ผมเห็นเขาข่มความรู้สึกไว้ ก่อนที่สายตาของเขาจะจดจ่อมาที่ผม“เป็นเอวา” เขาพูดออกมาในที่สุดผมกำลังจะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเอวาก็ตอนที่เสียงที่ได้ยินในทีวีเอ่ยชื่อของเธอขึ้นมา ผมเริ่มหันไปมองยังทิศทางของทีวี“ได้โปรด โรแวน…อย่าดูเลย มองฉัน” น้องชายของผมอ้อนวอนผม แต่ผมไม่ได้สนใจเขาผมต้องการรู้ว่านักข่าวจะพูดอะไรเกี่ยวกับเอวากันแน่ข่าวด่วนพาดหัวข้อข่าวเขียนด้วยตัวอักษรใหญ่และหนา“มีข่าวด่วนเพิ่งเข้ามาค่ะ สมาชิกของตระกูลชาร์พและผู้ก่อตั้งมูลนิธิโฮปถูกยิงโดยบุคคลนิรนามในวันนี้ เรายังไม่รู้ว่าเธอตกอยู่ในสภาวะใด แต่มือปืนได้เปิดฉากยิงดูเหมือนว่าจะเป็นการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังเธอ วิดีโอที่คุณกำลังจะได้รับชมนี้อาจจะรบกวนใจบางคน”ผมรู้สึกว่าหัวเข่าอ่อนแรงลง แต่ไม่มีอะไรที่จะเตรียมพร้อมผมในการเฝ้ามองผู้หญิงที่ผมรักกำลังถูกยิงหลายครั้งวิดีโอแสดงให้เห็นในขณะที่เอวากำลังเดินออกมาจากร้านไอศครีม สายตาของเธอดูละห้อยและเธอมีการขมวดคิ้วเล็กน้อยบนใบหน้า ใครก็ตามที่ถ่ายวิดีโอจับภาพรถตู้สีดำที่มีกระจกป้องกันแสงแดดเร่งความเร็วไปยังทิศทางของเธอ เพียงก่อนที่เขาจะขับผ่านเธอไป คนที่สวมหน้ากากได้ลดกร
ให้ตาย ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเธอ? ทำไมถึงมีคนทำแบบนี้กับเธอ? มีร่องรอยที่ผมเพิกเฉยไปใช่ไหม? เธอตกอยู่ในอันตราย แล้วผมไม่ได้สังเกตเห็นเลยหรือ?คำถามยังคงโจมตีอยู่ในหัวของผมขณะที่เกบขับรถออกจากลานจอดรถชั้นใต้ดินไป ผมจะไม่มีทางให้อภัยตัวเองถ้าเธอตกอยู่ในอันตรายและผมไม่ได้สังเกตเห็นมัน หรือแม้แต่จะทำอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ“เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” ผมถามในขณะที่หวาดกลัวในคำตอบของเขาจนทำให้ผมหายใจไม่ออกเธอต้องมีชีวิตอยู่ เกบเหลือบหันมามองผม “ฉันไม่รู้มากนัก แต่ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่”‘ฉิวเฉียด’ คำพูดไม่ได้เอ่ยออกมา แต่บอกเป็นนัยผมเห็นวิดีโอนั้น ใครก็ตามที่ตามล่าเธออยู่ต้องการให้แน่ใจว่าเอวาตายไม่มีโอกาสรอด ผมไม่รู้การประเมินบาดแผลของเธอ แต่ผมรู้ว่าอย่างน้อยลูกกระสุนสองนัดได้โดนตัวเธอ“นายรู้ไหมว่าเธออยู่โรงพยาบาลไหน?” ผมถาม เสียงของผมฟังดูกระด้างแม้กระทั่งฟังด้วยหูของตัวเองผมจดจ่ออยู่กับการที่จะไปหาเธอมากจนผมไม่แม้แต่จะสนใจถามด้วยซ้ำว่าเธอถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลไหน ผมเพียงอยากจะไปอยู่ที่นั่นเพื่อเธอ“อืม ไม่ต้องห่วง ฉันโทรถามและได้ข้อมูลมาแล้ว พวกเขาบอกฉันว่าพวกเขาพาเธอไ
