ฉันมองทนายของตนเองด้วยความกังวล ขณะที่เขาไล่อ่านดูข้อเสนอการจัดตั้งธุรกิจที่โครินส่งมาให้ฉันขอยกนิ้วให้เลยเพราะว่าเธอทำงานได้เร็วมาก ยังไม่ทันข้ามวันหลังจากที่เราพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เธอก็จัดเตรียมข้อเสนอมาให้เรียบร้อยเป็นไปได้ว่าเธออาจทำเอกสารนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วและแค่รอให้ฉันกับเล็ตตี้ตอบตกลงเท่านั้นฉันจ้องมองรอดเจอร์สและสงสัยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้ เขาเป็นทั้งทนายและที่ปรึกษาส่วนตัวตั้งแต่ที่ฉันเริ่มจับเงินล้านเป็นครั้งแรก ฉันไม่เคยลงทุนกับธุรกิจใด ๆ โดยที่ไม่ได้สอบถามความคิดเห็นเขาก่อน ตอนนี้ เขาเป็นอันดับหนึ่งและไม่เคยพลาดเลยสักครั้งธุรกิจที่เขายืนยันว่ามีศักยภาพมากพอที่จะประสบความสำเร็จก็ไปได้ดีจริง ๆ ส่วนธุรกิจที่เขาเตือนก็ล้มเหลวอย่างที่เขาคาดไว้ อย่างที่เห็นความคิดเห็นของทนายคนนี้สำคัญเป็นอย่างมาก“คิดว่าไงบ้างคะ” ฉันถามเพราะรู้สึกกังวลใจจนทนไม่ไหวแล้วเขากวาดสายตาดูเอกสารอีกครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นมา“ความคิดดีเยี่ยมเลย ผมเล็งเห็นถึงศักยภาพอยู่ครับ” เขาตอบฉันทำงานกับเขามานานพอที่จะรู้ว่าเขามีคำว่า ‘แต่’ อยู่ในนั้น จากท่าทางของเขามันชัดเจนว่าเขามีความกังว
"ขอโทษเรื่องที่กดดันเธอไง ฉันเอาแต่กดดันให้เธอคิดเรื่องโรแวนอยู่นั่น ไม่ได้คิดเลยว่ามันทำร้ายเธอแค่ไหน ฉันแค่อยากให้เธอมีความสุข ในใจก็คิดว่าโรแวนเป็นความสุขของเธอ เธอรักเขามานานจนไม่อยากเชื่อว่าความรักทั้งหมดจะหายไปแล้ว""เล็ตตี้..." ฉันพยายามจะพูด แต่เธอไม่ให้โอกาสนั้นเลย"ฉันอยากให้เธอได้มีโอกาสที่จะรู้จักกับความสุขสักครั้ง เธอเคยบอกฉันว่าเคยหวังให้โรแวนมีความรู้สึกอะไรกับเธอบ้าง แต่ตอนนี้พอเหมือนว่าเขาจะรู้สึกแบบนั้น เธอกลับไม่เชื่อและปฏิเสธลูกเดียว ฉันก็ไม่เข้าใจ"ฉันถอนหายใจ อีกแล้วเหรอ?ฉันเริ่มจะเบื่อที่ต้องได้ยินใครต่อใครพูดถึงโรแวนและความรู้สึกพวกนั้นเต็มที ฉันรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดทุกครั้ง โรแวนไม่ได้มีบทบาทอะไรในชีวิตฉันอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกของเขาเองก็เช่นกัน เขาจะเก็บรักษา โยนทิ้งความรู้สึกบ้าบอพวกนี้ก็แล้วแต่เลยฉันไม่สนใจ"ฉันจะอธิบายแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แล้วหลังจากนี้ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก" ฉันสูดหายใจก่อนจะพูดต่อ"ฉันเคยรักโรแวน และเสี้ยวหนึ่งของหัวใจก็ยังรักอยู่ แน่นอนความรักนี้ลบเลือนไปง่าย ๆ ที่ไหน แต่ความรักมันถูกทำลายช้า ๆ จากการกระทำของคนที่เรารั
ฉันหมุนตัวกลับมา แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าโรแวนยืนอยู่ข้างหลังวันนี้มันจะแย่ไปกว่านี้ได้อีกไหม? ฉันคร่ำครวญในใจ"โรแวน?" ฉันร้องเสียงหลงอย่างไม่ทันตั้งตัว "คุณมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?"มีเวลาให้ฉันบังเอิญเจอเขาตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องเจอเขาตอนน้ที่ฉันกำลังยืนอยู่หน้าร้านขายของเล่นผู้ใหญ่ด้วยนะ? นี่มันต้องเป็นเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตฉันแน่ ๆ“ผมคงต้องถามแบบเดียวกับคุณเลย” เขากล่าวพร้อมมองไปด้านหลังฉันแก้มฉันร้อนผ่าว เพราะรู้ว่าไม่ว่าฉันจะพูดอะไรออกไปก็ไม่สามารถหนีออกจาสถานการณ์นี้ได้แน่ ฉันยืนอยู่หน้าร้านที่ในตู้โชว์เต็มไปด้วยเซ็กซ์ทอยหลากหลายรูปแบบ มันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าร้านนี้ขายอะไร.ฉันเหลือบมองร้านอีกรอบก่อนจะหันมามองเขาอย่างประหม่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกประหม่า แต่ก็รู้สึกเช่นนั้นไปแล้ว“มาซื้อของใช้คนท้องแล้วก็ซื้อของให้เด็กด้วย” ฉันโกหกออกไปเขามองฉัน คิ้วซ้ายเลิกขึ้นข้างหนึ่ง "ในร้านเซ็กซ์ทอยเนี่ยนะ? ผมว่าคุณคงหาของใช้ที่ต้องการไม่เจอหรอกมั้ง เว้นแต่ว่าคุณมีอย่างอื่นในใจ”ริมฝีปากยกขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเขากำลังแกล้งฉันอยู่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่แป
