อีธานเมื่อเริ่มวางแผนการทั้งหมด ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะตกหลุมรักเธอ นั่นเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉันฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงฆ่าเธอทิ้งและฉันก็ได้ทุกอย่างที่ทุ่มเททำมา แต่ฉันกลับไม่รู้เลยว่ามันจะกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าหลายสิ่งที่เคยทำมาเอวาไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครหลายคนจะเมินเฉยได้ ไม่ใช่หญิงสาวที่จะถูกเขี่ยไปไว้ข้างทางได้เช่น เธอสามารถทำให้ใครก็ตามตกหลุมรักได้โดยง่าย เป็นหญิงสาวประเภทที่ใครก็ตามที่คบหาจะกลายเป็นชายที่ดีขึ้นแน่นอนวินาทีที่รู้ว่าตนเองเริ่มตกหลุมรักเธอ ฉันก็พยายามหลีกหนี แต่กลับเป็นไปไม่ได้เลย คล้ายกับการพยายามกระเสือกกระสนออกจากหุบเหว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อรู้ว่าตกหลุมรักเธอเสียแล้ว ฉันพยายามแก้ไขสิ่งต่าง ๆ แต่ก็กลับสายเกินแก้ เพราะหลายสิ่งได้รับผลจากมันไปเรียบร้อย และฉันรู้ว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนความจริงจะเปิดเผย แทนที่จะปล่อยเธอไปและถอยออกมา ฉันกลับอยากอยู่กับเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้เพียงน้อยนิดก็ตามทีการทำร้ายเธอจึงกลายเป็นสิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดเสมอ ความเจ็บปวดของเธอก็คือความเจ็บ
ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามา อีกความคิดหนึ่งก็พุ่งชนอย่างรุนแรงภายในสมอง"ที่คุณมาที่นี่เพราะจะมาบอกผมว่าไม่อยากได้เด็กคนนี้แล้วจะไปทำแท้งใช่ไหม?" ฉันถามเธอตรงไปตรงมาร่างกายแข็งทื่อไปหมดเธอเงยหน้าขึ้นมองทันที ดวงตาสีน้ำตาลนั้นลุกโชนเป็นไฟ ขณะหนึ่งฉันเหมือนเห็นเอวาคนเก่ากลับมา หญิงคนเดิมก่อนที่ฉันจะทำลายชีวิตเธอไป"ทำไมถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะ?" เธอเหน็บแนบ "ยอมรับเลยนะ ตอนแรกที่รู้ สภาพจิตใจฉันย่ำแย่จริง ๆ และคิดว่าคงดีกว่าถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เกิดมา แต่ก็กลับมามีสติได้เร็ว"ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะทำต้องทำอย่างไรหากเธอบอกว่าไม่ต้องการเด็กคนนี้“ฉันมาหาคุณเพราะอยากรู้ว่าคุณอยากทำอะไร ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้สนใจอะไรฉันมากนัก ดังนั้นคุณอาจจะไม่สนใจเด็กคนนี้เหมือนกัน อยากอยู่ในชีวิตลูกไหม?"ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป "ไม่"มันเจ็บปวดที่พูดออกไปแบบนั้น แต่เด็กน้อยจะเติบโตขึ้นมาได้ดีกว่าโดยที่ไม่มีฉัน ฉันเป็นปีศาจร้ายที่ทำลายชีวิตเอวาเธอนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นและหยิบกระเป๋า ศีรษะก้มลงและซ่อนความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ภายในเธอกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็หยุดและกลับ