“เอวา ชาร์พครับ” ผมเกือบตะโกนเมื่อมาถึงเคาน์เตอร์พยาบาลพยาบาลคนหนึ่งพยักหน้าและโบกมือเรียกผม “ทางนี้ค่ะ คนไข้ถูกพามาที่นี่เมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”“เธอเป็นยังไงบ้างครับ? แล้วเด็กล่ะ?”“ดิฉันขอโทษค่ะ คุณโรแวน ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ คุณหมอกำลังรักษาเธออยู่ และฉันได้รับคำสั่งให้พาครอบครัวของเธอไปที่ห้องพักรอเมื่อมาถึง”ผมอยากจะร้องตะโกน อยากจะระบายความโกรธใส่เธอ แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร เพราะไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยเธอพาผมไปที่ห้องพักรอ จากนั้นก็รีบร้อนเดินออกไปในไม่กี่วินาทีต่อมา ทิ้งให้ผมอยู่กับความคิดที่วิ่งพล่านและความกังวลที่อัดแน่น เมื่อคิดว่าคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงแขนเล็ก ๆ ที่โอบรอบตัวผมผมหันไปมองสัมผัสอันฉับไวนี้ แล้วก็พบว่าเป็นแม่ของผมที่จ้องกลับมา“แม่” ผมเอ่ยอย่างแผ่วเบา น้ำตาคลออยู่ที่ขอบตา แต่กลับกลั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาผมไม่เคยรู้สึกไร้พลังขนาดนี้มาก่อน อ่อนแอเหลือเกิน“เอวาจะไม่เป็นไรนะลูก แต่ลูกต้องเชื่อมั่นก่อนนะ”ผมพยักหน้าเพราะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้“หมอว่ายังไงบ้าง?” เสียงของเล็ตตี้ทำให้ผมรู้ว่าทุกคนอยู่ท
ผมจ้องหมอราวกับคนโง่ที่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ ในความเป็นจริง คำพูดของเขายังไม่ได้ซึมซับเข้ามาในหัวผมทั้งหมด นี่กำลังขอให้ผมเลือกระหว่างเอวากับลูกในท้อง รู้บ้างหรือเปล่าว่ามันยากเย็นขนาดไหน?“คุณโรแวนครับ ทุกวินาทีมีค่า เราจำเป็นต้องทราบการตัดสินใจของคุณโดยไว้ครับ” หมอพูดแทบเป็นเหมือนการอ้อนวอนผมอ้าปากจะพูด แต่ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ผมพยายามอีกครั้งและก็เหมือนเดิม“คุณโรแวนคะ?” พยาบาลเรียกด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล“เด็กค่ะ” เสียงอ่อนโยนของเล็ตตี้ดังขึ้น ทำลายความเงียบ “ถ้าต้องเลือก ก็ต้องช่วยเด็กค่ะ”หมอและพยาบาลพยักหน้าก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ผมหันไปหาเล็ตตี้ด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปั่นป่วนอยู่ภายในท่าทางของผมคงสื่ออะไรบางอย่าง เพราะเธอจ้องกลับมาด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะพูด“ไม่ต้องมองฉันแบบนั้นเลย โรแวน นี่คือสิ่งที่เอวาต้องการนะ” เธอพูดพร้อมกัดฟันกรอดโครินออกมาปกป้องเพื่อนตน“เล็ตตี้พูดถูก เอวาเลือกลูกก่อนเสมอไม่ว่าจะเวลาไหน ถ้าเราตัดสินใจเลือกช่วยชีวิตเธอแทนลูกในท้อง มีหวังโดนเกลียดไปตลอดแน่”ผมรู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูกดึงออกไปหลังจากที่เธอพูดในสิ่งที่ผมคิดเมื่อไม่ก
ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ขณะที่คำพูดนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในโสตประสาทเอวาได้ลูกสาว เธอมีลูกสาวตัวเล็ก โนอาคงจะดีใจมาก เจ้าลูกชายสวดภาวนาให้ตนเองมีน้องสาว และคำอธิษฐานก็ได้รับการตอบรับแล้ว“ขอเห็นหน้าลูกสาวหน่อยได้ไหมครับ?”“เข้าใจครับว่าคุณคงอยากเจอลูกสาวมาก แต่อาจต้องรออีกสักหน่อยจนกว่าเราจะตรวจเสร็จเรียบร้อยนะครับ” หมอบอก ตอนแรกผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นพ่อของเด็ก ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมกำลังตกตะลึงอยู่เช่นนั้น“เด็กคลอดก่อนกำหนดครับ อายุครรภ์เพียงยี่สิบหกสัปดาห์เท่านั้น และเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณเอวา เด็กต้องถูกนำไปไว้ในตู้อบ เธอจะอยู่ในห้องที่แผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิดจนกว่าเราจะมั่นใจว่าสุขภาพดีพอที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวครับ”ผมสังเกตว่าหมอไม่ได้พูดถึงเอวาเลย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีหวังว่าเธอจะรอดใช่ไหม?หัวใจเต้นแรงขึ้นเมื่อความคิดนั้นแล่นเข้ามา เอวาต้องรอดสิ ต้องรอดให้ได้สิ มิฉะนั้นเราจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรหากไม่มีเธอ?“เตรียมใจเอาไว้ก่อนก็ดีนะครับ แต่เราจะพยายามอย่างเต็มที่ให้เด็กน้อยมีชีวิตรอด แต่อาจต้องท
“พ่อครับ แม่อยู่ไหนเหรอ? ผมถามลุงคาลว่าทำไมถึงมารับผมแทนแม่ แต่ลุงบอกว่าพ่อจะอธิบายทุกอย่างเอง” โนอาพูด น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลซึ่งแสดงออกผ่านใบหน้าอย่างชัดเจนบ้าเอ๊ย นี่มันยากจริง ๆ ผมมีเวลามากมายเตรียมคำอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ แต่ตอนนี้กลับพูดไม่ออกเลย “แม่กำลังจะคลอดน้องใช่ไหม? เราเลยต้องมาโรงพยาบาลกันใช่ไหมครับ?” เขาย้ำถามผมสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยออกไป“แม่เขาได้รับบาดเจ็บหนักมาก หนุ่มน้อย ตอนนี้หมอกำลังรักษาแม่อยู่ คุณหมอทุกคนกำลังพยายามกันมาก ๆ ให้แม่หายดีนะลูก”หัวใจของผมแทบแหลกสลายเมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาลูกชาย เด็กคนนี้ไม่ควรต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้เลย เขาไม่ควรต้องมานั่งกังวลเรื่องแม่ที่เขารักมาก“แล้วน้องล่ะครับ?” น้ำเสียงแหบพร่าเมื่อถามออกมาผมยิ้มให้เขา “ลูกมีน้องสาวนะ โนอา เหมือนที่ลูกต้องการเลย”ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ความตื่นเต้นและประหลาดใจแสดงออกชัดเจน จากนั้นรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า“ไปเจอน้องได้ไหมครับ?”“ตอนนี้ยังไม่ได้ลูก ต้องรอให้หมอตรวจน้องให้เรียบร้อยก่อน”รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป น้ำตาที่เขาพยายาม
