เอวาทันทีที่เห็นพ่อแม่ยืนรออยู่หน้าประตูบ้าน ฉันรู้เลยว่าพวกท่านต้องได้เห็นพาดหัวข่าวนั่นแล้วอย่างแน่นอนเล็ตตี้ส่งลิงก์ข่าวนั้นมาให้ฉันเพียงไม่กี่นาทีหลังจากกลับถึงบ้าน มันทำให้ฉันหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะฉันยังไม่พร้อมที่จะบอกใคร แต่พวกปาปารัซซี่กลับปล่อยข่าวลงอินเทอร์เน็ตซะแล้วฉันไม่ได้กังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ความกังวลของฉันมีเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น ฉันยังไม่รู้จะบอกพวกท่านอย่างไรว่าฉันตั้งครรภ์ สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเพราะอีธานยังไม่ยอมคุยกับพวกท่านเลยบทความนั้นถูกลบออกไปไม่กี่นาทีก่อนที่พ่อแม่จะมาถึง ฉันมีลางสังหรณ์ว่าโรแวนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่ เพียงชื่อของเขา ฉันก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันสะบัดความคิดเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลองเสื้อออกไป แล้วหันมาให้ความสนใจกับพ่อแม่ที่กำลังมองฉันด้วยความสงสัย“อ่านข่าวนั่นแล้วใช่ไหมคะ?” ฉันเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาบ้านเงียบสนิท ส่วนหนึ่งก็เพราะโนอายังไม่กลับจากโรงเรียน“ใช่ลูก” พ่อกล่าวตอบ สายตาเขาจับจ้องมายังฉัน"แม่รู้ว่าเราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันนานมากขนาดนั้นนะ เอวา แต่ทำไมลูกถึงไม่บอกเราเลยล่ะ? " แม่เอ่ยด้วยเสี
นี่เป็นหนึ่งในเรื่องกังวลแสนหนักอึ้งเสมอมา ฉันไม่อยากให้ลูกมองฉันในแง่ลบ ฉันสามารถบอกความจริงกับเขาได้ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้พ่อของลูกดูเหมือนคนป่วยทางจิตแม่ลุกขึ้นมานั่งข้าง ๆ และดึงฉันเข้าสู่อ้อมกอดแน่น ฉันสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองฮอร์โมนนี่นะ“ไม่เป็นไรนะลูก อย่ากังวลไปเลย เรายังรักลูกเสมอ รวมถึงรักหลานคนนี้ด้วย” พ่อเสริมขึ้นมาพร้อมกับเข้ามาร่วมกอดพวกเราโอบกอดกันอยู่นานก่อนจะผละออกจากกัน“หลานอีกคน วิเศษไปเลย เดี๋ยวแม่ออกไปหาซื้อของดีกว่า” แม่พูดอย่างตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอแทบจะกระโดดโลดเต้นเหมือนสาวน้อยเลยเชียว“มันจะมีสักกี่คนกันเชียวที่ได้เป็นคุณยายตอนอายุสี่สิบสามเนี่ย? แม่คงเป็นคุณยายสาวสุดเลิศเลยแหละ พลังงานล้นเหลือพอจะวิ่งเล่นกับหลาน ๆ ได้สบาย”พ่อกับฉันหัวเราะอย่างสนุกสนานเมื่อแม่หมุนตัวรอบห้องนั่งเล่นเหมือนนักบัลเลต์ พ่อยืนขึ้นและดึงแม่เข้าสู่อ้อมกอดแล้วจูบเธอ จากนั้นเขาหมุนเธอในอากาศขณะที่แม่หัวเราะด้วยความสุขฉันส่งรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้งสอง นี่แหละคือชีวิตแต่งงานที่ใฝ่หา ความรักที่ฉันปรารถนา หัวใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา แต
“ขอบคุณมากนะลูกรัก” ฉันฝืนส่งยิ้มออกมา “เดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวเย็นให้นะ รีบทำอะไรให้เสร็จแล้วไปอาบน้ำให้เรียบร้อยนะลูก”ฉันทิ้งกล่องเสื้อผ้านั้นเอาไว้และเดินตรงไปยังห้องครัว ฉันไม่ยังไม่มั่นใจว่าควรทำอย่างไรดีกลับเสื้อผ้าพวกนั้น ฉันไม่ต้องการสิ่งใดจากโรแวน หากพูดกันตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สิ่งของจากผู้ชายเสื้อผ้านั้นทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องลองชุดวันนั้น ฉันยังไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ บางสิ่งมันไม่ถูกต้อง เขาทำตัวแปลกประหลาดไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นฉันเกลียดที่ได้เห็นความปรารถนาในดวงตาคู่นั้น