เอวาฉันนั่งอยู่บริเวณส่วนตัวพร้อมมีความสุขกับเค้กตรงหน้า โนอากลับไปอยู่บ้านโรแวนค่ำคืนนี้ ดังนั้นฉันจึงมีอิสระจากลูกชายได้หนึ่งคืนฉันรู้สึกดีด้วยเหตุผลบางประการ เนื่องจากอารมณ์ที่ดี ฉันจึงตัดสินใจออกมาหาของกิน ฉันอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมรับอาหารที่โดนใจ ดังนั้นหลังจากอยากอยู่หลายวัน ฉันถึงได้มานั่งตัดเค้กรับประทานอยู่ตอนนี้การเดินทางไปเรือนจำนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างมาก ฉันคาดหวังทั้งหัวใจว่าอีธานต้องยืนกรานว่าไม่อยากได้เด็กคนนี้ แต่สิ่งที่ได้รับเป็นสิ่งที่เกิดคาดไปอย่างมากคำสารภาพรักของชายหนุ่มทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่า เขาต้องทำความเข้าใจแล้วว่ามันสายเกินไปแล้ว ฉันไม่คิดถึงเรื่องอยู่กินกับเขาอีกแล้ว อีธานเคยพยายามปลิดชีวิตฉันเชียวนะ! ถ้าฉันหันหลังกลับไป คงไม่ต้องบอกนะว่าจะเจออะไรบ้าง จริงไหม?ฉันเองก็ไม่ได้ใจยักษ์ใจมารมากเสียจนเมินเฉยต่อสิทธิ์ในฐานะพ่อ แม้ไม่ต้องการเจอเขาสองต่อสอง ฉันอาจร้องขอให้โนราพาเด็กน้อยไปหาเขาก็ได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถให้อีธานได้มากที่สุด และมาจากความพยายามอดทนมากที่สุดด้วยเช่นกัน สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องที่งี่เง่าเกินกว่าจะเก็บมาคิดได้ฉัน
ฉันยักไหล่ “แล้วแต่เธอจะคิด”“แค่ฉันปริปาก โรแวนจะต้องเล่นงานเธอแน่… เรื่องนี้เราก็รู้กันดีนะเอวา เธอก็รู้ว่าฉันแค่บอกโรแวนว่าเธอหยาบคายกับฉันแล้วเขาก็จะมาระเบิดอารมณ์ใส่เธอทันที”ก่อนหน้านี้ ฉันคงยอมก้มหัวให้เธอเพราะฉันไม่อยากมีปัญหากับโรแวน ฉันจึงปล่อยให้เธอทำให้ฉันอับอาย เธอจะสนุกไปกับมันและรู้สึกมีอำนาจที่สามารถกดให้ฉันกลายเป็นคนไร้ค่าฉันยิ้มให้เธอ “เอาเลย ฉันไม่สนใจหรอก ทำไมเธอไม่หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเขาตอนนี้เลยล่ะ?” ฉันท้าทายเธอ“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ?”“ก็หวังว่าเธอจะกล้านะ” ฉันตอบอย่างพึงพอใจความนับถือตนเองที่ฉันคิดว่าฉันได้สูญเสียไปหลังจากที่อีธานทรยศฉันเริ่มกลับคืนมาอย่างช้า ๆ ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนมาทำให้ฉันตกต่ำที่สุดอีกครั้งเด็ดขาด“มีเรื่องอะไรกัน?” เสียงที่เคร่งขรึมกล่าวถามฉันเงยหน้าขึ้นและพบว่าโครินกำลังจ้องพวกเรา เราไม่ได้นับว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เป็นคนรู้จักหรือจะเรียกว่าหุ้นส่วนทางธุรกิจมากกว่า บริษัทก่อสร้างของพ่อเธอเป็นบริษัทที่ฉันใช้ตอนสร้างบ้านเด็กกำพร้าของมูลนิธิโฮป เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ด้วย บริษัทก่อสร้างเป็นบริษัทในครอบครัวและเธอเป็นผู้ถื
