู้ว่าทุกคนอยู่ท
ผมจ้องหมอราวกับคนโง่ที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ ในความเป็นจริง คำพูดของเขายังไม่ได้ซึมซับเข้ามาในหัวผมทั้งหมด นี่กำลังขอให้ผมเลือกระหว่างเอวากับลูกในท้อง รู้บ้างหรือเปล่าว่ามันยากเย็นขนาดไหน?“คุณโรแวนครับ ทุกวินาทีมีค่า เราจำเป็นต้องทราบการตัดสินใจของคุณโดยไว้ครับ” หมอพูดแทบเป็นเหมือนการอ้อนวอนผมอ้าปากจะพูด แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ผมพยายามอีกครั้งและก็เหมือนเดิม“คุณโรแวนคะ?” พยาบาลเรียกด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล“เด็กค่ะ” เสียงอ่อนโยนของเล็ตตี้ดังขึ้น ทำลายความเงียบ “ถ้าต้องเลือก ก็ต้องช่วยเด็กค่ะ”หมอและพยาบาลพยักหน้าก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมหันไปหาเล็ตตี้ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปั่นป่วนอยู่ภายในท่าทางของผมคงสื่ออะไรบางอย่าง เพราะเธอจ้องกลับมาด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะพูด“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้นเลย โรแวน นี่คือสิ่งที่เอวาต้องการนะ” เธอพูดพร้อมกัดฟันกรอดโครินออกมาปกป้องเพื่อนตน“เล็ตตี้พูดถูก เอวาเลือกลูกก่อนเสมอไม่ว่าจะเวลาไหน ถ้าเราตัดสินใจเลือกช่วยชีวิตเธอแทนลูกในท้อง มีหวังโดนเกลียดไปตลอดแน่”ผมรู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูกดึงออกไปหลังจากที่เธอพูดในสิ่งที่ผมคิดเมื่อไม่ก
ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ขณะที่คำพูดนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในโสตประสาทเอวาได้ลูกสาว เธอมีลูกสาวตัวเล็ก โนอาคงจะดีใจมาก เจ้าลูกชายสวดภาวนาให้ตนเองมีน้องสาว และคำอธิษฐานก็ได้รับการตอบรับแล้ว“ขอเห็นหน้าลูกสาวหน่อยได้ไหมครับ?”“เข้าใจครับว่าคุณคงอยากเจอลูกสาวมาก แต่อาจต้องรออีกสักหน่อยจนกว่าเราจะตรวจเสร็จเรียบร้อยนะครับ” หมอบอก ตอนแรกผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นพ่อของเด็ก ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมกำลังตกตะลึงอยู่เช่นนั้น“เด็กคลอดก่อนกำหนดครับ อายุครรภ์เพียงยี่สิบหกสัปดาห์เท่านั้น และเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณเอวา เด็กต้องถูกนำไปไว้ในตู้อบ เธอจะอยู่ในห้องที่แผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิดจนกว่าเราจะมั่นใจว่าสุขภาพดีพอที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวครับ”ผมสังเกตว่าหมอไม่ได้พูดถึงเอวาเลย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีหวังว่าเธอจะรอดใช่ไหม?หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อความคิดนั้นแล่นเข้ามา เอวาต้องรอดสิ ต้องรอดให้ได้สิ มิฉะนั้นเราจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรหากไม่มีเธอ?“เตรียมใจเอาไว้ก่อนก็ดีนะครับ แต่เราจะพยายามอย่างเต็มที่ให้เด็กน้อยมีชีวิตรอด แต่อาจต้องท