พนักงานในร้านยิ้มและผายมือให้เรา "เชิญตามมาทางนี้เลยค่ะ ดิฉันชื่อเวนดี้ ทางร้านเราเพิ่งได้รับชุดใหม่สวย ๆ มีเอกลักษณ์เข้ามาค่ะ มั่นใจได้เลยค่ะว่าคุณภรรยาต้องชอบแน่"ก่อนที่ฉันจะทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดของเธอ โรแวนก็จับมือฉันอย่างอ่อนโยนแล้วดึงเข้าไปในร้าน เดินตามหลังเวนดี้อย่างกับลูกเป็ดตัวน้อยเธอพาเราทั้งสองนั่งบนโซฟาแล้วเดินออกไป ฉันหันไปมองโรแวนด้วยความโกรธสุด ๆ“บ้าบออะไรไปแล้วล่ะทีนี้?” ฉันเดือดดาล ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวปะทุถึงขีดสุดเขามองฉันอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนจะตอบด้วยคำถามอีกครั้ง“อะไรล่ะ?”"เลิกเล่นอะไรไร้สาระสักที! เรียกฉันว่าภรรยาต้องการอะไร ลืมไปแล้วเหรอว่าเราหย่ากันแล้ว? ไม่ใช่ว่าตอนนี้คบกับเอมม่าอยู่หรอกเหรอ?""นี่ค่ะ ชุดที่ว่า" เวนดี้แนะนำ เธอเดินกลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าในมือเธอเป็นใครกันเนี่ยถึงได้มาขัดจังหวะเราเช่นนี้ ตอนนี้ฉันรู้สึกโกรธเกรี้ยวจนพาลไปหมดเพราะโรแวนกวนใจแท้ ๆ"เริ่มจากตัวนี้ไหมคะ?" เธอถามพร้อมยื่นชุดเดรสยาวแสนสวยมาให้ฉันดูหากไม่ใช่เพราะอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านอยู่ขณะนี้ ฉันคงชื่นชมความสวยงามของชุดนี้ไปแล้ว“ลองใส่ดูสิ” โรแวนเอ่ยโดยที่ไม่รู
โรแวนบ้าเอ้ย! ผมมองดูเอวาวิ่งหนีออกจากร้านไป แม้อยากจะตามไป แต่ก็รู้ดีว่าตนเองทำพลาดครั้งใหญ่แล้วผมเห็นความตื่นตระหนกในแววตาเธอ แต่ผมราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความคิดหยุดนิ่งทันทีเมื่อเห็นร่างเกือบโป๊เปลือยของเธอผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าตนเองเคลื่อนไหวหรือต้อนเธอให้จนมุม จนกระทั่งเธอผลักผมออก นั่นแหละผมถึงรู้ว่าตัวเองกำลังจะทำอะไรเธอเคยเป็นภรรยาของผมแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอะไรในระดับนี้มาก่อน แม้เห็นร่างเปลือยของเธอมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่มันแตกต่างออกไป ผมอธิบายสิ่งใดไม่ได้ ทว่ามันราวกับว่าผมเพิ่งเห็นเธอในสภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรกเรื่องบนเตียงของเรานับได้ว่าดี แต่ผมก็ได้แต่เก็บกดความรู้สึกไว้เสมอ ผมยังรักเอมม่าในตอนนั้น และทุกครั้งที่ผมต้องการจะอิงแอบแนบชิดกับเอวา ผมรู้สึกเหมือนทรยศเอมม่าในช่วงแรกของชีวิตแต่งงาน ผมรู้สึกจมลึกลงไปในความผิดทุกครั้งที่สัมผัสเอวา ผมมักจะเมาจนหมดสติหลังจากเราเสร็จกิจเรียบร้อย หลังจากนั้นผมเรียนรู้ที่จะละเลยความรู้สึกผิดนั้น เก็บมันไว้ลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้สนองความต้องการแม้ไม่ได้รักเอวา แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะนอกใจ เพราะหลังจากที่ได้เห็นชีวิตสมรสขอ
“คะ คุณโรแวน?” เธอรับสายอย่าวรวดเร็ว“มันมีข่าวเกี่ยวกับผมกับเอวาเผยแพร่อยู่ตอนนี้ ลบมันทิ้งไปเดี๋ยวนี้” ผมคำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว“รับทราบค่ะ ขอเวลาสิบนาที”“แล้วบอกให้รู้เลยนะว่าถ้ามีใครหน้าไหนกล้าพาดหัวข่าวเกี่ยวกับชีวิตส่วนของเอวาแบบนี้อีกล่ะก็ พวกมันล้มจมแน่”“รับทราบค่ะ”ผมตัดสายเธอทิ้ง และยังคงเดือดดาลอยู่เอวาเป็นคนรักความเป็นส่วนตัวเสมอ ผมจะคอยปกป้องชีวิตส่วนของเธอไม่ว่าต้องแลกกับอะไร หรือต้องเสียอะไรไปก็ตาม“โรลูก เกิดอะไรขึ้นระหว่างลูกกับเอวาหรือเปล่า?” แม่เอ่ยถามจากนั้นเพียงครู่ สายตาของเธอพุ่งตรงมายังผมราวกับว่ากำลังควานหาคำตอบจากภายในจิตใจของผมผมดีใจมากที่เธอไม่เอ่ยถามว่าข่าวเอวาตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริงหรือไม่ แม้ว่าจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่ผมเองก็ไม่อยากบอกแม่อยู่ดี“ไม่รู้ครับ” ผมตอบแม่ด้วยความหงุดหงิด“เคทเล่าให้แม่ฟังว่าลูกตีตัวออกหากจากเอมม่า หนูเอมม่าเล่าว่าลูกเลิกรากับเธอแล้ว และไม่ต้องการคุยกันอีก นั่นเป็นเพราะเอวาหรือเปล่าลูก?”ผมคิดว่าจะโกหกแม่ไป แต่นั่นมันจะเป็นประโยชน์อะไรเล่า“ก็มีส่วนครับ”ผมได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจเสียงดัง ผมไม่ได้มองใบหน้าเธอ
เอวาทันทีที่เห็นพ่อแม่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ฉันรู้เลยว่าพวกท่านต้องได้เห็นพาดหัวข่าวนั่นแล้วอย่างแน่นอนเล็ตตี้ส่งลิงก์ข่าวนั้นมาให้ฉันเพียงไม่กี่นาทีหลังจากกลับถึงบ้าน มันทำให้ฉันหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกใคร แต่พวกปาปารัซซี่กลับปล่อยข่าวลงอินเทอร์เน็ตซะแล้วฉันไม่ได้กังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ความกังวลของฉันมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น ฉันยังไม่รู้จะบอกพวกท่านอย่างไรว่าฉันตั้งครรภ์ สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพราะอีธานยังไม่ยอมคุยกับพวกท่านเลยบทความนั้นถูกลบออกไปไม่กี่นาทีก่อนที่พ่อแม่จะมาถึง ฉันมีลางสังหรณ์ว่าโรแวนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ เพียงชื่อของเขา ฉันก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันสะบัดความคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลองเสื้อออกไป แล้วหันมาให้ความสนใจกับพ่อแม่ที่กำลังมองฉันด้วยความสงสัย“อ่านข่าวนั่นแล้วใช่ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาบ้านเงียบสนิท ส่วนหนึ่งก็เพราะโนอายังไม่กลับจากโรงเรียน“ใช่ลูก” พ่อกล่าวตอบ สายตาเขาจับจ้องมายังฉัน"แม่รู้ว่าเราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันนานมากขนาดนั้นนะ เอวา แต่ทำไมลูกถึงไม่บอกเราเลยล่ะ? " แม่เอ่ยด้วยเสี
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องกังวลแสนหนักอึ้งเสมอมา ฉันไม่อยากให้ลูกมองฉันในแง่ลบ ฉันสามารถบอกความจริงกับเขาได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้พ่อของลูกดูเหมือนคนป่วยทางจิตแม่ลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ และดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดแน่น ฉันสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองฮอร์โมนนี่นะ“ไม่เป็นไรนะลูก อย่ากังวลไปเลย เรายังรักลูกเสมอ รวมถึงรักหลานคนนี้ด้วย” พ่อเสริมขึ้นมาพร้อมกับเข้ามาร่วมกอดพวกเราโอบกอดกันอยู่นานก่อนจะผละออกจากกัน“หลานอีกคน วิเศษไปเลย เดี๋ยวแม่ออกไปหาซื้อของดีกว่า” แม่พูดอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอแทบจะกระโดดโลดเต้นเหมือนสาวน้อยเลยเชียว“มันจะมีสักกี่คนกันเชียวที่ได้เป็นคุณยายตอนอายุสี่สิบสามเนี่ย? แม่คงเป็นคุณยายสาวสุดเลิศเลยแหละ พลังงานล้นเหลือพอจะวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้สบาย”พ่อกับฉันหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อแม่หมุนตัวรอบห้องนั่งเล่นเหมือนนักบัลเลต์ พ่อยืนขึ้นและดึงแม่เข้าสู่อ้อมกอดแล้วจูบเธอ จากนั้นเขาหมุนเธอในอากาศขณะที่แม่หัวเราะด้วยความสุขฉันส่งรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้งสอง นี่แหละคือชีวิตแต่งงานที่ใฝ่หา ความรักที่ฉันปรารถนา หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แต