“เอวา ได้โปรด คุยกันหน่อยได้ไหม?” แม่อ้อนวอนเมื่อฉันกำลังจะเดินหนีไปฉันมองเธอด้วยความไม่แน่ใจว่าเธอต้องการอะไร เรามีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกัน? ทุกอย่างก็ถูกพูดและจัดการไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?“เราไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันค่ะคุณแม่” ฉันยืนกรานเมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันแตกต่างจากเอมม่าและทราวิสอย่างไรเมื่อพูดถึงคุณแม่และคุณพ่อ ในขณะที่เอมม่าและทราวิสเรียกพวกเขาว่าแม่และพ่อ สำหรับฉันแล้ว พวกเขาคือคุณพ่อและคุณแม่ ชัดเจน เรียบร้อย และไม่มีความสนิทสนมเลยฉันไม่เคยยอมรับพวกเขาว่าเป็นพ่อแม่ของฉันจริง ๆ เพราะลึก ๆ แล้วฉันรู้ดี พ่อแม่จะไม่เกลียดลูกของตัวเอง พ่อแม่จะไม่ละเลยลูกของตนและปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนขยะ ฉันเรียกพวกเขาอย่างไม่สนิทสนมเพราะลึก ๆ แล้วฉันไม่ได้ถือว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ของฉัน“ได้โปรดเถอะ ฉันขอร้องล่ะ” เธออ้อนวอนทั้งน้ำตามันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่เห็นเธอมีน้ำตา ใบหน้าของเธอแดงก่ำและดูอ่อนโยน นี่เป็นแววตาที่ฉันไม่เคยเห็นเธอมองฉันมาก่อน ปกติเธอจะขมวดคิ้วและมองฉันด้วยความเฉยเมยและเย็นชาที่เธอมีให้สำหรับฉันโดยเฉพาะเสมอ“เธอพาฉันไปที่โต๊ะของเราในขณะที่พวกเขาคุยดีกว่า
ฉันเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอแต่ฉันไม่สนใจ เธอทำให้ฉันเจ็บปวดมาหลายปีแล้ว นี่เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่ฉันต้องทนทุกข์จากน้ำมือของเธอและครอบครัวของเธอด้วยซ้ำอีกอย่างฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงดูเจ็บปวด ฉันแน่ใจว่าเหตุผลเดียวที่เธออยู่ตรงนี้ก็เพื่อพยายามช่วยบริษัทของครอบครัวเธอ“มันเจ็บนะที่เธอคิดแบบนั้นกับฉัน ที่เธอคิดว่าเหตุผลเดียวที่ฉันขอโทษก็เพื่อที่ว่าฉันจะช่วยบริษัทได้ แต่ฉันก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะการกระทำของฉันเอง เธอจึงคิดว่าฉันไม่น่าเชื่อถือเลย”เมื่อมองดูเธอตอนนี้ คุณจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่เคยด่าทอฉันเมื่อทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คนที่เคยปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันไม่สำคัญ มันแปลกมาก เราไม่เคยเปิดใจกัน ดังนั้นการนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เธอระบายความรู้สึกจึงค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนใจ“ฉันต้องการการให้อภัยจากเธอจริง ๆ ฉันอยากเป็นแม่ของเธอจริง ๆ ฉันอยากกอบกู้สิ่งที่ฉันทำลายไป ฉันอยากได้ความรักที่ฉันทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจกลับคืนมา”ฉันถอนหายใจ “ฉันไม่อยากจะใจร้ายนะ แต่ก่อนอื่นเลยคุณไม่ใช่แม่ของฉัน ผลการตรวจดีเอ็นเอที่ฉันมีที่บ้านเป็นหลักฐานได้ สอง คุณห
