"ขอโทษเรื่องที่กดดันเธอไง ฉันเอาแต่กดดันให้เธอคิดเรื่องโรแวนอยู่นั่น ไม่ได้คิดเลยว่ามันทำร้ายเธอแค่ไหน ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข ในใจก็คิดว่าโรแวนเป็นความสุขของเธอ เธอรักเขามานานจนไม่อยากเชื่อว่าความรักทั้งหมดจะหายไปแล้ว""เล็ตตี้..." ฉันพยายามจะพูด แต่เธอไม่ให้โอกาสนั้นเลย"ฉันอยากให้เธอได้มีโอกาสที่จะรู้จักกับความสุขสักครั้ง เธอเคยบอกฉันว่าเคยหวังให้โรแวนมีความรู้สึกอะไรกับเธอบ้าง แต่ตอนนี้พอเหมือนว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้น เธอกลับไม่เชื่อและปฏิเสธลูกเดียว ฉันก็ไม่เข้าใจ"ฉันถอนหายใจ อีกแล้วเหรอ?ฉันเริ่มจะเบื่อที่ต้องได้ยินใครต่อใครพูดถึงโรแวนและความรู้สึกพวกนั้นเต็มที ฉันรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดทุกครั้ง โรแวนไม่ได้มีบทบาทอะไรในชีวิตฉันอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของเขาเองก็เช่นกัน เขาจะเก็บรักษา โยนทิ้งความรู้สึกบ้าบอพวกนี้ก็แล้วแต่เลยฉันไม่สนใจ"ฉันจะอธิบายแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แล้วหลังจากนี้ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก" ฉันสูดหายใจก่อนจะพูดต่อ"ฉันเคยรักโรแวน และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังรักอยู่ แน่นอนความรักนี้ลบเลือนไปง่าย ๆ ที่ไหน แต่ความรักมันถูกทำลายช้า ๆ จากการกระทำของคนที่เรารั
ฉันหมุนตัวกลับมา แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าโรแวนยืนอยู่ข้างหลังวันนี้มันจะแย่ไปกว่านี้ได้อีกไหม? ฉันคร่ำครวญในใจ"โรแวน?" ฉันร้องเสียงหลงอย่างไม่ทันตั้งตัว "คุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?"มีเวลาให้ฉันบังเอิญเจอเขาตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องเจอเขาตอนน้ที่ฉันกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายของเล่นผู้ใหญ่ด้วยนะ? นี่มันต้องเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตฉันแน่ ๆ“ผมคงต้องถามแบบเดียวกับคุณเลย” เขากล่าวพร้อมมองไปด้านหลังฉันแก้มฉันร้อนผ่าว เพราะรู้ว่าไม่ว่าฉันจะพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถหนีออกจาสถานการณ์นี้ได้แน่ ฉันยืนอยู่หน้าร้านที่ในตู้โชว์เต็มไปด้วยเซ็กซ์ทอยหลากหลายรูปแบบ มันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าร้านนี้ขายอะไร.ฉันเหลือบมองร้านอีกรอบก่อนจะหันมามองเขาอย่างประหม่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกประหม่า แต่ก็รู้สึกเช่นนั้นไปแล้ว“มาซื้อของใช้คนท้องแล้วก็ซื้อของให้เด็กด้วย” ฉันโกหกออกไปเขามองฉัน คิ้วซ้ายเลิกขึ้นข้างหนึ่ง "ในร้านเซ็กซ์ทอยเนี่ยนะ? ผมว่าคุณคงหาของใช้ที่ต้องการไม่เจอหรอกมั้ง เว้นแต่ว่าคุณมีอย่างอื่นในใจ”ริมฝีปากยกขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขากำลังแกล้งฉันอยู่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แป
พนักงานในร้านยิ้มและผายมือให้เรา "เชิญตามมาทางนี้เลยค่ะ ดิฉันชื่อเวนดี้ ทางร้านเราเพิ่งได้รับชุดใหม่สวย ๆ มีเอกลักษณ์เข้ามาค่ะ มั่นใจได้เลยค่ะว่าคุณภรรยาต้องชอบแน่"ก่อนที่ฉันจะทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของเธอ โรแวนก็จับมือฉันอย่างอ่อนโยนแล้วดึงเข้าไปในร้าน เดินตามหลังเวนดี้อย่างกับลูกเป็ดตัวน้อยเธอพาเราทั้งสองนั่งบนโซฟาแล้วเดินออกไป ฉันหันไปมองโรแวนด้วยความโกรธสุด ๆ“บ้าบออะไรไปแล้วล่ะทีนี้?” ฉันเดือดดาล ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวปะทุถึงขีดสุดเขามองฉันอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะตอบด้วยคำถามอีกครั้ง“อะไรล่ะ?”"