“โคม่า หมายความยังไงครับคุณหมอ?” ธีโอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัดหัวใจของผมเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมานอกอก ราวกับว่ามันกำลังปล่อยหมัดกระแทกเข้าหน้าอกอย่างไม่หยุดหย่อนผมพยายามคิดให้ชัดเจน แต่สมองกลับหยุดทำงาน ทุกอย่างดูเหมือนจะช้าลงขณะที่หมอกำลังพูด สิ่งเดียวที่ผมได้ยินคือเสียงหึ่ง ๆ ดังระงมในหูผมเซถอยไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่เคยลุกออกมา เกเบรียลและพ่อพยายามแตะตัวปลอบผม แต่ผมสะบัดมือพวกเขาออก ผมไม่ต้องการคำปลอบใจจากใคร ผมต้องการให้หมอบอกว่าการผ่าตัดสำเร็จแล้ว และอีกไม่กี่ชั่วโมงเอวาจะฟื้นขึ้นมาได้“คนไข้ถูกยิงทั้งหมดสี่นัดครับ หนึ่งนัดที่ศีรษะ หนึ่งนัดที่หน้าอก อีกหนึ่งที่ช่องท้อง และนัดสุดท้ายที่ต้นขา เราสามารถนำกระสุนสามนัดออกได้สำเร็จ ยกเว้นกระสุนตรงกระโหลกศีรษะซึ่งฝังลึกเกินไปครับ ถ้าฝืนพยายามเอาออกมา คุณเอวาอาจเสียชีวิตได้”โธ่เอ้ย ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกหรือคิดอย่างไรดี หมอกำลังบอกเราว่าเอวาจะต้องอยู่กับกระสุนที่ยังฝังอยู่ในหัวไปตลอด ชีวิตมันยุติธรรมตรงไหน? เมื่อเช้านี้ทุกอย่างยังปกติดีอยู่แท้ ๆ แต่แล้วทุกอย่างจะเลวร้ายลงเสียอย่างนั้น‘อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่นะ
"คุณหมอบอกว่าไม่แน่ใจเลยลูก เราทำได้แค่รอและภาวนา" ผมตัดสินใจพูดความจริงถ้าผมโกหก แล้วพระเจ้ากลับเล่นตลกจนเกิดเอวาไม่ฟื้นขึ้นมา โนอาอาจเกลียดผมไปตลอดชีวิตเพราะหลอกว่าแม่เขาสบายดีก็ได้โนอาไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่จ้องหน้าผมสักพักแล้วก้มมองพื้น หลังจากความเงียบครู่ใหญ่ ผมก็หันไปพูดกับคนอื่น ๆ"วันนี้เราเยี่ยมเขาเอวากันไม่ได้แล้ว ผมว่าทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาวันพรุ่งนี้นะครับ"“ไม่” โครินและเล็ตตี้พูดขึ้นพร้อมกัน ตามมาด้วยโนราและธีโอผมพยายามเกลี้ยกล่อมว่าจะส่งข่าวบอกพวกเขาทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครยอมใจอ่อนกันเลย สุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจอยู่ต่อ เว้นแต่เอมม่า คาลวิน เคท และพ่อแม่ของผมพ่อแม่ผมยอมกลับบ้านก็เพราะว่าผมไม่อยากให้โนอาอยู่ที่โรงพยาบาล และต้องมีคนดูแลเด็กน้อยด้วย ส่วนคาลวินเห็นด้วยเพราะเจ้าหนูกันเนอร์เริ่มง่วงแล้ว แม้จะเห็นความกังวลในแววตาของเด็กคนนั้นก็ตามเมื่อทั้งหมดกลับออกไป เกเบรียลก็มานั่งข้างผม พวกเรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งไบรอันมาถึง“ขอโทษที่ผมมาช้านะครับ เราต้องสอบสวนพยานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่คุณเอวาถูกยิง ผมเสียใจจริง ๆ ก
ฉันหยุดหายใจเเพราะความตกใจ และผละออกจากเขา ในขณะที่ร่างเล็ก ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัวเรา"สุขสันต์วันคริสต์มาส!" เขาตะโกนอย่างมีความสุขด้วยเสียงร้องเพลง“หัวจะปวด” ทั้งกาเบรียลและฉันครางอย่างหงุดหงิดจะมาช้ากว่านี้สักชั่วโมงไม่ได้หรืออย่างไร? ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวนี้ที่ชอบขัดจังหวะเรา มันก็ต้องเป็นลูกคนที่สอง แอนดรูว์ คนนี้แน่นอน เราเรียกเขาว่าดรูว์เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นตัวขัดจังหวะแค่ไหน แต่ก็ไม่สำคัญยังไงเขาก็ทำอยู่ดี"ตื่นครับ! ตื่น!" เขาตะโกนเสียงดัง จนชั่วขณะหนึ่งฉันไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงก้องของเจ้าลูกชาย"ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดรูว์" เกเบรียลบ่น "พ่อแม่ได้ยินชัดเจนโดยที่หนูไม่ต้องทำให้แก้วหูพ่อแม่แตกก็ได้"ดูเหมือนดรูว์จะไม่ฟังเลย เขาเด้งขึ้นเด้งลงบนเตียง มีความสุขแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาเกเบรียลขยับตัวใต้ผ้าห่ม คงพยายามขยับทุกอย่างให้เข้าที ฉันขยับร่างกายขึ้นและพิงหัวเตียง ก่อนจะคว้าลูกชายที่กระตือรือร้นและอยู่ไม่นิ่งมา สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการคือเขาทำร้ายพ่อของเขาด้วยการเผลอเหยียบเข้ากลางตัวเขาหรืออะไรทำนองนั้น"หนูพยายามห้ามเลียมแล้วนะคะ แต่แม่ก็รู้ว่าเขาเป็นยังไงเวลาต
ฮาร์เปอร์ฉันกำลังล่องลอยอยู่บนปุยเมฆสีขาวนุ่มฟูแห่งการนอนหลับ ฉันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกสงบ และรู้สึกได้รับความรักฉันเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทีละน้อย เกเบรียลนอนอยู่ข้างหลังฉัน แขนโอบกอดฉันไว้ เขาทำแบบนี้ทุกครั้งที่เรานอนหลับด้วยกัน เขากอดฉันไว้แน่นในอ้อมแขน ราวกับว่าเขากลัวว่าฉันจะหายไปหากไม่ทำเช่นนี้ฉันขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลุดออกจากอ้อมแขนของสามี ทว่าแทนที่จะปล่อยฉันไป เขากลับกระชับมือแน่นขึ้น ซึ่งดันฉันเข้าไปแนบชิดมากขึ้นฉันหยุดขยับเมื่อรู้สึกถึงเขา ฉันรู้สึกถึง น้องน้อยที่ตื่นมาเคารพธงชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน และฉันก็ต้องการเขาขึ้นมาทันที ฉันอยากให้เขาสอดแทรกเข้ามาในร่างนี้เรื่องบนเตียงของเราสองช่างสมบูรณ์ แต่ก็มีบางครั้งที่ต้องการมากกว่านี้ อาจเพราะมีลูกด้วยกันถึงสามคนแล้ว บางเวลามันก็ยากที่จะมีเวลาส่วนตัวที่ไม่ถูกรบกวนได้"อืม" เกเบรียลร้องครางเมื่อฉันถูบั้นท้ายกับเป้าของเขาเสียงนั้นเดินทางลงไปจนถึงจุดนั้นของฉัน ฉันถูอีกครั้ง กระตุ้นเสียงครางแสนเร้าอารมณ์จากเขาอีกเกเบรียลเริ่มประทับจูบตามหลัง ไหล่ และคอ มันผ่านมาสองสามวันแล้ว และฉันก็โหยหาเขา
"ใช่เลยครับ" เขาตอบรับรอยยิ้มของฉัน ขณะที่คิลเลียนเดินเข้ามาหาเรา"ผมมาขโมยภรรยาแสนสวยของผมคืนแล้วครับ" เสียงเขาแหบพร่า และฉันอดไม่ได้ที่จะละลายไปกับโทนเสียงนั้น มันเซ็กซี่สุด ๆ ไปเลย“เธอเป็นของคุณแล้วนะ” คาลวินปล่อยมือจากฉันและหลีกทาง ก่อนจะเดินจากไปคิลเลียนดึงฉันเข้าไปในอ้อมกอดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีช่องว่างระหว่างเรา "เป็นยังไงบ้าง? ปวดหลังหรือเปล่า? ขาเป็นยังไง?"เห็นไหม ฉันบอกแล้วไง เขาเป็นเสือร้ายในคราบทนายความ แต่ดูแลเอาใจใส่และรักใคร่ในฐานะคู่ครอง ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมีสเปคแบบไหน จนกระทั่งฉันได้พบเขา"สบายดีค่ะ ที่รัก ไม่ต้องเป็นห่วงขนาดนั้นก็ได้" ฉันหัวเราะเบา ๆ ดันตัวเองเข้าไปใกล้เขามากขึ้น"ผมเคยบอกว่าผมรักคุณแล้วหรือยัง?" เขาถามฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะที่เขย่งปลายเท้าและกระซิบชิดริมฝีปากของเขา "ประมาณพันครั้งแล้วค่ะวันนี้ แต่ฉันไม่ได้บ่นอะไรนะ""คุณคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยนะครับ เอมม่า ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่มีคุณ ผมรู้ว่าเราได้กล่าวคำสาบานกันไปแล้ว แต่ผมสัญญาว่าจะรักและทะนุถนอมคุณเสมอ เพราะคุณคือของขวัญที่เบื้องบนประทานมา ผมสัญญา
มอลลี่เป็นหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาว เช่นเดียวกับเอวา คอนนี่ เล็ตตี้ ฮาร์เปอร์ และคินลีย์ พวกเธอเป็นเพื่อนสาวกันมาสี่ปีแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุวันนั้น แน่นอนว่าฉันไม่มีวันหาใครมาแทนมอลลี่ได้ เธอเป็นเพื่อนสนิทที่สุด แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่มีพวกเธออยู่เช่นกันอีกอย่างเมื่อวานนี้มอลลี่บอกฉันว่าเธอกำลังคิดจะย้ายมาอยู่ที่นี่ ฉันตื่นเต้นมาก ฉันรักเธอ แต่เรายอมรับว่าเป็นเพื่อนระยะไกลกันมันรักษาความสัมพันธ์กันได้ยาก ฉันมีความสุขมากที่เธอจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆเสียงเพลงช้าลง และกันเนอร์ก็เดินเข้ามา ตัดบทสนทนาทั้งหมด“เต้นรำกันหน่อยไหมครับ แม่?”มีเสียง ว้าว ดังขึ้นเป็นระลอก และฉันสาบานได้ว่าหัวใจฉันละลายไปตรงนั้นเลย"แน่นอนสิจ๊ะ สุดหล่อของแม่" ฉันตอบก่อนจะจับมือเขาตอนนี้กันเนอร์อายุสิบสี่ เป็นวัยรุ่นแล้วเชื่อไหมล่ะ? เขาสูงเท่าฉันแล้ว และฉันมั่นใจว่าอีกไม่กี่ปีเขาจะสูงกว่าฉัน ฉันไม่ว่าอะไรหรอก เขาก็จะเป็นลูกชายตัวน้อยของฉันเสมอคาลวินและฉันตัดสินใจส่งเขาไปเข้ารับการบำบัดทันทีที่ฉันออกจากโรงพยาบาล เราเข้าร่วมการบำบัดร่วมกันบ้าง และพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา และเกี่ยวกับวันที่เกิดอุบัติเหตุ
เอมม่าฉันเต้นรำกับมอลลี่ ปล่อยให้เสียงเพลงโอบล้อมตัวไว้ ฉันรู้สึกปวดหลังเล็กน้อยแต่ก็ไม่สำคัญอะไรเลยเมื่อฉันมีความสุขสุด ๆ แบบนี้ชุดเดรสสะบัดไปมาขณะที่เราตะโกนเนื้อเพลง หน้าร้อนแสนสาหัส ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ออกมาสุดเสียง เอวาที่กำลังตั้งครรภ์ท้องแก่ก็เข้าร่วมกับเราด้วย ฉันหัวเราะเพราะเธอคิดว่าเธอกำลังเต้นอยู่เลยแต่เปล่าเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียกสิ่งที่เธอกำลังทำว่าอะไรดีจำนวนครั้งที่ฉันเรียกว่าตนเองมีความสุขนั้นสามารถนับนิ้วได้เลย หนึ่งคือตอนที่ฉันสอบเนติบัณฑิตได้ สองคือตอนที่กันเนอร์เรียกฉันว่าแม่เป็นครั้งแรกหลังจากผ่านมานาน และสามคือวันนี้ งานแต่งของฉันคุณได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ฉันแต่งงานแล้วและฉันมีความสุขอย่างที่สุดจำทนายหนุ่มน่ารักที่ฉันเล่าให้เอวาฟังในวันเกิดของเจมส์ได้ไหมคะ? จะว่าอย่างไรดี