เอวาฉันกำลังทำความสะอาดบ้านทั้งหลังทุกซอกทุกมุมเพื่อไม่ให้ใจฟุ้งซ่าน ฉันยังคงพยายามทำใจยอมรับความจริงเรื่องที่ฉันกำลังตั้งครรภ์วินาทีที่โรแวนปฏิเสธเรื่องการมีลูกอีกคน ฉันล้มเลิกความตั้งใจเรื่องมีน้องเป็นเพื่อนเล่นให้โนอา แต่ตอนนี้ฉันกลับกำลังตั้งท้องเด็กคนหนึ่งอยู่ ฉันไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดีโทรศัพท์ดังขึ้นและฉันก็กดรับสาย หากเป็นปกติฉันคงกดปฏิเสธ อย่างไรก็ตามวันนี้ไม่ใช่เช่นนั้น การหลีกหนีคนรอบตัวไม่ได้ช่วยให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น“ไง เล็ตตี้” ฉันพึมพำขณะนั่งลงฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินและควรจะรู้ว่ามีความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากนั้นไปอีก“โอ๊ย รับสายแล้ว ฉันคิดว่าคุณจะไม่รับซะแล้ว” เสียงกรี๊ดของเพื่อนสาวทะลุผ่านลำโพงโทรศัพท์ออกมาก่อนกลายเป็นเสียงสะอื้น “นี่มันก็หลายอาทิตย์แล้วนะ คิดถึงเสียงคุณจังเลย”“ขอโทษนะ” ฉันถอนหายใจ “ฉันไม่รู้เลยว่าต้องรับมือเรื่องพวกนี้ยังไง ก็เลยผลักไสคุณออกไป”การสื่อความรู้สึกออกไปไม่ใช่เรื่องที่ฉันถนัด รวมถึงการยอมรับความรู้สึกเหล่านี้ด้วย เมื่อรู้สึกเครียดหรือถูกอารมณ์ต่าง ๆ ครอบงำ ฉันมักจะปิดกั้นตนเองทันใด พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเพื่อทำสิ่งต่า
ฉันจูบเด็กน้อยไปทั่วใบหน้าพร้อมโอบกอดเขาแน่นขึ้น“แม่ครับ!” เด็กน้อยหัวเราะคิกคัก กระนั้นก็ไม่ได้ผลักฉันออก“แม่คิดถึงหนูมากเลยรู้ไหม! มาที่นี่ได้ยังไง?” ฉันเอ่ยถามขณะคลายอ้อมกอดเล็กน้อยแต่ยังไม่ปล่อยเขาไปเรานั่งอยู่บนพื้นด้วยกัน แต่กลับไม่สนใจเลย เพราะฉันมีความสุขมากที่ลูกชายอยู่ด้วยกันเช่นนี้“พ่อครับ พ่อไปรับผมมา พ่อบอกว่าแม่ต้องการผม กะจะเซอร์ไพรส์ให้ไงครับ เพราะงั้นเมื่อวานผมเลยไม่ได้บอกแม่ตอนที่เราคุยกัน”เมื่อชื่อผู้เป็นพ่อถูกเอ่ยขึ้น ก็เป็นตอนที่ฉันรู้ตัวว่าโรแวนยืนอยู่ด้านหลังลูก เราสบตากัน ฉันสังเกตเห็นอารมณ์บางอย่างในแววตานั้น แต่ก็ยากที่จะระบุออกมาแน่ชัด“ไงคะ” ฉันเอ่ยอย่างอ่อนโยนช่วงนี้เขาแวะเวียนมาดูฉันทุกวัน ดูเหมือนจะพร้อมให้ความช่วยเหลือและใจดีขึ้น ซึ่งยังคงทำให้ฉันประหลาดใจอยู่ เขาเปลี่ยนไปจากโรแวนที่เคยรู้จักจนไม่รู้เลยว่าต้องตอบรับอย่างไรดีเขาพาฉันไปหาจิตแพทย์ตามที่เคยพูดเอาไว้ ซึ่งฉันเริ่มเข้ารับการรักษาเมื่อสามวันที่แล้ว ทุกครั้งที่เขาทำสิ่งที่ดีให้ ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะนั่นไม่ใช่เขาแม้แต่น้อย“ไง เอวา…วันนี้เป็นยังไงบ้าง?” เขาถามพร้อมรอยยิ้มเล็ก ๆ“ดี