ฉันจ้องไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ ไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับมันดีตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านแล้ว ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตลอดเวลานั้นฉันใช้เวลาไปกับการถกเถียงในใจว่าจะเปิดมันหรือฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ดีกระดาษแผ่นนั้นดึงความสนใจฉันไปที่กระเป๋าของฉันตลอดเวลาที่ฉันขับรถกลับบ้าน แต่ถึงตอนนี้ ฉันก็ยังทำได้เพียงจ้องมองมันส่วนหนึ่งของฉันอยากรู้เกี่ยวกับเนื้อหาในนั้น แต่อีกส่วนหนึ่งไม่สนใจว่าข้างในนั้นเขียนอะไรไว้ คนที่เขียนมันเกลียดฉัน การอ่านจดหมายที่เขาเขียนจะมีอะไรดี?ฉันหยิบมันขึ้นมา กำลังจะฉีกมัน แต่มีเสียงหนึ่งหยุดฉันไว้‘อ่านสักทีเถอะ อย่างเลวร้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้นได้เชียว?’ เสียงภายในของฉันกระซิบถามฉันผงะเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นคำพูดยอดฮิต ฉันคิดกับตัวเองสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือเขาจะทำให้ฉันเจ็บปวดคำพูดเป็นสิ่งที่อันตราย พวกมันสร้างความเสียหายได้มากกว่าอาวุธใด ๆ ฉันยังจำคำพูดที่รุนแรงบางคำที่คุณพ่อคุณแม่ของฉันพูดกับฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ บาดแผลที่คำพูดของพวกเขาสร้างไว้ไม่เคยถูกรักษาให้หายได้อย่างแท้จริง‘เปิดมันซะ!’ เสียงนั้นตะโกนฉันกางจดหมายออก
ฉันจะอ่อนแอตอนนี้ไม่ได้ มันจะทำให้ฉันต้องสูญเสียมากกว่าที่ฉันเต็มใจจะเสีย ฉันเคยถึงจุดแตกหักมาแล้ว ฉันจะไม่เสี่ยงกลับไปสู่ความมืดมิดที่เกือบจะพรากชีวิตของฉันไปอีกฉันปีนขึ้นเตียงและนอนลง ไม่ยอมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ฉันร้องไห้ให้กับคนพวกนี้มามากพอแล้ว ฉันจะไม่เสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่สมควรได้รับอะไรจากฉันอีกไม่นาน ความเหนื่อยล้าก็ครอบงำฉัน ความเหนื่อยล้าทั้งทางอารมณ์และกายทำให้ฉันหมดแรง และฉันก็ผล็อยหลับสนิทไปโดยไม่ฝันอะไรเลยเมื่อฉันตื่นขึ้นก็เป็นเวลาประมาณสิบเอ็ดนาฬิกาบ้าเอ้ย! ฉันรีบลุกจากเตียงจนสะดุดล้ม ฉันควรจะไปรับโนอาตอนเก้าโมงเพราะโรแวนต้องบินไปประชุมที่เมืองอื่นฉันรีบอาบน้ำและเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที เมื่อเสร็จแล้วฉันก็รีบวิ่งลงบันไดโดยภาวนาว่าจะไม่สะดุดตกบันไดและคอหักซะก่อนฉันหยุดชะงักเมื่อสังเกตเห็นโรแวนและโนอากำลังทานอาหารเช้าอยู่ในครัว เขาใส่สูทและกำลังทำแพนเค้ก มันแปลกมากเพราะฉันไม่เคยเห็นเขาทำอาหารมาก่อนเลย“แม่ ตื่นแล้วเหรอครับ” โนอาตะโกนถามในขณะที่อาหารเต็มปาก “ผมจะไปปลุกแม่แล้ว แต่พ่อบอกให้ปล่อยให้แม่นอน”“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันถามด้วยความสับสน
ฮาร์เปอร์"ดึกดื่นปานนี้ กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?" เสียงทุ้มทำให้ฉันสะดุ้งจากด้านหลัง"ตกใจหมดเลย" ฉันพึมพำขณะพยายามสงบใจที่เต้นแรง "อย่าโผล่มาจากข้างหลังอย่างนั้นสิ"เกเบรียลเดินวนรอบเคาน์เตอร์ครัวและมายืนตรงข้ามกับฉัน เมื่อเขาทำแบบนั้น ให้สายตาฉันได้เห็นเขา คอก็แห้งขึ้นทันที รู้สึกกระหายน้ำเหมือนไม่ได้ดื่มน้ำมานานแล้วและการกลืนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่เกเบรียลใส่เสื้อผ้าชิ้นเดียวคือกางเกงขาสั้นสีเทาที่หลวมต่ำบนสะโพก