“พ่อครับ แม่อยู่ไหนเหรอ? ผมถามลุงคาลว่าทำไมถึงมารับผมแทนแม่ แต่ลุงบอกว่าพ่อจะอธิบายทุกอย่างเอง” โนอาพูด น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลซึ่งแสดงออกผ่านใบหน้าอย่างชัดเจนบ้าเอ๊ย นี่มันยากจริง ๆ ผมมีเวลามากมายเตรียมคำอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ แต่ตอนนี้กลับพูดไม่ออกเลย “แม่กำลังจะคลอดน้องใช่ไหม? เราเลยต้องมาโรงพยาบาลกันใช่ไหมครับ?” เขาย้ำถามผมสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยออกไป“แม่เขาได้รับบาดเจ็บหนักมาก หนุ่มน้อย ตอนนี้หมอกำลังรักษาแม่อยู่ คุณหมอทุกคนกำลังพยายามกันมาก ๆ ให้แม่หายดีนะลูก”หัวใจของผมแทบแหลกสลายเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาลูกชาย เด็กคนนี้ไม่ควรต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้เลย เขาไม่ควรต้องมานั่งกังวลเรื่องแม่ที่เขารักมาก“แล้วน้องล่ะครับ?” น้ำเสียงแหบพร่าเมื่อถามออกมาผมยิ้มให้เขา “ลูกมีน้องสาวนะ โนอา เหมือนที่ลูกต้องการเลย”ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ความตื่นเต้นและประหลาดใจแสดงออกชัดเจน จากนั้นรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า“ไปเจอน้องได้ไหมครับ?”“ตอนนี้ยังไม่ได้ลูก ต้องรอให้หมอตรวจน้องให้เรียบร้อยก่อน”รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป น้ำตาที่เขาพยายาม
“ช่วยอะไรหน่อย” คริสโตเฟอร์ตอบ “ช่วยไปเก็บรายงานประจำสัปดาห์จากแต่ละแผนกหน่อยได้ไหม? เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อวานทำให้ผมไม่ได้จัดการเรื่องนี้เลย”“ได้เลย ไม่มีปัญหาค่ะ ขอเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องทำงานก่อน แล้วฉันจะไปจัดการให้”หลังจากเขาพยักหน้า ฉันก็เดินตรงไปที่ห้องทำงาน รีบวางของให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปที่แผนกอื่น ๆเมื่อฉันไปถึงแผนกแรก บรรยากาศตึงเครียดทันทีที่ฉันก้าวเข้าไป ทุกคน และฉันหมายถึงทุกคนจริง ๆ หันมามองฉันเป็นตาเดียว ฉันเกลียดความสนใจแบบนี้และอยากให้พวกเขาสนใจงานของตัวเองแทน ฉันพยายามเมินเฉยและจัดการสิ่งที่ฉันต้องทำให้เสร็จ ก่อนจะรีบออกมาฉันไม่เคยมีโอกาสได้สร้างมิตรภาพกับใคร เพราะมิลลี่เคยปล่อยข่าวลือว่าฉันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายที่นอนกับเกเบรียล แค่นั้นก็เพียงพอให้คนอื่นตัดสินและตีตัวออกห่างจากฉันฉันถอนหายใจโล่งอกเมื่อมาถึงแผนกสุดท้าย บางคนยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจ เพราะตอนนี้ข่าวเรื่องฉันกับเกเบรียลแพร่ออกไปแล้ว พวกเขาเลยพยายามทำดีด้วย ฉันรู้ดีว่ามีคนที่เข้าหาคุณเพียงเพราะหวังจะได้ประโยชน์จากคุณ“ไง ฮาร์เปอร์” เสียงของรีเบคก้า หนึ่งในลิ่วล้อของมิลลี่ดังข
ฮาร์เปอร์เช้าวันรุ่งขึ้น เกเบรียลไม่อยู่ให้เห็นเลยตอนที่ฉันทานอาหารเช้าและเตรียมตัวออกไปทำงาน จนกระทั่งตอนที่ขึ้นรถและถามคนขับว่าเกเบรียลอยู่ที่ไหน ถึงได้รู้ว่าเขาออกไปทำงานก่อนแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราต่างคนต่างไปทำงานตั้งแต่ฉันเริ่มทำงานให้เขา ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารู้สึกโล่งใจหรือไม่ในเมื่อเขาไม่อยู่ ฉันเลยตัดสินใจไปส่งลิลลี่ที่โรงเรียนก่อน ความตื่นเต้นของเธอยังไม่จางหาย ตลอดทางเธอพูดถึงแต่เซียร่า ฉันรู้จักลูกสาวของตัวเองดี และรู้ว่าเธอไม่เคยตื่นเต้นหรือมีความสุขกับเด็กผู้หญิงคนไหนมาก่อนแบบนี้แน่นอนว่าเธอมีเพื่อนที่บ้านเก่าที่เราเคยอยู่ แต่ก็ไม่มีใครที่เธอพูดถึงมากขนาดนี้ ฉันคิดว่าเด็กพวกนั้นน่าจะเป็นแค่คนรู้จักมากกว่าเพื่อนของลูกสาวฉันเธอไม่เคยชวนใครมาค้างบ้าน และถ้าใครเชิญเธอไป เธอก็มักจะหาข้ออ้างว่าไปไม่ได้ เธอไม่เคยพูดถึงเพื่อนพวกนั้นมากมายเหมือนที่พูดถึงซีเอร์รา ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่วันเดียวแต่ไม่ว่าอะไรที่ทำให้เธอมีความสุข ฉันก็มีความสุขด้วย ถ้าเซียร่าทำให้ลิลลี่กลายเป็นเด็กหญิงที่กรี๊ดกร๊าดและหัวเราะคิกคักได้ แล้วฉันจะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวาง?ครั้งแรกเลยที่ฉ
เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไม่สนใจพวกเขา ผมลุกขึ้นอีกครั้ง คว้าเสื้อโค้ทแล้วออกจากห้องทำงาน ผมรู้ดีว่าคงไม่มีสมาธิทำงานได้ แล้วจะเสียเวลาไปทำไมกันล่ะ?ผมส่งข้อความหาคนขับรถเพื่อให้เตรียมรถไว้ก่อนจะก้าวขึ้นลิฟต์ ไม่กี่นาทีต่อมา ผมก็อยู่ในลานจอดรถใต้ดิน“คุณวู้ดครับ” เขาก้มศีรษะเล็กน้อยขณะเปิดประตูรถให้ผมผมพยักหน้ารับก่อนจะเข้าไปในรถ เขาก็ขึ้นรถและเริ่มขับออกไปผมตัดสินใจเปิดดูข่าวซุบซิบต่าง ๆ เป็นการฆ่าเวลาเกเบรียล วู้ดเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ประกาศลั่นอย่างเป็นทางการ ข่าวจากวงในวู้ด คอร์เปอร์เรชั่นเกเบรียล วู้ด หนุ่มเนื้อหอมตัวท๊อปของเมืองสละโสดขวัญใจมหาชน เกเบรียล วู้ดลั่นระฆังวิวาห์ปิดประมูลความโสดของหนุ่มฮอต เกเบรียล วู้ดสาวคนไหนกันที่เกเบรียล วู้ด สวมแหวนแต่งงานให้กันนะ?เรื่องแล้วเรื่องเล่า บทความพวกนี้มีแต่เรื่องไร้สาระ บางอันก็ดูโง่เง่า บางอันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเมื่อเดินทางถึงบ้าน ผมปิดโทรศัพท์ก่อนลงจากรถ หลังจากกล่าวลาคนขับแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังบ้านของตัวเองผมแปลกใจที่เจอฮาร์เปอร์นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น“กลับมาบ้านได้สักทีนะคะ” เธอพูดอย่างเหม่อลอย “เห็นข่าวซุบซิบพว
เกเบรียลผมนั่งมองเอกสารตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า อารมณ์ยังคงเดือดพล่าน โกรธจัด โกรธจนแทบบ้า มิลลี่คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ถึงได้กล้าพูดจาหยาบคายใส่ฮาร์เปอร์แบบนั้น?เพราะสมาธิที่เตลิดไปจนหมด ผมลุกขึ้นยืนและเริ่มเดินวนไปมา สมองผมทำงานเร็วราวกับกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วพันไมล์ต่อวินาที ผมพยายามคิดหาวิธีที่แตกต่างไปซึ่งจะทำให้ชีวิตของมิลลี่เป็นนรกบนดินนายโกรธอะไรนักหนา? ตอนที่แต่งงานกับฮาร์เปอร์เมื่อหลายปีก่อน นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ามิลลี่เลยเสียงในหัวเยาะหยันผม แต่ผมไม่อยากฟัง เพราะมันพูดถูกจนน่าหงุดหงิด ตอนนั้นผมไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของเธอเลย ผมทำให้เธอเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วอะไรล่ะที่เปลี่ยนไป?ตอนที่ผมลากฮาร์เปอร์มายืนกลางห้องและขู่ทุกคนที่กล้าทำร้ายเธอ ผมเห็นความตกใจและประหลาดใจในดวงตาเธอตอนอยู่ในห้องทำงานของผม เธอมองผมเหมือนกับว่าไม่รู้จักผมอีกต่อไป เหมือนเธอไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกอยู่ข้างเธอ มันชัดเจนว่าเธอคิดไม่ออกว่าจะคิดกับผมหรือการกระทำของผมอย่างไรผมยกมือลูบหน้าพร้อมถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ผมจะโทษเธอได้อย่างไรล่ะกับปฏิกิริยานั้น ในเมื่ออดีตผมเคยปฏิบัติกับเธออย่างเลว