อีธานเมื่อเริ่มวางแผนการทั้งหมด ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะตกหลุมรักเธอ นั่นเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับฉันฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงฆ่าเธอทิ้งและฉันก็ได้ทุกอย่างที่ทุ่มเททำมา แต่ฉันกลับไม่รู้เลยว่ามันจะกลับกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าหลายสิ่งที่เคยทำมาเอวาไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครหลายคนจะเมินเฉยได้ ไม่ใช่หญิงสาวที่จะถูกเขี่ยไปไว้ข้างทางได้เช่น เธอสามารถทำให้ใครก็ตามตกหลุมรักได้โดยง่าย เป็นหญิงสาวประเภทที่ใครก็ตามที่คบหาจะกลายเป็นชายที่ดีขึ้นแน่นอนวินาทีที่รู้ว่าตนเองเริ่มตกหลุมรักเธอ ฉันก็พยายามหลีกหนี แต่กลับเป็นไปไม่ได้เลย คล้ายกับการพยายามกระเสือกกระสนออกจากหุบเหว ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อรู้ว่าตกหลุมรักเธอเสียแล้ว ฉันพยายามแก้ไขสิ่งต่าง ๆ แต่ก็กลับสายเกินแก้ เพราะหลายสิ่งได้รับผลจากมันไปเรียบร้อย และฉันรู้ว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนความจริงจะเปิดเผย แทนที่จะปล่อยเธอไปและถอยออกมา ฉันกลับอยากอยู่กับเธอให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้เพียงน้อยนิดก็ตามทีการทำร้ายเธอจึงกลายเป็นสิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดเสมอ ความเจ็บปวดของเธอก็คือความเจ็บ
ขณะที่ความคิดนั้นแวบเข้ามา อีกความคิดหนึ่งก็พุ่งชนอย่างรุนแรงภายในสมอง"ที่คุณมาที่นี่เพราะจะมาบอกผมว่าไม่อยากได้เด็กคนนี้แล้วจะไปทำแท้งใช่ไหม?" ฉันถามเธอตรงไปตรงมาร่างกายแข็งทื่อไปหมดเธอเงยหน้าขึ้นมองทันที ดวงตาสีน้ำตาลนั้นลุกโชนเป็นไฟ ขณะหนึ่งฉันเหมือนเห็นเอวาคนเก่ากลับมา หญิงคนเดิมก่อนที่ฉันจะทำลายชีวิตเธอไป"ทำไมถึงได้คิดอย่างนั้นล่ะ?" เธอเหน็บแนบ "ยอมรับเลยนะ ตอนแรกที่รู้ สภาพจิตใจฉันย่ำแย่จริง ๆ และคิดว่าคงดีกว่าถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เกิดมา แต่ก็กลับมามีสติได้เร็ว"ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก เนื่องจากไม่รู้ว่าจะทำต้องทำอย่างไรหากเธอบอกว่าไม่ต้องการเด็กคนนี้“ฉันมาหาคุณเพราะอยากรู้ว่าคุณอยากทำอะไร ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้สนใจอะไรฉันมากนัก ดังนั้นคุณอาจจะไม่สนใจเด็กคนนี้เหมือนกัน อยากอยู่ในชีวิตลูกไหม?"ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป "ไม่"มันเจ็บปวดที่พูดออกไปแบบนั้น แต่เด็กน้อยจะเติบโตขึ้นมาได้ดีกว่าโดยที่ไม่มีฉัน ฉันเป็นปีศาจร้ายที่ทำลายชีวิตเอวาเธอนิ่งเงียบไปสักพักก่อนจะลุกขึ้นและหยิบกระเป๋า ศีรษะก้มลงและซ่อนความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ภายในเธอกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็หยุดและกลับ
เอวาฉันนั่งอยู่บริเวณส่วนตัวพร้อมมีความสุขกับเค้กตรงหน้า โนอากลับไปอยู่บ้านโรแวนค่ำคืนนี้ ดังนั้นฉันจึงมีอิสระจากลูกชายได้หนึ่งคืนฉันรู้สึกดีด้วยเหตุผลบางประการ เนื่องจากอารมณ์ที่ดี ฉันจึงตัดสินใจออกมาหาของกิน ฉันอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมรับอาหารที่โดนใจ ดังนั้นหลังจากอยากอยู่หลายวัน ฉันถึงได้มานั่งตัดเค้กรับประทานอยู่ตอนนี้การเดินทางไปเรือนจำนั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างมาก