เขาไม่เคยละความพยายามเลยค่ะ ไม่ว่าฉันจะปฏิเสธเขากี่ครั้งก็ตาม เขาขอฉันคบหาอยู่เรื่อย ๆ และที่ฉันบอกว่าเรื่อย ๆ ก็คือเขาขอเกือบทุกวัน ฉันเบื่อที่จะได้ยินคำถามเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่งฉันก็ตอบตกลง ปรากฏว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตนี้เลยฉันชะลอฝีเท้าลง ดวงตามองหาเจ้าบ
กันเนอร์มีน้องชายแล้ว งงกันอยู่ใช่ไหมคะ? เพราะเมื่อกี้ฉันกับเอวากำลังคุยเรื่องแฟนกันอยู่เลย เชสไม่ใช่ลูกชายของฉันค่ะ เขาเป็นลูกชายตัวน้อยของคาลวินและคินลีย์ พวกเขาแต่งงานกันเมื่อปีที่แล้วแล้วมีเชสตัวน้อยน่ารักคนนี้เป็นลูกน้อยคาลวินและฉันสนิทกันมากขึ้นตั้งแต่อุบัติเหตุ เหมือนกับกันเนอร์ เขายกโทษให้ฉัน และพวกเราก็สามารถสร้างมิตรภาพที่สวยงามได้คินลีย์เป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เธอเข้ากับพวกเราทุกคนได้ เธอใจดีและน่ารัก และที่สำคัญที่สุด เธอทำให้คาลวินมีความสุขและปฏิบัติต่อกันเนอร์เหมือนลูกชายของเธอเอง"ไม่จ้ะ ไม่เคยเกินจริงเลย" เอวาแก้ตัว "น้าแค่อยากให้แม่หนูเล่าเรื่องทนายความน่ารักที่ที่ทำงานให้ฟังมากกว่านี้""ผมขอจบตรงนี้นะครับ ไปดีกว่า" เขาพูด ดูเหมือนจะขยะแขยงเล็กน้อย "แม่ดูน้องได้ใช่ไหมครับ หรือผมควรจะพาน้องไปด้วย?"“แม่สบายมากจ้ะ…ไปเล่นกับเพื่อน ๆ เถอะ”เขาพยักหน้าก่อนที่จะวิ่งไปหาโนอาและคนอื่น ๆ คาลวินใจดีพอที่จะแก้ไขข้อตกลงเรื่องการดูแลบุตร ตอนนี้พวกเราดูแลกันเนอร์ร่วมกัน ลูกอยู่กับคาลวินวันธรรมดาและใช้วันหยุดสุดสัปดาห์กับฉัน"เอาล่ะ กลับมาเรื่องผู้ชายน่ารักคนนั้นก่อนนะ
สามปีต่อมาเอมม่า"จริงจังนะ เอมม่า เมื่อไหร่เธอจะหาแฟนสักที?" เอวาเอ่ยถามพร้อมนั่งลงข้าง ๆ ฉันฉันมองออกไปที่สวนหลังบ้านและยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของเจมส์ลูกชายของทราวิสและเล็ตตี้ ซึ่งตั้งชื่อตามพ่อของพวกเราและเจมส์กำลังจะอายุครบหนึ่งขวบเล็ตตี้และทราวิสแต่งงานกันเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ทราวิสคุกเข่าขอเธอแต่งงานทันทีที่ฉันได้สติขึ้นหลังจากอุบัติเหตุที่เกือบจะพรากชีวิตฉันไป คุณอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขับรถคนนั้น เขาถูกจำคุกห้าปีในข้อหาขับรถโดยประมาท ฉันหวังว่าเขาจะได้รับบทเรียนนะกลับมาที่ทราวิสและเล็ตตี้ ฉันคิดว่าการเห็นฉันอยู่ในโรงพยาบาลทำให้เขารู้ว่าชีวิตสั้นแค่ไหน เขาขอเธอแต่งงานและเล็ตตี้ก็ตอบตกลง พวกเขาแต่งงานกันซึ่งเป็นงานแต่งงานฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามตอนนี้ัฉันได้กลายเป็นเพื่อนกับเอวาก็เลยถูกดึงเข้ามาในวงจรนี้ด้วย คอนนี่และรีเปอร์แต่งงานกันแบบงานแต่งงานเล็ก ๆ ที่เป็นกันเองกับเพื่อนสนิทและครอบครัว สี่เดือนต่อมาทั้งสองก็อ้าแขนรับลูกสาวของพวกเขา เฮเวน ตอนนี้คอนนี่ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สองซึ่งเป็นลูกสาวอีกคนฮาร์เปอร์และเกเบรียลก็กำลังจะมีลูกด้วยกันอีก
"ไม่ไหวแล้ว! ฉันต้องเบ่งเดี๋ยวนี้" ฉันคำรามพร้อมจับเสื้อเกเบรียลไว้ฉันรู้สึกบ้าไปแล้ว เหมือนฉันเสียสติไปแล้ว ความเจ็บปวดกำลังทำให้ฉันบ้าไปแล้วจริง ๆโชคดีที่พวกเราไปถึงห้องคลอดก่อนที่ฉันจะคลอดลูกตรงทางเดินของโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเดินไปถึงห้องคลอด และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มเตรียมพร้อมให้ฉันเอวาอยู่ในห้องเรียบร้อย ฉันรู้สึกขอบคุณที่มีคนเข้าใจความรู้สึกตอนที่ช่องคลอดฉีกออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เด็กตัวน้อย ๆ ออกมาดูโลก"ฉันไม่ไหวแล้ว" ฉันกัดฟันพูด ก่อนที่จะยกตัวขึ้นและเบ่งสุดแรงฉันสาบานว่าฉันรู้สึกเหมือนก้นจะแตกและมันก็เพิ่มความเจ็บปวดให้ฉันมากขึ้น"ความผิดคุณเลย!" ฉันกรีดร้องใส่เกเบรียลขณะที่จับมือเขาไว้แน่นฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ลมหายใจถี่กระชั้น และรูจมูกบานออกเพื่อพยายามสูดอากาศเข้าไปในปอดให้ได้มากที่สุด"เตรียมนะ เธอ เบ่งเลย" เอวาเร่งเร้าฉันขณะที่เช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากให้ฉัน "เกเบรียลไม่สำคัญแล้วตอนนี้""อ้าว ใจร้ายนะ เอวา" เกเบรียลพึมพำพร้อมจ้องเขม็งไปยังเอวา เธอจ้องเขม็งกลับราวกับจะบอกให้เขาหุบปากและทำตามน้ำไปฉันบีบมือพวกเขาเมื่อมดลูกหดตัวอีกครั้ง และฉันก็ออ
"สบายมากจ้ะ หมีน้อยลิลลี่ แม่กำลังจะคลอดลูก... จำที่แม่บอกหนูได้ไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้นตอนถึงเวลาแบบนี้?"เธอพยักหน้า "ค่ะ แม่บอกว่าแม่จะเจ็บท้อง แต่หนูไม่ต้องห่วง เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้น้องเกิดมาค่ะ""ดีมากจ้ะ" ฉันเบ้หน้าเมื่อการหดเกร็งตัวจู่โจมฉันอีกครั้ง "นั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นอย่ากลัวไปนะจ๊ะ"เกเบรียลจับมือและช่วยให้ฉันเดินออกจากห้อง ฉันหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก แต่พูดตามตรงมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย"หนูแค่ไม่เข้าใจน่ะค่ะ ทำไมแม่ต้องเจ็บด้วย? ทำไมเด็กถึงออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โดยไม่ทำให้แม่เจ็บล่ะคะ?"สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือทำให้ลูกสาวหวาดกลัวโดยต้องอธิบายให้เธอฟังว่าความเจ็บปวดนั้นจำเป็นสำหรับการออกแรงเบ่งเด็กออกมาจากร่างกายฉัน เธอจะอยากรู้ว่าทำไมต้องเบ่งลูกออกมาด้วย และฉันจะต้องอธิบายว่าเพราะลูกตัวใหญ่และทางออกเล็กกว่า ดังนั้นการหดเกร็งตัวเหล่านั้นจึงจำเป็นสำหรับการเบ่งลูกออกมา จากนั้นเธอจะอยากรู้ว่าทางออกนั้นคืออะไร และฉันจะต้องบอกเธอว่าลูกออกมาทางนั้นอย่างไรเล่าอย่างที่คุณเห็น นั่นไม่ใช่บทสนทนาที่เธอเตรียมใจรับได้นัก เธอจะตกใจกลัวเมื่อรู้ว