จากนั้น เขาจับมือฉันพาเดินออกจากห้องไป ก่อนที่ประตูจะปิด ฉันมองเห็นความหวาดกลัวในตาของมิลลี่ ความกลัวนั้นบอกทุกอย่างที่ฉันต้องการรู้ และแน่นอนว่าผลการสอบสวนของเธอคงไม่พูดถึงเธอในทางดีแน่เราขึ้นลิฟต์ไปเงียบ ๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร จนเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เกเบรียลพาฉันไปที่ห้องทำงานของเขา"คุณเป็นอะไรไหม?" เขาถามเมื่อเราเข้าไปในห้อง "ผมส่งเรื่องให้ทีมสื่อข่าวสารประกาศเรื่องการแต่งงานของเราแล้ว ผมอยากลงไปหาเพื่อบอกคุณเรื่องนี้ แต่กลับไม่เจอคุณที่ห้องทำงานตัวเอง ผมก็เลยได้เห็นฉากน่ารังเกียจนั้นกับตา"ฉันดึงมือออกจากมือของเขาแล้วจ้องมองกลับไป "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องห่วง""แน่ใจนะ?""แน่ใจค่ะ"เรานั่งอยู่ในความเงียบงันสักพัก ฉันเห็นว่าเขาคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนมีบางอย่างที่ยับยั้งเขาเอาไว้ สายตาที่เขาจ้องมาทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันคงกลับบ้านก่อนนะคะ ฉันรู้สึกกังวลมาตลอดทั้งวันเพราะเรื่องลิลลี่" ฉันพูดเบา ๆ ไม่กล้ามองตาเขา"ได้ งานเสร็จเมื่อไหร่ ผมก็จะกลับบ้านเลยเหมือนกัน"ฉันพยักหน้าก่อนจะเดินออกไป ไม่ใช่ว่าฉันไม่ขอบคุณในสิ่งที่เขาทำให้ แต่การกระทำของเข
"ภรรยาเหรอ?" มิลลี่ทวนคำพูดราวกับว่าเธอไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้"ผมพูดไม่ชัดหรือไง?" เกเบรียลถามเสียงเรียบแต่แฝงความคมกริบทั้งห้องเงียบกริบทันที คนที่เคยพึมพำและชี้นิ้วมาที่ฉันตอนนี้ต่างก้มหน้าลงไม่กล้ามองขึ้นมาฉันไม่ได้ต้องการให้เกเบรียลมาสู้แทนฉันเลย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขี้กลัวและไม่มีความมั่นใจเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ฉันเปลี่ยนไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าฉันชอบที่เขาออกมาปกป้องฉันมิลลี่ตัวสั่นเทิ้ม เธอทั้งตัวแข็งทื่อและความกลัวปรากฏชัดบนใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฉันทำงานที่นี่ที่เธอไม่ได้ดูเหมือนผู้หญิงเย่อหยิ่งที่ฉันคุ้นเคยด้วยท่าทางของเธอ คุณอาจคิดว่าเธอเป็นเจ้าของบริษัทนี้ เธอชอบสั่งคนอื่น ทั้งหยาบคายและร้ายกาจ โดยเฉพาะกับผู้หญิง เธอปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนพวกเขาต่ำต้อยกว่าฉันแทบไม่เคยลงไปที่ชั้นอื่น ๆ แต่ถ้าฉันจำเป็นต้องไป มิลลี่จะอยู่ที่นั่นเสมอเพื่อพูดจาไร้สาระและปฏิบัติต่อฉันเหมือนขยะ"ดิฉันขอโทษค่ะเกเบรียล ดิฉันไม่ทราบว่าเธอเป็นภรรยาของคุณ" เธอกระซิบ น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยการขอร้องความกดดันรอบตัวเกเบรียลยิ่งหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก ผู้ห
ฉันเพิ่งจะก้าวลงจากรถ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็คว้ามือฉันไว้และกระชากมันอย่างแรง ฉันตกใจกับการกระทำนั้น จึงเงยหน้าขึ้นด้วยความสับสน แล้วก็เจอสายตาที่ลุกวาวของเขา“แหวนอยู่ไหน?” เขาพ่นคำถามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด สายตาจ้องมองฉันเขม็งให้ตายเถอะ! อะไรกันเนี่ย?