ฉันคาดหวังทั้งหัวใจว่าอีธานต้องยืนกรานว่าไม่อยากได้เด็กคนนี้ แต่สิ่งที่ได้รับเป็นสิ่งที่เกิดคาดไปอย่างมากคำสารภาพรักของชายหนุ่มทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่า เขาต้องทำความเข้าใจแล้วว่ามันสายเกินไปแล้ว ฉันไม่คิดถึงเรื่องอยู่กินกับเขาอีกแล้ว อีธานเคยพยายามปลิดชีวิตฉันเชียวนะ! ถ้าฉันหันหลังกลับไป คงไม่ต้องบอกนะว่าจะเจออะไรบ้าง จริงไหม?ฉันเองก็ไม่ได้ใจยักษ์ใจมารมากเสียจนเมินเฉยต่อสิทธิ์ในฐานะพ่อ แม้ไม่ต้องการเจอเขาสองต่อสอง ฉันอาจร้องขอให้โนราพาเด็กน้อยไปหาเขาก็ได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ฉันสามารถให้อีธานได้มากที่สุด และมาจากความพยายามอดทนมากที่สุดด้วยเช่นกัน สิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้เป็นเรื่องที่งี่เง่าเกินกว่าจะเก็บมาคิดได้ฉัน
ฉันยักไหล่ “แล้วแต่เธอจะคิด”“แค่ฉันปริปาก โรแวนจะต้องเล่นงานเธอแน่… เรื่องนี้เราก็รู้กันดีนะเอวา เธอก็รู้ว่าฉันแค่บอกโรแวนว่าเธอหยาบคายกับฉันแล้วเขาก็จะมาระเบิดอารมณ์ใส่เธอทันที”ก่อนหน้านี้ ฉันคงยอมก้มหัวให้เธอเพราะฉันไม่อยากมีปัญหากับโรแวน ฉันจึงปล่อยให้เธอทำให้ฉันอับอาย เธอจะสนุกไปกับมันและรู้สึกมีอำนาจที่สามารถกดให้ฉันกลายเป็นคนไร้ค่าฉันยิ้มให้เธอ “เอาเลย ฉันไม่สนใจหรอก ทำไมเธอไม่หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเขาตอนนี้เลยล่ะ?” ฉันท้าทายเธอ“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ?”“ก็หวังว่าเธอจะกล้านะ” ฉันตอบอย่างพึงพอใจความนับถือตนเองที่ฉันคิดว่าฉันได้สูญเสียไปหลังจากที่อีธานทรยศฉันเริ่มกลับคืนมาอย่างช้า ๆ ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนมาทำให้ฉันตกต่ำที่สุดอีกครั้งเด็ดขาด“มีเรื่องอะไรกัน?” เสียงที่เคร่งขรึมกล่าวถามฉันเงยหน้าขึ้นและพบว่าโครินกำลังจ้องพวกเรา เราไม่ได้นับว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เป็นคนรู้จักหรือจะเรียกว่าหุ้นส่วนทางธุรกิจมากกว่า บริษัทก่อสร้างของพ่อเธอเป็นบริษัทที่ฉันใช้ตอนสร้างบ้านเด็กกำพร้าของมูลนิธิโฮป เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ด้วย บริษัทก่อสร้างเป็นบริษัทในครอบครัวและเธอเป็นผู้ถื
“เอวา ได้โปรด คุยกันหน่อยได้ไหม?” แม่อ้อนวอนเมื่อฉันกำลังจะเดินหนีไปฉันมองเธอด้วยความไม่แน่ใจว่าเธอต้องการอะไร เรามีเรื่องอะไรให้ต้องคุยกัน? ทุกอย่างก็ถูกพูดและจัดการไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?“เราไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันค่ะคุณแม่” ฉันยืนกรานเมื่อมองย้อนกลับไป ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันแตกต่างจากเอมม่าและทราวิสอย่างไรเมื่อพูดถึงคุณแม่และคุณพ่อ ในขณะที่เอมม่าและทราวิสเรียกพวกเขาว่าแม่และพ่อ สำหรับฉันแล้ว พวกเขาคือคุณพ่อและคุณแม่ ชัดเจน เรียบร้อย และไม่มีความสนิทสนมเลยฉันไม่เคยยอมรับพวกเขาว่าเป็นพ่อแม่ของฉันจริง ๆ เพราะลึก ๆ แล้วฉันรู้ดี พ่อแม่จะไม่เกลียดลูกของตัวเอง พ่อแม่จะไม่ละเลยลูกของตนและปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนขยะ ฉันเรียกพวกเขาอย่างไม่สนิทสนมเพราะลึก ๆ แล้วฉันไม่ได้ถือว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ของฉัน“ได้โปรดเถอะ ฉันขอร้องล่ะ” เธออ้อนวอนทั้งน้ำตามันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่เห็นเธอมีน้ำตา ใบหน้าของเธอแดงก่ำและดูอ่อนโยน นี่เป็นแววตาที่ฉันไม่เคยเห็นเธอมองฉันมาก่อน ปกติเธอจะขมวดคิ้วและมองฉันด้วยความเฉยเมยและเย็นชาที่เธอมีให้สำหรับฉันโดยเฉพาะเสมอ“เธอพาฉันไปที่โต๊ะของเราในขณะที่พวกเขาคุยดีกว่า
ฉันเห็นแววตาที่เจ็บปวดของเธอแต่ฉันไม่สนใจ เธอทำให้ฉันเจ็บปวดมาหลายปีแล้ว นี่เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่ฉันต้องทนทุกข์จากน้ำมือของเธอและครอบครัวของเธอด้วยซ้ำอีกอย่างฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเธอถึงดูเจ็บปวด ฉันแน่ใจว่าเหตุผลเดียวที่เธออยู่ตรงนี้ก็เพื่อพยายามช่วยบริษัทของครอบครัวเธอ“มันเจ็บนะที่เธอคิดแบบนั้นกับฉัน ที่เธอคิดว่าเหตุผลเดียวที่ฉันขอโทษก็เพื่อที่ว่าฉันจะช่วยบริษัทได้ แต่ฉันก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เพราะการกระทำของฉันเอง เธอจึงคิดว่าฉันไม่น่าเชื่อถือเลย”เมื่อมองดูเธอตอนนี้ คุณจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าเธอคือผู้หญิงคนเดียวกันกับคนที่เคยด่าทอฉันเมื่อทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย คนที่เคยปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันไม่สำคัญ มันแปลกมาก เราไม่เคยเปิดใจกัน ดังนั้นการนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เธอระบายความรู้สึกจึงค่อนข้างน่ากระอักกระอ่วนใจ“ฉันต้องการการให้อภัยจากเธอจริง ๆ ฉันอยากเป็นแม่ของเธอจริง ๆ ฉันอยากกอบกู้สิ่งที่ฉันทำลายไป ฉันอยากได้ความรักที่ฉันทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจกลับคืนมา”ฉันถอนหายใจ “ฉันไม่อยากจะใจร้ายนะ แต่ก่อนอื่นเลยคุณไม่ใช่แม่ของฉัน ผลการตรวจดีเอ็นเอที่ฉันมีที่บ้านเป็นหลักฐานได้ สอง คุณห
เรียกฉันว่าคนขี้ขลาดก็ได้ ฉันไม่สน แต่ฉันแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรเมื่อฉันไปถึงห้องนั่งเล่น ฉันโทรสั่งอาหารเช้าให้มาส่งที่ห้องของเรา ก่อนจะนั่งลงรอฉันรู้ว่านี่จะเป็นหายนะตั้งแต่ตอนที่เกเบรียลบอกว่าเราจะใช้ห้องร่วมกัน ฉันคิดว่าหมอนจะช่วยได้ แต่ฉันแค่หลอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉันก็เดินไปเปิด"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณผู้หญิง" พนักงานเสิร์ฟทักทาย พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า"อรุณสวัสดิ์ค่ะ""ให้ดิฉันวางตรงไหนดีคะ?" เธอถามขณะที่ฉันหลีกทางให้เธอเข้ามา"บนโต๊ะอาหารก็ได้ค่ะ" ฉันตอบเธอเธอพยักหน้าและเดินไปที่นั่น