ฉันเกลียดที่สัมผัสได้ถึงน้องน้อยของโรแวนกำลังแข็งปั๋งทิ่มหน้าท้องฉันอยู่ โรแวนไม่เคยมองว่าฉันนั้นเร้าอารมณ์เลยสักครั้ง ไม่เคยจ้องมองราวกับว่าจะกลืนกินฉันมาก่อน แล้วอะไรกันที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปแบบนี้“เอวา”ฉันหันขวับไปตามเสียงเขา ฉันจ้องมองเขาด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มปรากฎตัวอยู่ตรงประตูห้องครัว“นี่คุณมาทำบ้าอะไรที่นี่มิทราบ แล้วเข้ามาได้ยังไง?” ฉันเอ่ยถาม พร้อมกับความเดือดดาลพุ่งสูงขึ้น“โนอาเปิดให้ผมเข้ามา” เขาตอบพร้อมเดินเข้ามาใกล้ฉันไม่ต้องการให้เขาเข้ามาในบ้าน ฉันไ
วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก สาเหตุหลักคือโนอายังโกรธฉันที่ไล่โรแวนไป ฉันคิดว่าฉันปิดบังเรื่องทั้งหมดไว้ดีแล้ว ปรากฏว่าเขารู้ทันฉันช่วงเวลาแบบนี้ทำให้ฉันเสียใจที่พวกเราเสแสร้งต่อหน้าโนอามาเสมอ พวกเราคิดว่าพวกเรากำลังปกป้องเขา ว่าเรากำลังมอบวัยเด็กที่มีความสุขให้กับเขา แต่ในความเป็นจริงคือพวกเราหลอกลวงเขา ตอนนี้เขาเลยเข้าใจว่าเราเคยรักกันและสามารถกลับมารักกันได้อีกครั้งฉันไม่รู้ว่าจะบอกความจริงกับเขาอย่างไรโดยไม่ทำให้หัวใจน้อย ๆ ของเขาแตกสลาย ฉันไม่รู้ว่าจะบอกเขาอย่างไรว่าทุกอย่างที่เขาเชื่อเกี่ยวกับฉันและโรแวนเป็นเรื่องโกหกที่ฉันกลัวที่สุดคือเขาจะเกลียดเราที่โกหกเขาเมื่อความจริงถูกเปิดเผย แต่เราก็ไม่อาจทำอย่างนี้ต่อไปได้ เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเชื่อต่อไปได้ว่ายังมีโอกาสสำหรับฉันและโรแวนฉันถอนหายใจแล้วลุกออกจากเตียง ฉันกลับมานอนต่อหลังจากที่โนอาไปโรงเรียน ยิ่งท้องแก่ฉันก็ตัวใหญ่ขึ้นและรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นฉันลากเท้าไปที่ห้องน้ำและอาบน้ำ แต่มันก็ยังไม่สามารถบรรเทาความเมื่อยล้าถึงกระดูกของฉันได้ ฉันตัดสินใจเลือกชุดเดรสโดยสวมชุดสายเดี่ยวสีขาวที่มีดอกไม้สีน้ำเงิน ชุดยาวเลยเข่าขึ้นมา
“เอวา..”ฉันตัดบทเขา ฉันไม่อยากได้ยินอะไรจากปากของเขาอีก“นายเข้าข้างเอมม่าทุกครั้ง นายปฏิบัติกับฉันเหมือนขยะมาตลอด ทุกครั้งที่นายหัวเราะเมื่อโรแวนฉีกหัวใจฉันเป็นชิ้น ๆ เพราะฉันทำร้ายน้องสาวสุดที่รักของนาย นายคิดว่าฉันเป็นครอบครัวของนายไหม? แล้วทุก ๆ ครั้งที่นายบอกว่าฉันสมควรได้รับความเจ็บปวดที่ฉันกำลังเผชิญล่ะ? หรือตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่เพิกเฉยต่อฉันราวกับว่าฉันไม่มีความสำคัญอะไร? แล้วทุกครั้งที่ทุกคนเมินฉันล่ะ? ตอนนั้นเคยมองฉันเป็นครอบครัวหรือเปล่า?”เขาไม่ได้พูดอะไรเลย คงเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรให้พูดด้วย เขารู้ความจริงดี ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าฉันเป็นครอบครัวเขา สำหรับเขาและคนอื่น ๆ ฉันเป็นเพียงตัวก่อกวนที่ไม่มีใครต้องการเท่านั้น พวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อกำจัดฉันด้วยซ้ำ“บอกฉันหน่อยว่า ถ้าตอนนั้นนายไม่ถือว่าฉันเป็นครอบครัว แล้วทำไมถึงคิดว่าตอนนี้ฉันจะเห็นนายเป็นครอบครัวของฉันล่ะ? ไม่ว่านายจะพยายามอ้างถึงการเป็นครอบครัวเดียวกันกับฉันยังไง มันไม่เป็นผลหรอก”ฉันจ้องเขาอย่างพิศวง ฉันเคยสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเรา ทราวิสกับเอมม่าไม่ได้หน้าตาเหมือนกัน แต่แค่เห็นพวกเขา คุณก็จะเด