ผู้ชายคนนั้นเป็นงานศิลปะที่มีร่างกายเหมือนเทพเจ้ากรีก ไหล่กว้าง กล้ามท้องเป็นลอน และเส้นวีไลน์ที่ทำให้ผู้หญิงทุกคนคลั่งไคล้แนวไรขนสีเข้มที่เริ่มจากสะดือแล้วหายไปในกางเกง ราวกับว่าไรขนนั้นชี้ไปยังสวรรค์ฉันอยากจะเบนสายตาออกไปแต่ไม่สามารถทำได้ สายตาฉันดื่มด่ำราวกับเขาเป็นแหล่งน้ำเดียวที่มี สายตาจ้องไปที่ทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขา สังเกตเห็นรอยสักแบบชนเผ่าบนหน้าอก นั่นเป็นสิ่งใหม่ มันไม่ได้มีตอนที่เราเคยมีอะไรกันเมื่อหลายปีที่แล้ว และการเห็นมันทำให้ฉันอยากรู้ว่ามันหมายถึงอะไรไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเกเบรียลเป็นผู้ชายที่น่าทึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ อย่าคิดว่าฉันพูดแบบนี้แค่ตอนนี้ แม้แต่ต
เกเบรียลผมยังคงรู้สึกถึงสัมผัสเนียนนุ่มของผิวเธอเหมือนกับมันซึมลึกอยู่ใต้ผิวของผมเอง ชั่วขณะหนึ่งผมอยากใช้นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามข้อต่อที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ด้านในแขนของเธอฮาร์เปอร์คนใหม่นี้น่าสนใจ เธอร้อนแรง และท่าทางแบบใหม่นี้ทำให้ผมรู้สึกติดใจได้ ผมชอบผู้หญิงที่มั่นใจ เร้าอารมณ์ และมีบุคลิกที่ร้อนแรง ผมชอบที่พวกเธอท้าทายและไม่ยอมแพ้เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนั้นและมันทำให้ผมสนใจ เธอเป็นคนที่ร้อนแรงและไม่กลัวที่จะบอกให้ผมไปตายซะ ผมจะไม่สนใจได้อย่างไรเล่า?ตอนที่เราแต่งงานกันนั้นเธอน่าเบื่อ บุคลิกที่น่าเบื่อทำให้เธอดูจืดชืดในสายตาของผม ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับเธอเลย ในขณะที่ผมชอบผู้หญิงที่มีเขี้ยวเล็บ เธอกลับเชื่อฟังมากเกินไป คิดแต่จะทำให้ผมพอใจและดึงดูดความสนใจกันอย่างเดียวเธอยอมลดตัวทุกอย่างเพียงเพื่อให้ผมสนใจ หากเพียงเธอผลักผมให้ออกห่างไปผมก็คงจะสนใจเธอแล้ว ฮาร์เปอร์เมื่อก่อนเป็นคนขี้อายและกลัวแถมขาดความมั่นใจในตัวเอง สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่อยากสนใจเธอเลยผมถอนหายใจแล้วก็ผลักความคิดเหล่านั้นออกไป พยายามขับไล่ความสงสัยที่มีต่อฮาร์เปอร์ เบคเกตต์ ที่ตอนนี้เป็นวู้ดออกไป วินาทีถั
“คุณต้องการอะไร เกเบรียล? อย่างที่เห็น ฉันไม่อยากคุยตอนนี้” ฉันลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดคำพูดของลิลลี่ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของฉัน มันบาดลึกซ้ำไปซ้ำมา ฉันเอามือสางผม พยายามไล่ความเจ็บปวดที่ท่วมท้นออกไป ฉันรู้ว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น และฉันก็รู้ว่าเธออาจจะรับมันไม่ได้ดีนักลองคิดดูสิ คุณจะรับมันไหวไหมถ้าแม่มาบอกว่าผู้ชายที่คุณคิดว่าเป็นพ่อมาตลอดกลับกลายเป็นคนอื่นไป? ว่าคุณถูกหลอกมาตลอด และไม่มีใครคิดจะบอกความจริงจนกระทั่งมันเลี่ยงไม่ได้ ฉันเข้าใจเธอ ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของเธอ ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อคำพูดและความเจ็บปวดในดวงตาของเธออย่างไร“ลิลลี่ไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” เกเบรียลพูดพลางเดินเข้ามาในห้องฉันจ้องเขม็งไปที่เขา ความรู้สึกบางอย่างที่น่าเกลียดพุ่งขึ้นในใจ “แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง? คุณแทบจะไม่รู้จักเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วจะมาบอกฉันว่าเธอไม่ได้ตั้งใจได้ไง”“แล้วมันเป็นความผิดใครล่ะ?” เขาสวนกลับทันที จ้องฉันด้วยสายตาโกรธจัดฉันทั้งโกรธทั้งเสียใจ ฉันกำลังหาที่ระบาย หาทางที่จะดึงความสนใจตัวเองออกจากความเจ็บปวดที่ถาโถม เกเบรียลจึงกลายเป็นเป้าหมายของฉัน เพราะ
ฮาร์เปอร์สัปดาห์นี้วุ่นวายสุด ๆ เหมือนฉันวิ่งทำธุระตั้งแต่กลับมาที่เมืองนี้โดยไม่ได้พักเลยสักนิดอย่างน้อยตอนนี้ลิลลี่ก็ดูสบายขึ้นแล้ว เกเบรียลไม่ยอมส่งที่นอนของเธอมาเพราะบอกว่าที่นอนที่นี่สบายกว่า แต่เขายอมส่งผ้าปูที่นอนกับผ้าห่มมาให้แทน ซึ่งมันช่วยได้เยอะเลย ตอนนี้เธอหลับสบายตลอดทั้งคืนส่วนเกเบรียล ฉันจะเริ่มจากตรงไหนดี? เขากลับมาบ้านแม้จะดึกดื่นขนาดไหน แต่ก็เท่านั้นเอง เราสองคนพยายามหลบหน้ากัน ต่างทำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่ในชีวิต ฉันคิดว่าแบบนี้ดีกว่า อย่างน้อยลิลลี่จะได้ไม่เห็นเราทะเลาะกันตลอดเวลา“แม่คะ แม่อยากคุยกับหนูเหรอ?” เสียงของลิลลี่ดึงฉันกลับมาสู่ปัจจุบันฉันวางผ้าที่กำลังพับอยู่ลง แล้วนั่งลงบนเตียงก่อนจะส่งสัญญาณให้เธอมานั่งด้วยกัน เธอเดินข้ามห้องมาพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ฉันเราอยู่ในห้องของฉัน อย่างที่เดาได้ว่าเกเบรียลกับฉันไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายให้ลิลลี่เข้าใจอย่างไร เพราะเธอต้องสงสัยแน่ ๆ ในเมื่อก่อนหน้านี้ฉันกับเลียมเคยนอนร่วมห้องกัน“แม่คะ?”“ขอโทษนะลูก มีบางอย่างที่แม่อยากจะอธิบายให้หนูฟัง” ฉั
แผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นหันมาทางฉัน รวมถึงกันเนอร์ด้วย ฉันไม่ต้องกังวลเรื่องคาลวินเพราะเขาดูเหมือนตกอยู่ในห้วงความหลงใหล เขาใส่ใจกับทุกสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนเด่นชัดบนริมฝีปากอีกครั้งที่ความรู้สึกไม่สบายใจจมลึกลงในหัวใจของฉัน ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง? เหมือนมีหินก้อนใหญ่ติดอยู่ในลำคอฉันเพ่งสายตามองไปยังพวกเขา แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะโต๊ะอยู่ห่างออกไป แต่ความสงบสุขและความสุขบนใบหน้าของคาลวินก็เพียงพอที่จะบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้น เขากำลังออกเดต และกันเนอร์ก็มาด้วย ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนไม่ได้รังเกียจอะไร แต่ฉันไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่ฉันในชีวิตของลูกชายเด็ดขาดถึงแม้ฉันจะมองไม่เห็นกันเนอร์ แต่ฉันรู้ว่าเขาเหมือนกับคาลวิน กันเนอร์เองก็มีความสุขที่ได้อยู่ที่นั่น เพราะถ้าไม่ใช่แบบนั้น คาลวินคงพาลูกชายกลับไปแล้วแต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ฉันไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่นานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว การได้เห็นเขามีความสุขกลับทำให้ฉันเจ็บปวดอย่างประหลาด มันเหมือนหัวใจถูกบดขยี้