เธอเพิ่งวางอาหารเช้าลงและกำลังจะออกไป เกเบรียลก็เดินออกจากห้องนอนพร้อมมือที่กำลังติดกระดุมเสื้อฝีเท้าเธอเริ่มช้าลง และเธอเกือบจะสะดุดเมื่อมองเห็นเขา เกเบรียลเป็นผู้ชายที่ดูดีมาก ดังนั้นฉันจึงไม่โทษเธอหรอก"ขอบคุณค่ะ" ฉันพูดเมื่อรู้ว่าสายตาของเธอยังคงอยู่ที่เกเบรียล ขณะที่สายตาของชายหนุ่มก็อยู่ที่ฉันเสียงของฉันดึงเธอออกจากภวังค์ เธอพยักหน้าก่อนจากไป เมื่อเธอไปแล้ว ฉันก็ปิดประตูให้เรียบร้อย"แล้วยังไงดี คุณจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเก
ให้ตายเถอะ แค่คิดถึงคืนนั้นรวมถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ ก็ทำให้ฉันรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวแล้ว ฉันขยับตัวเล็กน้อย หวังว่าจะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นและบรรเทาความปั่นป่วนในร่างกาย แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพราะการขยับตัวทำให้ร่างกายแนบชิดกับเกเบรียลมากขึ้นกว่าเดิมเกเบรียลส่งเสียงครางต่ำ แหบพร่า และเร้าอารมณ์ เช่นเดียวกับที่เขาเคยเปล่งออกมาในคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว เสียงนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ความรู้สึกของฉัน ทำให้ฉันหยุดพยายามจะขยับตัวให้สบายขึ้นฉันค่อย ๆ หันไปมองเขา หวังว่าเขาจะยังหลับอยู่ พอเห็นว่าเปลือกตาของเขายังคงปิดสนิท ฉันก็รู้สึกโล่งใจ แต่แล้วหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อได้มองใบหน้าของเขาชัด ๆตอนหลับ เขาดูสงบและงดงามเหลือเกิน ขนตายาวทอดเงาบนแก้ม ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย เพียงแค่มองฉันก็เกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเขา อยากแนบจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นฉันกำลังจมดิ่งลงไปอีกครั้ง กับผู้ชายที่กุมหัวใจฉันไว้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน คนเดียวกับที่ตอนนี้กำลังขอในสิ่งที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นไปได้ฉันหลงใหลในตัวเขามาก จนกระทั่งฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจนสายเกินไปเสียงครางหลุดออกจากริมฝีปากขอ
มื้อค่ำที่เหลือเป็นไปอย่างเงียบสงัด เขาก็ยังต้องขอโทษฉันอยู่แต่ฉันไม่รู้จะพูดอะไรดี ถ้าจะพูดตามตรง ฉันไม่เคยคิดว่าเกเบรียลจะมาขอโทษฉันเลย ดังนั้นการที่เขาทำแบบนั้นและทำด้วยความจริงใจแบบนี้ทำให้ฉันพูดไม่ออกจริง ๆเรารับประทานมื้อค่ำเสร็จและโทรเรียกพนักงานจากด้านล่างให้มาเก็บจาน"ฉันจะไปนอนแล้วนะ มีอะไรที่คุณอยากได้ก่อนหรือเปล่า?" ฉันถามเมื่อจานอาหารถูกเก็บไปและพนักงานจากโรงแรมก็ออกจากห้องไปแล้วลึก ๆ ในใจฉันกำลังตกใจและกังวลที่จะต้องนอนในห้องเดียวกับเกเบรียล แต่ความเหนื่อยจากการเดินทางก็ทำให้ความวิตกกังวลหายไป"ผมเองก็จะไปนอนเหมือนกัน เหนื่อยสุด ๆ เลย"ฉันพยายามกลั้นความตกใจที่เริ่มปะทุขึ้นมาในใจ ฉันคิดว่าจะนอนก่อนเขาเหมือนที่เคยทำ นั่นจะทำให้ฉันมีเวลาได้ผ่อนคลายและพักผ่อนก่อนที่เขาจะเข้ามานอน ฉันนึกไว้ว่าจะหลับไปแล้วก่อนที่เขาจะขึ้นมานอนฉันกัดฟันอย่างหงุดหงิดและเครียด ก่อนจะพยักหน้าหงุดหงิดแล้วเดินไปห้องนอน"คุณชอบนอนด้านไหน?" เขาถาม ขณะที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง"ฉันไม่ค่อยมีความชอบอะไรหรอก ขอแค่ได้นอน ด้านไหนก็เหมือนกัน"“รู้เรื่อง งั้นผมนอนฝั่งซ้ายนะ คุณก็ฝั่งขวาแล้
"อาบน้ำเสร็จแล้ว" ฉันบอกเกเบรียลเมื่อก้าวออกมาที่ห้องนั่งเล่น"ผมสั่งอาหารไว้แล้ว กินก่อน ไม่ต้องรอผมได้เลยนะครับ" เขาพูดก่อนเดินผ่านฉันเข้าไปในห้องนอนมันรู้สึกแปลกที่จะเริ่มรับประทานโดยที่ไม่มีเขาและฉันก็ไม่ได้หิวมากนัก ฉันเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีเมล และดูว่าวันพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้างฉันไม่ต้องรอนาน เพราะไม่ถึงสิบนาทีต่อมา เกเบรียลก็เดินออกมาจากห้องนอนในเสื้อยืดเก่า ๆ และกางเกงวอร์ม“ยังไม่กินเหรอ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว สายตาจ้องมองอาหาร“ก็รู้สึกไม่ดีนี่นาที่กินก่อนคุณแบบนั้น แถมคุณเป็นคนสั่งอาหารมาด้วย”เขาทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะเริ่มเปิดจานอาหาร ฉันตักอาหารเล็กน้อยแล้วเริ่มรับประทาน ความเหนื่อยถาโถมเข้ามา แม้ว่าฉันจะได้นอนบนเครื่องบินแล้วก็ตาม ฉันไม่อาจหยุดคิดถึงเตียงได้ ตอนแรกฉันไม่ชอบใจนักเรื่องการนอนร่วมเตียงกับเกเบรียล แต่ตอนนี้ฉันกลับเอาแต่คิดถึงมันเสียแล้ว ร่างกายร้องหาเพียงการพักผ่อน“แล้วคุณล่ะ เคยตกหลุมรักใครไหม?” คำถามเกเบรียลทำเอาฉันประหม่าฉันหันขวับไปมองเขา เจอสายตาคมกริบที่จ้องตรงมา ฉันกลืนอาหารลงคอและให้ปากทำหน้าที่ ตอนนี้คงมีอยู่แค่สองทางเลือก ไม่โกหกออกไป ก็บอ
ไม่กี่นาทีต่อมา เรามายืนอยู่หน้าห้องสวีท ความรู้สึกตื่นเต้นแปลก ๆ จู่โจมฉันทันที เกเบรียลไขกุญแจและผลักประตูเข้าไปโถงทางเข้าต้อนรับเราด้วยพื้นหินอ่อนขัดมันที่เปล่งประกายอยู่ใต้แสงนุ่มนวลของโคมไฟระย้าสุดหรู เงาสะท้อนทอดเป็นลวดลายงดงามบนผนังห้องนั่งเล่นกว้างขวางปรากฎสู่สายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู และหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานที่เปิดมุมมองสู่ทัศนียภาพของเมืองที่ระยิบระยับราวกับทะเลดาวระบบความบันเทิงล้ำสมัยให้คำมั่นถึงค่ำคืนอันแสนอบอุ่น ขณะที่ครัวสไตล์กูร์เมต์ดึงดูดใจด้วยเครื่องใช้สแตนเลสเงาวาวและเคาน์เตอร์กลางขนาดใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำอาหาร ห้องรับประทานอาหารสุดเก๋ให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสังสรรค์เล็ก ๆ ที่เป็นกันเอง"ดูท่าทางคุณจะชอบนะ?" เกเบรียลแกล้งเย้าฉันทำได้แค่พยักหน้า อย่างที่บอกไปแล้ว เราเคยรวย และฉันก็เคยพักในโรงแรมดี ๆ มาก่อน แต่ที่นี่คืออีกระดับหนึ่ง มันเป็นนิยามของความหรูหราที่แท้จริงสายตาฉันยังคงกวาดมองไปรอบ ๆ ห้อง แต่จู่ ๆ ฉันก็ชะงักเท้าเมื่อความจริงบางอย่างตีแสกหน้าเข้ามาเต็ม ๆ"เกเบรียล ห้องฉันอยู่ไหนคะ? ฉันเห็นแค่ห้องนอนเดียวเองนะ" ฉ