เรียกฉันว่าคนขี้ขลาดก็ได้ ฉันไม่สน แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรเมื่อฉันไปถึงห้องนั่งเล่น ฉันโทรสั่งอาหารเช้าให้มาส่งที่ห้องของเรา ก่อนจะนั่งลงรอฉันรู้ว่านี่จะเป็นหายนะตั้งแต่ตอนที่เกเบรียลบอกว่าเราจะใช้ห้องร่วมกัน ฉันคิดว่าหมอนจะช่วยได้ แต่ฉันแค่หลอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันก็เดินไปเปิด"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณผู้หญิง" พนักงานเสิร์ฟทักทาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า"อรุณสวัสดิ์ค่ะ""ให้ดิฉันวางตรงไหนดีคะ?" เธอถามขณะที่ฉันหลีกทางให้เธอเข้ามา"บนโต๊ะอาหารก็ได้ค่ะ" ฉันตอบเธอเธอพยักหน้าและเดินไปที่นั่น เธอเพิ่งวางอาหารเช้าลงและกำลังจะออกไป เกเบรียลก็เดินออกจากห้องนอนพร้อมมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อฝีเท้าเธอเริ่มช้าลง และเธอเกือบจะสะดุดเมื่อมองเห็นเขา เกเบรียลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ดังนั้นฉันจึงไม่โทษเธอหรอก"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเมื่อรู้ว่าสายตาของเธอยังคงอยู่ที่เกเบรียล ขณะที่สายตาของชายหนุ่มก็อยู่ที่ฉันเสียงของฉันดึงเธอออกจากภวังค์ เธอพยักหน้าก่อนจากไป เมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็ปิดประตูให้เรียบร้อย"แล้วยังไงดี คุณจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเก
ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงคืนนั้นรวมถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ฉันขยับตัวเล็กน้อย หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและบรรเทาความปั่นป่วนในร่างกาย แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะการขยับตัวทำให้ร่างกายแนบชิดกับเกเบรียลมากขึ้นกว่าเดิมเกเบรียลส่งเสียงครางต่ำ แหบพร่า และเร้าอารมณ์ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเปล่งออกมาในคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว เสียงนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของฉัน ทำให้ฉันหยุดพยายามจะขยับตัวให้สบายขึ้นฉันค่อย ๆ หันไปมองเขา หวังว่าเขาจะยังหลับอยู่ พอเห็นว่าเปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาชัด ๆตอนหลับ เขาดูสงบและงดงามเหลือเกิน ขนตายาวทอดเงาบนแก้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย เพียงแค่มองฉันก็เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเขา อยากแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นฉันกำลังจมดิ่งลงไปอีกครั้ง กับผู้ชายที่กุมหัวใจฉันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน คนเดียวกับที่ตอนนี้กำลังขอในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ฉันหลงใหลในตัวเขามาก จนกระทั่งฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสายเกินไปเสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากขอ
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