คำพูดของมอลลี่ยังคงก้องอยู่ในหัว แม้กระทั่งตอนที่เรากำลังกินของหวาน ฉันชอบไอศกรีมมาก แต่วันนี้ฉันกลับไม่สามารถสนุกกับมันได้เลย โดยเฉพาะเมื่อเธอสามารถทำให้ฉันเริ่มสงสัยในทุกสิ่งที่ฉันเชื่อมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา"ทำไมเธอเงียบจัง?" มอลลี่ถามขณะที่วางแก้วมิลค์เชคลง "หรือเธอกำลังคิดถึงสิ่งที่ฉันเพิ่งพูด?"ประโยคสุดท้ายมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะที่เธอเอนหลังพิงเก้าอี้"เปล่า" ฉันโกหก "แค่กำลังคิดว่าฉันจะทำยังไงให้คาลวินกับกันเนอร์ยกโทษให้ฉัน ไม่ว่าฉันจะมองมุมไหนก็ไม่มีทางออกที่ดีเลย"ในฐานะทนายความ ฉันเคยชินกับการมองสถานการณ์จากหลายมุมมองเวลาปกป้องลูกความของฉัน นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันเก่งในสิ่งที่ฉันทำ ฉันไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพิจารณาทุกผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ ฉันทำแบบนั้นกับสถานการณ์นี้แล้ว แต่กลับไม่พบความหวังเลยฉันอาจไม่ได้รักคาลวิน แต่ฉันรู้จักเขาเป็นอย่างดี เขาเคยให้โอกาสฉันนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้ฉันจัดลำดับความสำคัญของชีวิตให้ถูกต้อง แต่ฉันกลับไม่ทำ คาลวินเป็นคนที่เมื่อเขาถึงจุดที่ทนไม่ไหว มันก็จบ ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีโอกาสอีก ไม่มีการให้อภัยฉันจะนั่งหลอกตัวเองที่นี่ก็ได้ แต่ฉัน
"ทำไมฉันถึงยอมให้เธอชวนฉันออกไปกินข้าวกลางวันด้วยนะ?" ฉันบ่นพลางมองทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วฉันไม่ได้ออกจากบริเวณของครอบครัวมานานแล้ว ครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นตอนที่ฉันไปงานแต่งงานของเอวา บอกตามตรง ฉันตกใจมากตอนที่เธอเชิญฉันไปงานนั้น ในบรรดาคนทั้งหมด ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่เธอไม่อยากให้ไปร่วมงานแต่งงานมากที่สุด“ก็เพราะเธอจำเป็นต้องออกไปข้างนอกบ้างไง” มอลลี่ตอบพลางดึงฉันกลับมาสู่บทสนทนา“ฉันก็ออกจากบ้านนะ มอลลี่” ฉันพูดปกป้องตัวเองเสียงหัวเราะเยาะของเธอทำให้ฉันหงุดหงิดมาก“เดินไปที่สวนไม่เรียกว่าการออกไปข้างนอกหรอกย่ะ” เธอตอบโต้ “เลิกบ่นแล้วนั่งพักผ่อนเถอะ เธอจะสนุกกับการออกไปเที่ยวเล็ก ๆ ครั้งนี้ รับรองเลย”“ไม่มั้ง”เมื่อพูดจบ ฉันเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วหลับตาลง ความคิดในหัวของฉันวิ่งวุ่นไปเป็นพันเรื่องในแต่ละนาที ฉันจับพวกมันไว้ไม่ได้หรือควบคุมมันไม่ได้เลยตั้งแต่คุยกับมอลลี่ในห้อง ความคิดของฉันก็วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้ว่ามันคงไม่ง่าย แต่เธอพูดถูก ฉันจะมัวแต่นั่งอยู่ในห้อง จมปลักและสาปแช่งความโง่ของตัวเองต่อไปไม่ได้ ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้ ฉันอาจไม่มีโอกาสได้อยู่กับลูกชา