เครื่องบินลงจอดที่รันเวย์ มือของเกเบรียลจับตัวฉันไว้ไม่ให้กระดอนตอนเครื่องบินลงจอด“ไม่เป็นไรนะ?” เขาเอ่ยถามพลางสบตาฉัน“ค่ะ”หลังจากที่เกเบรียลเล่าเรื่องผู้หญิงที่เขาเคยตกหลุมรัก ก็ไม่มีเรื่องอะไรไปมากกว่านั้น บาดแผลนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ บาดแผลที่ฝังลึกลงไปข้างในฉันเห็นมันปรากฎอยู่ในดวงตาเขาอย่างชัดเจนขณะที่เล่าทุกอย่างให้ฟัง เขาไม่ต้องการพูดอะไรมากกว่านี้ เขาเพิ่งจะเปิดเผยความลับบางสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาที่ใครคนอื่นไม่เคยรู้ แม้แต่พี่ชายฝาแฝดเขาก็ไม่เคยรู้ฉันไม่ได้บังคับให้เขาเล่าออกมามากกว่านั้น ฉันไม่ได้ขอให้เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจากรับรู้ความจริงพวกนั้นมันเป็นอย่างไรต่อหรือเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น เขารู้สึกเปราะบาง และฉันก็เข้าใจด้วยว่าเขาต้องการเวลาเพื่อตั้งสติ ดังนั้นฉันจึงให้พื้นที่กับเขาฉันใช้เวลากว่าครึ่งอ่านหนังสือและอีกครึ่งในการนอนหลับพักผ่อน เขายังเอาใจใส่แม้ตอนที่นั่งห่างออกไป เขาถามว่าฉันนั่งสบายไหมหรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่าอยู่เป็นระยะมือของเขาเอื้อมมาแตะหน้าท้องฉันจนดึงฉันออกจากภวังค์ ฉันมองลงไปพบว่าเขากำลังปลดเข็มขัดนิรภัยของฉันออก“คุณรู้ใช่ไหมว่าฉันท
ก็เป็นความรักที่สวยงามไม่ใช่เหรอ? แต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น บางสิ่งที่เปลี่ยนไป ถ้าทุกอย่างมันดีจริง ๆ ตอนนี้เขาก็คงเคียงคู่กับเธอคนนั้นไปแล้ว ไม่น่าจะมาแต่งงานกับฉันแบบนี้เสียงของเขาเริ่มแหบพร่าและเริ่มเล่าต่อ “ทุกสิ่งมันดีไปหมดเลย เธอเป็นผู้หญิงที่สุดยอดมากและผมก็รู้สึกว่าหลงรักเธอมากขึ้นทุกวัน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้แนะนำเธอให้โรแวนรู้จัก เพราะผมอยากเก็บเธอไว้กับตัว ผมไม่ได้เจตนาจะคบหาแบบเงียบ ๆ แต่แค่อยากใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ก่อนที่จะพบครอบครัวผม ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาผมนึกว่าตนเองโชคดีขนาดไหนที่ได้พบเจอคนอย่างเธอ อย่างที่คุณรู้ โลกของเรามันหาคู่รักที่เหมาะกันได้ง่ายเสียที่ไหนล่ะ ฮาร์เปอร์”และนั่นแหละก็เป็นสังคมของเรา มันยากมากเลยนะที่จะพบเจอคนที่รักเราจริง บางคู่ที่แต่งกันก็เป็นเพราะเรื่องของธุรกิจ และน้อยคนนักที่จะรักและเคารพจากใจจริง แล้วก็ยังมีพวกหวังรวยทางลัดอีก เป็นพวกที่แต่งงานกับคนรวย ๆ เท่านั้นและฉันว่านี่คงเกิดขึ้นบ่อยด้วย“ผมอยู่ในห้วงความรักเลยและคิดอะไรอย่างมีเหตุผลไม่ค่อยได้ เธอสามารถทำให้ผมเปลี่ยนแปลงตนเองได้เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจเธอ ไม่อยากให้เ
“ฮาร์เปอร์?” เสียงของเขาเรียกฉันกลับมาสู่ความเป็นจริง“โอ๊ะขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” ฉันส่ายหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป “ค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”“ดีครับ งั้นไปกันเถอะ”หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรานั่งอยู่ในเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของเกเบรียล ครั้งนี้ฉันเดินทางไปกับเขาเพื่อเซ็นสัญญาธุรกิจ“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม? ต้องการอะไรหรือเปล่า? ผมให้พนักงานต้อนรับเอาอะไรมาให้ได้นะ” กาเบรียลถามขึ้นทันทีที่เครื่องบินเริ่มออกตัวเข้าใจที่ฉันบอกแล้วใช่ไหม? เขาใส่ใจฉันมากเหลือเกินแต่ตอนที่เรายังแต่งงานกัน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ฉันคิดว่าเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อทำให้ฉันมีความสุขเลย จริง ๆ แล้วมันตรงกันข้าม เขาไม่เคยสนใจว่าฉันต้องการอะไร หรือว่าฉันสบายดีไหม ไม่เคยสนใจแม้แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาแค่ไม่เคยสนใจฉันเลยแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป และนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันสับสน มันเหมือนเขาเป็นยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่คอยทำให้ความปราถนาของฉันเป็นจริง“ไม่ค่ะขอบคุณ ถ้าต้องการอะไร เดี๋ยวฉันจะบอกพนักงานเองได้ค่ะ” ฉันพึมพำตอบกลับเกเบรียลพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปขึ้นมาเปิดฉันเอนตัวลงกับเบาะหน
“แม่ต้องไปจริง ๆ เหรอคะ?” ลิลลี่ถาม สายตามองสลับไปมาระหว่างฉันกับกระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนเตียงฉันไม่เคยชอบการเก็บกระเป๋าแบบเร่งรีบในนาทีสุดท้ายแบบนี้เลย แต่ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา งานที่ทำงานยุ่งจนแทบไม่มีเวลาหายใจ พอกลับถึงบ้าน สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ก็คือการนอนหลับ ฉันเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรนอกจากกินแล้วก็นอน“ต้องไปจ้ะ” ฉันตอบเธออย่างอ่อนโยน “งานนี้สำคัญมากเลยลูก แล้วพ่อหนูต้องไปจัดการด้วยตัวเอง…”“แต่หนูยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหนูไปด้วยไม่ได้? หนูอยากเห็นว่าพ่อทำงานยังไง หนูอยากรู้ว่าพ่อจัดการเรื่องงานยังไงค่ะ”ฉันพับเสื้อผ้าชิ้นสุดท้าย ซึ่งเป็นเสื้อไหมสีฟ้า ก่อนจะวางมันลงไปในกระเป๋ากับของที่เหลือ พอทุกอย่างเรียบร้อย ฉันรูดซิปปิดแล้ววางกระเป๋าลงบนพื้น“ลูกก็รู้นี่ ว่าไปไม่ได้” ฉันตอบเธอขณะนั่งลงบนเตียง“ทำไมล่ะคะ?”“เพราะลูกยังเป็นเด็กไง ก็เลยไปไม่ได้ ถูกไหมคะ?”“หนูไม่ใช่เด็กนะคะ หนูจะสิบขวบแล้ว"ฉันกลอกตาให้กับคำโกหกที่ชัดเจน ก่อนจะดึงลิลลี่เข้ามากอดและหอมแก้มเนียนนุ่มของเธอเบา ๆ“หนูก็รู้ดีนะว่าเพิ่งแปดขวบ อีกนานเลยกว่าสิบขวบนะลิลลี่… แล้วอีกอย่าง เด็ก ๆ