เลิกเล่นอะไรไร้สาระสักที! เรียกฉันว่าภรรยาต้องการอะไร ลืมไปแล้วเหรอว่าเราหย่ากันแล้ว? ไม่ใช่ว่าตอนนี้คบกับเอมม่าอยู่หรอกเหรอ?""นี่ค่ะ ชุดที่ว่า" เวนดี้แนะนำ เธอเดินกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือเธอเป็นใครกันเนี่ยถึงได้มาขัดจังหวะเราเช่นนี้ ตอนนี้ฉันรู้สึกโกรธเกรี้ยวจนพาลไปหมดเพราะโรแวนกวนใจแท้ ๆ"เริ่มจากตัวนี้ไหมคะ?" เธอถามพร้อมยื่นชุดเดรสยาวแสนสวยมาให้ฉันดูหากไม่ใช่เพราะอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ขณะนี้ ฉันคงชื่นชมความสวยงามของชุดนี้ไปแล้ว“ลองใส่ดูสิ” โรแวนเอ่ยโดยที่ไม่รู
โรแวนบ้าเอ้ย! ผมมองดูเอวาวิ่งหนีออกจากร้านไป แม้อยากจะตามไป แต่ก็รู้ดีว่าตนเองทำพลาดครั้งใหญ่แล้วผมเห็นความตื่นตระหนกในแววตาเธอ แต่ผมราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความคิดหยุดนิ่งทันทีเมื่อเห็นร่างเกือบโป๊เปลือยของเธอผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าตนเองเคลื่อนไหวหรือต้อนเธอให้จนมุม จนกระทั่งเธอผลักผมออก นั่นแหละผมถึงรู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไรเธอเคยเป็นภรรยาของผมแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอะไรในระดับนี้มาก่อน แม้เห็นร่างเปลือยของเธอมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่มันแตกต่างออกไป ผมอธิบายสิ่งใดไม่ได้ ทว่ามันราวกับว่าผมเพิ่งเห็นเธอในสภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกเรื่องบนเตียงของเรานับได้ว่าดี แต่ผมก็ได้แต่เก็บกดความรู้สึกไว้เสมอ ผมยังรักเอมม่าในตอนนั้น และทุกครั้งที่ผมต้องการจะอิงแอบแนบชิดกับเอวา ผมรู้สึกเหมือนทรยศเอมม่าในช่วงแรกของชีวิตแต่งงาน ผมรู้สึกจมลึกลงไปในความผิดทุกครั้งที่สัมผัสเอวา ผมมักจะเมาจนหมดสติหลังจากเราเสร็จกิจเรียบร้อย หลังจากนั้นผมเรียนรู้ที่จะละเลยความรู้สึกผิดนั้น เก็บมันไว้ลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้สนองความต้องการแม้ไม่ได้รักเอวา แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะนอกใจ เพราะหลังจากที่ได้เห็นชีวิตสมรสขอ
“คะ คุณโรแวน?” เธอรับสายอย่าวรวดเร็ว“มันมีข่าวเกี่ยวกับผมกับเอวาเผยแพร่อยู่ตอนนี้ ลบมันทิ้งไปเดี๋ยวนี้” ผมคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว“รับทราบค่ะ ขอเวลาสิบนาที”“แล้วบอกให้รู้เลยนะว่าถ้ามีใครหน้าไหนกล้าพาดหัวข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนของเอวาแบบนี้อีกล่ะก็ พวกมันล้มจมแน่”“รับทราบค่ะ”ผมตัดสายเธอทิ้ง และยังคงเดือดดาลอยู่เอวาเป็นคนรักความเป็นส่วนตัวเสมอ ผมจะคอยปกป้องชีวิตส่วนของเธอไม่ว่าต้องแลกกับอะไร หรือต้องเสียอะไรไปก็ตาม“โรลูก เกิดอะไรขึ้นระหว่างลูกกับเอวาหรือเปล่า?” แม่เอ่ยถามจากนั้นเพียงครู่ สายตาของเธอพุ่งตรงมายังผมราวกับว่ากำลังควานหาคำตอบจากภายในจิตใจของผมผมดีใจมากที่เธอไม่เอ่ยถามว่าข่าวเอวาตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แม้ว่าจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่ผมเองก็ไม่อยากบอกแม่อยู่ดี“ไม่รู้ครับ” ผมตอบแม่ด้วยความหงุดหงิด“เคทเล่าให้แม่ฟังว่าลูกตีตัวออกหากจากเอมม่า หนูเอมม่าเล่าว่าลูกเลิกรากับเธอแล้ว และไม่ต้องการคุยกันอีก นั่นเป็นเพราะเอวาหรือเปล่าลูก?”ผมคิดว่าจะโกหกแม่ไป แต่นั่นมันจะเป็นประโยชน์อะไรเล่า“ก็มีส่วนครับ”ผมได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจเสียงดัง ผมไม่ได้มองใบหน้าเธอ