เอมม่า"ออกจากห้องบ้างเถอะนะ เอมม่า ลูกไม่ควรใช้เวลาทั้งวันติดอยู่ในห้องรก ๆ แบบนี้" แม่บอกฉัน แต่ฉันไม่แม้แต่จะเหลือบมอง เฝ้าแต่จดจ้องอยู่ที่ซีรีส์เศร้าที่กำลังดูอยู่ฉันนั่งอยู่บนเตียง ยังสวมชุดนอนอยู่ พร้อมของว่างกระจายอยู่รอบ ๆ ผ้าห่ม มีเครื่องดื่มหลากหลายชนิดและถังไอศกรีมที่ฉันกำลังจมปลักอยู่ ผ้าม่านถูกปิดมืดสนิทเพราะฉันเพิ่งติดตั้งม่านกันแสงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน"นั่นแหละที่หนูพยายามบอกมันอยู่เนี่ย แต่มันไม่ยอมฟังหนูเลยคะแม่" มอลลี่พูดขึ้นฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจ้องฉันด้วยสายตาดุดัน แต่ฉันไม่สนใจเลยสักนิด ฉันแค่อยากอยู่คนเดียวเพื่อจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็เป็นคนที่ทำให้ตัวเองต้องมาเจอเรื่องแบบนี้"กันเนอร์จะพูดว่ายังไงถ้าหลานเห็นลูกในสภาพนี้? ทั้งตัวเองและห้องก็ดูไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่าลูกหวีผมครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หรืออาบน้ำครั้งสุดท้ายตอนไหน" แม่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจฉันสะดุ้งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อกันเนอร์ แล้วหันไปหาแม่ทันที"ลูกถามถึงหนูเหรอ? อยากเจอหนูใช่ไหม?" ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังแม่ใช้เวลาอยู่กับเขา เช่นเดียวกับทราวิส
ทันทีที่พวกเราเข้าไปในโบสถ์ ฉันก็สังเกตเห็นโรแวนในทันที เขาอยู่ในชุดสูทสีดำเช่นเดียวกับน้องชายของเขา เราเดินไปยังด้านหน้าของโบสถ์พร้อมกับที่บาทหลวงเดินเข้ามา"สวัสดีครับ คุณฮาร์เปอร์" โรแวนกล่าวทักทายอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นฉันถึงกับตกตะลึง โรแวนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน เมื่อก่อนเขามักจะดูเย็นชาและห่างเหิน เหมือนมีบางอย่างคอยถ่วงจิตใจเขาไว้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูอบอุ่นราวกับความมืดที่เคยครอบงำเขาได้เลือนหายไป"สะ…สวัสดีค่ะ" ฉันตอบกลับอย่างตะกุกตะกักฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเก่าหรือยัง เพราะทุกคนรู้ว่าเขาเปลี่ยนไปหลังจากเสียเธอไปและต้องแต่งงานกับเอวา ใช่ นั่นคงจะเป็นเหตุผล เขาเกลียดเอวา การเปลี่ยนแปลงนี้น่าจะเกี่ยวกับเอมม่า พี่สาวของเอวา"เริ่มกันเลยไหม?" บาทหลวงพูดขัดขึ้นมา และเราสามคนก็พยักหน้าตอบรับฉันยืนอยู่ข้าง ๆ เกเบรียล ในขณะที่โรแวนยืนอยู่ด้านหลังเราฉันพยายามไม่สนใจคำกล่าวของบาทหลวง เพราะฉันไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับโบสถ์ แต่ฉันคิดว่ามันคงง่ายกว่านี้ถ้าเกเบรียลตกลงทำพิธีที่อำเภอแทนไม่รู้ว่าผ