ฉันค่อย ๆ ละสายตาจากเขาไปที่นิ้วมือว่างเปล่าของตัวเอง คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่สับสนไหม? แบบที่คุณรู้ว่าคนถามอะไร คุณรู้คำตอบ แต่ก็ยังสับสนอยู่ดี? นั่นแหละ ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้“ฮาร์เปอร์ แหวนคุณอยู่ที่ไหน?” เขาเค้นเสียงถามขณะที่ก้าวลงจากรถฉันมองร่างของเขาที่ลุกออกจากรถ แล้วตอนนี้เขาก็ยืนตระหง่านค้ำหัวฉัน ความน่าเกรงขามของเขาทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออกเขาเขย่าตัวฉันเล็กน้อยดึงฉันกลับมาอยู่กับปัจจุบัน“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันพึมพำออกมา ยังคงไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้สีหน้าของเขามืดครึ้มขึ้นไปอีก เหมือนคำตอบของฉันไปกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขาเข้า“เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือคุณไม่ได้ใส่แหวนที่ผมเป็นคนให้ และผมก็อยากรู้ด้วยว่าทำไม” เขาคำรามออกมา ใบหน้าเคร่งเครียดฉันตอบกลับไปแบบโง
ฉันพยายามดึงมือออก แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาจับมันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เขาไม่จับแน่นจนเจ็บ แต่แน่นพอที่ฉันจะดึงมือออกไม่ได้"ฮาร์เปอร์" เขากระซิบเตือนเมื่อฉันพยายามดึงมือออกอีกครั้งทำไมเขาต้องทำให้มันยากขนาดนี้? ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้เลยเหรอ?"ไม่มีอะไรให้พูดทั้งนั้น" ฉันขู่ฟ่อ ขมวดคิ้วมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาความจริงที่ว่าฉันอ่อนระทวยต่อสัมผัสของเขาก็น่าอายพอแล้ว ตอนนี้เขายังอยากจะทำให้ฉันอายมากขึ้นด้วยการพูดเรื่องนี้ระหว่างทางไปทำงานอีก"ตรงนี้แหละที่คุณคิดผิด" เขาจับเอวฉันแล้วดึงเข้าใกล้ตัว "เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะแยะ"เขากำลังทำอะไรอยู่นะ? เสียสติไปแล้วเหรอ? ตอนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติกับเกเบรียล เพราะเขากำลังทำอะไรที่ดูไม่ใช่เขาเลยเขากำลังปั่นหัวฉันเล่นเหรอ? เป็นแบบนี้ใช่ไหม? เกมสำหรับเขาสินะ"ปล่อยฉันนะ เกเบรียล" ฉันกระซิบอย่างโกรธจัดในใจ ขณะที่ความคิดที่ไม่สบายใจเริ่มจมลึกลงในหัวโธ่! มันยังเจ็บอยู่เลย เจ็บที่เมื่อก่อนเขาไม่ต้องการฉัน แล้วตอนนี้เขากำลังทำเหมือนฉันเป็นของเล่น"ทำไมล่ะ?" เขาถาม ขณะริมฝีปากของเขาใกล้หูฉัน "ผมทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจหรือเปล่า? ทำให้คุณเร
ตอนที่เรากำลังจะออกจากบ้าน ฉันควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้วฉันไม่อยากยอมรับ แต่ความรู้สึกดึงดูดที่ฉันมีต่อเกเบรียลยังคงอยู่ มันผ่านมาหลายปีแล้ว เกือบสิบปี แต่เขาใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการเร้าอารมณ์ฉันฉันเกลียดมัน เกลียดเพราะตอนที่ฉันแต่งงานกับเลียม มันต้องใช้เวลาสักพักกว่าฉันจะรู้สึกตื่นเต้นพอสำหรับเรื่องบนเตียง อย่าเข้าใจผิดนะ เลียมไม่ได้เป็นคู่รักที่แย่ เขาไม่ได้แย่เรื่องเซ็กซ์ แต่ความรู้สึกมีอารมณ์ของฉันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ตอนที่เขาอยากจะนอนด้วยแต่กับเกเบรียล มันไม่ได้ยากเลย แค่สายตาที่ร้อนแรงแวบเดียวพร้อมมือที่หยาบกร้านของเขาแตะผิวกาย ฉันก็เปียกชุ่มเพราะเขา พร้อมให้เขาครอบครอง มันบอกอะไรเกี่ยวกับตัวฉันเหรอ? การที่อดีตสามีไม่ได้สัมผัสด้านนี้ของฉันในขณะที่ผู้ชายที่ทำลายฉันกลับทำได้?หลังจากอาบน้ำเย็นเร็ว ๆ เพื่อล้างความเร่าร้อนและความอับอายออกไป ฉันแต่งตัวและลงไปที่โต๊ะอาหาร ระหว่างที่เรากำลังกินข้าว ฉันพยายามหลีกเลี่ยงสายตาที่เหมือนรู้อะไรของเกเบรียล“พร้อมหรือยังลูก?” ฉันถามลิลลี่ในขณะที่เธอหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เกเบรียลประกาศว่าเขาจะไปส่งลิลลี่ไปโรง