เอวาทันทีที่เห็นพ่อแม่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ฉันรู้เลยว่าพวกท่านต้องได้เห็นพาดหัวข่าวนั่นแล้วอย่างแน่นอนเล็ตตี้ส่งลิงก์ข่าวนั้นมาให้ฉันเพียงไม่กี่นาทีหลังจากกลับถึงบ้าน มันทำให้ฉันหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกใคร แต่พวกปาปารัซซี่กลับปล่อยข่าวลงอินเทอร์เน็ตซะแล้วฉันไม่ได้กังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ความกังวลของฉันมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น ฉันยังไม่รู้จะบอกพวกท่านอย่างไรว่าฉันตั้งครรภ์ สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพราะอีธานยังไม่ยอมคุยกับพวกท่านเลยบทความนั้นถูกลบออกไปไม่กี่นาทีก่อนที่พ่อแม่จะมาถึง ฉันมีลางสังหรณ์ว่าโรแวนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ เพียงชื่อของเขา ฉันก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันสะบัดความคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลองเสื้อออกไป แล้วหันมาให้ความสนใจกับพ่อแม่ที่กำลังมองฉันด้วยความสงสัย“อ่านข่าวนั่นแล้วใช่ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาบ้านเงียบสนิท ส่วนหนึ่งก็เพราะโนอายังไม่กลับจากโรงเรียน“ใช่ลูก” พ่อกล่าวตอบ สายตาเขาจับจ้องมายังฉัน"แม่รู้ว่าเราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันนานมากขนาดนั้นนะ เอวา แต่ทำไมลูกถึงไม่บอกเราเลยล่ะ? " แม่เอ่ยด้วยเสี
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องกังวลแสนหนักอึ้งเสมอมา ฉันไม่อยากให้ลูกมองฉันในแง่ลบ ฉันสามารถบอกความจริงกับเขาได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้พ่อของลูกดูเหมือนคนป่วยทางจิตแม่ลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ และดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดแน่น ฉันสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองฮอร์โมนนี่นะ“ไม่เป็นไรนะลูก อย่ากังวลไปเลย เรายังรักลูกเสมอ รวมถึงรักหลานคนนี้ด้วย” พ่อเสริมขึ้นมาพร้อมกับเข้ามาร่วมกอดพวกเราโอบกอดกันอยู่นานก่อนจะผละออกจากกัน“หลานอีกคน วิเศษไปเลย เดี๋ยวแม่ออกไปหาซื้อของดีกว่า” แม่พูดอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอแทบจะกระโดดโลดเต้นเหมือนสาวน้อยเลยเชียว“มันจะมีสักกี่คนกันเชียวที่ได้เป็นคุณยายตอนอายุสี่สิบสามเนี่ย? แม่คงเป็นคุณยายสาวสุดเลิศเลยแหละ พลังงานล้นเหลือพอจะวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้สบาย”พ่อกับฉันหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อแม่หมุนตัวรอบห้องนั่งเล่นเหมือนนักบัลเลต์ พ่อยืนขึ้นและดึงแม่เข้าสู่อ้อมกอดแล้วจูบเธอ จากนั้นเขาหมุนเธอในอากาศขณะที่แม่หัวเราะด้วยความสุขฉันส่งรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้งสอง นี่แหละคือชีวิตแต่งงานที่ใฝ่หา ความรักที่ฉันปรารถนา หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แต
“ขอบคุณมากนะลูกรัก” ฉันฝืนส่งยิ้มออกมา “เดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวเย็นให้นะ รีบทำอะไรให้เสร็จแล้วไปอาบน้ำให้เรียบร้อยนะลูก”ฉันทิ้งกล่องเสื้อผ้านั้นเอาไว้และเดินตรงไปยังห้องครัว ฉันไม่ยังไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไรดีกลับเสื้อผ้าพวกนั้น ฉันไม่ต้องการสิ่งใดจากโรแวน หากพูดกันตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สิ่งของจากผู้ชายเสื้อผ้านั้นทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลองชุดวันนั้น ฉันยังไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ บางสิ่งมันไม่ถูกต้อง เขาทำตัวแปลกประหลาดไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นฉันเกลียดที่ได้เห็นความปรารถนาในดวงตาคู่นั้น