“ตื่น!”ฉันครางแต่ไม่ได้ลืมตา เสียงนั้นดังมาแต่ไกลจนฉันคิดว่าฉันกำลังฝันอยู่ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เสียงนั้นก็จะฟังดูคุ้นเคยได้อย่างไร?“เอวา ตื่นสิ!”คราวนี้ฉันลืมตาขึ้น เสียงนั้นฟังดูสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นความฝันได้ แล้วทำไมฉันจะต้องฝันถึงเธอด้วย?สายตาของฉันพร่ามัวขณะที่ฉันพยายามปรับสายตาเมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำฉันก็กลับคืนมาบ้าเอ้ย! ฉันโดนลักพาตัวอีกแล้วสมองของฉันยังคงเบลอจากสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นคลอโรฟอร์มที่ฉันสูดดมเข้าไป ฉันรีบจดจำทุกอย่างอย่างรวดเร็วโดยหวังว่าสารเคมีนั้นจะไม่ส่งผลต่อลูกน้อยของฉันฉันนั่งอยู่บนเก้าอี้และถูกมัดมือไว้ข้างหลัง การพยายามเคลื่อนไหวพิสูจน์แล้วจะไม่เป็นผล เชือกนั้นแน่นและบาดผิวหนังของฉัน ใครก็ตามที่พาฉันมาอาจไม่ต้องการเสี่ยงให้ฉันหนีได้“ตื่นหรือยัง?” เธอถามฉันคิดว่านั่นเป็นแค่จินตนาการของฉันเท่านั้น แต่ไม่ใช่ ฉันหันไปทางซ้ายอย่างรวดเร็วและพบว่าเอมม่าถูกมัดกับเก้าอี้เช่นกัน เธอดูตื่นตัวมากกว่าฉัน ซึ่งหมายความว่าเธออยู่ที่นี่นานกว่าฉัน“เธอมาทำอะไรที่นี่?” ฉันถามเธออย่างงุนงงฉันสำรวจพื้นที่ มันเป็นห้องใหญ่ห้องเดียวที่ไม่มีอะไรเลย ไม่ม
“เธอไม่เห็นจะต้องปริปากพูดอะไรเลย หุบปากไปได้ไหม?”ฉันยังคงดิ้นรนอยู่บนเก้าอี้ หวังว่าจะคลายเชือกได้ ไม่มีทางที่ฉันจะอยู่ตรงนี้กับเธอตลอดเวลาได้ จะต้องมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นระหว่างเราแน่ ๆ“ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการทะเลาะระหว่างผู้หญิงอีกแล้ว ให้ฉันแก้เชือกพวกเธอให้ไหม? พวกเธอจะได้สะสางเรื่องของพวกเธอได้?” ชายคนหนึ่งพูดขณะเดินมาหาเราฉันมัวแต่ยุ่งอยู่กับเอมม่าจนไม่ทันสังเกตว่าประตูถูกเปิดออก ฉันสาปแช่งตัวเองในใจสำหรับความโง่นั้น“ได้สิ ทำไมคุณไม่แก้เชือกฉัน แล้วเมื่อฉันเสร็จเรื่องกับเธอแล้ว ฉันจะได้จัดการกับคุณเป็นคนต่อไป” ฉันเดือดดาล ปล่อยให้ความโกรธของฉันออกมาผู้ชายคนนั้นหัวเราะ แน่นอนว่าเขาคิดว่ามันตลกดี เขาดูยิ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับฉัน สำหรับเขา การสู้กับฉันก็เหมือนกับการสู้กับเด็ก“ฉันก็อยากเห็นเธอพยายามนะ”ฉันเยาะเย้ยเขา “นี่คือสิ่งที่คุณทำยามว่างเหรอ? ลักพาตัวผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้? มันทำให้คุณรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าผู้ชายที่วางยาผู้หญิงจนหมดสติหรือเปล่า?”“หุบปาก!” เขาตะโกนใส่ฉัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดเขาเดินเข้ามาหาฉัน ท่าทางการเดินและการเคลื่อนไหวของเขาดูน่ากลัว ร
โรแวน“นายจะนั่งเศร้าตลอดไปเลยหรือไง?” เกเบรียลถามด้วยความรำคาญผมไม่ได้สนใจเขาเลย ผมแค่นั่งมองของเหลวสีเหลืองอำพันในแก้วของผมต่อไปพลางคิดทบทวนว่าทุกอย่างกับเอวาแย่ลงอย่างรวดเร็วได้อย่างไรผมไม่ได้เห็นแก่ตัวมากพอที่จะคิดว่าเธอทำตัวไร้เหตุผล เธอทำตัวเหมือนคนปกติทั่วไปนั่นแหละ คน ๆ หนึ่งที่ถูกคนที่เธอรักทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ผมมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอ ขจัดความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอ เยียวยาเธอ แต่ผมจะทำได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นคนที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่แรก?“นายทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะโร ถ้าเธอไม่สนใจนาย ก็ปล่อยเธอไปซะ! เอมม่ารอนายอยู่ ขอร้องเถอะ ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการนายสักหน่อย” เขาบ่นพึมพำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ผมไม่รับรู้การโวยวายโง่ ๆ ของเขา แต่กลับจ้องเขาเขม็ง “ถ้าอารมณ์ของฉันในตอนนี้ทำให้นายหงุดหงิดมากขนาดนั้น ก็เชิญออกไปได้เลย”เขาไม่เข้าใจ และผมก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำให้เขาเข้าใจ ผมเพิ่งตัดสินใจได้ว่าผมไม่ต้องการเอมม่า หรือผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เอวาผมเคยเกลียดเธอ เคยคิดว่าไม่มีทางที่ผมจะต้องการเธอ แต่ตอนนี้เธอคือคนเดียวที่ผมนึกถ
เรียกฉันว่าคนขี้ขลาดก็ได้ ฉันไม่สน แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรเมื่อฉันไปถึงห้องนั่งเล่น ฉันโทรสั่งอาหารเช้าให้มาส่งที่ห้องของเรา ก่อนจะนั่งลงรอฉันรู้ว่านี่จะเป็นหายนะตั้งแต่ตอนที่เกเบรียลบอกว่าเราจะใช้ห้องร่วมกัน ฉันคิดว่าหมอนจะช่วยได้ แต่ฉันแค่หลอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันก็เดินไปเปิด"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณผู้หญิง" พนักงานเสิร์ฟทักทาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า"อรุณสวัสดิ์ค่ะ""ให้ดิฉันวางตรงไหนดีคะ?" เธอถามขณะที่ฉันหลีกทางให้เธอเข้ามา"บนโต๊ะอาหารก็ได้ค่ะ" ฉันตอบเธอเธอพยักหน้าและเดินไปที่นั่น เธอเพิ่งวางอาหารเช้าลงและกำลังจะออกไป เกเบรียลก็เดินออกจากห้องนอนพร้อมมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อฝีเท้าเธอเริ่มช้าลง และเธอเกือบจะสะดุดเมื่อมองเห็นเขา เกเบรียลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ดังนั้นฉันจึงไม่โทษเธอหรอก"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเมื่อรู้ว่าสายตาของเธอยังคงอยู่ที่เกเบรียล ขณะที่สายตาของชายหนุ่มก็อยู่ที่ฉันเสียงของฉันดึงเธอออกจากภวังค์ เธอพยักหน้าก่อนจากไป เมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็ปิดประตูให้เรียบร้อย"แล้วยังไงดี คุณจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเก
ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงคืนนั้นรวมถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ฉันขยับตัวเล็กน้อย หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและบรรเทาความปั่นป่วนในร่างกาย แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะการขยับตัวทำให้ร่างกายแนบชิดกับเกเบรียลมากขึ้นกว่าเดิมเกเบรียลส่งเสียงครางต่ำ แหบพร่า และเร้าอารมณ์ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเปล่งออกมาในคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว เสียงนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของฉัน ทำให้ฉันหยุดพยายามจะขยับตัวให้สบายขึ้นฉันค่อย ๆ หันไปมองเขา หวังว่าเขาจะยังหลับอยู่ พอเห็นว่าเปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาชัด ๆตอนหลับ เขาดูสงบและงดงามเหลือเกิน ขนตายาวทอดเงาบนแก้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย เพียงแค่มองฉันก็เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเขา อยากแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นฉันกำลังจมดิ่งลงไปอีกครั้ง กับผู้ชายที่กุมหัวใจฉันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน คนเดียวกับที่ตอนนี้กำลังขอในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ฉันหลงใหลในตัวเขามาก จนกระทั่งฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสายเกินไปเสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากขอ
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