ฉันเกลียดที่สัมผัสได้ถึงน้องน้อยของโรแวนกำลังแข็งปั๋งทิ่มหน้าท้องฉันอยู่ โรแวนไม่เคยมองว่าฉันนั้นเร้าอารมณ์เลยสักครั้ง ไม่เคยจ้องมองราวกับว่าจะกลืนกินฉันมาก่อน แล้วอะไรกันที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปแบบนี้“เอวา”ฉันหันขวับไปตามเสียงเขา ฉันจ้องมองเขาด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มปรากฎตัวอยู่ตรงประตูห้องครัว“นี่คุณมาทำบ้าอะไรที่นี่มิทราบ แล้วเข้ามาได้ยังไง?” ฉันเอ่ยถาม พร้อมกับความเดือดดาลพุ่งสูงขึ้น“โนอาเปิดให้ผมเข้ามา” เขาตอบพร้อมเดินเข้ามาใกล้ฉันไม่ต้องการให้เขาเข้ามาในบ้าน ฉันไ
ฮาร์เปอร์แจ็คสัน หนึ่งในคนขับรถของเกเบรียลเปิดประตูให้ฉัน ฉันก้าวขึ้นไปในรถโดยมีเกเบรียลตามเข้ามานั่งข้างฉันฉันยังคงไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองตกลงเรื่องนี้ แต่ในส่วนลึกฉันรู้ว่ามันสมเหตุสมผล เกเบรียลพูดถูกว่าจะมีอะไรที่เหมาะสมไปกว่าการได้เรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุดในธุรกิจล่ะ เกเบรียลกับโรแวนเป็นคนที่เก่งที่สุดในวงการ พวกเขายังเก่งกว่าพ่อของพวกเขาเอง ซึ่งตอนนี้เกษียณไปแล้วแต่ยังคงเป็นหัวหน้าคณะกรรมการบริหารฉันใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะใส่อะไรดี ฉันเคยทำงานจากที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และเวลาที่ต้องไปบริษัท ฉันก็มักจะใส่ชุดลำลอง เพราะบริษัทที่ฉันเคยทำงานให้มีบรรยากาศในการทำงานที่ผ่อนคลายฉันอยากดูดีและสร้างความประทับใจแรกให้ได้ดี ฉันไม่มีเสื้อผ้าสำหรับทำงานมากนักและวางแผนจะไปช้อปปิ้งสุดสัปดาห์นี้ ถึงแม้เงินจะตึงมือ แต่ฉันคิดว่าซื้อกระโปรงกับเสื้อเชิ้ตเพิ่มอีกสักสองสามชุดก็คงเป็นเรื่องจำเป็นหลังจากเลือกชุดเสร็จ ฉันลงไปกินอาหารเช้า เกเบรียลมองฉันผ่าน ๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์ พอกินเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เราต้องออกจากบ้าน ลิลลี่ยังไม่ตื่น ฉันเลยฝากข้อความไว้กับชารอน“คุณจะให้
เกเบรียลผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงครางเบา ๆ และความรู้สึกว่าตัวเองกำลังแข็งตัวอย่างกับหินแกรนิต บ้าเอ้ย ตอนที่ผมตัดสินใจเซ็นสัญญาแต่งงานกับฮาร์เปอร์ ผมไม่ได้คาดคิดเลยว่ามันจะยากขนาดนี้ และไม่ได้คาดคิดเลยว่าเธอจะส่งต่อผมได้ขนาดนี้ผมมีปัญหาแบบผู้ชายที่เจ็บปวดที่สุด และไอ้นั่นของผมก็แข็งจนแทบระเบิดผมลุกขึ้นจากเตียง เดินไปที่ห้องน้ำด้วยระยะทางสั้น ๆ โดยที่ไอ้นั่นชี้ทางให้ ผมยังคงไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปได้อย่างไร หมายถึงว่าผมไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้วนี่ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าครั้งสุดท้ายที่ตื่นมาแบบนี้คือตอนไหน แต่ตั้งแต่ฮาร์เปอร์กลับมายังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ ผมกลับทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มไร้เดียงสาอีกครั้งผมไม่เข้าใจเลยว่าเธอทำแบบนี้กับผมได้ยังไง ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยส่งผลอะไรแบบนี้กับผมเลย เธอก็ยังคงเป็นฮาร์เปอร์คนเดิมที่ผมรู้จัก มีเพียงรูปร่างกับท่าทีที่เปลี่ยนไป แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงมีผลกับผมขนาดนี้ผมสลัดความคิดพวกนั้นออกจากหัวก่อนก้าวเข้าไปในห้องน้ำ น้ำเย็น ๆ น่าจะช่วยแก้ปัญหาสุดแข็งตัวนี้ได้ผ่านไปหลายสิบนาที ผมออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกที่ยังอัดอ
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา